10

บทที่ 10...คิสมาก


10

คิสมาก

แฟ้มเอกสารหนาวางซ้อนเป็นตั้งบนโต๊ะทำงานตัวเล็ก มือบางกำลังเร่งพิมพ์เอกสารสำคัญ ทันใดนั้นเสียงเข้มจัดของใครบางคนก็ดังขึ้นค้ำหัวเธอ

“นี่เธอ ใบเสนอราคาที่สั่งให้ทำน่ะเสร็จรึยัง”

“เอ่อ...กำลังทำค่ะ”

“เร็วนะยะ ต้องส่งลูกค้าก่อนบ่ายสาม”

“ค่ะ ใกล้จะเสร็จแล้ว” เธอตอบ ‘สินีนาถ’ เพื่อนร่วมงานสาวไปอย่างกริ่งเกรง

รินรดาเริ่มทำงานที่บริษัทของกวินภัทรได้เกือบสัปดาห์แล้ว เธออุตส่าห์หวังว่าจะได้ทำงานใกล้ชิดกับเขา แต่ผิดคาดเมื่อชายหนุ่มกลับส่งเธอมาอยู่แผนกจัดซื้อแทน ซึ่งต้องวุ่นวายกับงานเอกสารที่เธอไม่ถนัด เพื่อนร่วมงานก็ไม่ค่อยต้อนรับ ด้วยรู้ว่าหญิงสาวเข้ามาได้จากการใช้เส้นสาย ความรู้ด้านระบบงานเธอก็ไม่ค่อยมี สินีนาถต้องคอยสอนคอยบอกทุกอย่างทั้งที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น

“นี่! เธอแกล้งฉันใช่ไหม” สินีนาถเดินตรงเข้ามาต่อว่ารินรดาถึงโต๊ะทำงาน หลังจากเธอโดนหัวหน้าเรียกไปพบ เนื่องจากมีลูกค้าโทร. มาโวยวายเรื่องเอกสารผิดพลาด

“เปล่านะคะ” คนโดนกล่าวหาก้มหน้าตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เปล่าเหรอ แล้วนี่อะไร! ฉันโดนหัวหน้าด่าก็เพราะเธอทำงานไม่รอบคอบ” คนอารมณ์เสียตอกแฟ้มเอกสารอย่างแรงลงบนโต๊ะตรงหน้ารินรดา

“รินขอโทษค่ะ”

“คิดว่ามีคุณวินถือหางแล้วจะทำงานยังไงก็ได้งั้นเหรอ”

“ไม่ใช่นะคะ” คนโดนดุทำหน้าคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ น้ำตาคลอเบ้าจวนเจียนจะไหล

“อะไรกันนาถ” ‘คมสัน’ แฟนหนุ่มของสินีนาถซึ่งทำงานอยู่อีกแผนกเดินเข้ามาหาแฟนสาว

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ไปกันเถอะคม เลิกงานแล้ว” สินีนาถตอบปัด ไม่อยากสืบความยาวสาวความยืดไปมากกว่านี้ เห็นหน้าแม่นี่ทีไรแล้วพานอารมณ์เสีย

ชายหนุ่มจึงเดินโอบแฟนสาวออกไป มีจังหวะหนึ่งที่เขาหันกลับมามองหญิงสาวอีกคน เห็นเธอนั่งร้องไห้น้ำตานองมองมาทางเขาอย่างน่าสงสาร อดวูบไหวไปกับใบหน้าเศร้าสร้อยนั่นไม่ได้

คนร้องไห้นั่งปรับอารมณ์อยู่สักพัก รอกระทั่งใกล้เวลาที่ใครอีกคนจะกลับเช่นกัน เธอจึงรีบเก็บของและเดินออกไปดักรอเขาคนนั้น

“ริน กลับด้วยกันไหม” กวินภัทรถามรินรดาขณะกำลังเดินออกจากออฟฟิศไปยังลานจอดรถหน้าบริษัทแล้วเห็นหญิงสาวกำลังจะกลับบ้านเช่นกัน

“จะดีเหรอคะ รินกลัวคนอื่นจะมองไม่ดี” เธอมองไปโดยรอบอย่างลังเล เกรงว่าอาจจะมีคนเข้าใจผิดเอาได้

“กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”

“ขอบคุณค่ะ” รินรดาเดินตามชายหนุ่มไปอย่างสงบเสงี่ยมเก็บอาการ ทั้งที่ภายในกำลังดีใจหนักหนา

“ทำงานเป็นยังไงบ้าง” เขาชวนคุยเมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว

“เอ่อ...ก็ดีค่ะ” หญิงสาวอ้ำอึ้งตอบคล้ายกำลังฝืนเก็บเรื่องทุกข์ใจบางอย่าง

“มีปัญหาอะไรก็บอกได้นะ” กวินภัทรเห็นท่าทางเธออึกอักเช่นนั้นก็คาดว่าคงมีปัญหา แต่ไม่กล้าพูดมันออกมา

รินรดาก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขา แม้ไม่ได้อยู่ในฐานะที่ใกล้ชิดสนิทด้วย ทว่าก็เอ็นดูอยู่ห่างๆ อาจเพราะเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตหญิงสาวค่อนข้างน่าสงสาร หลังจากเอื้องใจ มารดาของเธอเสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุครั้งนั้น รินรดาก็ใช้ชีวิตเพียงลำพังโดยมีครอบครัวเขารับอุปการะมาโดยตลอด

 

ตกดึกคืนนั้นกวินภัทรย่องเบาเข้าหาคนที่หนีเขากลับก่อน มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าทางสะดวก มือหนาจึงค่อยๆ ไขกุญแจเข้าไป ป่านนี้เธอคงหลับไปแล้ว ทว่าพาพราวยังคงนั่งทำงานอยู่ที่พื้นพรมหนานุ่ม มีเอกสารและหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาวางระเกะระกะบนโต๊ะตัวเล็ก

“คุณวิน!” เขาเข้ามากอดแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำเอาคนที่กำลังจดจ่อสมาธิอยู่กับหนังสือตกใจสะดุ้งสุดตัว “อื้อ...อย่านะคะ พราวต้องทำงาน” สมาธิเธอแตกกระเจิงเมื่อโดนชายหนุ่มแกล้งไซ้ปลายจมูกที่ต้นคออย่างน่าหวาดเสียว สัมผัสจากเขาเทียบเท่าอาวุธร้ายแรงได้เสมอ...และเธอไม่คุ้นชินเสียที

“ขัดคำสั่งต้องโดนทำโทษ พี่บอกให้เรียกว่ายังไง”

“พะ...พอค่ะ” ดูท่าเขาจะไม่หยุด ยังคงแกล้งเย้าไม่เลิก คิดว่าเธอเขินไม่เป็นหรือยังไง อารมณ์สะเทิ้นอายจากเรื่องคืนก่อนยังคงไม่จางหาย ชายหนุ่มก็หาแต่โอกาสจะลวนลามกัน

