พาพราวเป็นเด็กกำพร้าที่ครอบครัวบุริมนาถรับอุปการะตั้งแต่เธออายุยังไม่ครบสามขวบดี หลังจากมีกวินภัทรซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ครองขวัญปรารถนาอยากจะได้ลูกสาวเพิ่มอีกคน แต่ด้วยสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้เธอและกมนทัตต้องผิดหวังกับการรอคอยร่วมสามปี ทั้งคู่ลองทำทุกหนทาง ทั้งทางการแพทย์ ทั้งบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนกมนทัตเริ่มถอดใจเพราะสงสารภรรยาที่ร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน กระทั่งวันหนึ่งซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของกวินภัทร ครอบครัวเขาได้จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น
กระทั่งบังเอิญมีแม่หนูน้อยคนหนึ่งวิ่งเตาะแตะมาแอบอยู่ด้านหลังครองขวัญ และจับชายกระโปรงของเธอเอาไว้ พอก้มลงมอง สบกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่มีน้ำเอ่อคลออยู่เต็มหน่วยตา ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างสะกดให้เธออุ้มเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมากอดปลอบโยน
“แม่...” เสียงร้องอู้อี้ของคนในอ้อมแขนเรียกความสนใจจากเธอ ก่อเกิดความรู้สึกผูกพันบางอย่างขึ้นในใจ จะเรียกว่าถูกชะตาก็ว่าได้ คล้ายมีกระแสบางอย่างกระทบจิตใจเข้าอย่างจัง อาจเป็นเพราะเธออยากได้ลูกสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ก็หน้าตาน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน
แววตาออดอ้อนที่จ้องมองกันติดอยู่ในภวังค์ของเธอไปหลายวัน ยิ่งได้มาทราบในภายหลังว่าเด็กหญิงมักเรียกทุกคนที่เข้าใกล้ว่า ‘แม่’ นั่นยิ่งทำให้เธอนึกสงสารเห็นใจ
หลังจากผ่านวันนั้นมาได้ราวสองสัปดาห์ เธอรอเวลาจนกระทั่งแน่ใจในตัวเอง ครองขวัญจึงปรึกษากับสามีเพื่อจะขอรับเด็กหญิงมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ไหนๆ ทั้งคู่ก็ไม่มีหวังจะได้ลูกสาวเองแล้ว และแม้ ‘บุลลา’ ผู้เป็นพี่สะใภ้จะค้านหัวชนฝา ไม่เห็นด้วยอย่างที่สุดเมื่อทั้งคู่จะรับเด็กที่ไหนไม่รู้เข้ามาอยู่ในครอบครัว เธอมองว่ารังแต่จะสร้างปัญหาขึ้นในอนาคต
เด็กที่ไม่ได้มีความผูกพันกับเราทางสายเลือด ยังไงก็ไม่มีทางเชื่อมกันได้สนิท การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเองด้วยแล้ว แค่ความอยากอย่างเดียวไม่พอ ต้องทุ่มเทความรู้สึกมากกว่านั้น มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะมอบความรักและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ต้องเผื่อใจในวันที่เขาอาจทำผิดพลาด และที่สำคัญต้องพร้อมจะเสียสละให้กันโดยมองข้ามเรื่องความผูกพันทางสายเลือดไปได้ เธอพยายามชี้แจงให้ทั้งคู่เห็นถึงแง่มุมที่อ่อนไหวลึกซึ้ง อย่าตัดสินใจจากอารมณ์ผิวเผินฉาบฉวย อย่ามองเรื่องนี้ตื้นเขินเกินไป
แล้วใครจะรับประกันว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กดี เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทตลอดเวลา ตัวอย่างชาวนากับงูเห่าก็มีให้เห็นร่ำไป แต่ถึงอย่างไรเธอก็ขัดคนทั้งคู่ไม่ได้ เมื่อน้องชายและน้องสะใภ้ยืนกรานหนักแน่นที่จะรับเด็กหญิงมาดูแล ทั้งคู่เชื่อมั่นว่าจะให้ความรักและดูแลเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี
เดิมทีเด็กหญิงชื่อนภาพราว แต่ระหว่างการเดินเรื่องเอกสารมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เขียนชื่อเธอตกพยัญชนะตัวหน้าไปหนึ่งตัว เหลือเพียง ‘ภาพราว’ ซึ่งครองขวัญเองเห็นว่าเพราะและแปลกดี จึงดำเนินการเปลี่ยนชื่อเป็น ‘พาพราว’ ในที่สุด
ตั้งแต่วันแรกที่พาพราวก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวบุริมนาถ เธอเป็นลูกสาวคนเล็กที่ทุกคนในบ้านต่างรุมล้อมมอบความรักความเอ็นดูให้ กวินภัทรทั้งรักทั้งหลงน้องสาวคนนี้มาก หากใครจะเข้าใกล้เด็กหญิงต้องผ่านด่านพี่ชายอย่างเขาไปเสียก่อน
“แม่ ตะกี้น้องละเมอด้วย” เด็กชายนั่งจ้องน้องน้อยที่นอนหลับปุ๋ยไม่วางตา เอามือลูบแก้มเนียนของน้องอย่างแผ่วเบา บ้างก็จิ้มปลายจมูกอย่างมันเขี้ยว จนทำให้คนตัวเล็กเริ่มรำคาญและส่งเสียงครางประท้วงในลำคอ
“วิน! อย่าแกล้งน้องสิลูก” ครองขวัญหันมาเอ็ดลูกชายตัวดี เผลอเป็นไม่ได้ ต้องคอยมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ น้องสาว ไม่ยอมห่างไปไหน นี่ถึงขนาดหอบการบ้านมานั่งทำใกล้ที่นอนน้อง ด้วยกิจกรรมโปรดของเด็กชายคือการเฝ้าน้องนอนและคอยจับขวดนมให้ แม้เธอจะเอ็ดอยู่บ่อยครั้งว่าควรปล่อยให้น้องจับเอง เพราะเด็กหญิงช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่มีหรือจะยอม แถมยังชอบแกล้งหยอกให้เด็กน้อยอ้าปากรอดูดขวดนมเก้ออีกต่างหาก ส่วนเขาก็นั่งหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข น้องเขาเขาแกล้งได้คนเดียว!
