13
เพียงภวังค์รัก
กวินภัทรไล่มองรูปถ่ายจากหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเชื่อมต่อระบบจากกล้องดิจิทัลตัวใหญ่บนตัก เป็นรูปที่ถูกถ่ายไว้เมื่อช่วงเช้า นิ้วเรียวยาวไล่ปัดหน้าจอเลื่อนภาพชมไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน รอยยิ้มพิมพ์ใจจากคนในภาพถ่ายชวนให้เขาต้องยิ้มตอบกลับ
กวีลดาชะโงกหน้ามาขอดูด้วย เห็นพี่ชายค้างมองรูปพี่สาวในมุมเผลออยู่อย่างนั้น “สวยเนอะ วิปว่าตั้งแต่พี่วินกลับมานี่พี่พราวดูสดใสขึ้นเยอะเลย ไม่ค่อยหน้าตึงเหมือนแต่ก่อนแล้ว” เธอเอ่ยทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากภาพถ่าย
“น้องวิปอยากกินอะไรครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ไม่อั้น!” นานๆ น้องจะพูดจาถูกใจเขาสักที
“แหม...เรียกน้องวิปเลย ขนลุก บางทีวิปก็คิดนะว่าพี่พราวอาจจะไม่ใช่ลูกพ่อกับแม่” คนตัวเล็กว่าไปเรื่อยขณะยื่นมือมากดเลื่อนภาพเสียเอง
“ทำไมคิดงั้น” กวินภัทรละสายตาจากภาพถ่ายช้อนมองน้องสาว เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เกรงว่าน้องจะไปรู้อะไรเข้า
“ก็ดูสิ ทั้งสวย ทั้งขาว หุ่นก็ดี๊ดี ไม่มีอะไรเหมือนวิปเลย” ก็เธอน่ะทั้งอวบทั้งเตี้ย ผมก็ฟูฟ่องอย่างที่พี่ชายชอบล้อเป็นประจำ ใช่...ถึงใครๆ จะบอกว่าเธอน่ารัก แต่เธออยากสวยบ้างนี่นา ได้สักครึ่งหนึ่งของพี่สาวก็ยังดี
“แล้วถ้าไม่ใช่พี่เราจริงๆ ล่ะ จะทำไม” เขาลองหยั่งเชิงถามเด็กสาว
“ก็...จะกอดให้แน่นๆ เลย จะรักให้มากกว่าเดิมด้วย” เด็กหญิงนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะตอบออกมาพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ได้ฟังดังนั้น พี่ชายจึงบีบแก้มน้องแรงๆ ด้วยความเอ็นดู “พี่ก็เคยสงสัยน้า...ว่าแม่ไปเก็บเด็กที่ไหนมาเลี้ยง ดูสิพี่ก็หล่อ พราวก็สวย แต่วิป...” เขาเว้นคำให้น้องเติมเอาเองพร้อมทำหน้าละเหี่ยใจ
“ทำไม! วิปทำไม ปล่อยนะ!” คนไม่พอใจสะบัดหน้าหนี พยายามปัดมือพี่ชายออกจากแก้มนุ่มๆ ของตน
“ก็ไม่ทำไม น่ารักกกก...แม่กระต่ายน้อยของพี่” เขาทำเสียงล้อเลียนพร้อมแนบมือนวดแก้มนิ่มๆ ของน้องสาวอย่างมันเขี้ยว ทั้งยังล้อเลียนฟันกระต่ายของน้องด้วยการยิงฟันซี่หน้าใส่กัน
“นี่ๆ สองคนนี้” ครองขวัญปรามสองพี่น้องพลางยึดโทรศัพท์มือถือของลูกชายไปดู “น้องมีความรักรึเปล่าวิน” นางเอ่ยขณะจ้องมองภาพลูกสาวคนสวย
“ทำไมครับ” ชายหนุ่มปล่อยแก้มนุ่มนิ่มแล้วหันมาสนใจคำพูดของแม่ทันที กวีลดาเองก็ยื่นหน้าเข้ามาฟังด้วยความสนอกสนใจไม่แพ้กัน
“ก็ช่วงนี้พราวทำตัวแปลกๆ เหม่อๆ ชอบกล” ครองขวัญหรี่ตาขณะไพล่คิดไปถึงอาการผิดปกติของลูกสาว
“เหรอครับ”
“ไม่รู้เหรอ อะไรกัน เราสนิทกับน้องที่สุดนี่นา แม่ฝากดูหน่อยแล้วกัน สืบมาให้ด้วยจะดีมาก” นางสั่งลูกชายเสียงเข้ม ด้วยเห็นว่าแต่เล็กจนโตกวินภัทรดูแลพาพราวอย่างดี เธอค่อนข้างวางใจลูกชาย ครั้งที่ต้องวุ่นวายเมื่อตอนกวีลดาเกิดก็ได้ลูกชายนี่ละที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคอยดูแลพาพราวแทนกัน ฉะนั้นจึงมั่นใจและไม่นึกสงสัยในความใกล้ชิดใดๆ...ไม่ได้รู้เลยว่าภายใต้ท่าทางที่เขาแสดงต่อหน้าทุกคนนั้นบดบังความร้ายกาจชนิดไหนไว้บ้าง
“ใช่ๆ วิปแอบเห็นพี่พราวใส่สร้อยเป็นชื่อแฟนด้วย แต่ชอบแอบซ่อนไว้” เด็กสาวพยักหน้าหงึกๆ
“แล้ว...แม่อยากได้ลูกเขยแบบไหนเหรอ” ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นขณะเอ่ยถาม น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังเกินปกติ ทั้งยังกระแอมเล็กน้อย
ครองขวัญมองหน้าคนถาม นิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะยิ้มมุมปากนิดๆ “เอาที่พูดง่ายๆ ไม่น่าปวดหัวเหมือนเราก็พอ”
“แม่อ้ะ!” คนอยากเป็นลูกเขยค้อนวงโตใส่แม่ (ยาย) เดี๋ยวก็รู้!
“อะไร! ไปกันได้แล้ว พราวใกล้จะออกจากหอประชุมแล้ว”
วันนี้เป็นวันรับปริญญาของพาพราว ภายในรั้วมหาวิทยาลัยเนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเหล่าบัณฑิต บรรยากาศแห่งความยินดีฉาบไล้ไปทั่วทุกพื้นที่ ข้าวของสีสันสวยงามประดับประดาอยู่ตามบริเวณต่างๆ และเต็มไม้เต็มมือผู้คนที่มาร่วมแสดงความยินดี อบอวลไปด้วยมวลความสุขและรอยยิ้ม
ครองขวัญเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวตอนที่เห็นลูกสาวถือปริญญาบัตรเดินเข้ามาหา เธอรีบโอบพาพราวไว้เต็มอ้อมแขน กระซิบบอกเสียงนุ่มนวล “เก่งมาก แม่ภูมิใจในตัวพราวนะลูก” มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบศีรษะของหญิงสาว
สัมผัส สีหน้า แววตา และคำพูดของแม่เกือบทำเธอร้องไห้ น้ำตารื้นขึ้นเล็กน้อย แต่เจ้าตัวรีบกลั้นมันไว้ได้ทัน ด้วยไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าใครๆ
กมนทัตรับปริญญาบัตรจากมือลูกสาวมาเปิดดู ยิ่งได้เห็นผลพวงจากการพยายามอย่างหนักของเธอก็ยิ่งปลื้มปีติ “เก่งมากพราว” เขาเอ่ยเสียงนุ่มขณะโอบกอดทั้งแม่และลูกไว้ด้วยกัน
เป็นความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย การมีใครให้ความสำคัญและชื่นชมนั้นเป็นความรู้สึกที่เธอโหยหามาตลอด คล้ายว่าสิ่งที่เพียรพยายามมาเรื่อยนั้นได้มาถึงปลายทางที่หวังแล้ว ทั้งโล่งใจและเคว้งคว้างไปพร้อมๆ กัน
“ยินดีด้วยนะคะ พี่พราวสวยจัง สวยมากกก...” กวีลดาลากเสียงยาวเช่นที่ชอบทำประจำ มองพี่สาวด้วยแววตาชื่นชมยินดีและยื่นกล่องของขวัญลายน่ารักให้ ก่อนจะโอบกอดพี่ไว้เต็มวงแขนอย่างออดอ้อน “พี่วินไม่มีของขวัญให้เหรอ อะไรกัน ดอกไม้สักช่อก็ไม่มี” น้องคนเล็กอดแขวะไม่ได้ อะไรที่ทับถมพี่ชายได้เธอก็พร้อมเสมอ
ชายหนุ่มไม่ตอบโต้ เพียงยักคิ้วข้างหนึ่งให้พร้อมทำสีหน้ากวนอารมณ์ใส่ยัยตัวเล็ก
“วินเข้าไปยืนเร็ว จะได้ถ่ายรูปสามพี่น้อง” กมนทัตรุนหลังลูกชายให้เข้าไปในเฟรมภาพ
พาพราวสะดุ้งทันทีเมื่อโดนเขาโอบกอดจากด้านหลัง พี่ชายกอดน้องสาวทั้งสองไว้เต็มรัก แนบหน้าชิดใกล้ยิ้มใส่กล้อง ก่อนจะไล่กวีลดากลายๆ อย่างแนบเนียน ก็เขาอยากถ่ายภาพกับเธอเพียงสองคนนี่นา พาพราวแทบลืมหายใจตอนที่ชายหนุ่มโอบกอดเธอไว้อย่างโจ่งแจ้ง ใช่ว่าไม่ชินที่เขากอด ทว่าการกอดกันต่อหน้าคนอื่นๆ เช่นนี้มันค่อนข้างสุ่มเสี่ยงเกินไปในความรู้สึก คนกลัวความผิดจึงดูร้อนรนกว่าปกติ พยายามเบี่ยงกายหนีและกระซิบปรามเขาเสียงเบา
แต่เขาไม่ปล่อย ทั้งยังเนียนกอดเธอแน่นเข้า คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจึงมองอย่างเอ็นดู พี่ชายยิ้มหน้าบาน ส่วนน้องสาวฝืนยิ้มทั้งๆ ที่ใบหน้าซับสีระเรื่อ เธอไม่กล้าหันไปสบตาใครเลยด้วยซ้ำ
กระทั่งครอบครัวกลับออกไปแล้วในช่วงบ่ายคล้อย เนื่องจากกลุ่มคนเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น เกรงว่าหากอยู่ต่อ ขากลับจะขยับตัวลำบาก การจราจรคงติดขัดไม่เบา กวินภัทรจึงอาสาอยู่ดูแลหญิงสาวต่อเอง
ชายหนุ่มทำตัวราวกับเป็นผู้ปกครองมาดเข้ม คอยกันท่าและทำหน้าดุใส่ผู้ชายคนไหนก็ตามที่เข้าใกล้พาพราว
“น้องพราว ดีใจด้วยนะครับ/พราว ถ่ายรูปกัน/พี่พราวครับ ยินดีด้วยนะ/พราวครับ ของขวัญครับ/พี่ดีใจด้วยนะ ดอกไม้ครับ/วันนี้น้องพราวสวยจัง/โห ไม่เจอกันนาน พราวสวยขึ้นไหมเนี่ย/...”