พาพราวพยายามเบี่ยงกายหนี เขาจึงแกล้งเม้มผิวนุ่มของเธอแรงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดเธอไว้และวางคางเกยไหล่บาง มองดูเธอทำงานตรงหน้าอย่างสนใจ “ทำอะไรเหรอ ดึกแล้ว ไปนอนกันเถอะ”

แค่คำว่า ‘ไปนอนกัน’ ก็ทำเธอหน้าเห่อร้อน ชายหนุ่มพูดราวกับเธอและเขานอนด้วยกันเป็นเรื่องปกติ ทว่าเธอไม่คุ้นชิน “นอนก่อนเลยค่ะ พราวต้องแก้งานส่งอาจารย์พรุ่งนี้”

“ไหนดูซิ โห! คอมเมนต์เยอะจัง ตัวแดงเต็มไปหมด”

“เอามานะคะ...ก็พราวไม่ได้เก่งเหมือนพี่วินนี่นา” เธอไม่อยากให้เขาเห็น ไม่อยากให้เขามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้รับรู้ ไม่อยากโดนดุว่าโง่เหมือนตอนเด็กๆ ครั้งที่เขาสอนการบ้านแล้วเธอไม่เข้าใจเสียที

“แค่นี้ก็ต้องดรามา” กวินภัทรยิ้มเย้าให้คนที่ดูเหมือนจะงอนกัน “ให้พี่ช่วยเอาไหม”

“ไม่เอา”

“ขืนพราวนั่งแก้แบบนี้ เช้าก็ไม่เสร็จหรอก”

“รู้เหรอคะว่าพราวทำอะไร”

“ดูถูก พี่จบโทนอกนะครับ แค่นี้จิ๊บๆ”

“พราวต้องแก้เนื้อหาบทนี้ใหม่หมดเลย อาจารย์ให้เท็กซ์มาแปลเพิ่มด้วย”

“แค่นี้เอง งานถนัดพี่เลย” คนอวดภูมิกางนิ้วมือทั้งสิบแล้วทำท่าเตรียมลุยงานหนักทั้งที่ยังนั่งกักเธอไว้

“ขยับไปนั่งดีๆ ก่อนสิคะ แบบนี้มันไม่ถนัด” เมื่อเห็นเขาไม่ขยับ เธอจึงกระเถิบตัวออกไปนั่งเคียงกัน เปิดทางให้เขานั่งทำงานได้ถนัดถนี่ พลางลอบมองคนตัวโตเป็นระยะ เธอชอบเวลาที่ชายหนุ่มตั้งใจหรือจดจ่อกับการทำอะไรบางอย่าง รู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กประถมในวันที่มีพี่ชายคอยช่วยสอนการบ้านให้อีกครั้ง นานแค่ไหนแล้วที่เธอต้องใช้ความพยายามในการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครคอยมานั่งตอบคำถามเวลาเธอไม่เข้าใจบทเรียน

...

ไม่เกินสองชั่วโมงงานที่พาพราวคาดว่าคงต้องใช้เวลาทำทั้งคืนก็เสร็จเรียบร้อย เขาเก่งจนเธออดอิจฉาไม่ได้ ชายหนุ่มทำทุกอย่างราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย ผิดกับเธอที่ยุ่งยากใจและกังวลไปต่างๆ นานา

“ทำดีต้องได้รางวัล” คนเก่งโน้มหน้าเข้ามาใกล้ พลางเอียงแก้มให้เธอเพื่อรอคอยรางวัล

“พะ...พราวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” คนรู้ตัวว่าจะโดนปล้นเอารางวัลรีบกลบเกลื่อน

หญิงสาวในชุดนักศึกษารีบผลุบหายเข้าไปในส่วนแต่งตัว ทำบางสิ่งบางอย่างเสียงดังกุกกักอยู่หลังผ้าม่าน แล้วจึงเข้าห้องน้ำล็อกประตูอย่างแน่นหนากันคนบางคนที่ไม่น่าไว้ใจ เธอใช้เวลาอาบน้ำประมาณสิบห้านาที แล้วจึงออกมาในชุดนอนมิดชิดเรียบร้อย

เขาอุตส่าห์หวังว่าจะได้เห็นเธอนุ่งผ้าขนหนูเซ็กซี่ๆ ซะหน่อย เสียดาย...

“ทะ...ทำอะไรคะ” คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จรีบปรี่เข้ามาห้ามปรามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มรื้อค้นตู้เสื้อผ้าของตน แถมส่วนที่เขากำลังเปิดดูนั้นก็เป็นช่องสำหรับเก็บชุดชั้นใน บราสีขาวของเธออยู่ในมือหนา หน้าหวานแดงจัดจนอยากจะมุดตู้เสื้อผ้าหนีอาย

“คัปซีเหรอ พี่นึกว่าพราว...จะคัปดีซะอีก” วาจาร้ายกาจไม่ต่างจากสายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมายังส่วนนั้นของเธอ

คนโดนจ้องรีบยกผ้าขนหนูปกปิดส่วนอันตราย เธอควรหนีกลับเข้าไปในห้องน้ำดีไหม

“มีแต่แบบเรียบๆ เนอะ” เขาว่าไปเรื่อยขณะกวาดสายตาสำรวจไปทั่ว ก่อนหันมามองกัน “แต่พอพราวใส่ก็...ไม่เรียบนะ”

หญิงสาวทนฟังไม่ไหวและทำอะไรไม่ถูก จึงหันหลังเตรียมจะกลับเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำใจสักครู่ ทว่าคนไวกว่าคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน จับข้อมือเล็กตรึงแนบไปกับตู้เสื้อผ้า โน้มหน้าชิดใกล้ “วันหลังพี่จะพาไปซื้อใหม่นะ เอาแบบ...” เสียงเขาทุ้มพร่าจนไม่น่าไว้ใจ “...แบบที่พี่ชอบ”

เธอก้มหน้านิ่ง แพ้ทางหากเขาจะใช้สัมผัสล่อลวงกันเช่นนี้ ความใกล้ชิดที่เพิ่งผ่านพ้นนั้นพร่าอะไรหลายอย่างไปจากเธอ อิทธิพลจากความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งทำให้บางอย่างถักทอก่อเกี่ยวกันจนยากเกินรับมือ

กวินภัทรเห็นเธอก้มหน้าไม่พูดจาจึงแกล้งไซ้หน้าผากนวลเล่น ไล่ต่ำลงมาตามหว่างคิ้ว สันจมูก กระทั่งชักนำให้เธอเงยหน้ามองกันได้ แววตาสั่นระริกและการพยายามหลบสายตาของเธอทำให้เขานึกอยากแกล้งเข้าไปอีก “แม่ยกหน้าที่ให้พี่แล้ว ต่อไปมาเอาเงินรายเดือนที่พี่นะ”

