12

บทที่ 12 forlorn


12

forlorn

ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ สบายตา ผู้คนประปรายต่างเดินทอดน่องไล่สายตามองภาพติดผนังกันอย่างเรียบเรื่อย บ้างหยุดนิ่งมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ปกติเขาไม่ค่อยได้ซาบซึ้งกับงานศิลปะสักเท่าไร ดูบ้างเฉพาะงานบางประเภทที่ตัวเองสนใจ  แต่ก็มีหลายครั้งที่โดนเพื่อนลากเข้าไปชมงานแสดงในพิพิธภัณฑ์ตอนเรียนต่างประเทศ แล้วก็ได้แต่งงเต้ก ไม่เข้าใจสิ่งที่ศิลปินต้องการจะสื่อ

แต่ครั้งนี้...อาจเป็นการดูงานศิลปะที่เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแก่น

กวินภัทรเดินเข้ามายังบริเวณจัดแสดงงานชั้นบนสุดของหอศิลป์แห่งนี้ ภายในห้องสีขาวขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยภาพวาดจากฝีแปรงของเธอคนนั้น เธอที่อยู่ในห้วงนึกคิดไม่ห่างหาย ยิ่งไร้ผู้คนชมงานเนื่องจากเป็นบ่ายวันธรรมดาก็ยิ่งเหงากว่าที่ควรเป็น ใจเขาสั่นหวิวตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมนั่น

เขาค่อยๆ ละเลียดสายตา ทอดอารมณ์ในการชมภาพเหล่านั้น ไล่เรื่อยไปทีละภาพ...ทีละภาพ

ภาพเด็กน้อยนอนเดียวดายท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุแซมด้วยหนามแหลมของต้นกระบองเพชรรายล้อม

ภาพดวงตานับสิบคู่จ้องมองมาด้วยแววกังขา

ภาพเด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าก้มหน้าซ่อนตัวอยู่ในความมืด...เขารู้ดีว่ามันเป็นที่ไหน

ภาพเด็กผู้หญิงนั่งอยู่ที่พื้นถนนมองดูล้อรถจักรยานที่มีใครบางคนปั่นออกไปจากเฟรมภาพ...คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ดี

ภาพเด็กผู้หญิงยืนเหม่อริมระเบียงกว้าง เงยหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด

...และอีกหลายภาพที่ทำให้ชายร่างแกร่งต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกอยู่หลายครั้ง

แต่ภาพที่ทำให้เขาแทบกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ไหวคือภาพสุนัขสีขาวนอนหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร่ำไห้

เขาแทบทรุดเพราะภาพที่เห็นตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอจนต้องเงยหน้าขึ้นกันไม่ให้มันไหลออกมา โชคดีที่ไม่มีคนอื่น จึงไม่มีใครส่งสายตาสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มจึงได้มายืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไปกับภาพเหล่านั้นได้ถึงเพียงนี้

นี่อาจเป็นภาพวาดที่เศร้าที่สุดตั้งแต่เขาเคยเห็นมา...เธอคงวาดมันด้วยความเจ็บปวด

หญิงสาวเลือกใช้โทนสีอ่อน นุ่มนวล เบาสบาย แต่ความหมายกลับเข้มลึก จัดเจนจนบาดใจเขา สร้างริ้วแผลเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี อยากให้เธอมาอยู่ข้างๆ กันยามนี้ อยากดึงเธอมากอดปลอบประโลม แบ่งรับเอาความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญมาให้เขา

เขาอยากรับมันไว้ทั้งหมด...ทั้งหมดที่เธอรู้สึก

กวินภัทรเดินตรงเข้าไปติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลนิทรรศการเพื่อขอซื้อภาพเหล่านั้นทั้งหมด หากต้องประมูลเขาก็ยินดีทุ่มไม่อั้น

“เธอไม่ได้เปิดขายครับ” ชายวัยกลางคนตอบอย่างสุภาพ

“ถ้าเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ให้ติดต่อผมเป็นคนแรกนะครับ ผมเป็นพี่ชายเธอ” ชายหนุ่มยื่นนามบัตรส่งให้

“พี่ชายเหรอครับ” ชายคนนั้นรับไปอย่างงุนงง เหตุใดพี่ชายจึงต้องมาขอประมูลภาพของน้องสาวตัวเองด้วยเล่า

“อย่าบอกเธอนะครับ บอกแค่ว่าเป็นผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ผมอยากเซอร์ไพรส์น่ะครับ” เขากำชับย้ำอย่างหนักแน่น

ชายหนุ่มไม่อยากให้เธอรู้ อยากตามดูเธออยู่ใกล้ๆ คอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง สนับสนุนสิ่งต่างๆ ที่เธอทำ อยากรู้ว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร อยากเข้าใจในทุกๆ ความเป็นเธอ สัญญากับตัวเองว่าจะชดเชยให้หญิงสาวสำหรับทุกสิ่งที่เขาเคยทำลงไป

 

ทุกคนต่างมีความเจ็บปวดของตัวเอง...เธอเองก็เช่นกัน

พาพราวไม่ได้วาดภาพเหล่านั้นพร้อมรอยน้ำตา แต่วาดมันออกมาจากความรู้สึกส่วนลึก ทุกฝีแปรงที่กวัดแกว่งลงบนผืนผ้าใบว่างเปล่า ไม่ได้กระตุ้นเร้าให้เธอเจ็บช้ำย้ำแผลในใจ แต่มันกำลังช่วยบรรเทาความทรงจำเหล่านั้นให้เบาบางลง เธอรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้ปลดปล่อยห้วงนึกคิด เพลิดเพลินไปกับลายเส้น รอยพู่กันและคราบริ้วสี จิตใจเธอเข้มแข็งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ศิลปะช่วยเยียวยาความเจ็บปวดได้ดีเสมอมา