เขาต้องทนฟังคำพูดจากบรรดารุ่นพี่ เพื่อน รุ่นน้อง ใครต่อใครก็ไม่รู้ ไม่คิดว่าอยู่มหาวิทยาลัยเธอจะฮอตขนาดนี้ ผู้หญิงก็มี ทว่าผู้ชายก็มากจนอยากพากลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ ทดเอาไว้ในใจ กะว่าหลังจบงานจะคิดบัญชีกับเธอรวดเดียว พาพราวนี่ก็กระไร ยิ้มหวานโปรยใส่ทุกคนไปเสียหมด เห็นแล้วชักหงุดหงิด ยิ่งเห็นมากๆ ได้ยินบ่อยๆ ก็ยิ่งงุ่นง่านหัวเสีย
กวินภัทรคอยซับเหงื่อตามกรอบหน้าให้หญิงสาว หอบข้าวของเดินตามบัณฑิตสาวไปเรื่อย ทำตัวราวกับเป็นพ่อหวงลูกสาวก็ไม่ปาน ใช้สิทธิ์ความเป็นพี่ชายเต็มที่
วรรณิกอดเซ็งไม่ได้ อุตส่าห์นึกว่าผู้ชายหน้าหล่อที่มาส่งเพื่อนทุกวันจะเป็นคนรักเสียอีก ไหงมาเป็นพี่ชายได้ล่ะนี่ ท่าทางพี่น้องคู่นี้จะรักกันดี มีหอมแก้มกันเกือบทุกเช้าที่เธอแอบเห็น ทั้งยังตอนที่ทำงานร้านกาแฟ ที่แท้คนพี่ก็ไปนั่งเฝ้าน้องสาวนี่เอง น้องสาวสวยขนาดนี้คงจะหวงน่าดู ขอแกล้งหน่อยเถอะ!
“พี่วิน คนนี้ไงคะที่มาจีบยัยพราวตอนปีสอง” วรรณิกกระซิบกระซาบบอกพี่ชายเพื่อนด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
หูผึ่ง! ไอ้ตี๋หน้าขาวนี่น่ะเหรอ บังอาจ! กวินภัทรเดินตรงเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ขณะกำลังถ่ายรูปร่วมกัน ทำเอาพ่อหนุ่มหน้าขาวคนนั้นงงเต้ก ยิ่งได้สบตาเข้มและคิ้วกระตุกของกวินภัทรก็ยิ่งอยากจะหนีหายไปจากตรงนี้โดยไว
“พี่วินกลับก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวพราวต้องไปต่อกับเพื่อน”
“ไม่!”
คืนนี้เธอมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนในสาขาต่อ เดิมทีเธอปฏิเสธเพื่อนไปแล้วด้วยไม่กล้าขออนุญาตครองขวัญ แต่เมื่อช่วงบ่ายวรรณิกโพล่งถามขึ้นมาอีกครั้งและพยายามรบเร้าเธอ พอเธอบ่ายเบี่ยง อ้างว่าแม่ไม่ให้ไป เพื่อนสาวจึงทำใจกล้าไปขออนุญาตครองขวัญให้ใหม่ คนเป็นแม่มีสีหน้างุนงงเล็กน้อยเนื่องจากไม่ทราบเรื่องมาก่อน ลูกสาวไม่เคยเอ่ยปากขอ แล้วเธอจะไม่อนุญาตได้อย่างไร หันไปมองเจ้าตัวที่ยืนอ้ำอึ้งหลบสายตาคิดว่าคงอยากไป แต่ไม่กล้ามาขอกันดีๆ จะไปสังสรรค์ในยามค่ำคืนกับเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไหนๆ ก็เรียนจบแล้ว และโตพอจะดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ ครองขวัญจึงตอบตกลงได้ไม่ยาก ทั้งยังกำชับกวินภัทรให้อยู่ดูแลน้องต่อให้ด้วย
“ไม่ต้องห่วงนะคะพี่วิน แตงกวาจะดูแลเป็นอย่างดีเลยค่ะ รับประกัน” วรรณิกรีบออกตัวพูดให้ด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจเต็มกำลัง
“ก็ได้! เลิกแล้วโทร. บอกพี่นะ จะมารับ” ชายหนุ่มยอมผละไปแต่โดยดี หอบข้าวของทั้งดอกไม้ ตุ๊กตา ของขวัญสารพัดอีกสองถุงใหญ่ไปเก็บไว้ที่รถ กะว่าจะไปนอนรอเวลาเล่นที่คอนโดส่วนตัวระหว่างนี้
พาพราวถูกวรรณิกลากมาที่คอนโดเพื่อนสาวในสาขา งานวันนี้คล้ายเป็นการส่งท้ายชีวิตวัยเรียน ฉะนั้นบรรดาเพื่อนสาวจึงจัดเต็มให้สมโอกาส ทว่าหญิงสาวไม่ได้เตรียมชุดมา หน้าที่สไตลิสต์จึงตกเป็นของวรรณิก เธอรื้อตู้เสื้อผ้าของเพื่อนที่เป็นเจ้าของห้อง โชคดีที่แม่นี่บ้าแฟชั่นจัด ฉะนั้นจึงมีทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพ เลือกแล้วเลือกอีกจนกระทั่งได้ชุดที่พอใจ จึงไล่คนที่ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปเปลี่ยนโดยไว
“ชุดนี้เหรอแตงกวา มันไม่โป๊ไปหน่อยเหรอ” พาพราวยกชุดที่เพื่อนเลือกให้ขึ้นมองแหยๆ
“เออ! ชุดนี้แหละ ไปกินเหล้านะแก ไม่ได้ไปนั่งวิปัสสนา จะมาใส่มิดชิดอะไรกันนักหนา ไปเปลี่ยนเลย เปลี่ยนเสร็จมานั่งนี่ จะแต่งหน้าให้”
แล้วคนที่โดนเพื่อนบังคับใส่ชุดก็เดินกระมิดกระเมี้ยนออกมาด้วยท่าทางขัดเขิน ถ้าแม่มาเห็นว่าเธอใส่อะไรแบบนี้มีหวังคงไม่พอใจเป็นแน่
“พราว! คืนนี้แกได้ผู้แน่ๆ” วรรณิกแซ็วทีเล่นทีจริง ยิ่งคิดไปถึงสีหน้าพี่ชายขาโหดของเพื่อนก็ยิ่งนึกสนุก
พาพราวเป็นคนสวยถึงขั้นสวยมาก ทว่าเจ้าตัวชอบปกปิดความสวยของตนไว้ ชอบทำให้ตัวเองไม่สวย หญิงสาวบอกว่าไม่ชอบเวลาใครมอง ไม่ชอบการเป็นจุดเด่น
ยกเว้นวันนี้ เธอขอ! เธอจะแปลงแม่คนเรียบร้อยนี้ให้เปรี้ยวเผ็ดจนพริกทั้งตลาดต้องกราบเลย คอยดู!
พาพราวอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวแขนกุดทับด้วยกระโปรงยีนทรงเอสั้นเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ชายกระโปรงมีด้ายรุ่ยฟูเป็นดีไซน์ มองด้านหน้าก็ดูไม่หวือหวาอะไร ทว่าแขนเสื้อด้านข้างกลับคว้านลึกจนมองเห็นชั้นในสีดำ หวิวไหวจนคนใส่เองยังไม่มั่นใจในการขยับเขยื้อน อดคิดไม่ได้ว่าหากกวินภัทรเห็นเข้าจะว่ายังไง เธอกะว่าเดี๋ยวตอนเลิกงานแล้วเขามารับจะขอยืมเสื้อคลุมจากเพื่อนสวมทับอีกชั้น
“เสร็จ! พราวเอ๊ย...งานนี้แกไม่รอดแน่” วรรณิกมองผลงานการสร้างสรรค์ของตนอย่างภาคภูมิ เป็นครั้งแรกที่เห็นพาพราวแต่งหน้าเต็มขนาดนี้ เชื่อสิ! เดินเข้าร้านไป ใครไม่มองนี่มาตบหน้าแตงกวาได้เลย
...