อาการ ‘คนหวงน้อง’ ทำให้ครองขวัญและกมนทัตเบาใจ ตอนแรกทั้งคู่ต่างกังวลว่าลูกชายจะคิดมากเรื่องความสำคัญ ก่อนหน้านี้กวินภัทรเป็นที่หนึ่งของบ้านเสมอ คุณหนูเพียงคนเดียวของบ้านจึงถูกรุมเอาอกเอาใจจากทุกคนรอบข้าง ได้รับความรักไปอย่างเต็มแน่นไม่ต้องแบ่งปันกับใคร จนอดกังวลใจไม่ได้เมื่อมีพาพราวเข้ามา ลูกชายอาจน้อยใจที่ต้องมีคนมาแบ่งพื้นที่ความสำคัญไป แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม เมื่อเจ้าตัวดีกลับโอ๋น้องสาวเสียยิ่งกว่าอะไร เห่อกว่าเธอและสามีเสียอีก
ครองขวัญเลี้ยงพาพราวอย่างดีด้วยตัวเอง เธอไม่เหนื่อยเลยสักนิดเมื่อเทียบกับตอนกวินภัทรเล็กๆ เด็กหญิงเลี้ยงง่าย อารมณ์ดี ไม่งอแง ตื่นและหลับเป็นเวลา แถมยังน่ารักน่าชังยามเมื่อได้มอง เธอฝันอยากมีลูกสาวแบบนี้นานแล้ว จึงมีความสุขมากเป็นพิเศษ แต่จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงที่ต้องคอยตอบคำถามของเจ้าลูกชายตัวดีนี่ละ เขาสนใจใคร่รู้ไปเสียทุกอย่าง
“แม่ครับ ทำไมมือน้องเล็กจัง” กวินภัทรชอบเอาฝ่ามือตัวเองทาบทับเพื่อวัดขนาดกับมือเล็กจ้อยของน้องน้อย
“แม่ เมื่อไหร่น้องจะโต”
“แม่ น้องกินนมแค่นี้จะอิ่มเหรอ”
“แม่ เมื่อไหร่น้องจะไปวิ่งเล่นกับวินได้”
“แม่ น้องจะกินช็อกโกแลต วินให้กินได้ไหม”
“ฮือ...แม่! น้องทำสมุดการบ้านวินขาด!” เด็กชายเดินร้องไห้สะอึกสะอื้นมาฟ้องเธอ ในมือถือสมุดการบ้านยับยู่ยี่และฉีกขาดไปบางหน้า
...สารพัดวีรกรรม
ผ่านไปห้าปี ทุกอย่างยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี พาพราวเติบโตอย่างมีความสุขท่ามกลางความรักความเอาใจใส่จากทุกคน เด็กหญิงช่างพูดช่างคุย ออดอ้อนทุกคนรอบข้างจนทำให้หลงรักได้ไม่ยาก แม้หลายครั้งจะดื้อและเอาแต่ใจไปบ้างตามประสาเด็กที่ไม่เคยถูกขัดใจ เธอเป็นเหมือนจิกซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มให้ครอบครัวบุริมนาถสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จากก่อนหน้านี้คู่สามีภรรยาเอาแต่คาดหวังเรื่องลูกสาวอีกคน จนกลายเป็นความรู้สึกขาดหายและต้องวิ่งไขว่คว้าหาตลอดเวลา แต่พอมีพาพราว ทั้งครองขวัญและกมนทัตรู้สึกได้จริงๆ ว่าเด็กหญิงเป็นลูกของพวกเขาอีกคน เป็นคนในครอบครัวที่สมควรได้รับการดูแลอย่างดี สุขภาพจิตและสุขภาพกายของครองขวัญจึงดีขึ้นตามลำดับได้ไม่ยาก
จนกระทั่งเธอพบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ และเหมือนโชคเข้าข้างเธออีกครั้งเมื่อได้ลูกสาวเพิ่มมาอีกคน ‘กวีลดา’ เป็นลูกหลงซึ่งเกิดตอนที่ครองขวัญอายุมากแล้ว จึงทำให้เด็กน้อยมีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก น้ำหนักตัวน้อยกว่าเด็กทารกแรกคลอดทั่วไป ต้องเข้าตู้อบเกือบตลอดสองสัปดาห์หลังคลอด ทำให้เธอและสามีต่างเครียดจัดและกังวลไปสารพัด คนเป็นพ่อต้องคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านและโรงพยาบาล เพื่อปรึกษาคุณหมออยู่ตลอดเวลาในช่วงแรก และทุ่มความสนใจเกือบทั้งหมดไปที่กวีลดา เนื่องจากเด็กหญิงต้องได้รับการดูแลใส่ใจเป็นพิเศษ
โชคดีที่กวินภัทรเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นพอดี เขารู้ประสาพอจะรับผิดชอบและจัดการดูแลตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง รวมไปถึงดูแลพาพราวแทนเธอและสามีได้ด้วย เด็กหญิงกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ หน้าที่หลักของกวินภัทรคือสอนการบ้านและพาเข้านอนด้วยกัน โดยมีเอื้องใจซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของพาพราวคอยกำกับดูแลทั้งคู่อีกทีหนึ่ง
“ข้อต่อไป เศษหนึ่งส่วนสี่หารเศษสองส่วนสาม ต้องทำยังไงนะพราว”
“...” เด็กหญิงนั่งจ้องหน้าพี่ชายตาแป๋ว
“ต้องเปลี่ยนหารเป็นคูณ แล้วกลับเศษเป็นส่วน ไหนทดข้อนี้ให้พี่ดูซิ”
“...” คนตัวเล็กยังคงนั่งนิ่ง จ้องโจทย์ในสมุดการบ้าน และไม่ยอมเขียนอะไรลงไปสักตัว
“เขียนสิพราว” เมื่อเห็นว่าน้องไม่ยอมทำ เขาจึงปรามด้วยเสียงเข้มขึ้น
“มันหมายความว่ายังไงเหรอพี่วิน มีขนมเค้กแล้วตัดเป็นสี่ชิ้น แล้วเอาไปตัดอีกสามชิ้น แล้ว...”