ทุกครั้งที่มองดูชีวิตตัวเอง ใช่...อาจเศร้าและหดหู่ แต่มันผ่านไปแล้ว เธอเติบโตขึ้นมาได้เป็นอย่างดี ความเจ็บยังอยู่ แต่เธอไม่ได้นำสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นข้ออ้างให้ตัวเองอ่อนแอ ยิ่งไม่ชอบสายตาของใครก็ตามที่มองมาอย่างสงสารเวทนา มีครั้งหนึ่งที่เธอเผลอเล่าระบายให้เพื่อนสนิทฟังสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เธอจำสายตาที่เพื่อนมองมาได้เป็นอย่างดี มันน่าอึดอัดเวลาที่พวกเขาต่างคิดว่าเธอทุกข์ใจและเศร้าสร้อยตลอดเวลา คอยระแวงระวังคำพูดและกิริยาต่างๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ

เธอยังปกติดี ยังชีวิตได้เป็นอย่างดีทุกวัน ยังมีความสุขกับสิ่งรายรอบได้อย่างที่คนทุกคนควรจะมี ตราบใดที่ยังไม่มีหายนะอันใดเข้ามาพรากเอาสิ่งที่รักไปจากเธออีกครั้ง เธอยังไหว...ขอแค่ได้อยู่ตรงนี้

 ‘forlorn’ ของเธอยังอยู่ ทว่าก็อยู่ลึกที่สุดเท่าที่เธอจะกดมันไว้ได้

 

ค่ำวันนี้เธอขออนุญาตบุลลามานอนที่ตึกใหญ่ เนื่องจากต้องจัดการเรื่องเอกสารขอจบการศึกษา ระหว่างอาบน้ำในยามดึกหลังจากจัดการงานของตนเรียบร้อยแล้ว มีใครบางคนแอบไขกุญแจย่องเบาเข้าหา ยึดชุดโซฟาของเธอเป็นฐานที่มั่น เอกสารหลายชุดวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ท่าทางเขากำลังเคร่งเครียดไม่น้อย

คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาพร้อมกลิ่นครีมอาบน้ำลอยกรุ่นอบอวล “เข้ามาได้ยังไงคะ!” เธอถามเสียงสั่นทันทีที่เห็นผู้บุกรุก คิดว่าหลังจากคืนนั้นเขาจะเลิกทำนิสัยเสียได้แล้วซะอีก ทว่าพอเห็นเขาชูกุญแจให้ดู เธอก็หมดคำพูด

“ให้พี่นอนด้วยนะ” ไม่รู้ว่าน้ำเสียงกับสายตาอย่างไหนที่ดูออดอ้อนมากกว่ากัน

“ไม่นะคะ” เธอปฏิเสธโดยไม่ต้องหยุดไตร่ตรองสักนิด

ชายหนุ่มก้มหน้าอ่านเอกสารในมือต่อพลางบ่นอุบอิบว่าคนที่ยืนตรงหน้า “ใจร้าย...”

“กลับห้องก่อนนะคะ”

“ไล่จัง ขอพี่นั่งอ่านงานให้เสร็จก่อนได้ไหม อีกนิดเดียวเอง” ต่อให้ไม่ได้ศอก ขอเอาสักคืบก็ยังดี

“สัญญามาก่อนว่าเสร็จแล้วจะกลับ” เธอเตือนตัวเองเสมอว่าเขาอันตรายแค่ไหน เลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยง เอ่อ...ถึงจะเลี่ยงไม่ค่อยได้ก็เถอะ

“สัญญา! ให้ดื่มนมสาบานด้วยไหม” กวินภัทรยกแก้วนมอุ่นๆ ซึ่งเขาตั้งใจนำมาให้เธอดื่มก่อนนอนขึ้นเหนือหัว

“ไม่...ไม่ต้องค่ะ” ลีลาเป็นที่หนึ่งไม่มีใครเกิน

“งั้นพราวดื่มนะ พี่อุตส่าห์ลงไปเตรียมมาให้” เขายื่นแก้วนมมาให้เธอที่ยืนตรงหน้า เห็นแล้วว่ามีอะไรดีๆ น่ามอง

“ไม่เอาค่ะ พราวแปรงฟันแล้ว” มือบางดันแก้วกลับเบาๆ

“ค่อยแปรงใหม่ก็ได้ เอานะ...น้า” ชายหนุ่มบังคับให้เธอรับแก้วไป

“ไม่เอา...” พาพราวพยายามจะดึงมือออกให้ได้โดยไม่ทันระวัง

แก้วนมเจ้าปัญหาจึงหลุดมือหล่นลงบนเอกสารที่วางกองเบื้องล่าง ของเหลวข้นไหลไปตามวิถีธรรมชาติ เลอะเทอะเปียกเอกสารสำคัญของเขา ยังไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา ชายหนุ่มก้มลงมองอย่างอึ้งๆ พาพราวได้สติก่อนจึงรีบหยิบทิชชูมาซับคราบเหนียวเหนอะอย่างลนลาน ตัวเธอสั่นงกๆ ไปหมด มือเช็ดไป ปากก็พร่ำพูดขอโทษเขาไปไม่ลืมหูลืมตา

“พราวขอโทษนะคะ พราวไม่ได้ตั้งใจ อย่าโกรธพราวนะคะ...”