พาพราวเดินหลบอยู่หลังกลุ่มเพื่อนสาวด้วยไม่มั่นใจและไม่ชอบสายตาผู้ชายที่มองมา เธอประหม่าเกินกว่าจะกล้าส่งสายตากลับไปให้ใครก็ตามที่มองมาตาเป็นมัน กระทั่งได้นั่งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวยังเลือกนั่งในมุมที่ลึกที่สุด นั่งจิบเครื่องดื่มรสซ่านซึ่งผสมแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อย มองบรรยากาศและฟังการสนทนาออกรสของกลุ่มเพื่อนอย่างเพลิดเพลิน ปฏิเสธเครื่องดื่มจากเพื่อนชายที่เดินเข้ามาชวนคุยไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร สถานที่แบบนี้ไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด ยิ่งเห็นว่าเพื่อนคนอื่นๆ สนุกสนานขนาดไหนก็ยิ่งไม่เข้าใจตัวเอง
เพื่อนในวัยเดียวกันเหล่านั้นดูอิสระและปลดปล่อยตัวตนจนน่าอิจฉา ทว่าเธอกลับประหม่าและหวาดระแวงจนน่าอึดอัด ยิ่งในวันที่ควรจะมีความสุขหลังจบการศึกษาเช่นวันนี้ แต่ทำไมเธอจึงยิ่งรู้สึกเคว้งคว้างและไม่มั่นคง ราวกับช่วงเวลาสิบกว่าปีที่พยายามมามันจบลงแล้ว ไม่ว่ามีเรื่องทุกข์ใจใด เธอจะใช้การเรียนเป็นที่พึ่งมาโดยตลอด เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่า เป็นสิ่งที่เธอต้องทุ่มเทและพยายาม ทว่าเมื่อมาถึงปลายทางแล้วกลับรู้สึกว่างเปล่า ใจหายเพราะสถานภาพที่จะเปลี่ยนไป เธอกำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ ต้องดูแลตัวเองให้ได้และไม่เป็นภาระใคร ความคิดเรื่องย้ายออกไปอยู่ข้างนอกวนกลับเข้ามาในหัวซ้ำๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งกดดัน บรรยากาศในร้านนี่ก็ยิ่งเร้าอารมณ์เสียเหลือเกิน
เพื่อนสาวร่วมโต๊ะต่างลุกขึ้นไปเริงร่ากันอย่างสนุกสนาน ทำราวกับไม่มีเรื่องให้ทุกข์ใจ หญิงสาวกวาดตามองรอบโต๊ะ กลั้นใจยกเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นจิบ แก้วแรก...แก้วสอง...และเรื่อยๆ จนเกลี้ยงโต๊ะ ไม่รู้แก้วใครเป็นแก้วใคร
“ฮึก...พี่วิน...ฮึก...ใจร้าย...คนนิสัยไม่ดี...ฮึก...พราวเกลียด...”
“เฮ้ย! ไอ้พราว นี่แกดื่มไปกี่แก้ว ฉิบหายแล้ว!” วรรณิกแทบจะกรีดร้องใส่หน้าเพื่อน เธอขึ้นไปร้องเพลงคู่กับเดินทัพอยู่ดีๆ เห็นว่าพาพราวนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนอีกสองสามคนจึงไม่ห่วงอะไร ทว่าร้องยังไม่ทันจบเพลง มองมาอีกทีแม่นี่ก็เริ่มออกอาการแล้ว นั่งบ่นพร่ำเพ้อฟูมฟายอยู่คนเดียวทั้งที่ทรงตัวแทบไม่ได้ แล้วพวกนั้นนี่เห็นผู้ชายหล่อหน่อยไม่ได้เลยนะ ทิ้งแม่นี่นั่งคนเดียวได้ไง ยัยคุณหนูคนสวยนี่ก็ไปอดอยากปากแห้งมาจากไหน ยกซดมันหมดทุกแก้วที่มีบนโต๊ะ นับจากสายตาแล้วอาจจะห้าหรือหก แม่งเอ๊ย เอาไงดีวะเนี่ย อุตส่าห์แต่งตัวมาให้สวยๆ ไหงมาเป็นลำยองได้วะ
“นี่น้า...ตอนปกตินี่เรียบร้อยอย่างกับอะไรดี พอเหล้าเข้าปากหน่อยนี่โวยวายพร่ำเพ้อเชียวนะแก เออ แต่ก็น่ารักดี” วรรณิกยังคงจับเพื่อนให้เอนซบตัวเองไว้ กวักมือเรียกเดินทัพให้เข้ามาหากัน ก่อนจะพิมพ์ข้อความบอกกวินภัทรให้มารับน้องสาวขี้เมาของเขาด้วย มันเมาจนจะปล้ำเธออยู่แล้ว
...
ทันทีที่ได้รับข้อความ คนที่รอเวลาอยู่แล้วจึงบึ่งรถมาด้วยความเร็ว เขารู้เพียงเธอให้มารับ แต่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอแม่ตัวดีอยู่ในสภาพเช่นนี้หน้าร้าน แล้วชุดบ้าที่เธอใส่นั่นมันอะไร แถมยังกอดคอเพื่อนชายไว้แน่นอีก
“พี่วิน...” พาพราวยังคงไม่รู้ตัว นึกว่าคนที่ตนกอดคือพี่ชาย
เดินทัพพยายามปัดป่ายมือเธอออก จัดให้อยู่ในท่วงท่าที่ไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไป ขณะวรรณิกที่วิ่งไปเอากระเป๋าและข้าวของของพาพราวเพิ่งเดินตามออกมา
“พี่อยู่นี่ยัยตัวดี” กวินภัทรตัวจริงดึงรั้งหญิงสาวเข้าสู่อ้อมแขนตน มองสองเพื่อนสนิทของเธออย่างคาดโทษ
“พี่วินคะ คือแตงกวา...” คนที่เคยรับปากพยายามจะแก้ตัว ทว่าพอเห็นสายตาดุดันที่มองมาแล้วก็ต้องกลืนคำพูดลงคออย่างรวดเร็ว โหดอะไรขนาดนี้วะ
กวินภัทรตวัดอุ้มคนขี้เมาขึ้น สับเท้าอย่างไวไปที่รถ แล้วจึงขับออกไปชนิดที่ว่าไม่ทันเห็นฝุ่น
วรรณิกและเดินทัพได้แต่มองหน้ากันอึ้งๆ กลืนน้ำลายอึกใหญ่อยู่หน้าร้าน
“ยากหน่อยนะ พี่ชายหึงขนาดนี้” เธอตบไหล่เพื่อนชายราวให้กำลังใจ
“อย่าบอกแม่นะ...แม่รักพราว...พราวจะเป็นเด็กดี...พราวจะไม่ดื้อ...พราวไม่ได้ทำ...พี่วิน...ใจร้าย...นิสัยไม่ดี...พราวเกลียด...พราวจะบ้าตายแล้ว...” คนเมาเพ้อเจ้อฟูมฟายยืดยาวอยู่คนเดียวตลอดทาง
ยิ่งได้ฟัง ยิ่งได้เห็นสีหน้าเธอยามระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ พรั่งพรูมันออกมามากมายยิ่งทำให้เขาหัวเสีย มือหนากำพวงมาลัยแน่นขึ้น เพิ่มความเร็วและตัดสินใจพาเธอกลับคอนโดส่วนตัวของตน หากกลับบ้านสภาพนี้ มีหวังแม่คงล้มทั้งยืนเป็นแน่ที่เห็นลูกสาวแสนเรียบร้อยเมาแอ๋ขนาดนี้
“พราว เดินดีๆ” ชายหนุ่มประคองเธอมานั่งยังโซฟาตัวใหญ่ในห้องชุดสุดหรูของตน บรรจงถอดรองเท้าให้คนไม่รู้เรื่องรู้ราว
“พี่วิน...พี่วินขา” เธอยังคงไม่รู้ตัว มือบางปัดป่ายไปทั่วเนื้อตัวเขาอย่างสะเปะสะปะ
กวินภัทรมองสภาพเธอแล้วถอนหายใจ “นั่งดีๆ พี่จะไปชงชามาให้” อันดับแรกเขาต้องทำให้เธอสร่างเสียก่อน มองอาการคนเมาแล้วอดขำไม่ได้ อยากจะถ่ายวิดีโอเก็บไว้เหลือเกิน ไม่รู้ว่าถ้าได้สติแล้วเห็นตัวเองในสภาพนี้จะทำหน้ายังไง
กวินภัทรนั่งเฝ้าพลางป้อนชาให้เธอจิบเรื่อยๆ นั่งฟังเธอพร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้น รอกระทั่งเห็นเธอเริ่มนิ่ง คงสร่างเมาแล้วจึงเริ่มซักถามถึงสาเหตุ คาดว่าคงมีเรื่องต้องคุยกันยาว
“ทำไมถึงเมาขนาดนี้” เขาถามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน จับไหล่มนประคองเธอให้หันหน้ามาประจันกับเขา
“พราว...ไม่รู้” เธอปวดหนึบไปทั้งศีรษะ คิดอะไรไม่ออก มึนงงเพราะคำถามจากปากเขา
“ตะกี้พราวกอดเพื่อนผู้ชายด้วย”
“พราว...จำไม่ได้” หญิงสาวตาปรือ มองริมฝีปากชายหนุ่มคล้ายกำลังจดจ่ออยู่กับคำพูดเขา
“แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ ไปเอาชุดมาจากไหน”
“คะ...ชุด? ชุดเพื่อน...ให้ยืม” คนสร่างเมาคิดตามไม่ค่อยทัน
กวินภัทรมองเธออย่างคาดโทษ โกรธที่เธอปล่อยให้ตัวเองเมาเละเทะขนาดนี้ หน้าหวานแดงระเรื่อ นัยน์ตาหยาดเยิ้มเล็กน้อย ทรงตัวนั่งแทบไม่ไหว หากเขาไม่ประคองไหล่เธอไว้คงหงายไปข้างหลัง ไม่ก็คว่ำมาด้านหน้าใส่อกเขา
“ทำไมถึงทำตัวแบบนี้ ถ้าแม่รู้จะว่ายังไง ใครสั่งใครสอนให้ไปกินเหล้าจนเมามายแบบนี้ เป็นผู้หญิงทำไมไม่รู้จักระวัง เกิดมีคนคิดไม่ดีฉุดไป...อุ๊บ!”
ถ้อยคำตักเตือนมากมายถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากบาง แนบชิดเข้าหาทาบทับลงมาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนเจ้าของจะผละออกไป
“อย่าพูดจาร้ายๆ อีกได้ไหมคะ” เธอเอ่ยเสียงเบา เว้าวอนและตัดพ้อในคราเดียวกัน
เธอ...เธอจูบเขา!