“จะยังไงก็ช่าง รีบทำตามที่พี่บอก”
“ก็พราวนึกไม่ออกนี่” เธอย้อนกลับพี่ชายเสียงแง่งอน
“นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก ทำตามที่บอก อย่าเรื่องมาก! ก็แค่เขียนลงไป!”
สิ้นคำคนตัวเล็กจึงก้มหน้าก้มตาเขียนตามที่พี่ชายบอก เขียนยังไม่ทันจบข้อ กระดาษสมุดการบ้านก็เริ่มเปียกซึมเป็นดวงเล็กๆ จากหยดน้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อย ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องไห้โยเย เท่านั้นเองกิจกรรมสอนการบ้านเป็นอันจบเห่ กวินภัทรต้องนั่งกอดปลอบน้องสาวที่เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมแขน
“พราวจะหาแม่ แม่ไปไหน”
“แม่ไปโรงพยาบาล แม่ไปอยู่กับน้อง โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคนดี...พี่ขอโทษ”
เพียงไม่นานแม่ตัวดีก็หลับไปทั้งน้ำตา ส่วนเขาต้องนั่งทำการบ้านให้เธอต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ เด็กหนุ่มค่อยๆ เลียนแบบลายมือเธอให้เหมือนที่สุด เพราะกลัวว่าคุณครูจะจับสังเกตเอาได้ กว่าจะได้เข้านอนก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขารู้ดีว่าพาพราวไม่ใช่เด็กหัวไม่ดี แต่เธอมักชอบสงสัยในจุดที่ไม่ควรสงสัย ใส่ใจกับอะไรที่คนอื่นมักมองข้าม ถามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าจนเขาขี้เกียจจะสรรหามาตอบ
จนกระทั่งครองขวัญและกมนทัตพากวีลดากลับมาดูแลต่อที่บ้าน ทุกอย่างในบ้านจึงถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย
มีอยู่วันหนึ่งพาพราวเพิ่งกลับจากโรงเรียน เธอวิ่งหน้าตั้งเพื่อเอาสมุดวาดรูปมาโชว์แม่ว่าตนเองได้คะแนนเต็มสิบจากคุณครูในวิชาศิลปะ
“แม่ขา พราวเก่งไหม” เด็กน้อยยกสมุดขึ้นเปิดหน้าดังกล่าวซึ่งเป็นรูปครอบครัว และยิ้มรอคำชมจากคนเป็นแม่
“พราวออกไปก่อนลูก อย่าเข้ามาใกล้น้อง แม่จะให้น้องกินนม เอื้อง มาเอาพราวไปที”
“ให้พราวอยู่ด้วยไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้ อย่าดื้อสิพราว ไปอาบน้ำทำการบ้านให้เรียบร้อยก่อน”
“ไปค่ะน้องพราว”
เด็กหญิงหน้าเจื่อนลงทันที ก่อนเอื้องใจจะเข้ามาจูงมือเธอแล้วพาออกไปจากห้อง พาพราวหันมามองแม่อีกครั้งตาละห้อย เธอเห็นแม่ค่อยๆ ลูบหัวของน้องอย่างรักใคร่อ่อนโยน ก่อนจะหันมามองพี่เลี้ยงสาว และกอดกระชับสมุดวาดรูปในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
ครองขวัญต้องคอยดูแลกวีลดาอย่างใกล้ชิด ทำให้พาพราวจำต้องใช้เวลาส่วนใหญ่กับพี่เลี้ยง ส่วนกวินภัทรก็ไม่ค่อยอยู่บ้านตามประสาวัยรุ่นที่เริ่มติดเพื่อนติดเกม อีกทั้งกมนทัตต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจยังต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง หรือหากอยู่บ้าน เขามักจะขลุกอยู่แต่ในห้องของกวีลดาทั้งวัน จนบางทีเธอต้องแอบไปชะเง้อดูตรงประตูกระจกห้องน้องอยู่บ่อยครั้ง อยากรู้ว่าพ่อกับแม่ทำอะไรกัน เธอเองก็อยากเข้าไปเล่นกับน้องบ้าง เธอเหงา...เหมือนไม่มีใครสนใจเธอเลยสักคน เธอแค่อยากมีเพื่อนเล่นด้วย
...