“พราว พราว พาพราว!” กวินภัทรเรียกหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติ เธอดูกระวนกระวายจนเขาใจเสีย

หญิงสาวสะดุ้งโหยง เขาจึงเอื้อมจับมือบางที่สั่นระริกเกินควบคุม ดึงเธอให้หยุดทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า รั้งกายสาวเข้ามาใกล้ เชยคางเธอให้เงยหน้าขึ้นมองกัน แต่คนตัวเล็กพยายามหลบสายตาเขา

“เป็นอะไร” กวินภัทรเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน กระแสเสียงเจือความห่วงใยไว้เต็มประดา

“พราว...ขอโทษนะคะ อย่า...อย่าไล่พราวไปนะคะ” เธอหลับตาขณะเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาไม่มั่นคง

“ทำไมพี่ต้องไล่พราว” ชายหนุ่มงุนงงท่าทีนั้น มือหนาปัดปอยผมทัดหูให้ ขยับหน้าเข้าใกล้จนปลายจมูกแทบชิดกัน

พาพราวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง สบตาเขาอย่างค้นคว้า นัยน์ตารื้นไปด้วยหยาดน้ำวาววับ “พี่วิน...ไม่โกรธพราวเหมือนตอนนั้นเหรอคะ” เธอก้มหน้าลงเมื่อน้ำตาจวนเจียนจะไหล ไม่อยากร้องไห้ให้เขาเห็น

“ตอนไหน” ชายหนุ่มยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวกับหญิงสาว

เธอสูดหายใจเข้าลึก เม้มริมฝีปากไว้แน่น ไม่กล้าเอ่ยตอบคำใด มั่นใจว่าหากเอื้อนเอ่ย เสียงที่เปล่งออกไปคงสั่นไหวเกินควบคุมเป็นแน่

“ไม่เอาไม่ร้อง...ไหนบอกพี่สิครับ” เสียงอ่อนโยนมาพร้อมกับจุมพิตบางเบาที่หน้าผากเกลี้ยงเกลา ตามด้วยอ้อมกอดอบอุ่น โยกไปมาเบาๆ เพื่อปลุกปลอบ เขาไม่เซ้าซี้รบกวน ปล่อยให้เธอร้องไปเรื่อยจนกว่าจะหยุดเอง

“พราวเคยทำนมหกใส่การบ้านพี่วิน แล้ว...พี่วินโกรธ...ไล่พราวออกไปไกลๆ ไม่ให้พราวเรียกว่าพี่...”

ท้ายเสียงเธอสั่นสะอื้นจนเขาต้องกอดไว้แน่น พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ว่า ทบทวนอย่างหนักแล้วจึงจำได้คลับคล้ายคลับคลา ทว่าก็นึกไม่ออกว่าตนเผลอพูดอะไรออกไปบ้าง ไม่รู้เลยว่าคำพูดตนจะกลายเป็นแผลฝังใจเธอมาจนถึงทุกวันนี้

“พี่ขอโทษนะ” เขากระซิบเสียงนุ่มชิดขมับบาง กดปลายจมูกซับกลิ่นหอมนุ่มจากเรือนผมเธอไว้

หญิงสาวเพียงหลับตารับคำขอโทษนั้น ราวกับอยากซึมซับมันลงกลางใจที่โอนเอนของตน “แล้วเอกสารพวกนี้ล่ะคะ เปียกหมดเลย จะเป็นไรไหม” น้ำเสียงเธอเจือแววหวาดหวั่นจนเขาจับความรู้สึกได้

“สำคัญมากด้วยสิ ทำไงดี” จริงๆ เขายังมีสำรองอีกหลายชุดที่ออฟฟิศ เป็นเพียงเอกสารข้อมูลของโครงการเก่าที่เอามาศึกษารายละเอียดย้อนหลังดูเท่านั้น แต่ขอแกล้งหน่อยเถอะ โอกาสมาถึงแล้ว เขาก็ต้องรีบคว้าไว้

ก็เธอน่าแกล้งจนอยากจะแกล้งให้ร้องไห้แรงๆ แล้วค่อยโอ๋ทีหลัง...ยัง! เขายังไม่สำนึก

“จริงเหรอคะ” เธอผละออกจากอ้อมแขนเขาเพื่อมองดูเอกสารเหล่านั้น พลางหันมามองเขาด้วยแววตาของคนสำนึกผิด

“เฮ้อ...พี่คงต้องยุ่งยากไปตามเรื่องหลายวันเลยทีนี้ ทีมวิศวกรคงไม่พอใจแน่ๆ” น้ำเสียงเขาดูเหนื่อยหน่ายคล้ายยุ่งยากใจเหลือทน

“พราว...ขอโทษนะคะ พราวไม่ได้ตั้งใจ” เสียงหวานแผ่วลงพร้อมกับที่สีหน้าหงอยลง

“ช่างเถอะ” คนขี้แกล้งถอนหายใจเสียงดังพลางทำสีหน้าไม่สู้ดีให้เธอเห็น

พาพราวไม่รู้จะเอ่ยคำใด ทำเพียงกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น หลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าสบตาเขา แล้วจึงรีบไปจัดการคราบเปื้อนบนโต๊ะ แยกเอกสารให้เขาเรียบร้อย นำกระดาษทิชชูชุบน้ำมาซับอีกครากันมดขึ้น บรรจงถูไถจนสะอาด ไม่ได้รู้ว่าการกระทำนั้นของตนกระตุ้นอารมณ์คนเบื้องหน้าให้เตลิดคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน

เมื่อเธอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเรียกเธอมานั่งลงข้างกัน หญิงสาวยอมทำตามแต่โดยดี เนื่องจากตนยังมีความผิดติดตัวอยู่ ไม่กล้าหือ

“ทีหลังต้องระวังนะรู้ไหม อย่าไปทำนมหกใส่ใครล่ะ” เขาว่าด้วยเสียงนิ่งเข้ม ตาสีนิลจ้องเธอวาววับ ก่อนจะดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดอีกครา กอดซ้อนหลังและวางคางเกยไหล่เล็กเช่นที่ชอบทำประจำ

“ค่ะ...พราวขอโทษนะคะ” คนหน้าหงอยยอมโอนอ่อนตาม ไม่บิดพลิ้ว

“ตะกี้ก็ทำหกตั้งหลายครั้ง...พี่เสียวรู้ไหม” เขากระซิบเสียงต่ำพร่าชิดใบหูเล็ก

เธอยังคงมึนงง ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน พยายามประมวลความหมายอยู่ชั่วครู่ “อื้อ...พี่วิน” สะดุ้งโหยงเมื่อเขาเป่าลมหายใจใส่ใบหูจนหวิวไหว เพิ่งระลึกได้ว่าตนนั้นโนบรามาตั้งแต่ออกจากห้องน้ำ มีเพียงชุดนอนกระโปรงสีหวานผ้าพลิ้วกับชั้นในชิ้นล่างสีเดียวกันเท่านั้น ทำไมเขาไม่เตือนกันบ้างนะ คนบ้า!

นมหกของเขาจึงคงจะเป็น...

“อื้อ...ปล่อยนะคะ”

“ไม่ปล่อย หกใส่บ่อยๆ นะ พี่ชอบ เดี๋ยวพี่เช็ดให้เอง...กับ...มือ”

“ไม่เอานะ”

เขาไม่ได้ยกมือขึ้นจับส่วนนั้นของเธอ ทำเพียงกอดเอวบางและกุมมือเธอไว้ให้พิงไปกับอกแกร่ง แต่แค่เสียงแหบพร่ากับสายตาที่เขามองลงมาก็ทำเอาเธอร้อนผ่าวได้แล้ว ปลายทรวงจึงชูชันตามอารมณ์เจ้าของ

“ชัดเลยเนอะ” เขากระซิบหยอกเย้าไม่เลิกรา พร่าเธอด้วยเสียงต่ำในลำคอจนหวิวไหว

ครั้นจะยกมือขึ้นปิดบัง เขาก็จับมือไว้ไม่ปล่อย ทั้งยังแกล้งกระชับอ้อมกอดจนชุดนอนตัวสวยรั้งลง คอเสื้อเธอจึงย้อยต่ำกว่าที่ควรเป็น เนื้อผ้าก็แนบตึงไปกับสัดส่วนเด่นชัด น่าอายสิ้นดี

“ห้ามมองนะคะ” เสียงสั่นจนเกินควบคุม

“ไม่ให้มอง แต่ให้จับได้ใช่ไหม...”

“ไม่เอานะคะ ห้ามมอง ห้ามจับ ห้ามอะไรทั้งนั้น” ถึงแม้ว่าเขาจะเคยทำมากกว่านี้แล้วก็ตามที แต่เธออายจนแทบจะมุดโซฟาได้อยู่แล้ว

กวินภัทรหอมแก้มเธอเต็มฟอด มันเขี้ยวนัก “ห้ามเยอะจัง” เขาว่าพลางขยับกายเอนนอนไปบนโซฟาตัวยาวแล้วดึงกายสาวขึ้นมานอนกอดเคียงกัน มองหน้าคนสะเทิ้นอายด้วยความเอ็นดู “ทำไงดี พี่อยากทำทุกอย่างเลย” แกล้งถูไถปลายจมูกเย้าเธอเล่น

“อื้อ...นอนกอดกันเฉยๆ ได้ไหมคะ”

“ชอบให้พี่กอดเหรอครับ”

แก้มเธอแดงจัดเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป เธอไม่ได้บอกว่าชอบให้เขากอดสักหน่อย เพียงแต่เลือกอะไรที่ดูอันตรายน้อยที่สุดเท่านั้นเอง

“แม่หมอนข้างน้อย” กวินภัทรแซ็วคนหน้าแดงพลางดึงหมอนข้างของตนเข้ามากอดแน่น จุมพิตบางเบาที่หว่างคิ้วเธอ “พราวเหงามากไหม”

“คะ?” พาพราวขมวดคิ้ว ช้อนตามองคนถามอย่างไม่เข้าใจ เหงาอะไรของเขา

แม้ใจอยากถามถึงเรื่องวันวาน ทว่าตัวต้นเหตุอย่างเขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะกล้าเผชิญหน้า กลัวว่าสิ่งที่พยายามในตอนนี้จะสูญเปล่า กลัวเขาจะไปไม่ถึงใจเธอ “ต่อไปไม่เหงาแล้วเนอะ พี่จะตามกวนใจพราวทุกวันเลย”

‘ตามกวนใจ’ ตีความหมายเป็นอะไรได้บ้างนะ พาพราวนึกในใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งคาดหวัง ยิ่งหวังก็ยิ่งหวาดหวั่น ก่อนทุกอย่างเหล่านั้นจะพังลงเมื่อมองเห็นความเป็นจริงระหว่างกัน เธอหลับตานิ่งพลางซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นของคนที่ให้ความหวังริบหรี่