สองตาประสานกันนิ่งอยู่อย่างนั้น ภายในความเงียบงันอันยากจะบรรยาย พาพราวเพิ่งระลึกได้ว่าตนทำสิ่งใดลงไป นัยน์ตาหวานระริกเต้นและเบิกกว้าง ก่อนจะหลุบต่ำลง ละอายเกินกว่าจะกล้ามองหน้าเขา อะไรดลใจให้เธอกล้าทำเช่นนั้น โทษว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าได้ไหม...ได้รึเปล่า
“พราว...” คนโดนช่วงชิงคำพูดด้วยจูบแผ่วเบากำลังอึ้งงัน ทว่าในความอึ้งนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้งซึ่งพรั่งพรูเข้าหา วันนี้อารมณ์เขาขึ้นลงเหมือนคนบ้า เก็บกด หงุดหงิด แทบคลั่งยามเห็นเธอชิดใกล้ชายอื่น แต่เข้าใจว่านั่นก็เป็นบทบาทหนึ่งของความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ทว่าอารมณ์ย่อมอยู่เหนือกว่าเหตุผลทั้งปวง ความรู้สึกหวงแหนจึงยิ่งเท่าทวี ยิ่งต้องทนมองเธอในสภาพเมามายไม่ได้สติ ทั้งยังกอดคอเพื่อนชายอยู่ในสถานที่เช่นนั้นก็ยิ่งกรุ่นโกรธ ก่อนทุกอย่างจะระเบิดพร่างเพียงเพราะสัมผัสบางเบาเมื่อครู่
มากมาย อัดแน่น เกินกว่าควบคุม
มือหนาเชยคางเธอขึ้นอย่างนุ่มนวล มองสบนัยน์ตาหวานด้วยแววลุ่มลึกสื่อความหมาย มองทะลุเข้าไปเพื่อตามหาความรู้สึกบางอย่าง สะกดกันไว้ให้หยุดนิ่ง ร่ายมนตร์หวานใส่จนเธอมิอาจทน จนต้องหลับตาลงพริ้มรับสัมผัสยามเมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้...ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ใกล้จนเกินใกล้และไม่หลงเหลือพื้นที่ใดๆ แล้ว
ชายหนุ่มประทับจูบลงมาอย่างอ่อนโยน ทุกๆ การขยับไหวเป็นไปอย่างพิถีพิถัน นวลนุ่ม เขาค่อยๆ ละเลียดซึมซับจดจำทุกรอยสัมผัส ทุกการขยับเข้าใกล้ บดคลึงกลีบปากหวานนุ่มอย่างเต็มรัก บรรจงขบเม้มแล้วจึงไล้ลิ้นอุ่นร้อนเข้าหายามเมื่อเธอเปิดใจอนุญาตให้เขาเข้าไป
มือบางยกขึ้นทาบทับอกอุ่นของเขาไว้ เธอกำลังเคลิบเคลิ้มและลอยละล่องอยู่ในปุยเมฆละมุน อบอุ่น อ่อนโยนและลึกซึ้งเกินต้านทาน
ยามเมื่อเขาผละออกจากจูบแสนหวาน เธอควรตื่นจากฝันและกลับมาอยู่กับความเป็นจริง ควรห้ามปรามเขาและ...ใจตัวเอง
ทว่าครั้งนี้เธอยังคงฝันต่อ ยังคงพอใจให้เขาเข้าใกล้ แม้ไม่ได้เอ่ยคำอนุญาตใด แต่คล้ายชายหนุ่มจะรับรู้ความเป็นไประหว่างกัน
กวินภัทรช้อนร่างบอบบางขึ้นสู่อ้อมแขน นำพาไปยังห้องนอนกว้าง ก่อนบรรจงวางเธอลงบนที่นอนนุ่ม ทุกอย่างเชื่องช้า ทว่ากลับดูรวดเร็ว ไม่มีการปฏิเสธ ไม่มีการบังคับ และเธอ...ยินยอมให้มันเกิดขึ้น
ไม่รู้เพราะฤทธิ์น้ำเมาหรือเพราะแววตาเปิดเปลือยความรู้สึกของเขาจึงมีบางอย่างกระจ่างชัดในใจ แต่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ภายใต้แสงนวลสลัว ซึ่งอบอวลไปด้วยมวลแห่งความลุ่มหลง หญิงสาวและชายหนุ่มนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงกว้าง เผชิญหน้าซึ่งกันและกัน จดจ้อง มองประสาน
“พราว...” กวินภัทรจับสองมือของเธอสอดผสานแทรกนิ้วระหว่างกันแนบแน่น “รู้ใช่ไหม หลังจากนี้พี่จะไม่มีทางปล่อยมือนี้” หากเธอปฏิเสธในตอนนี้ เขายินดีจะหยุดทุกอย่างลง
ไร้สุ้มเสียง มีเพียงแววตาไหววูบมองตอบกลับมา ชายหนุ่มทอดมองด้วยแววเสน่หา จมดิ่งลงไปในตัวเธอเพื่อค้นคว้าอารมณ์แสนปรารถนาที่อยากครอบครอง ขยับชิดจนแทบไม่เหลือพื้นที่อากาศระหว่างกัน ชิดราวใช้ลมหายใจเดียวกัน สูดเอาไออุ่นกรุ่นกลิ่นหอมจางๆ ที่โอบล้อมทั้งคู่ไว้ คล้ายกำลังเชื่อมโยงบางอย่างในความรู้สึกให้ถ่ายเทถึงกัน สัมผัสแผ่วเบาราวกับสายลมพัดผ่าน รู้สึกได้แม้มองไม่เห็นด้วยตา เขาอยากใช้เวลาอย่างเชื่องช้าราวกับคนเห็นคุณค่าของเวลาเหลือแสน ค่อยๆ ผ่านคืนที่มีความหมายระหว่างกันนี้ไปพร้อมกับเธอ กับคนที่มีค่าเกินกว่าทุกสิ่ง
ราวเป็นวินาทีต้องมนตร์ เขาและเธอค่อยๆ กระชับเข้าหากัน ริมฝีปากแนบสนิทอย่างไม่อาจรู้ได้ว่าใครขยับเข้ามาใกล้กว่า...อาจเป็นเขาหรือเธอ
ความรู้สึกซ่านไหวจนเธอไม่อาจหลับตาลงหนีแรงปรารถนาบางอย่างที่มากกว่าทุกครั้งของการแนบชิด แววตาที่ชายหนุ่มทอดทอลงมาเต็มล้นไปด้วยความอ่อนโยน อบอุ่น และเปิดเผย ครั้นสู้ไม่ไหว พาพราวจำต้องหลับตาลงปิดกั้นนัยน์ตาหวานซึ้งของตน ไม่อาจเปิดให้รู้และยังไม่พร้อมจะรับความรู้สึกทั้งหมดที่เขามอบให้
สัมผัสเคล้นคลึงกันคล้ายบทสนทนาที่ไร้คำพูด ชายหนุ่มเป็นฝ่ายขยับเข้าใกล้เธอก่อนเมื่อความรู้สึกโหยหาต้องการก่อเกิดสั่นไหวภายในกายตน แทรกสอดลิ้นเข้าไปในความหวานนุ่ม เยื้องกรายเข้าสู่พื้นที่ชุ่มฉ่ำล้ำลึก ดุนดันยามเมื่อเจอลิ้นเล็กของเธอราวทักทาย กระตุ้นให้หญิงสาวตอบสนองรับการมาเยือนของเขา คนที่ซึ่งกำลังตกอยู่ใต้ภวังค์รักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เขาจูบเธอมาหลายครา ทว่าร่างบางยังคงไม่ประสา และเขายินดีที่จะสอนเธอซ้ำๆ ให้โอนอ่อนผ่อนตามยามเขานำพา ดูดซับเธอไว้อย่างละมุน ถ่ายทอดมวลอารมณ์มหาศาลที่ก่อเกิดขึ้นยังกลางใจไปสู่หญิงสาว ก่อนเว้นวรรคให้เธอได้พักจากการรุกล้ำเพียงครู่ แล้วจึงบรรเลงต่อเนื่อง เพิ่มจังหวะขึ้นทุกการสัมผัส ขยับแนบชิดเข้าหา ผละมือจากกันเพื่อก่ายกอด ล้มทาบทับกันไปกับความนุ่มหยุ่น ถ่ายเทน้ำหนักกายจนฟูกอ่อนยวบจมลง
ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดพันดูด ดื่มชิมเอารสหวานซ่านจากแอลกอฮอล์ที่หลงเหลือบางเบา ขบเม้มเสาะแสวงราวโหยหา ดูดกลืนอย่างเร่าร้อนไม่กักเก็บ ไม่ยับยั้งและไม่มีทางปล่อย
เสียงหวานขาดห้วงไปตามจังหวะตรึงใจ นัยน์ตาฉ่ำปรือมิอาจซุกซ่อนอารมณ์รักวูบไหว คลื่นแห่งความเร่าร้อนในรักแผ่กระจายตีวนกระทบซ้ำไปซ้ำมา โหยหาบางอย่างระหว่างกัน
กวินภัทรถอนจุมพิต เพื่อเลื่อนลงคลอเคลียคลุกเคล้าประทับทิ้งรอยสัมผัสไปทั่วลำคอขาวเนียน ขบเม้มสลับไล้ลิ้นอุ่นร้อนชิมรสชาติหวานหอมของกายสาว เติมเชื้อไฟด้วยสัมผัสจากมือหนา ฝ่ามืออุ่นร้อนสอดเข้าโอบประคองแผ่นหลังบางไว้ ลูบไล้ผิวเนียนนุ่มราวหลอกล่อให้เคลิบเคลิ้ม ก่อนปลดตะขอชุดชั้นในไร้สายของเธอด้วยมือเดียว เกี่ยวดึงปราการชิ้นเล็กจนหลุดพ้นและโยนให้ปลิวไปลงที่ไหนสักแห่ง
เธอรู้ตัวทุกสิ่งที่เขากระทำ รู้สึกชัดยามเมื่อมันเสียดสียอดอ่อนไหวก่อนหลุดออกเพราะแรงรั้งของเขา เช่นนั้นเธอจึงเปลือยเปล่าภายใต้เสื้อขาวบางเบาที่ไม่อาจปกปิดปลายยอดชูชันได้
ชายหนุ่มขยับยันกายขึ้นเพื่อปลดเปลื้องปราการชิ้นบนของตนออก จดจ้องร่างบางไม่วางตาขณะไล่แกะกระดุมเสื้อ สะบัดเชิ้ตสีอ่อนจนพ้นกาย
แสงรำไรอาบไล้กายแกร่งเพียงบางเบา มองเห็นมัดกล้ามล่ำสันไล่ทอดเป็นทางลงสู่เบื้องล่าง...หายเข้าไปในขอบกางเกงสีเข้ม เธอรู้สึกว่าเขาน่าลุ่มหลงกว่าครั้งไหนๆ หล่อร้ายภายใต้แสงไฟสลัวเกินจะกล่าว
หากที่ผ่านมาคือความเร่าร้อนลุ่มหลง ครั้งนี้เขาจะใช้ความรักนำพา รักที่ปรากฏแจ้งแล้วในใจตน รักอย่างที่มิอาจรัก มิอาจต้านทาน และมิอาจปฏิเสธ
ชายหนุ่มก้มลงมอบความรักให้เธออีกครั้ง จูบประทับขยับเข้าหาอีกครา สอดมือหนาเข้ากอบกุมเนื้อแท้หนั่นแน่นของเธอไว้ในอุ้งมือร้อน เคล้นคลึงให้เธอพอใจไปกับแรงสัมผัส ถูไถปลายยอดเคร่งครัดให้เธอสุขซ่าน พึงใจเมื่อหญิงสาวครางรับจังหวะรุกรานเสียงหวาน