กวินภัทรขออนุญาตครองขวัญเข้าไปดูแลการเงินในส่วนของพาพราว อ้างว่าอยากช่วยแบ่งเบาหน้าที่การจัดการของท่านทีละส่วน อยากให้ท่านเหนื่อยน้อยลง คนเจ้าเล่ห์ชักแม่น้ำมาทั้งประเทศเพื่อให้ท่านคล้อยตาม

เธอรู้สึกราวกำลังโดนเขาครอบงำชีวิตไปเสียทุกอย่าง “พราวเรียนจบแล้ว จะหางานทำ ไม่เอาเงินแล้วค่ะ”

“งั้นมาทำงานกับพี่นะ พราวจบออกแบบนี่ พี่เล็งตำแหน่งไว้ให้แล้ว”

เธออยากปฏิเสธ แต่รู้ดีว่าหากพูดไม่ถูกใจเขาคงไม่พ้นโดนไล่ต้อนให้ตอบรับเอาจนได้เหมือนทุกครั้งเป็นแน่ “ขอคิดดูก่อนนะคะ”

“ได้สิ”

เธอยังไม่ทันได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เขาก็กดย้ำลงมายังเรียวปากอิ่ม มอมเมาเธอด้วยจุมพิตลึกซึ้ง สมองเธอจึงตื้อตันไปหมด กวินภัทรปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ แล้วโอบบั้นเอวบอบบางให้ขยับเข้าแนบชิด เธอกำลังสั่นไหวอย่างหนัก ปัดป่ายมือบางไปวางตรงไหนก็เจอแต่กายชายแสนร้อน ไม่คุ้นชินและไม่กล้าแตะต้อง

“อื้อ...” คนโดนปล้นจูบครางประท้วงในลำคอเมื่อรู้สึกว่าตนต้านไม่ไหว

คนเอาแต่ใจจึงยอมถอนจูบอย่างแสนเสียดาย มองเธอหอบถี่และกะพริบตาปริบๆ มองกันราวกับไม่เข้าใจสถานการณ์ “ก็ขอคิสไม่ใช่เหรอ คิส...นานๆ เลยก็ได้นะ พี่เป็นคนคิส...มาก”

มันคนละคิดกันไหมล่ะ! ดวงหน้าหวานแดงจัด ขัดเขินไปกับความหน้ามึนของเขา

กวินภัทรยิ้มอย่างพอใจ ยิ่งเห็นเธอนิ่งเงียบก็ยิ่งชอบ รู้ไต๋แล้วว่านิ่งแบบนี้แสดงว่ากำลังขวยเขินอย่างหนัก อยากจะแกล้งให้อายม้วนจนไปไม่เป็นเลยนักเชียว “ไปนอนกัน ดึกแล้ว”

พาพราวพยายามนอนชิดริมเตียงอีกฝั่ง ทว่าคนตัวโตกลับวาดวงแขนมากอดเธอให้ขยับเข้าหา ห่มผ้าผืนเดียวกันและปันหมอนหนุนร่วมกัน เตียงนอนที่เธอคุ้นเคย พอมีเขาทุกอย่างก็ดูตื่นเร้าไปเสียหมด ใจเธอเต้นตึกตักอยู่อย่างนั้น

“ใจเต้นแรงจัง” คนข้างกายรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่แนบชิด จึงลูบหลังให้เธอผ่อนคลายในอ้อมกอดเขา

“ขอบคุณที่ช่วยแก้งานให้นะคะ” หญิงสาวกระซิบเมื่อนึกขึ้นได้และอยากทำลายความเงียบระหว่างกัน

กวินภัทรตอบรับคำขอบคุณของเธอด้วยการกระชับอ้อมแขนให้แน่นเข้า อมยิ้มทั้งที่ยังหลับตา ยิ่งยามเธอกดหน้าเข้าหาอกเขาก็ยิ่งสุขซ่าน

มีเพียงความเงียบสงัดยามค่ำคืน เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขา...และจังหวะหัวใจรัวเร็วของตัวเอง พาพราวขยับห่างเพียงนิด มองใบหน้าชายหนุ่มยามหลับใหล เพ่งมองผ่านความมืดอยู่อย่างนั้นนานสองนานราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์

“พี่ชาย” เธอพึมพำเสียงแผ่วเบาราวกับต้องการเก็บคำพูดนี้ไว้ฟังคนเดียว มือบางเอื้อมไปวางยังตำแหน่งเดียวกับหัวใจเขา วางแนบเพื่อรับสัมผัสจากจังหวะการเต้นของสิ่งที่อยู่ภายใน ราวกับว่ามันจะทำให้เธอล่วงรู้ความลับในใจเขาได้อย่างนั้น “พราวคิดถึงพี่วินนะคะ”

คนที่ทำทีว่านอนหลับนั้นไม่ได้หลับจริงๆ ต่อให้เสียงเธอเบากว่านี้เขาก็ได้ยิน ต่อให้สัมผัสเธอแผ่วกว่านี้เขาก็รู้สึก “ไม่ใช่พี่ชาย!” เสียงนิ่งเย็นหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนที่ยังไม่ลืมตา

พาพราวรีบชักมือกลับทันที ตกใจเพราะท่าทีเย็นชาของเขา ใจหายวูบตอนได้ฟังถ้อยคำธรรมดาที่เขาใช้ตอกย้ำกันมาเป็นสิบปี ทว่าเวลานี้เธอเจ็บกับมันมากกว่าครั้งไหนๆ น้ำตาจึงรื้นขึ้นอย่างไม่อาจฝืน

กวินภัทรถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นมองหญิงสาวด้วยแววเว้าวอน “ทำไมล่ะพราว ไม่เป็นพี่ชายได้ไหม” เขาถามก่อนเอื้อมมาจับมือเธอไว้และขยับเข้าใกล้ “ไม่เป็นแล้วได้ไหม” กระซิบเสียงนุ่มนวลราวกับเป็นคนละคน

เธอจ้องตอบเขาไม่วางตา ค้นหาความนัยที่ซ่อนไว้ หวั่นไหวกับความรู้สึกลึกซึ้ง คาดหวังและเผลอคิดไปไกลจนมองข้ามความจริงระหว่างกัน

“ได้ไหม” แม้เขาจะมั่นใจและทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตน ทว่าความรักนั้นต้องประกอบจากสองฝ่าย ใช่ว่าจะรั้นเอาแต่ใจอยู่ฝ่ายเดียวได้ร่ำไป เช่นนั้นอาจไม่เรียกว่ารัก “ได้ไหมพราว” ในเมื่อเราไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ไม่ใช่ตั้งแต่แรก เขาอยากเป็นมากกว่านั้น มากจนเธออาจจะรับมันไม่ไหว กวินภัทรกระชับอ้อมกอดจากที่แนบชิดอยู่แล้วให้แนบแน่นเข้าไปอีก

พาพราวหลับตาลง ใจสั่นร้าวไปทั้งอก ไม่ว่ามองจากมุมไหนเธอก็ไม่เห็นความเป็นไปได้ ท่าทีที่เขาแสดงยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าเขาวางเธอไว้ในตำแหน่งไหน ความสัมพันธ์ทางกายหรือ มันก็แค่ชั่วคราว ยิ่งเขาเข้าหา นั่นก็หมายความว่ายิ่งกำลังผลักให้เธอห่างออกไป หากไม่รัก หากต้องการแค่ร่างกาย หรือหากเบื่อหน่ายกันแล้ว...