“ไปนอนที่เตียงกันนะ” กวินภัทรกระซิบเสียงเบา ก่อนอุ้มคนที่เขาคิดว่าหลับไปวางบนเตียงอย่างนุ่มนวล ระบายยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นเธอลืมตาขึ้นมอง “ทำไมครับ ต้องให้พี่เล่านิทานให้ฟังไหม”

“พราวไม่ใช่เด็กๆ นะ”

“แหงสิ เด็กที่ไหนจะ...” มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยขณะมองอาการคนตรงหน้า “...จะนุ่มขนาดนี้”

“อื้อ...ม...มือพี่วิน”

“นุ่มนิ่มน้อยของพี่”

“ปล่อยก่อนค่ะ” เธอว่าเสียงสั่นพลางจะก้าวลงจากเตียงไปเปลี่ยนชุดนอนให้รัดกุมกว่านี้

แต่คนรู้ทันมีหรือจะยอม เกี่ยวกอดเธอไว้แนบกายไม่ยอมปล่อย “ไม่แกล้งแล้ว สัญญา นอนๆ”

ปากเขาคลอเคลียอยู่ที่ต้นคออุ่นของเธอ ความรู้สึกระหว่างชายหญิงเป็นเช่นนี้เองหรือ มีความสุขกับสัมผัสทางกายเล็กๆ น้อยๆ อบอุ่นแม้เพียงได้แนบชิด ปฏิเสธอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นว่าเธออุ่นซ่านในใจยามมีเขาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกดียามได้อยู่ในอ้อมแขนนี้ มีชีวิตชีวายามได้พูดคุยกัน และโหยหายามห่างหาย เฝ้ารอเวลาที่จะได้พบหน้า ได้สบตา ได้รับรู้ถึงกันและกัน ชัดแจ้งแล้วว่าเธอ...   

“นอนไม่หลับเหรอ” ใจเธอเต้นแรงจนเขารู้สึกได้ ทว่าอาการหลับตานิ่งทำให้นึกสงสัย

คนโดนจับได้ลืมตาขึ้นมอง ก่อนขยับกายออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนที่เข้ามาอยู่ในห้วงนึกคิด ติดตรึงไม่จางหาย

“คิดอะไรอยู่ คิดถึงพี่อยู่รึเปล่า” เขาเดาส่งเดชเข้าข้างตัวเองเต็มที่ ขยับปลายนิ้วไล้แก้มนุ่มของเธอไปมา มั่นใจว่ารักเธอเข้าแล้ว และอาจจะรักเกินกว่ารักระหว่างชายหญิงด้วยซ้ำไป

“ถ้าพราวทำงาน พราวขอออกไปอยู่ข้างนอกดีไหมคะ”

ไม่มีคำตอบใด นอกจากการดึงกายเธอเข้าแนบชิด กอดแน่นราวหวงแหน เขาใจหายวูบทันทีที่ได้ยิน “พราวจะไปไหน”

“พราวแค่อยากดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระใคร”

กวินภัทรปวดหนึบในใจเพียงได้ฟัง “ให้พี่ดูแลได้ไหม เป็นพี่ได้ไหม” มือหนายกขึ้นเสยผมนุ่มลื่นของเธอให้พ้นวงหน้าหวาน “ได้ไหมพราว...”

คำว่า ‘ได้’ ของเธอดังก้องกังวานอยู่ในใจ ทว่าเธอก็ขลาดเกินกว่าจะกล้าเอ่ยออกไป

ชายหนุ่มรับรู้เพียงแรงกอดกระชับและการขยับแนบชิด ขอตีความเข้าข้างตัวเองได้ไหม ได้รึเปล่า...

 

กวินภัทรเหงื่อแตกพลั่กขณะคอยกำกับคนข้างกาย

“พราว...ช้าๆ ค่อยๆ พราว...ใจเย็นๆ สิ พราว...อย่าแรง พี่หัวใจจะวาย เบาๆ ผ่อนลงอีกนิด...ไปต่อได้...ใกล้ถึงแล้ว...เฮ้อ! ถึงสักที” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ โล่งอกโล่งใจหนักหนา เมื่อครู่เขาแทบช็อกคาเบาะนุ่ม ไม่รู้ว่ามันจะน่าหวาดเสียวถึงเพียงนี้

“พราวขออีกรอบได้ไหมคะ”

“พะ...พอก่อน พี่ขอพักหายใจแป๊บ มันเสียว”

พาพราวอดขันอาการของชายหนุ่มตัวโตไม่ได้ เขาทำตัวราวกับชายแก่หมดแรง และเพียงได้สบตากันทั้งคู่ก็พร้อมใจกันหัวเราะเบาๆ ก่อนหญิงสาวจะหันมาทบทวนสิ่งที่เขาสอนใหม่อีกรอบ ลำดับก่อนหลังถึงสิ่งที่ต้องทำ โยกไปที่ไหนอย่างไรบ้าง บิดหมุนประมาณไหน เบาและแรงเพียงใด

“พร้อมยังคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเสียมิได้ อยากจะตีให้ตายนัก พอถึงช่วงที่ควรเบา เธอกลับแรง ช่วงที่แรงได้ เธอกลับเบา “พราว! ระวัง!”