“พี่วิน...” พาพราวหยัดกายขึ้นตามการควบคุมของเขา เพียงปลายนิ้วก็ทำเธอบิดเร่าได้ทั้งกาย
“ถอดออกนะพราว” ชายหนุ่มเลิกเสื้อเนื้อบางขึ้นสูง หยุดเพื่อขออนุญาตเจ้าของ ครั้นเห็นเธอไม่ต่อต้านจึงปลดปราการให้พ้นไป
เหลือเพียงกายเปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิด แสงสว่างส่องกระทบสาดสะท้อนลงมาตามสัดส่วนโค้งนูนน่าสัมผัส เธอสวยยิ่งกว่าที่เคยสวย สวยกว่าครั้งไหนๆ น่าลุ่มหลงยิ่งกว่าคราใดที่ผ่านมา
“พราวของพี่” เขากระซิบเสียงทุ้มพร่ายามเมื่อชิดอยู่ที่ยอดสีระเรื่อของเธอ
เพียงแรงลมพัดผ่านจากริมฝีปากเขาพาเธอสะท้านไปทั้งอก และเกือบจะกลั้นไม่ไหวยามเมื่อเขาไล้ลิ้นลงหยอกเย้า “อื้อ...” เจ้าของเสียงหวานยกมือขึ้นก่ายกอดโอบประคองท้ายทอยเขาไว้ มือบางขยับไหวตามจังหวะการสัมผัสของเขา
ทว่านั่นเป็นแค่การเริ่มต้น เขาเริ่มเพิ่มจังหวะสัมผัสให้เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ชิมหาความละมุนราวกับคนโหยหิว ดูดกลืนเธอไว้เต็มกำลัง
“พี่วินคะ พราว...ไม่ไหว” เธอหอบถี่ตามจังหวะละเลงลิ้นเร้าของเขา ความซ่านหวิวที่ใจกลางกายกระจ่างชัดขึ้นมา กล้ามเนื้อเล็กกระตุกเร่งราวรอการเติมเต็มจากเขา
เขาเองก็ไม่ไหว แก่นกายอัดแน่นภายใต้พันธนาการหนาเพื่อรอการปลดปล่อย ปลายลิ้นอุ่นจึงหยอกเย้ายอดนุ่มอย่างแรงในจังหวะสุดท้าย ทิ้งยอดระเรื่อเพื่อไปหาบางอย่างที่ใจกลางความเป็นเธอ ใบหน้าชายไล้ต่ำลงไปเรื่อยๆ ขบเม้มเป็นทางลงไปตามหน้าท้องแบนราบ ผิวเนียนนวลชวนให้พร่าหวิว ก่อนกระโปรงยีนของเธอจะปลิดปลิวจนพ้นปลายเท้าเรียวสวย
หัวใจเธอเต้นระส่ำยามผ้าเนื้อหนาเสียดสีไล่เรื่อยไปตามเรียวขาสวย อดหวิวไม่ได้ยามเมื่อมันพ้นไปจากเรือนร่าง
เธอเกือบเปลือยเปล่า...
มีเพียงชั้นในสีหวานประดับเรือนร่างเปล่งปลั่ง เขาแทบคลั่งเมื่อเห็นว่าเธอสวมใส่สิ่งใดภายใต้กระโปรงสวย มือชายสั่นระริกยามเอื้อมขึ้นหมายจะแตะต้อง
หญิงสาวสะเทิ้นอายเมื่อได้สบดวงตาสีนิลทอประกายวาววับไม่ปกปิดแรงปรารถนา ร้อนเห่อลามเลียไปทั้งเนื้อกายสาว พาพราวแทบลืมหายใจตอนที่ชายหนุ่มวางมือลงบนต้นขาของตน
เขาแทบสิ้นสติยามลูบไล้เรียวขาเนียนนุ่มอมชมพูระเรื่อของเธอ วาดฝ่ามือร้อนตีตราขึ้นสูง ก่อนหลอกล่อให้เธอขยับเรียวขาออกกว้างตามการชักนำของเขา แล้วเข้าคุกเข่านั่งลงหว่างกลาง หอมซับเอากลิ่นกายสาวจนซ่านไหว จูบไซ้ไปตามต้นขาอ่อนนุ่ม แกล้งละเลงลิ้นจนเธอต้องขยับหนี ทว่าเขายึดไว้มั่น ครั้นเธอหนี เขาก็ยิ่งเพิ่มรอยสัมผัส ขบเม้มจนขึ้นสีกุหลาบบางเบา
ทุกรอยจูบของเขาส่งผลยังส่วนปริศนาที่ถูกปกปิด มันเร่งเร้าราวกับอยากเรียกร้องความสนใจ กระทั่งปลายนิ้วแกร่งกดลงหว่างกลางกายสาว ส่วนนั้นมิได้สงบ ทว่ากลับยิ่งกระตุกเต้นร่ำร้อง ซ้ำยังฉ่ำชื้นให้เธอรู้สึกกระสันซ่านเสียจนไม่อาจทนรอ
“อื้อ...” ประสบการณ์ที่เคยผ่านพ้นไม่อาจทำให้เธอทานทนได้ ไม่สามารถตั้งรับและไม่อาจต้านทานแรงเสน่หาที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
ชายหนุ่มขยับนิ้วกรีดกรายหยอกเย้าจนเธอต้องกลั้นลมหายใจ นัยน์ตาคมเข้มพิศเพ่งไม่วางตา มองดูทรวดทรงแสนปรารถนาด้วยสายตาลุ่มหลง บดคลึงเข้าหาจนเธอเริ่มครางถี่กระชั้น
“พี่วิน...” พาพราวพร่ำเรียกเขาเสียงหวาน ส่วนอ่อนไหวของเธออยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เพียงปลายนิ้วขยับก็สร้างแรงรัญจวนให้เธอซ่านได้อย่างมหาศาล
ใจเต้นกระหน่ำยามปลายนิ้วชายเกี่ยวขอบอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายแล้วค่อยๆ รูดรั้งปลดเปลื้องเธออย่างเชื่องช้า ขัดกับจังหวะหัวใจของเธอเกินจะกล่าว หนาวและร้อนในวินาทีต่อมา เมื่อตระหนักชัดว่าตนเปล่าเปลือยปรากฏชัดอยู่เบื้องหน้าเขา
ราวภาพฝัน เมื่อตรงหน้าคือเจ้าของเรือนร่างที่เฝ้ารบกวนกันทุกห้วงคะนึง อยากครอบครอง อยากรักจนยอมละทิ้งอคติมากมาย เพียรเข้าหาเพื่อให้เธอยอมรับ ไม่ใช่แค่กาย แต่คือทั้งหมดของเธอ เขาอยากได้ทุกอย่างที่เป็นเธอ ทั้งตัวและ...หัวใจ
“พาพราว” นุ่มนวลเกินกว่าครั้งไหน ซ่านไหวเกินกว่าที่เคยได้ฟัง ชายหนุ่มพังทลายความอายเธอจนสิ้น ตอกตรึงเธอไว้ด้วยสายตาราวทะนุถนอม ชวนให้ยินยอมและพร้อมใจไปด้วยกัน ไม่ใช่สายตาจาบจ้วงหยาบคาย ไม่ใช่สายตาที่ทำให้เธอรู้สึกว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใด
“ขอนะครับ” กวินภัทรหยุดทุกอย่างเพื่อรอคำอนุญาต ครั้นเธอไม่เอ่ยคำใด มีเพียงสายตาที่มองมาราวรอคอย ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ขยับเข้าหาส่วนอ่อนไหว ประทับริมฝีปากลงบนความนุ่มละไม
เธอไม่เคยและไม่รู้ว่าจะผ่านสัมผัสเกินพอดีนี้ไปเช่นไร ยามเขาขยับไล้ยิ่งพร่าสติเธอให้เลือนราง ราวทุกอณูในร่างกายกำลังตื่นรับอย่างรุนแรง ครางเร่าอย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าเปล่งเสียงเช่นนี้ออกมา “...พี่วิน”
เสียงลมหายใจหอบถี่พาให้คนปลุกเร้ายิ่งได้ใจ ชายหนุ่มแทบละลายไปกับความอุ่นนุ่ม ดื่มชิมเธอทั้งหมดที่ต้องการ แปรเปลี่ยนจากความอ่อนโยนเป็นเร่าร้อน เร่งปลายลิ้นสัมผัสเป็นวงกว้างจนเธอต้องหยัดกายหนี
หญิงสาวกัดริมฝีปากไว้แน่น หลับตาเมื่อทุกอย่างนั้นพลุ่งพล่านซ่านหวามเกินทน
กวินภัทรหยัดกายขึ้นมองคนใต้อาณัติ กายสาวเปล่าเปลือยเปล่งปลั่ง วงหน้าหวานแดงระเรื่อ เธอสะบัดศีรษะจนเรือนผมนุ่มแผ่กระจายพลิ้วไหวไปบนหมอนหนุน
ชายหนุ่มมองดูฤทธิ์อารมณ์ที่กำลังโอบล้อมเธอไว้ มองทุกความเป็นไปของเธอ ก่อนก้มลงปรนเปรอให้เธออีกครา ด้วยรู้ว่าทรมานกันนานเกินไปแล้ว นิ้วแกร่งขยับเข้าหา แทรกลึกลงไปในความชุ่มฉ่ำ พร่ำจูบประทับให้เธอกระสันซ่าน
เธออ่อนละมุนเสียจนเขากลัวว่าความแข็งแกร่งของตนจะทำเธอบุบสลาย เช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไม่รีบร้อน กลับทอดเวลาเนิ่นนานยามที่กดนิ้วเข้าหาเธออีกครา เชื่องช้า ใจเย็น และอ่อนโยนเป็นที่สุด “ดีไหมพราว” เสียงห้าวดังออกมาจากริมฝีปากเขา
เสียงและลมหายใจเพียงแผ่วเบายามเขาเอื้อนเอ่ยทำเธอสะอื้นฮัก อยากขยับกายห่างเพื่อพักสักช่วงเวลา ทว่าเขาไม่ยินยอม ยังคงลากไล้และขบเม้มกันไว้ เย้าเธอด้วยจังหวะร้อนรุ่ม
“พราวไม่ไหว” เขาจู่โจมปลุกเร้าเธอทุกทาง ความซ่านบีบรัดกระชับเธอเข้ามาเรื่อยๆ แทบดิ้นพราดเมื่อต้านทานแรงปรารถนาไม่ไหว
ชายหนุ่มแตะต้องยังส่วนไวต่อความรู้สึก สัมผัสลึกซึ้งจนเธอแทบขาดใจ ทั้งยังกดย้ำเข้าใส่ไม่มีผ่อนปรน ทิ้งท้ายด้วยการเม้มผิวเธอเต็มแรง ก่อนเงยหน้าขึ้นมอง รอดูยามเธอใกล้ถึงปลายทาง
พาพราวหลับตาเอียงหน้าซบลงกับหมอน ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้ ไม่อาจฝืนกลั้นบางอย่างที่กำลังทะยานอยู่ภายใน เขาจะชักนำเธอไปยังดินแดนไหน เธอพร้อมไปทั้งนั้น
“เรียกพี่...เรียกดังๆ”
“พี่วิน...”