...แล้วเธอจะอยู่ที่นี่ต่อในฐานะอะไร จะทนมองหน้าใครต่อใครได้อย่างไร

 

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของกวีลดา หลังจากตัดเค้กและรับคำอวยพรจากกัลยาและบุลลาที่เรือนริมน้ำเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวบุริมนาถจึงพากันออกไปรับประทานอาหารมื้อพิเศษต่อในช่วงเย็น โดยกมนทัตจองโต๊ะในห้องอาหารนานาชาติของโรงแรมหรูขึ้นชื่อ ซึ่งเขามีนัดคุยงานกับลูกค้าที่นั่นพอดีจึงล่วงหน้าไปก่อน

แม้เจ้าของวันเกิดจะดิ้นพราดอยากรับประทานอาหารเกาหลีปิ้งย่างในห้างธรรมดาซึ่งถูกกว่าหลายสิบเท่า แต่เจ้าภาพก็มิได้นำพา แม่บอกว่าวันเกิดเธอเป็นวันที่ท่านเจ็บมาก ลูกต้องตามใจท่านจึงจะถูก คนเด็กสุดของบ้านจึงต้องจำยอม แม้ร่างกายเธอจะโหยหาสาหร่ายและกิมจิมากแค่ไหนก็ตามที  

“ไปนั่งหน้านู่นเลยยัยหัวฟู อย่ามาเบียดพี่” กวินภัทรไล่น้องสาวคนเล็กไปนั่งเบาะหน้าข้างครองขวัญ เนื่องจากที่ว่างข้างเขามีคนจองแล้ว

“อะไร! นี่ที่วิปนั่งประจำนะ” เด็กหญิงโวยวายใหญ่โต ไม่หนักหนา ทว่าก็ไม่อยากทำตามคำสั่งพี่ชายง่ายๆ เธอแค่อยากดื้อใส่ก็เท่านั้น

“เอะอะอะไรกันสองคนนี้ วิปมานั่งกับแม่มา คุณพ่อเราเขาไปรอที่ร้านแล้ว” ครองขวัญตบเบาะว่างข้างตัวเรียกลูกสาว “มาเร็ว...แต่งตัวสวยแล้วอย่าทำหน้าบูดสิ ไม่น่ารักเลยเรา”

“แม่อ้ะ” คนตัวเล็กกระเง้ากระงอด ค้อนใส่พี่ชาย ก่อนจะโผเข้าซบอกแม่แรงๆ ค่าที่ว่าเธอไม่น่ารัก และหันไปบอกคนขับรถให้เปิดเพลงเกาหลีที่เธอชอบดังๆ “ดังอีกลุง แม่คะ ฟังเสียงลูกเขยเร็ว”

“ยัยวิป!”  

พาพราวก้าวขึ้นรถมาตามหลัง หญิงสาวมัวแต่ขึ้นไปหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ให้น้องคนเล็ก อีกทั้งยังโดนแม่สั่งให้ไปเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นชุดที่ท่านเพิ่งซื้อให้เมื่อสัปดาห์ก่อน ชุดเดรสสีหวานจึงประดับอยู่บนเรือนร่างอรชร งามพริ้งจนคนเป็นแม่ยิ้มแก้มปริ พึงใจที่เลือกสรรมาให้ได้อย่างลงตัว

หญิงสาวขัดเขินเล็กน้อยจึงจะรีบรุดไปนั่งยังเบาะหลังสุดซึ่งเป็นที่ประจำของตน ทว่ากลับโดนมือหนาของใครบางคนรั้งไว้เสียก่อน กวินภัทรช้อนตามองเธออย่างเว้าวอนพลางกระซิบเสียงเบา “นั่งกับพี่นะ” เขาจำได้ว่าตัวเองเคยกันท่าไม่ให้เธอนั่งใกล้ในครานั้น

พาพราวลังเล มองเบาะราวกำลังชั่งใจ เธอแค่ไม่อยากให้ใครสงสัยก็เท่านั้น ไม่ได้คิดแค้นใจอะไรเสียหน่อย เมื่อขัดเขาไม่ได้จึงยอมนั่งลงแต่โดยดี พยายามนั่งนิ่งคล้ายไม่สนใจสายตาชายหนุ่มที่จ้องกันไม่วางตา

กวินภัทรนึกว่าเธอโกรธย้อนหลังจึงขยับเข้าใกล้จนชิดวงหน้าหวาน เอ่ยขอโทษเสียงนุ่ม “พี่ขอโทษนะ” กล่าวพลางจับมือเรียวมากุมไว้เบาๆ

คนที่นั่งปั้นหน้านิ่งต้องย่นคอหนี เสียจริตทันทีที่โดนเขาเย้าเช่นนั้น จึงหันไปหมายจะปราม แต่พ่อตัวดีมีหรือจะพลาด ค้างริมฝีปากรอเธอพอดิบพอดี จูบเพียงเสี้ยววินาทีจึงเกิดขึ้น

นัยน์ตาหวานกะพริบถี่ ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีและก้มหน้านิ่ง ยิ่งทำให้คนมองนึกชอบใจ เธออายจนหูแดงระเรื่อ จนเขาอยากจะแกล้งให้แดงไปทั้งเนื้อทั้งตัว

“พราวจูบพี่” ชายหนุ่มยังคงกระเซ้าไม่เลิก

พาพราวหันมองเขาด้วยแววตาวาววับ

กวินภัทรโปรยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้าย ก่อนขยับเข้าใกล้และโฉบเรียวปากเข้าหาอย่างไวอีกครา “แต่อันนี้พี่จูบพราว”

คิ้วได้รูปขมวดมุ่นเล็กน้อย เธอเม้มริมฝีปากเข้าและรีบก้มหน้า ยกหลังมือเช็ดกลีบปากคล้ายอยากลบรอยสัมผัสร้ายกาจนั่น มือบางจึงโดนดึงไปหอมซ้ำจากคนข้างกาย

จะเอาให้เธอตายตรงนี้เลยใช่ไหม ทำไมเขาไม่เว้นพื้นที่ให้เธอได้ตั้งตัวบ้าง ทั้งต้องพะวงว่าแม่กับน้องจะหันมามองกันไหม ทั้งต้องระแวงว่าชายข้างกายจะทำอะไรบ้าง ทั้งยังใจตัวเองที่เต้นแรงจนเกินยับยั้ง พาพราวได้แต่ภาวนาให้ผ่านพ้นสถานการณ์อันตรายนี่ไปเสียที

ครั้นมาถึงร้านอาหารซึ่งกมนทัตนั่งรอพร้อมอยู่แล้ว ท่านเลือกมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว แสงนวลสลัวและดนตรีแจ๊สที่กำลังบรรเลงชวนให้พาพราวเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย...ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะสงครามแย่งที่ได้อุบัติขึ้นอีกครั้ง

“วิปจะนั่งกับพี่พราว” กวีลดาเกาะแขนพี่สาวไว้

“ไปนั่งนั่นเลย อย่ามาแย่งที่คนอื่น” กวินภัทรนั่งลอยหน้าลอยตา ไม่สนใจคนโวยวาย เขาอุตส่าห์รอจังหวะเพื่อจะได้นั่งใกล้คนของเขา แต่ยัยข้าวเม่าเปียกนี่เกาะหนึบชะมัด น้องใครวะ!