ปลายเท้าเรียวเกร็งแน่น มือที่กำรอบพวงมาลัยสั่นระริกเกินควบคุม และก่อนหน้าผากนวลจะกระแทกกับสิ่งเบื้องหน้า มือหนาของชายหนุ่มก็เอื้อมมากันไว้ได้ทัน

“พราวเป็นอะไรไหม” กวินภัทรถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงร้อนรน พลันมองสำรวจคนตัวเล็ก รับรู้ว่าเธอกำลังตัวสั่นเทา

“มันจะ...จะตายไหม” หญิงสาวละล่ำละลักถามพลางยืดตัวสอดส่ายสายตามองต่ำลงไปด้านหน้า

ทั้งคู่รีบลงไปดูเจ้าตัวปัญหาที่วิ่งตัดหน้ารถกะทันหันเมื่อครู่ เห็นมันนอนหมอบต่ำครางร้องเสียงดังห่างจากหน้ารถเพียงไม่ถึงคืบ กวินภัทรก้มลงลูบขนฟูๆ ของมันราวกับเอ็นดูหนักหนาทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอจำได้ดีว่าเขาเกลียดสุนัขเข้าไส้ขนาดไหน

“เกือบไปแล้ว” เขาว่าขณะลูบหัวมันปลอบขวัญ

“สิงโต! เป็นไรไหม” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาร่วมวงล้อม เธอคงจะเป็นเจ้าของสุนัขตัวนี้ กวินภัทรจึงอุ้มเจ้าตัวสีน้ำตาลส่งให้เด็กน้อยอย่างเบามือ

“มันไม่เป็นไรแล้ว ทีหลังหนูต้องจับมันดีๆ นะรู้ไหม” เขากล่าวเตือนเสียงอ่อนโยน

“ค่ะ หนูขอโทษนะคะ” เด็กหญิงรับคำพลางทำหน้าคล้ายหมาหงอยจนเขาอดยกมือขึ้นลูบหัวน้อยๆ นั่นไม่ได้

ทุกการกระทำของเขาอยู่ในสายตาของพาพราว เธอหวนนึกถึงตัวเองยามเป็นเด็กน้อย นึกถึงพี่ชายใจดี และนึกถึง...เพนกวิน

...

เพนกวิน...ลูกสุนัขที่เธอเก็บได้ในวันฝนตกหลังเลิกเรียน มันนอนหนาวสั่นอยู่ใต้ม้านั่งตัวที่เธอมักมานั่งรอคนขับรถเป็นประจำ เฝ้าดูอยู่สักพัก จนกระทั่งเด่นชัยมารับและไม่มีทีท่าว่าเจ้าของจะย้อนกลับมา ราวกับเจ้าตัวน้อยนี่โดนทิ้ง เด็กหญิงจึงตัดสินใจอุ้มมันกลับบ้านด้วยกัน โดยขออนุญาตเด่นชัยและขอร้องให้ช่วยปิดเป็นความลับ เกรงว่าจะโดนเอ็ดเอาได้หากผู้ใหญ่รู้ และกลัวว่าจะไม่ได้เลี้ยง  

เด็กหญิงอุ้มเจ้าตัวสีขาวขนปุกปุยเข้ามาหลบที่ศาลาริมสวนข้างสระว่ายน้ำ มันมีลายสีดำข้างลำตัวสองด้าน เธอจึงตั้งชื่อให้ว่า ‘เพนกวิน’ โดยลืมไปเสียสนิทว่าไปพ้องกับชื่อของใครบางคน เด็กหญิงในชุดนักเรียนมอมแมมวิ่งเข้าออกระหว่างบ้านกับสวนอย่างลับๆ ล่อๆ เธอตระเตรียมบ้านใหม่ให้เจ้าเพนกวิน โดยไปรื้อลังกระดาษในห้องเก็บของแล้วปูรองด้วยผ้าขนหนูผืนนุ่ม ก่อนเตรียมน้ำและนมอุ่นๆ มาให้ด้วย นั่งลูบเจ้าตัวน้อยอยู่คนเดียวอย่างนั้นจนลืมเวลาอาหารเย็น

กวินภัทรถูกแม่ใช้ให้มาตามน้องไปกินข้าว น้องสาวที่ไม่น่ารักของเขาหายไปไหน ชายหนุ่มเดินหาทั่วบ้าน กระทั่งเห็นเด็กหญิงทำตัวมีพิรุธจึงแอบตามมา จนได้เห็นว่าเธอแอบเลี้ยงลูกหมาตัวน้อย แถมยังนั่งพูดอยู่คนเดียวเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งที่ปกติยัยนี่เงียบจะตายชัก ว่าอย่างไรก็ไม่ตอบโต้ เขามองอยู่สักพักก่อนจะเผยตัวออกจากที่ซุ่ม

“ใครอนุญาตให้เลี้ยงมันในบ้านนี้”

“คุณวิน!” เด็กหญิงจับกล่องกระดาษแน่น ทำท่าปกป้องเต็มกำลัง

“เป็นแค่คนอาศัย มีสิทธิ์เหรอ”

“เอ่อ...คือ...คือพราว” เธออ้ำอึ้งพลางก้มหน้าไม่กล้าเถียงเขา

“ภาระ!”