“อีก!”
“พี่วิน...อา” ร่างบางสั่นพลิ้วอย่างแรง หวีดครางเสียงดังเมื่อผ่านพ้นไปยังความพราวระยับนับล้าน เธอไหวสะอื้นและสูดปากราวเสียวซ่าน หลับตาพริ้มดื่มด่ำรสรักที่เขาบำเรอให้ นอนจับความรู้สึกที่กลางกายยามเมื่อมันสั่นระริกเต้นตุบใส่ลำนิ้วของเขา ซ่านเสียจนไม่อาจพรรณนา
หญิงสาวหอบถี่เสียจนริมฝีปากบางซีดเซียว ส่งผลให้คนมองจำต้องขยับขึ้นครอบครองนำพาความชุ่มชื้นเข้าอาบไล้ โลมเลียให้เธออย่างเอาอกเอาใจ
“พราวชอบไหม” กวินภัทรกอดคนที่นอนระทวยไว้ในอ้อมแขน จูบขมับชื้นเหงื่อของเธอราวทะนุถนอม
คนโดนถามไม่กล้าลืมตาขึ้นมอง แรงสุขสมยังติดตรึงไม่จางหาย
ชายหนุ่มจึงเลื่อนกายออกห่าง ปลดปราการชิ้นล่างของตนให้พ้นกาย ความเป็นชายไร้พันธนาการ ก่อนคลานเข้าใกล้ร่างบางที่เอาแต่หลับตานิ่ง สะเทิ้นอายหนักเข้าเมื่อเขาแตะต้องลงบนเรียวขางาม กายสาวสะดุ้งไหวยามเขากดกายชายเข้าสัมผัสส่วนอ่อนไหว ถูไถกันและกันเพียงแผ่วเบา
เธอแทบสิ้นสติเมื่อรับรู้ได้ถึงปลายโค้งมนที่แนบชิด
เจ้าของร่างจงใจรุกรานเพียงภายนอก ไถลเลื่อนล้อไปกับความนุ่มนวลของเธอ ปลุกเร้าให้ความร้อนอาบชโลมจนเธอพร้อมสำหรับเขา
“อื้อ...” คนโดนเร้ากำลังทรมาน ซ่านจนไม่อาจทานทน โหยหาจนไม่อาจควบคุม ละอายใจยามตระหนักชัดว่าตนกำลังคาดหวังและรอคอย
“พี่ขอนะครับ” คำขอสุดท้ายคล้ายเป็นการบอกให้รับรู้ หลังจากนี้ไม่มีพื้นที่ให้เธอหันกลับแล้ว มือหนาดันเรียวขางามให้กว้างขึ้นเพื่อรับความรุ่มร้อนจากกายเขา ราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นเรียกร้องให้แทรกกายเข้าไปในความอ่อนนุ่ม เขากลั้นใจสุดกำลังตอนที่ส่งผ่านตัวตนลงไปในเนื้อนวลสีหวาน ซ่านไหวและคับแน่นเกินกำลัง
“อื้อ...พี่วิน” เพียงส่วนปลายมนที่กดเข้าหากันทำเธอซ่านเกินทน ก้ำกึ่งระหว่างความหวาดกลัวกับร่ำร้องต้องการ
“พราว...” กวินภัทรเกร็งกายแน่นก่อนออกแรงกดแหวกเข้าอีก สู้กับความรัดรึงของเธออย่างหนัก ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งตนเคยได้ล่วงล้ำเข้าไปแล้ว ครั้นทนไม่ไหวจึงกดเข้าใส่เต็มแรง
จังหวะที่เขากดลงดิ่งลึกอย่างเร็วสร้างแรงสั่นสะท้านในเนื้อกายสาวจนสะเทือนไหวไปทั้งเรือนร่าง เธอกอดกระชับเขาไว้ กัดปากและหลับตาแน่น เจ็บจนเกินทน กลบสิ้นซึ่งอารมณ์หวามไหวก่อนหน้า ทิ้งไว้เพียงหยดน้ำตาและความเสียดแน่นแสนอึดอัด
ชายหนุ่มล่วงผ่านใยบางเบา ทว่ากลับหนาแน่นเสียจนกระชากสติเขาให้ตื่นเต็มกำลัง
ความตึงแน่นบอกให้รู้ว่ามีบางอย่างถูกทำลายลง เกิดประโยคคำถามนับร้อยวิ่งวนเข้าชนสองร่างที่กำลังสอดประสาน สายใยแห่งความบริสุทธิ์ที่เขาเฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ทว่าเขาก้าวข้ามคำตอบของคำถามที่เก็บกดมานานแล้ว
“พราว... ทำไม” ความยินดีอาบไล้ไปทั้งใจชายหนุ่ม เกินคาดหวัง ไม่สิ เขาไม่ได้หวังและมองข้ามมันมานานแล้ว
มือหนาเกลี่ยคราบน้ำตาให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน จดจ้องวงหน้าหวานด้วยความรัก ความหวงแหนปรากฏชัดขึ้นในใจชาย เขาไล้ปลายนิ้วที่เปลือกตาเธออย่างนุ่มนวล พาพราวจึงกล้าลืมตาขึ้นมองกัน ทุกอย่างลอยเคว้งในอากาศ
เพียงครู่ชายหนุ่มจึงเริ่มขยับอีกครั้ง เชื่องช้ากว่าทุกครั้งที่เป็นมา “ยังเจ็บอยู่ไหม พี่ขอโทษนะ” หากความสุขต้องแลกมาด้วยความเจ็บของเธอ เขาสัญญาว่าหลังจากนี้จะดูแลเธอให้สมกับที่เธอต้องอดทนเพื่อผ่านพ้น “ขอโทษนะ”
หญิงสาวยิ้มรับทั้งที่ยังเจ็บหน่วง ความเจ็บยังอยู่ ทว่าความห่วงใยจากเขาทำให้เธออดทนได้ “ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะ แต่...แต่อย่าเพิ่งนะคะ”
“ครับ” เขาไม่อาจทำตามใจตัวเอง ยอมอดทนไปด้วยกัน ทว่ายิ่งหยุดนิ่งค้างไว้ เธอก็ยิ่งบีบรัดกันแน่นเข้า ทรมานจนไม่อาจทนกลั้น จึงหันเหความสนใจด้วยสัมผัสซ่านไหว ไซ้ซอกคออุ่นจนเธอเริ่มคล้อยตาม ลามลงไปยังผิวนุ่มเหนือเนินอก ทิ้งร่องรอยจางๆ ไว้เป็นสัญลักษณ์ งับเข้าใส่ปลายถันเต็มแรงจนเธอสะท้าน ครั้นเห็นเธอหวิวไหวจึงเริ่มขยับเขยื้อนเชื่องช้า วนเบาๆ อยู่ภายในอีกครา
“อ๊ะ!” หญิงสาวสะอื้นลึกในลำคอ
“เจ็บไหม” เขาห่วงและพะวงไปเสียหมด กลัวตนเองจะทำเธอเจ็บช้ำ
ครั้นเห็นเธอส่ายหน้าเบาๆ จึงเริ่มถอดถอนกายออกช้าๆ ครูดไล้ส่วนปลายมนไปกับผิวนุ่มภายใน ความเจ็บจึงลดระดับลงแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มากขึ้น...มากขึ้น
ความโหยหาเด่นชัดยามเมื่อเขาขยับออกจนหมด เธอกำลังรอคอยให้เขาตอกตรึงลงมาอีกครา ลืมความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น กวินภัทรกดเข้าหาแหวกความนุ่มราวกับโดนดูดกลืน จมลึกลงไปในวังวนของเธอ
พาพราวตอบรับสัมผัสด้วยเสียงหวาน ก้องสะท้านใจชายนัก เขากำลังได้ครอบครองเธอเป็นคนแรก...และจะเป็นคนเดียว มีแค่เขาเท่านั้นที่ได้ฟังเสียงหวานรัญจวนนี้
ลำกายเบียดลึกลงกว่าเดิมในจังหวะที่สอง มองดวงหน้างดงามใต้ร่างอย่างลึกซึ้ง เธอสวยกว่าในจินตนาการเป็นล้านล้น “พี่เป็นของพราวแล้วนะ”
สิ้นคำหวาน ความซ่านจากการรุกล้ำก็ยิ่งซ้ำถี่ จังหวะสอดประสานแปรเปลี่ยนจากอ่อนหวานเป็นเร่าร้อน ดุดัน ทว่าก็นุ่มนวลในที
ตาสบตา เนื้อกระทบเนื้อ ความแข็งแกร่งเผชิญเข้าหาความอ่อนนุ่ม สุ้มเสียงหอบกระเส่าคลอเคล้าไปด้วยกัน บรรยากาศระอุร้อนไปด้วยอารมณ์รัก
“พี่วิน...” ผิวเนื้อนุ่มชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อบางเบา หญิงสาวแอ่นกายขึ้นรับจังหวะรัก อกอิ่มไหวขยับตามแรงส่งชวนให้หลงใหล
เมื่อเขาทนไม่ได้จึงเอื้อมมือขึ้นครอบครอง กอบกุมความนุ่มที่เธอมี บดขยี้ยอดสีหวานล่อสายตา