พาพราวไม่อยากมีปัญหา จึงลุกขึ้นหมายจะย้ายไปนั่งอีกฝั่งแทน แต่ชายหนุ่มจับแขนเธอไว้ให้นั่งลงที่เดิม นี่เธอกลายเป็นของเล่นให้สองพี่น้องแย่งกันตั้งแต่เมื่อไร

“วิป! ไปนั่งกับแม่” กมนทัตละสายตาจากเมนูอาหารขึ้นมอง ครั้นเห็นลูกสาวคนเล็กยืนจังก้าจึงตัดปัญหาด้วยการปรามเสียงเข้มเล็กน้อย

ไอ้พี่บ้า! กลับมาทีหลังแล้วยังมาแย่งพี่พราวของเธอไปอีก คนตัวเล็กแอบก่นด่าในใจ จะแช่งให้เส้นพาสตาติดคอเลยคอยดู

ครั้นอาหารทยอยลงเสิร์ฟเต็มโต๊ะ ต่างคนต่างกำลังดื่มด่ำกับรสชาติกลมกล่อมเคล้าเสียงการแสดงสด ทว่าพาพราวต้องต่อสู้อย่างหนักภายใต้ผ้าปูโต๊ะสีขาวนั่น ขาแกร่งพยายามเบียดเข้าหาเรียวขางามไม่ลดละ ทั้งยังเสียดสีอย่างมีชั้นเชิง สัมผัสร้อนร้ายที่ชายหนุ่มพยายามกลั่นแกล้งทำเธอปั่นป่วนสิ้นดี มือที่จับมีดไว้จึงสั่นระริกจนไม่อาจหั่นเนื้อในจานให้ขาดออกจากกันได้ ขณะชายข้างกายยังคงตีหน้านิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อุ๊บ! โทรศัพท์หล่น” คนขี้แกล้งปัดมันลงพื้นต่อหน้าต่อตาเธอ อาศัยจังหวะที่คนอื่นๆ หันไปสนใจการแสดงตรงหน้าแกล้งก้มลงหาของใต้โต๊ะ ก่อนมือหนาจะแตะต้องลงบนเรียวขาเนียน ลากไล้รั้งชายกระโปรงเธอขึ้นสูงจนน่าหวาดเสียว มือบางรีบปัดมือเขาออก พลางขยับตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะทำตัวปกติไม่ให้ผิดสังเกต เขากำลังทำให้เธอใกล้บ้า!

กระทั่งการแสดงจบลง เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ชม คนทั้งโต๊ะจึงหันกลับมารับประทานอาหารตรงหน้าต่อ

“พราวเป็นอะไรลูก เผ็ดเหรอ ทำไมหน้าแดง” ครองขวัญถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ท่าทางเธอดูกระสับกระส่ายชอบกล

“ปะ...เปล่าค่ะ” เขารามือไปแล้ว และแน่นอนตีหน้าเฉยจนเธอนึกหมั่นไส้ความสามารถที่มีมาตั้งแต่เด็กจนโตของเขา

“ใกล้จะจบแล้วใช่ไหมพราว” กมนทัตชวนคุย นานทีจึงจะมีโอกาสได้ถามไถ่ใกล้ชิด ท่าทางหวาดกลัวของลูกสาวทำเขาวางตัวไม่ถูกทุกครั้งไป

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับเสียงแผ่ว

“อยากเริ่มงานที่ไหนล่ะ เล็งไว้บ้างรึยัง”

“น้องจะทำที่บริษัทเราครับ ทีมออกแบบอยากได้คนเพิ่ม ใช่ไหมพราว” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เธอราวกำลังบงการ บีบมือบางใต้โต๊ะให้คล้อยตามเขา

แล้วเธอจะทำอะไรได้เล่า ก็เล่นมัดมือชกกันขนาดนี้!

“ก็ดีนะ ทำสักปีสองปีแล้วค่อยไปต่อโทนอก เดี๋ยวพ่อช่วยเลือกยูให้ วินว่าไง”

ไม่ให้ไป! คนตัวโตร้องค้านในใจ

“แม่ว่าพักสักเดือนดีกว่า รับปริญญาเสร็จค่อยเริ่มงานนะพราว”

หญิงสาวไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงพยักหน้าเออออไปกับทุกคน สาบานว่าเธอไม่มีสติพอจะประมวลข้อมูลอะไรทั้งนั้น แค่ต้องสู้สงครามใต้โต๊ะกับชายข้างกายก็เหนื่อยจะแย่

แล้วมื้ออาหารแสนทรมานของเธอก็ผ่านพ้นไป โล่งใจที่ตนไม่ได้แสดงพิรุธให้คนอื่นๆ จับได้ มือบางถือถุงใส่ของขวัญในมือแน่น ชั่งใจอยู่นานว่าจะมอบให้ตอนไหนดี เธอประดักประเดิดเล็กน้อย กระทั่งระหว่างรอคนขับรถวนมารับหน้าโรงแรม พาพราวจึงแอบยื่นให้น้องและเอ่ยเสียงเบา

“สุขสันต์วันเกิดนะคะ” เพราะเก้อกระดากหากต้องให้ต่อหน้าคนอื่นๆ จึงแอบให้ระหว่างที่ทุกคนไม่ได้หันมาสนใจ

คนตัวเล็กดีใจหน้าบาน รีบแกะห่อของขวัญทันใด พอรู้ว่าเป็นรูปวาดพอร์ตเทรตของตนเองที่พี่วาดให้จึงยกขึ้นอวดคนอื่นๆ ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะกระโดดกอดพาพราวไว้แน่น เขย่งหอมแก้มนวลของพี่เต็มฟอด เล่นเอาคนเป็นพี่ยืนตัวแข็งทื่อ หน้าแดงจัด “พี่พราวของวิปน่ารักที่สุด” เธอทำเสียงออดอ้อนพลางเอาแก้มป่องถูไถไหล่บาง