พาพราวเห็นรินรดานั่งระบายสีอยู่คนเดียวจึงเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ใจจริงเธออยากขอเล่นด้วย แต่พอเห็นเธอเข้า เด็กหญิงก็รีบเก็บสมุดทันที ทำท่าจะผละหนีไป
“ขอพราวดูหน่อยสิ” พาพราวดึงเอาสมุดระบายสีจากมือของรินรดาเข้าหาตัว
“ของรินนะคะ” รินรดายื้อแย่งกลับมา ด้วยกลัวว่าพาพราวจะแย่งของรักของเธอไป
“เอามาดูก่อน” เธอเพียงแค่จะดูเฉยๆ และต้องดูให้ได้ด้วย!
“ไม่เอา”
“เอามานะ!” คุณหนูของบ้านใช้สิทธิ์ขาดกระชากมันเข้าหาตัวโดยไม่ยั้งมือ
คนหนึ่งจะเอาให้ได้ ส่วนอีกคนพยายามรักษาสิทธิ์ของตัวเองไว้ สมุดวาดรูประบายสีเจ้าหญิงของรินรดาจึงขาดวิ่นออกเป็นสองส่วน พาพราวได้สมุดทั้งเล่มไป ส่วนรินรดาคว้าได้เพียงเศษกระดาษหน้าหนึ่งซึ่งฉีกขาดติดมือมา
“ทำอะไรกันคะ” เอื้องใจเดินเข้ามาหาทั้งคู่เมื่อเห็นว่ามีการยื้อแย่งกันเกิดขึ้น
“พราวแค่จะขอดูสมุดระบายสี ทำหวงไปได้” พาพราวบอกพี่เลี้ยงเสียงออดอ้อน
“รินแค่...” รินรดาพยายามจะแก้ต่างให้ตัวเอง เธอช่วยป้าแม่บ้านทำงานในครัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงมานั่งระบายสีเล่นในศาลานี้
“แม่เคยสอนรินว่ายังไง จำไม่ได้เหรอ” เอื้องใจเอ็ดลูกสาวเสียงเข้ม
รินรดาไม่ตอบอะไรออกไปสักคำ เธอเพียงกำมือแน่นเพื่อเก็บอารมณ์ กระดาษรูปเจ้าหญิงที่เธอตั้งใจระบายอยู่นานสองนานยับยู่ยี่อยู่ในมือเล็ก ต้องเป็นเธอทุกทีที่ยอมให้ ไม่ว่าอย่างไรพาพราวก็มาเป็นที่หนึ่งเสมอสำหรับแม่ อะไรๆ ก็คุณหนูของบ้าน สอนให้เธอสำนึกบุญคุณของครอบครัวบุริมนาถ สอนให้เธออยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เด็กหญิงในชุดมอมแมมจึงวิ่งหนีหายไปทั้งน้ำตา
พาพราวหน้าเจื่อนลงเพราะรู้สึกผิด เด็กหญิงมองดูสมุดในมือที่ขาดยับเยิน ไว้วันว่างๆ เธอจะขอให้เอื้องใจพาไปซื้อเล่มใหม่ ซื้อมาหลายๆ เล่มเลย ตั้งใจว่าจะเอามาคืนรินรดาและชวนเธอเล่นด้วยกัน
ในงานเลี้ยงวันปีใหม่ของบ้านบุริมนาถซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี เป็นงานเล็กๆ ที่เชิญเฉพาะคนภายในครอบครัวและเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงกัน ดูเหมือนคนที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นพาพราว เธอชอบงานเลี้ยง ชอบบรรยากาศเวลามีคนเยอะๆ มาอยู่รวมกันอย่างครึกครื้น แถมยังมีขนมเค้กอร่อยๆ มีน้ำหวาน มีกล่องของขวัญสีสวยเรียงเป็นตั้งๆ มีเพื่อนจากบ้านข้างๆ มาวิ่งเล่นในงานด้วยกันอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญเธอจะได้ใส่ชุดสวยๆ เหมือนนางฟ้า
“ชุดพราวน่ารักไหม” วันนี้เด็กหญิงใส่ชุดเดรสสีฟ้าอ่อนลายจุดสีขาว ชายกระโปรงระบายเป็นชั้นฟูฟ่อง มีโบสีขาวอันใหญ่มัดอยู่ด้านหลัง เปียผมสองข้างและติดกิ๊บรูปดอกไม้เล็กๆ อย่างน่ารักน่ามอง
“งั้นๆ” กวินภัทรแกล้งตอบหวังให้เธองอนเล่น “ชุดรินน่ารักกว่าตั้งเยอะ” เขาหันไปชมอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แทน
‘งอน’ นางฟ้าตัวน้อยเบะปาก เชิดหน้าบูดๆ ขึ้น แล้วเดินงอนตุ๊บป่องๆ ไปรวมกลุ่มกับเด็กๆ วัยเดียวกัน ไม่สนใจพี่ชายอีกเลย เรื่องอะไรมาชมเด็กคนอื่นต่อหน้าเธอ ชุดเธอมีโบสวย แถมกระโปรงยังบานกว่า สวยกว่าชุดของรินรดาตั้งเยอะ แถมชุดของรินรดาก็เป็นชุดเก่าของเธอที่ไม่ชอบแล้วจึงให้ไปใส่หรอก