กวินภัทรเดินกลับไปทางเรือนใหญ่แล้ว ทิ้งให้คนที่นั่งกอดกล่องกระดาษมองตามอย่างหมดหวัง เขาคงไปฟ้องพ่อกับแม่ หากพวกท่านรู้เรื่องเธอคงไม่ได้เลี้ยงมันแน่ๆ และอาจจะโดนดุ เด็กหญิงมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ถูกทิ้งไม่ต่างกับเธอ

แต่กลับผิดคาด เมื่อครองขวัญเรียกเธอไปถามไถ่ ซึ่งนอกจากจะอนุญาตแล้วยังให้อารีจัดการหาอุปกรณ์ทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นในการเลี้ยงสุนัขมาให้อย่างครบครัน สั่งให้พาไปตรวจโรคและฉีดวัคซีนให้เรียบร้อย แต่มีข้อแม้คือห้ามนำมันเข้าบ้านเด็ดขาด เนื่องจากกวีลดาแพ้ขนสุนัข ซึ่งเท่านั้นก็ดีเกินพอแล้วสำหรับเธอ

พาพราวเลี้ยงดูเจ้าเพนกวินอย่างดี ระยะเวลาเพียงสองปีกว่าก็เปลี่ยนเจ้าลูกหมาตัวเล็กขี้อ้อนเป็นเจ้าหมาซุกซนขนสีขาวฟูฟ่อง หลายคราที่เธอเริ่มเอามันไม่อยู่ สู้แรงมันไม่ได้ แถมเวลากลับมาจากโรงเรียนทีไรเจ้าตัวโตชอบกระโจนใส่กันแรงๆ ราวดีใจหนักหนา ตื่นเต้นทั้งที่เจอกันอยู่ทุกวัน เธอชอบมานั่งเล่นอยู่กับมันนานสองนาน นั่งคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง และดูเหมือนเพนกวินจะฟังเธอรู้เรื่องเสียด้วย เด็กหญิงรู้สึกราวกับมีเพื่อนที่พูดไม่ได้แต่เข้าใจความรู้สึกกันผ่านการสื่อสารที่ไม่ต้องใช้ภาษา

“กวิ้น! หยุด!” พาพราวปรามสุนัขของตนให้นั่งลงดีๆ เมื่อมันพยายามจะกระโดดใส่ตน

ใครบางคนที่เดินผ่านมาชะงักฝีเท้าหยุดกึกทันที กวินภัทรหันมองหญิงสาวด้วยแววตาไม่พอใจ แต่พอเห็นว่าเธอสั่งใครที่ไม่ใช่เขาก็ทำสีหน้าไม่ถูก เหวอไปชั่วขณะ ยิ่งเห็นเธอมองมาตาแป๋วก็ยิ่งงุ่นง่านในใจ

กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องสะดุ้งยามได้ยินเธอคุยกับเจ้าหมาน่าหมั่นไส้นั่น นี่คงแค้นที่เขาชอบแกล้งจนเอาชื่อเขาไปตั้งเป็นชื่อหมาสินะ

จนกระทั่งวันนั้น วันที่เขาขับรถเข้ามาด้วยความเร่งรีบ วันที่เสียงเบรกดังลากยาวจนกระชากใจเธอให้หลุดลอยยามเมื่อมองเพื่อนรักนอนเลือดอาบจนขนสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยสีแดงเข้ม เธอไม่ได้ยินเสียงร้องสุดท้ายของมันด้วยซ้ำ ไม่เห็นอาการกระตุกทุรนทุรายยามเจ็บปวด และไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว...มันทิ้งเธอไปแล้ว

“นี่! ปล่อยมันออกมาวิ่งเพ่นพ่านแบบนี้ได้ยังไง” ชายหนุ่มเปิดประตูเดินลงมาดูอย่างหัวเสีย คิดว่าสุนัขคงไม่เป็นอะไรมาก ทว่าภาพที่เห็นทำเขาตะลึงงัน ด้วยรู้ว่าเธอรักสุนัขตัวนี้มากแค่ไหน อดวูบโหวงไปกับเด็กสาวที่นั่งกอดร่างสุนัขนิ่งอยู่อย่างนั้น คนผิดจึงย่อตัวลงนั่งใกล้ๆ และเพียงเห็นสายตาหลังกรอบแว่นหนาก็พาใจเขาปวดหนึบ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหยดน้ำตาอาบไล้แก้มใสของคนตัวเล็ก เธอร้องไห้แต่ไม่มีเสียง

...

“พราวร้องไห้ทำไม มันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” กวินภัทรใจเสีย เมื่อครู่เขามัวแต่สนใจเด็กหญิงตัวน้อย พอช้อนตามองอีกทีเธอก็ร้องไห้เสียแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจับไหล่มนให้หันมาประจันหน้ากัน “พราวเป็นอะไร” เอ่ยถามอย่างอ่อนโยนพลางจูงมือเธอไปขึ้นรถ เมื่อเห็นเธอเอาแต่เงียบ เขาจึงขับพาออกไปยังที่เงียบสงบอีกฝั่งของทะเลสาบ เลือกจอดใต้ร่มไม้ใหญ่ ก่อนเปิดประตูท้ายรถออกกว้าง แล้วพาคนที่หน้าตาแดงก่ำมานั่งเคียงข้างกัน

“เป็นไรไหนบอกพี่ซิ” กวินภัทรมองหน้าหญิงสาวที่เอาแต่นิ่งเงียบ กุมมือเธอไว้และคลึงเบาๆ

“พราว...คิดถึงเพนกวิน” เธอพูดเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาเขา กลัวจะทำให้เขารู้สึกผิดเพราะเรื่องในวันเก่า มือหนาสั่นระริกจนเธอรู้สึกได้ จึงกุมมือเขาซ้อนไว้อีกชั้นหนึ่ง ยิ่งได้เห็นสีหน้าของชายหนุ่มก็ยิ่งไม่เป็นสุข