“พราว” เขาหอบฮักอย่างแรงเหนือกายสาว ครางห้าวในลำคอ ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อผุดพราย ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ไหล่ตั้งตรงรับกับแผงอกล่ำ ซึ่งเกร็งแน่นจนมองเห็นลอนกล้ามชัดเจน หน้าท้องแขม่วเข้ายามเขาออกแรงเต็มกำลัง รุนแรง เร่งเร้า และเร่าร้อน
“อื้อ...พี่วิน” พาพราวไม่กล้ามองส่วนเสียดสี เพียงความรู้สึกก็ซ่านเกินกว่าจะกล้าเปล่งวาจาใด ทำได้เพียงเรียกชื่อเขาซ้ำๆ กอดกายชายไว้ราวต้องการหลักยึดเหนี่ยว เผลอกดปลายนิ้วยามอารมณ์พลุ่งพล่านเกินต้าน กระทั่งเปลี่ยนเป็นจิกแน่นเมื่อเขาเพิ่มระดับความร้อนเท่าทวี ซ้ำยังครูดเล็บขีดข่วนไปตามมัดกล้ามเขาอย่างไม่รู้ตัว
“อา...พราว” เขาเจ็บ ทว่าเป็นความเจ็บที่ดี นั่นยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนภายในให้คลุ้มคลั่ง ร้าวกระสันไปทั้งแก่นกาย ยิ่งโถมกระหน่ำเข้าใส่เติมเต็มอารมณ์ปรารถนาที่ใกล้ปริ่มเต็มที หยาดเหงื่อไหลเป็นทางตามลอนล่ำสัน กล้ามแกร่งเกร็งเขม็งแน่นยามเมื่อออกเรี่ยวแรงเต็มที่
เธอครางอย่างลืมอาย หยัดกายตอบสนองเขาเต็มกำลัง ชายหนุ่มไม่ยับยั้งสิ่งใดแล้ว เขาจู่โจมรุกล้ำเข้าหาไม่ผ่อนปรน อดทนเพื่อออกแรงสอดประสานทรงพลัง กระทั่งปลายทางอยู่เพียงเอื้อม ชายหนุ่มส่งจังหวะสุดท้ายเข้าลึกล้ำ ย้ำชัดด้วยการกดแน่น
“พี่วิน...” เธอหวีดครางเสียงดังอย่างไม่อาจกลั้นยามเมื่อเขาส่งถึงยังภวังค์ของความหวามไหว มวลความร้อนมากมายชโลมไล้ไปทั้งกาย ก่อนหายไปในเสี้ยววินาที แทนที่ด้วยความบางเบาอันไม่อาจบรรยายได้
“อา...พราว...” กวินภัทรครางเสียงทุ้มต่ำ กายชายสั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่คาดคิดว่าอารมณ์รัญจวนจะอัดแน่นถึงเพียงนี้ เป็นการร่วมรักที่เขารอคอยและซ่านหวิวมากกว่าครั้งไหนๆ มากมายท่วมท้นจนเกินสุข
ชายหนุ่มปลดปล่อยธารอารมณ์ให้หลั่งไหลอยู่ภายในกายเธอ ด้วยรู้ว่าอยู่ในระยะปลอดภัย เขาสนใจทุกเรื่องของเธอเกินกว่าที่เจ้าตัวจะคาดคิดเสียอีก ก่อนเอนกายลงซบเคียงเคล้าไปกับเจ้าของหัวใจ มองดูใบหน้าหวานในระยะใกล้ด้วยแววตาลึกซึ้ง จูบขมับคนตัวเล็กราวทะนุถนอม “พี่ทำพราวเจ็บมากไหม” เอ่ยถามอย่างนุ่มนวล พลางเอื้อมมือหนาปัดป่ายปอยผมชื้นเหงื่อให้พ้นกรอบหน้างาม เธอยังคงหลับตาและไม่กล้ามองกัน
พาพราวเพียงส่ายหน้าแทนคำตอบ หอบหายใจถี่ทั้งที่ใจกลางกายยังคงไหวระริกไม่คลาคลาย
“ดีไหม” นุ่มนวลชวนให้อ่อนไหวเกินทน แถมคนช่างอ้อนยังซุกไซ้เข้าหาไม่ลดละ
ทว่าเธออายเกินกว่าจะกล้าเอ่ยคำใด แก้มใสจึงแดงจัดขัดเขินอย่างหนัก
“ดีไหมครับ” ถามซ้ำเมื่อเธอเอาแต่หลับตาพริ้ม ไม่ยอมมองกัน กวินภัทรกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่น ทว่ายังคงค้างแก่นกายไว้นิ่งอย่างนั้น “ขออีกได้ไหม” เขาเย้าเสียงพร่า
สิ้นคำขอดังว่า คนที่ไม่กล้าลืมตาก็เปิดจ้องมองเขาทันที “ไม่...ไม่นะคะ” เสียงหวานสั่นไหวไม่ต่างจากสายตา
“นะ...”
“พราว...พราวไม่ไหว”
กวินภัทรระบายยิ้มเอ็นดู รู้ว่าตนเอาแต่ใจมากเกินไป จึงยอมถอนกายออกห่าง พลางขยับกระชับเธอไว้ในอ้อมแขนและห่มผ้าหนานุ่มให้กัน กุมมือเล็กขึ้นมองราวทะนุถนอม “คืนนั้นเราไม่ได้มีอะไรกันจริงเหรอ” มิน่าเขาถึงไม่เจอร่องรอยอย่างที่บ้าตามหา ทั้งยังคิดเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียว
“พราวไม่รู้” นั่นมันครั้งแรกของเธอ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง และจำได้ว่าหมดสติไปก่อนเขาจะจับเธอถอดเสื้อผ้าเสียอีก ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองเปลือยเปล่าเสียแล้ว ทว่าจากสภาพนั้นย่อมตีความได้เพียงอย่างเดียว
“พี่ขอโทษนะ พี่เมาและ...ครั้งนั้นมันก็...” สุ้มเสียงเขาติดขัดเกินกว่าปกติ เรียกความสนใจให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง ยิ่งเห็นใบหน้าคล้ายขัดเขินก็ยิ่งนึกสงสัย
“คะ?” เธอยันกายขึ้นสบตาเขา จดจ้องรอคอยคำตอบ
“ก็...ครั้งแรกของพี่เหมือนกัน” เขาอ้อมแอ้มตอบอย่างเอียงอาย ใบหน้าชายซับสีระเรื่ออย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
หญิงสาวบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ทว่าความรู้สึกหนึ่งทะยานขึ้นในใจอย่างเบิกบาน ริมฝีปากสีหวานจึงจดลงบนแก้มชาย ก่อนคนขี้อายจะรีบก้มลงแนบหน้าเข้าหาอกอุ่น ซ่อนยิ้มกระจ่างชัดบนใบหน้าไว้ให้พ้นสายตาเขา
“พราว...” กวินภัทรหน้าแดงราวหนุ่มน้อยโดนสาวขโมยหอมแก้มเป็นครั้งแรก ทั้งที่เพิ่งผ่านพ้นความสัมพันธ์แสนลึกซึ้ง “พี่เป็นของพราวแล้วนะ” คนอยากมีเจ้าของกระซิบบอกเสียงหวาน ครั้นเห็นเธอนิ่งเงียบจึงเอ่ยอีก “พราวเป็นของพี่แล้วนะ” กระนั้นหญิงสาวก็ยังกอดเขานิ่งอยู่อย่างนั้น “เราเป็นของกันและกันแล้วนะ”
ใจเธอสั่นไหวจนต้องหลับตาระงับความรู้สึกชนิดหนึ่งที่เพิ่งก่อเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ก่อนกระชับกอดเขาแน่นเข้าเพื่อบรรเทาความรู้สึกหวั่นไหว
“เป็นไง ของขวัญวันรับปริญญาจากพี่”
“คะ?” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองอย่างสงสัย และทันทีที่เข้าใจความนัยจากเขา “บ้า...” หน้าหวานแดงระเรื่อ ก่อนจะขยับกายหันหน้าหนี กอดผ้าห่มผืนนุ่มไว้แนบอก ฟังเสียงเขาลุกขึ้นไปทำบางสิ่งบางอย่างดังกุกกัก ก่อนกลับขึ้นมาอีกครั้ง สอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน กอดก่ายเธอไว้เต็มวงแขน พลางโชว์บางสิ่งบางอย่างในกำมือให้เธอมอง “อันนี้ของแถม”
กุญแจรถ...