แม้จะแต่งชุดสวย แต่รินรดาไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเล่นภายในงานได้ตามอำเภอใจเช่นเด็กคนอื่นๆ ทั้งที่ครองขวัญไม่ได้ห้าม แถมยังบอกให้เธอสนุกได้เต็มที่ แต่เอื้องใจกลับสั่งลูกสาวให้นั่งอยู่บริเวณซุ้มอาหารกับป้าจิตตรี คอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ หยิบจับสิ่งของให้หญิงสูงวัย
ส่วนเด็กคนอื่นๆ ต่างพากันวิ่งเล่นสนุกสนานไปทั่วงาน ในขณะที่พวกผู้ใหญ่นั่งจับกลุ่มคุยกันเป็นหย่อมๆ ตามประสา พาพราวกับเพื่อนๆ โดนผู้ใหญ่เอ็ดอยู่หลายทีให้ระวัง จนกระทั่งเธอหันไปเห็นว่ารถเข็นเด็กที่มีกวีลดานอนอยู่นั้นค่อยๆ เลื่อนไหลไปตามระดับพื้นลาดเอียง และด้วยสัญชาตญาณ เด็กหญิงจึงรีบวิ่งเข้าไปโดยเร็วหมายจะจับรถเข็นไว้
แต่ไม่ทัน! เธอเอื้อมมือมาช้าเกินไป ทำให้รถเข็นที่มีเด็กหญิงวัยเกือบขวบนอนหลับอยู่ไถลตกบันไดไปด้วยความเร็วแรง
ครองขวัญหันมาเห็นรถเข็นของลูกค่อยๆ กระเด็นไปตามแรงวิถี เธอกรีดร้องสุดเสียง พลันใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
แต่โชคดีที่รถพลิกคว่ำไปเพียงตลบเดียว เด็กน้อยที่นอนอยู่ข้างในไม่ได้รับอันตรายใดๆ อย่างที่คิด ทว่าแรงกระทบกระเทือนทำให้เด็กน้อยตื่นตกใจร้องไห้จ้าเสียงดัง
ทุกคนในงานต่างหันมามองเหตุการณ์เป็นตาเดียว ทุกสายตามองตรงมายังพาพราว เด็กหญิงยืนอึ้งชะงักงันอยู่ในท่วงท่าที่พยายามจะคว้ารถเข็นเอาไว้ และมองไปที่รถเข็นน้องอย่างตกตะลึง
เมื่อกมนทัตตั้งสติได้จึงรีบปรี่เข้าไปดูกวีลดาที่ร้องไห้เสียงดัง อุ้มขึ้นมาตบหลังเบาๆ เพื่อปลอบโยน สำรวจดูว่าลูกสาวได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ก่อนจะส่งต่อให้ครองขวัญที่วิ่งตามมาดูด้วยความตกใจ
กมนทัตเดินตรงเข้ามาหาพาพราวด้วยสีหน้าโกรธจัด เด็กหญิงซึ่งกำลังยืนนิ่งโดนคนเป็นพ่อกระชากตัวเข้าไปในบ้านทันที
“พราว! พ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่ง ถ้าน้องเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ทำไมไม่ฟัง ทำไมดื้อแบบนี้ฮะ!” กมนทัตฟาดฝ่ามืออย่างแรงไปที่แผ่นหลังบอบบางของลูกสาวตัวเล็ก แรงในระดับที่ไม่ได้ยับยั้งกำลังเลยสักนิด เขาใส่เต็มเหนี่ยวไปทั้งหมดที่มี จนคนตัวเด็กเล็กเซไปชนพนักโซฟาด้านข้างอย่างแรง หากไม่มีมือของพ่อยึดไหล่อีกข้างไว้ เธออาจจะกระเด็นล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้วก็เป็นได้
“ฮือ...พราวไม่ได้ทำ พราวไม่ได้ดื้อ” เธอเจ็บจนชาไปทั้งร่าง เด็กน้อยตัวสั่นเทิ้มเพราะไม่เคยถูกพ่อตี ไม่เคยถูกพ่อตะคอกใส่เสียงดังเช่นนี้
เธอกลัว...
“ยังจะเถียงอีก! เล่นอะไรไม่ระวัง” เขาโกรธจัด เพราะคิดว่าเด็กหญิงวิ่งซนไม่ทันระวังจนทำให้มาชนรถเข็นเข้า เมื่อครู่เขาใจหายวาบตอนที่เกิดเหตุการณ์ กลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน
“พราวแค่จะเข้าไปช่ว..” เด็กน้อยพยายามจะอธิบาย เสียงเธอสะอื้นฮักขาดห้วงไปเมื่อพ่อตวาดใส่อีกครา
“เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้วนะ เห็นพ่อใจดีเกินไปใช่ไหม” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง ไม่ฟังเหตุผล ทำท่าจะตีเธออีกครั้ง
เด็กหญิงร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม ทั้งกลัวทั้งตกใจ เธอไม่เคยเห็นพ่อในมุมน่ากลัวแบบนี้ แรงกระทบอย่างรุนแรงที่แผ่นหลังเมื่อครู่ยังสะเทือนพล่านอยู่ในกาย เจ็บจนชา...