ทว่ามีบางคนกำลังงุ่นง่าน หวงหญิงสาว ทำไมต้องกอดต้องหอมขนาดนี้ด้วย ถึงจะเป็นน้องเขาก็เถอะ “เว่อร์!” กวินภัทรขบเขี้ยวในใจ หมั่นไส้อาการของน้องหนักหนา จริงๆ คือแอบอิจฉาต่างหากเล่า

“อะไร! พี่วินไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้ ไม่ต้องมาพูดเลย” เธอเคยยอมเขาเสียที่ไหน ทั้งยังหันมาแลบลิ้นใส่กัน

เห็นแล้วคันไม้คันมืออยากจะดีดสักทีสองที “เดี๋ยวซื้อให้หรอกน่า”

“เห็นไหม แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าใครใส่ใจน้องมากกว่ากัน ใช่ไหมพี่พราว” น้องคนเล็กยังคงโอบพี่สาวไว้อย่างออดอ้อน

น่าหมั่นไส้ชะมัด! คนขี้อิจฉาคิดในใจ

สรุปว่ากมนทัต ครองขวัญ และกวีลดากลับบ้านด้วยกันในรถคันใหญ่ที่นั่งมาตอนแรก ส่วนกวินภัทรอาสาขับรถหรูของพ่อกลับเอง ลูกชายคนโตอ้างว่าเป็นห่วง ไม่อยากให้ท่านขับรถตอนกลางคืน แถมยังใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพ่อแม่อ้างเหตุผลร้อยแปดขอให้พาพราวมานั่งเป็นเพื่อนระหว่างขับกลับอีกด้วย

“ทำไมไม่ไปทางนี้ล่ะคะ” เธอร้องทักชายหนุ่มเมื่อเห็นเขาขับเลยทางกลับบ้าน และขับอ้อมไปอีกเส้นทาง

“ไม่เอา ทางนั้นรถไม่ติด เดี๋ยวถึงบ้านเร็ว”

หญิงสาวหันมาจ้องหน้าคนพูดพลางขมวดคิ้วมุ่น เธอโดนเขาแกล้งมาตั้งแต่ช่วงเย็น ปล่อยให้กระวนกระวายใจเล่นจนแทบเป็นบ้า ความไม่พอใจจึงอัดแน่นคับอก ความอายก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น ทิ้งไว้เพียงความหน่ายกับความเล่ห์ร้ายของชายตรงหน้า

“โกรธเหรอ พี่แค่จะพาไปกินของหวานต่อ ตะกี้เห็นพราวกินไปนิดเดียวเอง” กวินภัทรจับมือบางขึ้นคลึงพะเน้าพนออย่างนุ่มนวล ครั้นเห็นเธอเงียบจึงถามต่อ “ไม่หิวเหรอ”

“ก็...ก็พี่วินแกล้งพราว” หญิงสาวบ่นอุบอิบขณะก้มหน้าและแอบเชิดริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย...น้อยมากหากไม่สังเกต ทว่าคนที่รู้จักกันดีอย่างกวินภัทรเห็นชัดทันที เธอกำลังงอน

“แบบนี้เหรอ” เขาวางมือลงบนกระโปรงสีหวาน ทว่ายังไม่ทันขยับ เจ้าของร่างก็เบี่ยงต้นขาหนี กระถดตัวออกจนชิดบานประตู

“จะ...จอดนะคะ” เสียงหวานสั่นไหวขณะเอ่ยบอก

ชายหนุ่มจึงชะลอจอดในที่ปลอดภัยทันที ท่าทางเธอดูแปลกไปจนเขาใจคอไม่ดี

 พาพราวเปิดประตูแล้วก้าวลงไปทันที กวินภัทรกำลังจะตามลงไป แต่พอเห็นว่าเธอเพียงต้องการเปลี่ยนไปนั่งเบาะหลังแทนเท่านั้นจึงหยุด แหม อยากเป็นคุณหนูก็ไม่บอก

“อยากให้พี่เป็นคนขับรถเหรอครับ” เขาเย้าทีเล่นทีจริง ส่งสายตาวาววับผ่านกระจกมองหลัง

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับจากคุณหนูที่ท่านเรียก

 

พาพราวนั่งกอดอก หันมองไปด้านข้าง ไม่สนใจสายตาชายที่ลอบมองกันมาเป็นระยะ เธอโกรธเขาจริงๆ นะ โกรธจนอยากร้องไห้ โกรธจนอธิบายไม่ได้ ทั้งยังโกรธตัวเองที่ไม่กล้าว่าเขาออกไปบ้าง ปากหนักจนน่าอึดอัด

ครั้นเห็นเธอผล็อยหลับไป สารถีอย่างเขาจึงขับรถให้นุ่มนวลที่สุดเพื่อจะได้ไม่รบกวนการนอนของคุณหนูคนสวย ยามเบรกก็ต้องลอบมองว่ากระเทือนถึงเธอไหม พอเห็นเธอยังคงนอนนิ่งก็โล่งใจ แอบหัวเราะตนเองเบาๆ ไม่นึกว่าจะเป็นเอามากขนาดนี้

และทันทีที่รถจอดนิ่งในลานจอดรถของร้านขนมหวาน กวินภัทรย้ายตนเองมานั่งยังเบาะหลังทันที ปรับแอร์และเปิดเพลงคลอเบาๆ ราวจะกล่อมเธอให้หลับสบาย ดึงกายสาวมาพิงซบกันไว้ สุขใจจนไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ จับมือเธอขึ้นมองอย่างทะนุถนอม วางนาบวัดขนาดฝ่ามือกันคล้ายที่ชอบทำตอนเด็กๆ รู้สึกพิเศษเมื่อนึกย้อนกลับไปในวันวาน

ภายในรถมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากหลอดไฟประดับต้นไม้ของร้านสาดส่องเข้ามา ทว่าเขาเห็นเธอชัดเจน ยิ่งในยามหลับเธอยิ่งน่าเอ็นดู น่ารักไม่ต่างจากตอนเป็นเด็ก ทำให้หวนนึกไปถึงครั้งที่ชอบแกล้งเธอเล่น เขายกนิ้วเกลี่ยไล้ปลายจมูกของคนขี้เซาเย้าให้เธอตื่น สูดหายใจเอากลิ่นหอมจางๆ ของเธอไว้จนชุ่มปอด ไม่รู้ว่าเธอใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร ทำไมมันจึงเย้ายวนใจเขาได้ถึงเพียงนี้

คนกำลังหลับสบายพอโดนขัดจังหวะเข้าก็เริ่มครางในลำคอ เปลือกตาเริ่มกะพริบ ก่อนจะลืมขึ้นมองอย่างงุนงงเมื่อตั้งสติได้และเห็นว่าตนนั่งอยู่บนตักของใคร “คุณวิน!”