“พี่วิน...” มันมากเกินไป เธอจะกล้ารับไว้ได้อย่างไรกัน
“พี่ให้พราว”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ ผู้ใหญ่ให้ของห้ามปฏิเสธ”
“อื้อ...พราว...พราวไม่ใช่เด็กเสี่ยนะคะ”
ตีความไปนั่น “พี่ทำตัวเหมือนเสี่ยใจป้ำเหรอไง”
“ก็เราเพิ่ง...” เธอขอเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ “แล้วพี่วินก็เปย์ให้พราว...หนักด้วย”
เสี่ยใจป้ำยิ้มกว้างพลางหอมแก้มน้องหนูหน้าแดงเต็มฟอด “ไหนเรียกป๋าขาซิ ป๋าจะจัดให้หนูสมค่าเปย์เลย” ชายหนุ่มพลิกเธอกลับมาหา ขยับแนบชิดอีกครา
“อื้อ...ไม่...ไม่เอานะคะ” หญิงสาวรีบห้ามเสียงหลง ดูท่าคุณป๋าของเธอจะหื่นมากด้วยสิ
“เอาเถอะ...นะ เอาไปแค่ครั้งเดียวเอง” ก็ไม่พอจริงๆ ยิ่งได้ เขาก็ยิ่งต้องการอีก
“ไม่เอา”
“จะเอาๆ จะเอาอีกหลายๆ ครั้งเลย”
“ไม่เอา พราวเจ็บอยู่นะคะ”
“หนูเจ็บตรงไหนคะ เดี๋ยวป๋าดูให้” กวินภัทรมุดผ้าห่มจนเธอต้องจับเขาไว้แน่น
“อื้อ...ไม่นะคะ พราวเหนื่อย”
ชายหนุ่มรีบขยับขึ้นมองพลางจ้องหน้าเธอด้วยแววห่วงใย เขาลืมไปว่าวันนี้เธอต้องยุ่งตั้งแต่เช้ามืด “พี่ขอโทษนะ พราวตบพี่ที ขอแรงๆ นะ” มือหนากุมมือเธอวางที่แก้มตน
“คะ?” เธอไม่เข้าใจ
“พี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม รู้สึกเหมือนฝันเป็นจริงเลย ขอบคุณนะ” เมื่อเธอไม่ตบ เขาจึงดึงมือบางมาแนบชิดริมฝีปากตน และจุมพิตอย่างนุ่มนวล
“ฝันอะไรคะ”
พาพราวจึงได้ฟังเรื่องราวความฝันแสนหวิวของเขา ชายหนุ่มเล่าระบายราวอัดอั้น พลางยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นสีหน้านางในฝันของเขา เธอทำหน้าราวจะร้องไห้ ไม่เชื่อว่าเขาจะฝันไปไกลเช่นนั้น
“พะ...พี่วินไปอยู่เมืองนอกแล้วใจแตกเหรอคะ” เธออึ้งงันและตกตะลึงเกินกว่าจะบรรยาย
“ใช่ ขอบคุณที่สานฝันให้พี่นะ” เขาเอ่ยราวตื้นตันใจหนักหนาพลางโน้มหน้าไซ้ปลายจมูกแกล้งกันเล่น “แล้วก็ห้ามแต่งตัวแบบวันนี้อีก ห้ามดื่มเหล้าจนเมาแบบนี้ด้วย เข้าใจไหมครับ”
“อื้อ...” บอกเฉยๆ ได้ไหม ทำไมต้องไซ้กันด้วยเล่า
“แต่ตอนเมา พราวน่ารักดีนะ น่ามาก!”
“...!”
“รู้งี้จับมอมเหล้าลากเข้าห้องตั้งนานแล้ว” ครั้นเห็นเธอหน้าตาตื่น เขาก็... “พี่ล้อเล่น”
“กี่โมงแล้วคะ กลับบ้านกัน คุณแม่คง...” เธอพูดได้เพียงเท่านั้น ไม่อาจเอ่ยคำใดต่อไปได้
“พราว...” กวินภัทรใจเสียเมื่อจู่ๆ เธอก็นิ่งเงียบไป
ทั้งๆ ที่แม่อุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจ แต่เป็นเธอเองที่ยับยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้ นั่นเองที่ทำให้เริ่มละอายเพราะความใจง่ายของตน ยอมให้มันเกิดขึ้นโดยไม่นึกถึงความเหมาะสม แพ้ใจตนเองย่อยยับ พอคลื่นแรงปรารถนาลูกใหญ่ผ่านพ้นไป ก็ทิ้งไว้เพียงความสงบราบเรียบ สำนึกผิดชอบชั่วดีปรากฏชัดในมโน เธอกล้าทรยศต่อผู้มีพระคุณได้อย่างไร แรงเจ็บหน่วงกดลึกอยู่ภายในอกข้างซ้าย แม้อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ได้เมื่อเขายังนอนแนบก่ายเนื้อกายร้อนข้างกันเช่นนี้ หลักฐานชั้นดีที่ทิ่มแทงเอาทุกความรู้สึกเธอขาดวิ่นเว้าแหว่ง รู้สึกราวศรัทธาบางอย่างในใจตนนั้นสูญสลายไป ความรู้สึกผิดกัดกินจนเกินร้าว
“พราวเป็นไร” ครั้นเห็นเธอเงียบงันนานเกินปกติ ทั้งยังหลับตานิ่งอย่างนั้นจึงเริ่มใจคอไม่ดี
“เปล่าค่ะ...พราวง่วง” หญิงสาวตอบทั้งที่ยังหลับตา
กวินภัทรอยากทำโทษตนเอง เพิ่งนึกได้ว่าเธอเหนื่อยมาทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดและยังไม่ได้พัก แถมเขายังเอาแต่ใจเรียกร้องจากเธอไม่หยุดหย่อน “นอนกับพี่นะ เดี๋ยวพี่บอกแม่เอง”
เธออยากฝืน ทว่าเหนื่อยเกินกว่าจะปฏิเสธหรือคิดหาสิ่งใด ไม่รู้ว่าต่อไปอะไรจะตามมาจากผลการกระทำครั้งนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว
ความรู้สึกยามเขาลุกห่างออกไปทิ้งไว้เพียงไอจางๆ และเนื้อตัวเปล่าเปลือยของตน ทำให้หญิงสาวรู้สึกหนาวจับใจขึ้นมา ความรู้สึกเคว้งคว้างโหยหากระจ่างชัดเสียจนเธอกลัว หลับตานอนฟังเสียงเขาทำสิ่งต่างๆ ไม่กล้าลืมขึ้นมอง
ชายหนุ่มผละเพื่อไปจัดการธุระบางอย่างให้เรียบร้อย ส่งข้อความบอกคนเป็นแม่ให้เสร็จสรรพ แน่นอนว่าเขามีวิธีและคำพูดโกหกที่แนบเนียนเสมอ แล้วจึงอาบน้ำชำระร่างกาย ก่อนจะจัดเตรียมสิ่งของให้คนตัวเล็ก
ร่างแกร่งค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง ประคองเธอให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงใหญ่ไว้ “พราว” เขาเรียกเสียงแผ่วเบานุ่มนวล เกรงจะกวนเธอจนตกใจ
“คะ?” คนไม่ได้หลับลืมตาขึ้นมอง แววตาเธอหวั่นไหว คล้ายมีบางอย่างสะท้อนวาววับในวูบหนึ่ง ทำเอาเขาชะงักงันไปชั่วครู่ ก่อนเจ้าของจะกลบเกลื่อนด้วยการเสมองไปทางอื่น
ชายหนุ่มบรรจงลูบไล้สำลีชุบน้ำยาเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าให้หญิงสาว เธอหลับตารับสัมผัสอ่อนโยนเมื่อรู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใดให้กัน “เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณนะคะ”
“ไปอาบน้ำนะ พี่เตรียมทุกอย่างให้แล้ว เดินไหวไหม”
เขาเตรียมทุกอย่างไว้ให้จริงๆ ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับผู้หญิงถูกวางเรียงไว้เป็นอย่างดี เธอแพ้ความใส่ใจเช่นนี้ พ่ายให้แก่ชายเบื้องหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกดีและหน่วงใจไปในเวลาเดียวกัน กดเก็บมวลบางอย่างให้กลืนหายลงไปอย่างไม่อาจยอมรับได้
พาพราวส่องกระจกเผชิญหน้ากับตนเอง ถอดชุดคลุมออกเพื่อมองดูเรือนร่างเปลือยเปล่าของตน มองสบตาตนเองก่อนจะเริ่มร้องไห้ออกมาเงียบๆ เธอใช้เวลาอยู่ในนั้นนานสองนานเพื่อจัดการกับความรู้สึกอ่อนแอของตน
ครั้นออกมาแล้วได้เห็นว่าเขายังไม่หลับและรอกันอยู่ เธอก็ยิ่งสะท้านในอก ก่อนแกล้งกลบเกลื่อนอารมณ์หวั่นไหว
“ขอบคุณนะคะที่เตรียมทุกอย่างให้ แต่มันไม่มีชุดชั้นใน” หญิงสาวค้อนใส่เขาขณะก้าวขึ้นเตียงอย่างระมัดระวัง
“อยู่กับพี่ไม่ต้องใส่หรอก” เขาว่าพลางดึงเธอเข้าหาและจดริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา สูดเอากลิ่นครีมอาบน้ำที่ลอยฟุ้งมาพร้อมกับร่างนุ่มนิ่ม
“ห้ามทำอะไรแล้วนะคะ พราวเหนื่อย”
“พี่ขอโทษนะที่เอาแต่ใจ” ชายหนุ่มกระซิบบอกเสียงนุ่ม อบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็น สุขใจยามได้นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน หนุนหมอนใบเดียวกัน บนเตียงเดียวกัน และก่ายกอดกันไว้ไม่ห่างกาย
เธอไม่อยากตื่นจากฝันดีนี้เลย อยากฝันต่อไปเรื่อยๆ ราวคนเห็นแก่ตัว
ความคิดเห็น |
---|