ร่างเล็กสะบัดตัวหนีออกจากมือใหญ่ที่จับไหล่ข้างหนึ่งของเธอไว้ พาพราววิ่งหนีหายไปจากตรงนั้นทันที ก่อนจะมุดตัวเข้าไปหลบใต้โต๊ะวางของซึ่งอยู่หน้าห้อง เข้าไปนั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ หลังผ้าปูโต๊ะคนเดียว ตรงนี้มักเป็นที่ประจำเวลาเธองอนกวินภัทรหรือเอื้องใจ เธอจะหลบมาร้องไห้คนเดียวเสมอ และมีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่รู้จุดซ่อนตัวนี้
กมนทัตหัวเสียอย่างมาก เขายอมรับว่าโกรธจัดจนขาดสติ เขาแค่กลัวว่าจะเสียลูกไป กวีลดาเกือบจะไม่รอดมาแล้วครั้งหนึ่งตอนคลอดใหม่ๆ เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ สละเวลาผลัดเปลี่ยนเวียนกันกับภรรยาไปดูแลลูกที่โรงพยาบาลจนผ่านวิกฤติเลวร้ายมาได้ ทั้งคู่จึงค่อนข้างอ่อนไหวกับทุกอย่างที่จะเป็นอันตรายกับลูกน้อย ความกลัวทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เผลอเอาอารมณ์ร้ายไปลงกับพาพราว กระทั่งครองขวัญอุ้มกวีลดาที่เริ่มสงบจากการร้องไห้เข้ามาในห้อง ตามมาด้วยบุลลาพี่สาวของเขา
“ลูกเป็นยังไงบ้าง” กมนทัตหันมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ แกคงตกใจเสียงดัง” ครองขวัญโยกตัวเบาๆ เพื่อกล่อมลูกน้อยในอ้อมแขน
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าเด็กนี่จะสร้างปัญหา” บุลลาโพล่งออกมาอย่างอึดอัดใจ เธอไม่เห็นด้วยตั้งแต่พวกเขารับพาพราวเข้ามาในบ้านแล้ว
“พูดอะไรแบบนั้นพี่นิ่ม” กมนทัตปรามพี่สาวขณะคลึงขมับระงับอารมณ์เดือดจัด
“นี่ลูกแกยังเล็กนะ ใครจะรับประกันว่าโตขึ้นยัยเด็กนั่นมันจะไม่อิจฉาลูกแก เมื่อกี้มันอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุก็ได้ แกก็เห็น เด็กนั่นมันอาจจะตั้งใจผลักลูกแกก็ได้ มันอาจจะรู้ว่ายัยหนูจะมาแทนที่ จะมาแย่งความรักไป”
“เพ้อเจ้อไปกันใหญ่ พราวไม่ใช่เด็กแบบนั้นสักหน่อย ผมเลี้ยงพราวมากับมือ มันเป็นอุบัติเหตุ พี่ก็เห็นว่าเด็กมันวิ่งเล่นกัน”
“ตามใจ...ฉันก็แค่เตือน ที่แกเลี้ยงน่ะมันลูกใครก็ไม่รู้ ระวังเถอะ! ยัยเด็กนั่นมันอาจจะมาแว้งกัดลูกแกเอาทีหลังก็ได้ ไหนๆ แกก็มีลูกสาวเองแล้ว เด็กนั่นก็ไม่จำเป็นแล้ว”
“ไม่จำเป็นงั้นเรอะ! แล้วพี่จะให้ทำยังไง ให้เอาพราวไปคืนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ” กมนทัตพูดขึ้นเพียงเพราะต้องการประชดพี่สาว ไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นจริงๆ สักหน่อย เขาอดรู้สึกโกรธไม่ได้ที่พี่สาวอคติกับพาพราวเกินไป เด็กหญิงเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันได้เกือบห้าปีแล้ว แต่พี่สาวก็ยังระแวงไม่เลิก ไม่ผูกพันหรือสงสารเด็กบ้างเลยหรือไง
บุลลาคร้านจะเถียงกับน้องชาย หญิงสูงวัยจึงทำเพียงค้อนคู่สามีภรรยา ก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไปที่งานเลี้ยงในสวนต่อ
เมื่อเห็นว่ากวีลดาสงบลงแล้ว สองสามีภรรยาจึงพาเด็กเล็กกลับเข้าไปสมทบในงานต่อ ด้วยรู้ว่าทุกคนคงตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่และคงเป็นห่วงอย่างมาก เกรงว่างานจะกร่อยเอาได้
ทิ้งเด็กหญิงพาพราวถูกทิ้ง ให้นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ใต้โต๊ะ ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้ เธอได้ยินทุกคำพูด ชัดเจน กระจ่าง เธอไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่หรอกหรือ เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไหนก็ไม่รู้ เธอไม่ใช่น้องสาวของกวินภัทร เธอเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นแค่เด็กเก็บมาเลี้ยง ราวกับมีบางอย่างในตัวเธอกำลังสูญสลาย ความหวาดกลัวถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของเด็กสิบขวบ
‘ถูกทิ้ง’ คำคำนี้ผุดขึ้นมาในความรู้สึก เธอกลัว...