“คุณวินอีกแล้ว” สงสัยอยากโดนคุณวินจูบ ได้! เดี๋ยวคุณวินจัดให้

กวินภัทรเหวี่ยงคนในอ้อมกอดให้นอนเอนไปกับเบาะรถก่อนตามลงไปทาบทับ ตรึงแขนเล็กไว้ไม่ให้ดิ้นหนี แนบเรียวปากเข้าหา ตีตราลงบนริมฝีปากสีฉ่ำวาวที่มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าหวานล้ำเพียงไหน เคลื่อนไหวอยู่บนความนุ่มละมุน ขยับหยอกเย้าเป็นจังหวะเบาๆ จนปลายจมูกแอบอิงกัน ครั้นพอใจจึงถอนเรียวปากออก

“ลิปสติกหายหมดเลย” เขาไล้ปลายนิ้วไปบนกลีบปากที่สั่นระริกของเธอแผ่วเบา

หญิงสาวเผยอปากอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าเม้มเข้า ยิ่งเห็นว่าเรียวปากเขาวาววับขึ้นจากจูบเมื่อครู่ก็ยิ่งสั่นไหว

กวินภัทรเห็นเธอจ้องกันก็ยิ่งได้ใจ ก้มลงเรียกร้องเอาจากเธออีกครา ล่าสัมผัสซ่านหวิวที่เขาคลั่งไคล้และไม่เคยพอ อยากครอบครองและเป็นเจ้าของเธอทั้งหมด

จูบของเขาเร่าร้อนจนเธอกลัว...กลัวใจตัวเองจะหลงเตลิดเพริดไปกับเขา

“พราว...ในรถได้ไหม” กวินภัทรกระซิบชิดริมฝีปากบางฉ่ำ ส่งเสียงกระเส่าเว้าวอนเปิดเปลือยสิ่งที่ต้องการ

“ไม่...ไม่เอานะ” เธอส่ายหน้าหวือทันทีโดยไม่ต้องคิด ไม่รู้หรอกว่าเขาขออะไร...ขั้นไหน แต่มากกว่านี้คงไม่ได้แล้ว หญิงสาวห่อไหล่เข้าเมื่อเขาทำเธอระแวง

“พี่ล้อเล่น” กวินภัทรข่มอารมณ์ไว้ ดึงเธอให้ลุกขึ้นนั่ง จัดชุดสีหวานให้เรียบร้อย ดึงสายชุดเส้นเล็กที่ไหล่มนให้เข้าที่ “หายงอนยังครับคุณหนู”

“คะ?” เธอคิดตามไม่ทัน เธองอนเขาเหรอ

“แสดงว่าหายแล้ว งั้นไปกินขนมกัน พี่เลี้ยง”

พาพราวตามเขาไม่ทันหรอก เธอปล่อยให้ชายหนุ่มจูงมือเข้าไปในคาเฟ่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ภายในมีไฟสีนวลนุ่มพอให้มองเห็นบรรยากาศที่ประปรายไปด้วยคู่รัก

หญิงสาวอดประหม่าไม่ได้ จึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อตั้งสติชั่วครู่ ส่วนกวินภัทรเลือกที่นั่งริมกระจกบานใหญ่ สั่งโกโก้ร้อนไว้รอคนตัวเล็กและเค้กน่ากินอีกเล็กน้อย

พาพราวเดินกลับเข้ามาในร้าน แทบไม่ต้องใช้ความพยายามในการมองหา เธอก็เห็นเขาทันที กวินภัทรนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งลึกเข้าไป ใจเธอเต้นแรงตอนที่เขาส่งยิ้มมาให้ ครั้นพอก้าวมานั่งลงตรงข้ามกันก็ยิ่งหวิวไหว เขามองเธอไม่วางตา

ระหว่างทั้งคู่มีเพียงโต๊ะไม้สีอ่อนคั่นกลาง โคมไฟสีนวลห้อยลงมาจากเพดานให้รัศมีการส่องสว่างแคบเพียงมองเห็นคู่สนทนาของตน ภายใต้แสงนุ่มขับให้บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ดูพิเศษกว่าที่เป็น

“ไปเติมลิปสติกมาเหรอ” เขาแกล้งเย้าขณะส่งเครื่องดื่มอุ่นมาให้กัน

เธอแอบไปเติมอย่างเขาว่าจริงๆ นั่นละ รู้สึกว่าช่วงนี้ตนเองจะใส่ใจกับรูปลักษณ์มากเป็นพิเศษ มือบางกุมแก้วโกโก้ในมือ พลางขยับถูไถเมื่อไม่รู้จะวางสีหน้าอย่างไร

“วันนี้พราวสวยมาก รู้ตัวไหม”

เธอไม่รู้ว่าความเขินมีระดับไหม ทว่าตอนนี้เธอคงไปได้ถึงระดับสูงสุดแล้ว เขินจนต้องยกแก้วโกโก้หอมกรุ่นขึ้นจิบ ซ่อนใบหน้าเห่อร้อนไว้หลังแก้วเซรามิกสีขาวนั่น

“สวยไปหมด...ทั้งเนื้อ...ทั้งตัว”

ครั้นได้ยินประโยคหลังและสายตาสื่อความนัยนั่นก็แทบสำลัก เธออยากร้องไห้!

“ทานสิครับ อันนี้ของโปรดพราวนี่นา พี่จำได้” มือหนาตักเค้กชิ้นเล็กยื่นมาให้

“พราวทานเองค่ะ” เธอพยายามแย่งช้อนในมือเขา ทว่าเขายอมเสียที่ไหน พาพราวจึงต้องอ้าปากรับขนมหวานจากเขาอย่างเสียมิได้ “พี่วิน!” กวินภัทรเอาช้อนเปล่าหลังจากป้อนเธอไปเข้าปากตัวเองต่อเสียอย่างนั้น คนบ้า! น่าเกลียด!  

“หวานเนอะ” เขาว่าพลางส่งยิ้มตาหยีมาให้

และเพียงเสี้ยววินาทียิ้มสดใสนั่นก็จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลา แววตาเปลี่ยนเป็นนิ่งเย็นและหม่นแสงลงเมื่อเห็นใครบางคนอยู่ในสายตา...ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังพาพราว

“วิน...” เธอคนนั้นพูดเสียงแผ่วเบาราวกระซิบกับตัวเอง ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอชายหนุ่มอีกครั้ง

กวินภัทรยังคงเงียบงัน เอาแต่จ้องผู้มาใหม่ไม่วางตา

พาพราวค่อยๆ หันหลังไปมอง เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง สวย...สวยขึ้นมากจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน

เกิดความเงียบงันอยู่ชั่วอึดใจ ไม่มีใครพูดคำใดออกมาสักคน สองตาต่างจ้องมองกันอย่างค้นคว้า ส่วนคนอยู่ตรงกลางอย่างพาพราวได้แต่มองทั้งคู่ไปมา

“เอ่อ...พราว พราวขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” เธอตัดสินใจถอยออกไปเอง คิดว่าทั้งสองคงอยากคุยกันเป็นการส่วนตัว