“พี่ขอโทษนะ” กวินภัทรกระซิบเสียงเศร้า ท้ายเสียงแผ่วค่อยจนคล้ายจะจางหายไปในลำคอ ดึงคนตัวเล็กมากอดไว้ ยิ่งนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเลวร้ายก็ยิ่งยอกในอก หลังเหตุการณ์วันนั้น เธอเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ว่าอะไรเขาเลยสักคำ มีหลายครั้งที่เขาเห็นเธอแอบไปนั่งร้องไห้ข้างกรงสุนัข เขาเคยคิดจะไปซื้อตัวใหม่ที่คล้ายกันมาให้เธอแทน ทว่าใจก็ไม่กล้าพอและรู้ว่าอย่างไรก็ทดแทนกันไม่ได้

พาพราวไม่ตอบคำใด เพียงพยักหน้าเบาๆ ในอ้อมอกเขา

“พราวไม่โกรธพี่เหรอ” ชายหนุ่มถอนอ้อมกอดออกเพื่อมองหน้าเธอ อดกลัวคำตอบไม่ได้

เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงค่อย “ไม่ค่ะ พราวไม่มีสิทธิ์โกรธใคร”

คำตอบทำให้ใจเขาปวดหนึบกว่าเก่า เขาไม่ชอบให้เธอเป็นแบบนี้ ไม่ชอบที่เธอพยายามเก็บกดตัวเองไว้ ซุกซ่อนอารมณ์ภายใต้ท่าทางนิ่งๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับใคร ทั้งที่ในใจคงเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายไม่ต่างจากคนอื่น

“โกรธได้สิ ถ้ารู้สึกอะไรก็แสดงออกมา ปล่อยมันออกมา...กับพี่ก็ได้” ชายหนุ่มเอ่ยจริงจังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อยากให้เธอเป็นตัวเองยามอยู่กับเขา เลิกพยายามเอาใจใครๆ จนลืมความรู้สึกของตนได้แล้ว “อยู่กับพี่พราวไม่ต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งได้ไหม ได้ไหมพราว”

สิ้นประโยคเหล่านั้น น้ำตาก็เอ่อรื้นขึ้นมาจนวาววับ นัยน์ตาพร่ามัว จนเธอต้องหลับตาปล่อยให้มันไหลอาบแก้มต่อหน้าเขา ก่อนสัมผัสอ่อนโยนจะทาบทับลงมาเกลี่ยไล้ให้พ้นไป

“พี่ทำพราวร้องไห้ตลอดเลย” ครั้นทนมองไม่ไหวจึงรั้งกายเธอมากอดไว้แนบอก “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ เดี๋ยวพาไปกินไอติม”

เธอหัวเราะทั้งน้ำตา “อื้อ...พราวไม่ใช่เด็กนะ”

 

การได้มีโอกาสมาอยู่ดูแลบุลลาถือเป็นเรื่องที่ดี พอได้อยู่กับคนที่เรากลัวมากๆ เข้า เราก็จะเลิกกลัวไปเอง ตอนนี้พาพราวจึงไม่รู้สึกหวาดระแวงหรือเกรงกลัวท่านสักนิด ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดก็ยิ่งได้สัมผัสว่าผู้เป็นป้านั้นปากร้ายแต่ใจดีแค่ไหน ฟอร์มจัดก็เท่านั้น นิสัยเช่นนี้ไม่ต่างจากหลานชายท่านเลยสักนิด

“คุณป้าคะ อาทิตย์หน้าพราวอาจจะอยู่ดูแลไม่ได้แล้วนะคะ” หญิงสาวเอ่ยบอกขณะบีบนวดบริเวณข้อเท้าให้ท่าน

“แม่เธอบอกฉันแล้ว” คนแก่ละสายตาจากสิ่งที่กำลังทำ ถอดแว่นคาดไว้บนเรือนผมสีดอกเลา แล้วจึงก้มลงมองหญิงสาว “ไปหยิบกล่องกระดาษตรงนั้นมาให้ที”

ร่างบางจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบสิ่งของที่ว่ายังทิศทางที่คนสั่งชี้ทันที แล้วส่งให้ด้วยกิริยาอ่อนช้อย

“เอาไปสิ ฉันให้”

“คะ?” พาพราวงุนงง ยังคงไม่เข้าใจว่าท่านให้เธอทำไมกัน ครั้นเปิดดูพบว่าเป็นผ้าพันคอไหมพรมที่ท่านใช้เวลาถักอยู่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา  

“ก็เธอจะรับปริญญาแล้วไม่ใช่หรือ” คนปากหนักยังคงไม่เอ่ยออกไปตรงๆ

 “ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวระบายยิ้ม นี่อย่างไร คุณป้าของเธอน่ารักน้อยเสียที่ไหน ให้ของขวัญเธอก่อนใครด้วยซ้ำ

“ฉันคงไปไม่ได้นะ” หมายถึงไปร่วมแสดงความยินดีกับหญิงสาวที่มหาวิทยาลัย คนฟอร์มจัดพูดทั้งที่ยังก้มหน้าตั้งใจถักทอบางสิ่งที่อยู่ในมือต่อ ตีหน้านิ่งกลัวหลุดฟอร์ม จะว่าไปแม่เด็กนี่ก็ดีใช้ได้ คอยดูแลปรนนิบัติเธอเป็นอย่างดีไม่มีบ่น กิริยามารยาทรึก็เรียบร้อย คำพูดคำจาฟังแล้วรื่นหูอยู่ไม่หยอก ยิ่งคิดทบทวนก็ยิ่งละอายใจว่าที่ผ่านมาเธอคงอคติมากไปเอง “ขอบใจที่มาดูแล”

รอยยิ้มหวานตอบรับจากหญิงสาวทำเอาคนเป็นป้าใจกระตุก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น