“น้องพราว” เอื้องใจแหวกผ้าปูโต๊ะเพื่อเรียกคนที่นั่งร้องไห้ให้ออกมา ตกใจที่เห็นเด็กหญิงร้องไห้หนักขนาดนี้ สงสัยคงโดนคุณพ่อดุ
“เอื้องจ๋า พราวไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่เหรอ”
“พูดอะไรแบบนั้นคะเด็กดี”
“ป้านิ่มบอกว่าพราวเป็นเด็กกำพร้า” เธอเคยโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อ แต่เธอคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เธอเลยแค่โกรธเพื่อนคนนั้นและไม่พูดด้วยทั้งวัน แต่ครั้งนี้คงเป็นเรื่องจริง พวกผู้ใหญ่ไม่มีทางพูดโกหก “พ่อกับแม่จะรักพราวเหมือนเดิมไหม มีน้องแล้วพราวจะถูกทิ้งไหม”
“ไม่เอาค่ะ ไม่ร้องนะคะ” เอื้องใจดึงพาพราวมากอดแนบอกด้วยความสงสาร เธอเลี้ยงพาพราวมาตั้งหลายปี เด็กหญิงน่ารักน่าเอ็นดู สมควรจะได้รับแต่ความสุข
“เอื้องจ๋า ถ้าไม่มีน้อง พราวจะไม่ถูกทิ้งใช่ไหมคะ ทุกคนจะยังรักพราวใช่ไหม” ร่างเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอกพี่เลี้ยง พูดเสียงอู้อี้ด้วยความอัดอั้น
“คุณพ่อคุณแม่รักน้องพราวมากนะคะ พี่เอื้องก็รักน้องพราว”
เด็กหญิงกอดพี่เลี้ยงสาวไว้แน่น หลับตาร้องไห้อย่างหนัก
‘ถ้าไม่มีน้อง พราวจะไม่ถูกทิ้งใช่ไหมคะ ทุกคนจะยังรักพราวใช่ไหม’ กวินภัทรทวนคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาในใจ
เมื่อครู่เขามัวแต่ไปเล่นเกมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของงาน จึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ริมสระว่ายน้ำ มารู้เรื่องราวก็ตอนเห็นแม่อุ้มน้องเดินไปเดินมาเพื่อปลอบโยน จึงถามบุลลาว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยอคติของนางทำให้เด็กหนุ่มได้รับข้อมูลผิดแผกจากความเป็นจริงไปมาก เรื่องพลิกกลับตาลปัตรเป็นหนังคนละม้วน กลายเป็นว่าพาพราวตั้งใจผลักรถเข็นของน้องจนตกบันได ตามด้วยถ้อยคำใส่สีตีไข่เรื่องลูกเลี้ยงขี้อิจฉา กวินภัทรยอมรับว่าไม่ได้เชื่อป้าทั้งหมด แต่เมื่อครู่เขาได้ยินพาพราวพูดออกมาจากปากเอง
เขาช็อก! น้องสาวที่น่ารักของเขาพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไรกัน ความผิดหวังผสมอารมณ์กรุ่นโกรธก่อเกิดขึ้นในใจเด็กหนุ่ม
หลังจากผ่านเหตุการณ์วันนั้นมาเพียงสัปดาห์ ความสัมพันธ์ที่ดูคล้ายจะเหมือนเดิมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พาพราวเริ่มทำตัวเกาะติดทุกคนแจ เธอมักหวาดผวาเวลาที่ครอบครัวพาออกไปข้างนอกเสมอ กลัวว่าจะถูกพาไปทิ้งเหมือนในข่าวที่เจ้าของมักพาหมาแมวไปปล่อยทิ้งข้างทาง
มีอยู่วันหนึ่งเธอพลัดหลงกับพ่อแม่ระหว่างเดินในห้างสรรพสินค้า เพียงเพราะเด็กหญิงมัวแต่สนใจช็อกโกแลตที่อยู่ในมือ เป็นครั้งเดียวที่เธอจำไม่เคยลืม หลังจากนั้น เด็กหญิงมักจะบ่ายเบี่ยงทุกครั้งหากต้องไปไหนไกลๆ หนักเข้าก็วิ่งไปซ่อนตัว ไม่ยอมออกมาเจอใคร
เดิมทีเธอติดกวินภัทรมากอยู่แล้ว ยิ่งรับรู้ว่าตนไม่ใช่น้องสาวของเขาก็ยิ่งเข้าหาหนักกว่าเก่า เด็กหญิงตัวน้อยตามพี่ชายเป็นเงา เขาทำอะไร เธอก็จะขอทำด้วย เขาไปไหน เธอจะอ้อนขอไปด้วยทุกครั้ง
“ให้พราวไปด้วยนะ”
กวินภัทรหันมามองเด็กหญิงซึ่งจับเบาะรถจักรยานของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย วันนี้เขามีนัดเตะฟุตบอลกับเพื่อนที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน “ปล่อย!” เด็กหนุ่มพูดเสียงเข้ม รำคาญที่น้องสาวทำตัววุ่นวายเข้าไปทุกที
“พราวไปด้วยนะพี่วิน” เธอมองเขาตาแป๋ว ทำเสียงออดอ้อนเหมือนที่ทำประจำ
“ไม่ปล่อยใช่ไหม ได้!” เขามองคนพูดไม่รู้เรื่องอย่างท้าทาย นึกแผนร้ายขึ้นในใจ ก่อนจะออกแรงปั่นสุดกำลัง กระชากร่างบางที่จับเบาะไว้ให้พุ่งตัวล้มไปด้านหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
เด็กหญิงเอามือยันพื้นไว้อย่างแรง เจ็บจี๊ดนิดๆ ที่บริเวณฝ่ามือ แบขึ้นมาดูพบว่ามีเลือดซิบเล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นมอง พี่ชายก็ปั่นจักรยานออกไปไกลแล้ว
“หรือพี่วินจะรู้ว่าพราวไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่”
เด็กหญิงถือสมุดการบ้านวิชาคณิตศาสตร์เข้ามานั่งข้างพี่ชาย กวินภัทรกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการเขียนรายงานตรงโต๊ะญี่ปุ่นในห้องหนังสือ
“พี่วิน...พราวทำข้อนี้ไม่ได้” ทั้งคู่มักนั่งทำการบ้านด้วยกันเป็นประจำในห้องนี้ เขานั่งตรงนั้น และเธอนั่งตรงนี้เสมอ
“...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากพี่ชาย มิหนำซ้ำเขายังหันหน้าหนี ไม่สนใจคนตัวเล็ก
“สอนข้อนี้พราวหน่อย...” เธอยังคงรบเร้าเสียงหงุงหงิง จับแขนพี่ชายเขย่าเบาๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ “พี่วิน”
“ไปให้พี่เอื้องสอนไป” เขาสะบัดมือเธอออกอย่างแรง ทำให้แขนของเด็กหญิงถูกเหวี่ยงไปชนเข้ากับแก้วนมที่วางอยู่ ของเหลวสีขาวขุ่นจึงหกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเปียกสมุดรายงานที่เขาตั้งใจเขียนมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ
“เอ่อ...พราวขอโทษนะคะ”
กวินภัทรรีบหยิบทิชชูมาซับนมทันที พาพราวพยายามจะเข้ามาช่วย แต่เขาปัดมือเล็กออกอย่างไว ผลักร่างบางจนเซหงายไปด้านหลังอย่างแรง
“พี่วิน...”