“ไม่ต้อง พราวอยู่นี่แหละ” กวินภัทรลุกขึ้นเดินเข้าไปหาผู้มาใหม่และพาออกไปคุยกันนอกร้าน

พาพราวรู้สึกวูบโหวงในอก เธอขยับเข้าใกล้ความรู้สึกที่เกือบจะเรียกได้ว่าหึงหวง แต่ไม่...เธอไม่ยอมรับ ทั้งยังพยายามปัดมันออกไปให้พ้นใจ พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่มองตามทั้งคู่ไป โกโก้รสละมุนลิ้นเมื่อครู่บัดนี้มีเพียงความฝืดเฝื่อนขมติดปลายลิ้นเท่านั้น ทว่าใจนั้นบังคับยากเกินควบคุม จากมุมที่เธอนั่งอยู่มองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอกเห็นทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่นานสองนาน ฝ่ายหญิงเริ่มร้องไห้และกอดเขาไว้จากทางด้านหลัง

พวกเขาอาจจะ...กลับมาคบกันอีกครั้ง

เธอไม่อาจทนมองได้อีกแล้ว จำต้องหันหน้าหนีแล้วกลับมาสนใจขนมหวานตรงหน้านี้แทน เขี่ยมันไปมาอย่างเหม่อลอย หญิงสาวเผลอกำส้อมในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความทรงจำในวันเก่าย้อนเข้ามาราวกับสายฝนหนักหน่วง เธอจำได้ดีว่าเขารักผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน จำวิธีปฏิบัติ คำพูด สีหน้า และแววตายามมองคนที่เขารัก ตรงกันข้าม ในขณะที่เธอในวันวานเป็นแค่คนที่เขาเกลียดชัง เป็นตัวปัญหา เป็นเด็กขี้อิจฉา เป็นอะไรที่เขาไม่อยากเข้าใกล้

เธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้กำลังเศร้า เพียงแต่เหนื่อยใจกับอะไรที่ตัวเองคาดหวัง...อย่างที่ไม่ควรจะหวัง

“กลับกันพราว” เสียงของกวินภัทรดึงสติเธอให้กลับมา เสียงเรียบนิ่งเดาไม่ได้ว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

หันมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว

 

ระหว่างขับรถกลับบ้านกวินภัทรเงียบมาตลอดทาง เขาดูเคร่งเครียดผิดวิสัย พาเอาหญิงสาวข้างๆ ขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้ว่าควรพูดหรือถามคำใดออกไป เขายังคงเป็นเขาสำหรับเธอ ต่อให้ที่ผ่านมาเขาพูดจาดีกับเธอแค่ไหน แต่เธอไม่ลืมเช่นกันว่าเขานั้นเคยร้ายใส่กันอย่างไรบ้าง มันจึงเป็นความกลัวตลอดเวลา กลัวว่าตัวเองจะไปสะกิดโดนอะไรในใจเขาเข้า แล้วเขาจะกลับไปทำตัวร้ายกาจดังเดิม เธอเข้าใจดีว่าไม่มีอะไรแน่นอน

กวินภัทรขับรถมาจอดยังสวนสาธารณะริมทะเลสาบ ทันทีที่รถจอดสนิท เขาหลับตาเอนตัวพิงไปกับเบาะรถราวกับมีเรื่องให้ขบคิด

เห็นท่าทางเขาเป็นแบบนี้ เธอไม่รู้ว่าควรจะปลอบเขาด้วยคำพูดไหน ได้แต่เอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้เบาๆ ทอดสายตามองชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน คิ้วหนาของเขาขมวดมุ่น แพขนตาเรียงรายยามดวงตาคมเข้มหลับลง สีหน้าดูเหนื่อยล้าจนเธอรับรู้ได้

“พราว” เขาเรียกเธอแผ่วเบาทั้งที่ยังหลับตา

“คะ?”

“กอดพี่หน่อยได้ไหม”

ขอให้หญิงสาวกอด ทว่าเขาเองที่เอี้ยวตัวขึ้นดึงเธอเข้าไปกอดไว้ วางคางเกยบนไหล่บอบบาง พาพราวยกมือขึ้นลูบหลังเขาอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน เขาคงเจ็บปวดไม่น้อย

และ...และอาจจะยังรักเธอคนนั้นอยู่

น้ำตาหยดเล็กไหลลงมาจากนัยน์ตาคู่หวาน เธอไม่ได้ร้องไห้ แต่น้ำตาไหลออกมาเอง พาพราวทำเพียงปัดมันให้พ้นไป บอกตัวเองว่าไม่ได้กำลังรู้สึกอะไร

“ยังรักอยู่ใช่ไหมคะ”

“...”

“อยากกลับไปคบกันใช่ไหมคะ”

“...”

“พี่วิน...ยังเจ็บอยู่ไหมคะ” พาพราวกอดกระชับเขาแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กิริยานั้นทำเอากวินภัทรใจอ่อนยวบ

“เจ็บ...เจ็บมากด้วย พราวอย่าทำแบบนั้นกับพี่นะ พี่คงทนไม่ได้”

เขาไม่ได้รักนีรัมพรแล้ว ไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้เธออีกแล้ว ครั้งหนึ่งเขาอาจเคยรักเธอมาก คาดหวังสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย ทว่าพอผิดหวัง เขาก็พร้อมตัดใจ และตอนนี้เขาไม่ได้มองนีรัมพรเช่นเดิมอีกแล้ว เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาอยากปกป้องดูแลเหมือนในวันวาน แต่เป็นเพียงคนคุ้นเคยที่เขาไม่อาจวางใจได้ สิ่งที่เธอกับตรัยคุณกระทำทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาไปจนหมดสิ้น

เขาแค่กำลังกลัว กลัวว่าจะถูกกระทำซ้ำเดิมอีก กลัวการถูกทรยศหักหลัง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ ชายหนุ่มผละอ้อมกอดออกเพื่อมองหน้าคนตัวเล็ก “ได้ไหมพราว...สัญญากับพี่นะ”

เธอไม่เอ่ยคำใด เพียงสบตาเขาราวกำลังค้นคว้าหาคำตอบบางอย่าง ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อาจจะไม่รู้คำถามของใจตัวเองด้วยซ้ำไป

“พี่ไม่ได้รักน้ำตาลแล้ว ไม่เคยคิดจะกลับไป...พราวเชื่อพี่นะ”

เธอเม้มปากแน่น จ้องเขาไม่วางตา และหลับตาลงรับสัมผัสเมื่อคนตรงหน้าโน้มเข้ามาจุมพิตอย่างละมุนที่หน้าผากนวล เธอไม่ต่อต้าน ยอมให้เขาทำตามความต้องการของตัวเอง หรืออาจจะเป็นความต้องการในส่วนลึกของเธอเองด้วยก็ได้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น