“อย่ามายุ่ง เป็นเพราะเธอเลย ออกไป ตัวปัญหา! แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่ด้วย ฉันไม่ใช่พี่เธอ น่ารำคาญ!” เขาว่าเพราะกำลังโมโห แทบไม่ได้หันไปมองหน้าเด็กหญิงด้วยซ้ำ จึงไม่รู้ว่าเธอมองมาด้วยแววตาแบบไหน
เธอเข้าใจแล้ว...เธอรู้แล้วว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหนในบ้านหลังนี้ คนตัวเล็กจึงขยับยันตัวขึ้น รีบเก็บสมุดการบ้านและกระเป๋าดินสอของตนเอง แล้วเดินน้ำตานองหน้าออกไปอย่างเงียบๆ
เป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นและรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของพาพราว เธอตั้งใจว่าจะปรึกษากับครองขวัญและกมนทัตอย่างจริงจังเรื่องที่เด็กหญิงไปได้ยินเข้าวันนั้น แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก ในวันที่พาพราวขอให้เธอไปรับหลังเลิกเรียนเพื่อจะให้พาไปซื้อสมุดวาดภาพระบายสีมาคืนรินรดา เอื้องใจกลับมีอันเป็นไปเสียก่อนจากอุบัติเหตุรถชน เพียงเพราะคู่กรณีฝ่าฝืนสัญญาณจราจรด้วยความประมาท เด็กหญิงซึ่งยืนรอพี่เลี้ยงอยู่อีกฝั่งหน้าประตูโรงเรียนช็อกงันไปในทันที ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอ ภาพพี่เลี้ยงนอนจมกองเลือดยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึกของเธอไม่จางหาย นั่นร้ายพอๆ กับความรู้สึกผิดที่กัดกินใจเรื่อยมา
ที่พึ่งสุดท้ายจากเธอไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พาพราวที่น่ารักช่างพูดช่างคุยคนเดิมหายไป เหลือเพียงเด็กหญิงขี้กลัว แววตาเธอหวาดระแวงตลอดเวลา ความรู้สึกโดดเดี่ยวถูกกดให้ลึกลงไปในใจ กลายเป็นเหมือนขมวดปมก้อนใหญ่พันกันยุ่งเหยิง ถ่วงรั้งตัวตนของเธอไว้ เธอเริ่มเก็บตัว ไม่พูดไม่จากับใคร และพร้อมจะทำตามใจทุกคน หากพ่อแม่สั่งอะไร เธอจะทำทันทีโดยไม่อิดออด ไม่มีการออดอ้อนต่อรองเหมือนก่อน ทั้งครองขวัญและกมนทัตต่างแปลกใจ แต่ทั้งคู่กลับตีความเป็นว่าเธออาจจะสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเสียพี่เลี้ยงไปกะทันหัน บวกกับคงกลัวที่ถูกกมนทัตดุและตีครั้งแรก หลังจากวันนั้น เด็กหญิงจึงแสดงออกว่าเกรงกลัวคนเป็นพ่อแค่ไหน และอาจเพราะพวกเขาไม่ได้มีเวลาใส่ใจเธอมากนัก ยังคงต้องวุ่นอยู่กับการดูแลกวีลดา จึงละเลยบางอย่างไป
กวินภัทรพยายามเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้กับพาพราวทุกครั้ง ยกเว้นต่อหน้าพ่อแม่ซึ่งเขายังทำตัวเป็นปกติกับเธอเหมือนเดิม แต่ลับหลังกลับเย็นชา พูดจาไม่ค่อยดี ตั้งหน้าตั้งตาคอยจับผิด ระแวดระแวงกันตลอดเวลา มีหลายครั้งที่เขาเห็นเธอทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบเข้าไปในห้องทำงานพ่อ บางครั้งก็นั่งจ้องกวีลดาคราวละนานๆ ทำท่าครุ่นคิด มีวูบหนึ่งที่เขาเห็นว่าสายตาเธอดูก้าวร้าวขึ้นสีขณะจ้องมอง หรือจะเป็นตอนที่เขาเห็นเธอถือหมอนใบเล็กค้างนิ่งอยู่ข้างที่นอนน้อง ถ้าเขาไม่ได้อคติไปเองก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอตั้งใจจะทำร้ายน้อง
และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาอธิบายไม่ได้ นั่นยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าน้องสาวที่น่ารักของเขาหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก
ความคิดเห็น |
---|