14

บทที่ 14 คำมั่นสัญญา


14

คำมั่นสัญญา

ร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนทำให้คนที่เพิ่งรู้สึกตัวตื่นต้องรีบลืมตาขึ้นมอง จดปลายจมูกลงบนเรือนผมหอมนุ่ม กวินภัทรรู้สึกเต็มตื้นไปทั้งใจ แม้เมื่อวานจะเหนื่อยแสนเหนื่อย ทว่าพอมีเธอในอ้อมแขน ความเหนื่อยก็พลันมลายหายไปสิ้น เขาเริ่มหลงรักความรู้สึกยามได้หลับลงพร้อมกันและตื่นมาเจอกันในตอนเช้า อาการเหน็บชาที่ต้นแขนข้างขวามาพร้อมกับความอุ่นใจ เขายอมสละแขนต่างหมอนให้เธอได้หากได้ชิดใกล้กันเช่นนี้ทุกค่ำคืน

จะดีแค่ไหนถ้าได้เห็นเธออยู่ในสายตาทุกเช้า ได้เฝ้ามองใบหน้าหวานของคนขี้เซา ชายหนุ่มยิ้มเอ็นดู คิ้วสวยได้รูปของเธอขมวดมุ่นเล็กน้อยแม้ในยามหลับใหล เขาจึงเอื้อมปลายนิ้วขึ้นคลึงหว่างคิ้วให้เธอเบาๆ หญิงสาวขมุบขมิบปากอิ่มเล็กน้อยเมื่อโดนรบกวน กวินภัทรลูบเปลือกตาของเธออย่างนุ่มนวล ชวนให้คิดถึงแววตาร่าเริงของเธอเมื่อยามเป็นเด็กหญิงตัวน้อย เธอเอาแต่ใจ ช่างอ้อน และแสนงอน

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยอมให้อคติบดบังความรู้สึกจนละเลยเธอคนนี้ไป ทอดทิ้งเธอไว้ท่ามกลางความโดดเดี่ยว ทั้งๆ ที่เธอเหลือเขาเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนตัวเล็กนั้นอ่อนแอแค่ไหน และขี้น้อยใจเป็นที่หนึ่ง เธอต้องใช้ความพยายามมากมายแค่ไหนเพื่อให้ตัวเองเติบโตขึ้นมาได้ มันจะเหงาแค่ไหนกันที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีความหมายสำหรับใครเลยสักคน ยิ่งคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่ตนเคยกระทำก็ยิ่งเจ็บลึกในอก ร้าวจนผวากอดเธอไว้แน่นขึ้น กลัว...คนมีความผิดติดตัวย่อมกลัวผลย้อนกลับเสมอ

เมื่อรู้ว่าตัวเองคิดฟุ้งซ่านมากไป ชายหนุ่มจึงขับไล่ทุกความกังวลของตนเอง ก่อนรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ลงไปซูเปอร์มาร์เกตเพื่อซื้ออาหารสดมาเตรียมมื้อเช้ารอเธอ เอาอกเอาใจด้วยการตระเตรียมข้าวของไว้ให้เธอเสร็จสรรพ

...

“กี่โมงแล้วคะ ทำไมไม่ปลุกพราว” คนตัวเล็กเดินหัวยุ่งออกมาในเวลาสาย เธอเดินตามกลิ่นอาหารหอมอ่อนๆ เมื่อรู้ว่าเขาคงยุ่งอยู่ในครัว พูดทั้งที่ยังงัวเงีย หยีตาสู้แสงสว่างจ้าจากแดดสาย

พ่อครัวจำเป็นหันมามองคนตื่นสายทั้งที่ยังไม่ละมือจากงานครัว มันเขี้ยวเมื่อเห็นสภาพคนขี้เซา เอ็นดูหนักเข้าเมื่อเธอเอาแต่ขยี้ตาสู้แสง “ตื่นแล้วเหรอ ไปอาบน้ำนะ พี่แขวนชุดไว้ให้แล้ว คราวนี้ครบเซตทั้งข้างนอกทั้งข้างใน”

เขายักคิ้วหลิ่วตาให้จนเธออยากจะปาขวดพริกไทยใส่สักที คนบ้า!

มื้อสายวันนี้กวินภัทรเลือกทำเมนูบรันช์แสนโปรดให้เธอกิน เขาค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตนเพราะเป็นเมนูประจำวันครั้งอยู่เมืองนอก

มือหนาใช้ตะแกรงกวนน้ำในหม้อให้หมุนวนเบาๆ ผสมน้ำส้มสายชูลงเล็กน้อยก่อนเทไข่ลงไปในน้ำวนร้อน รอจนไข่ขาวเริ่มขุ่นและไข่แดงกึ่งสุกจึงใช้ตะแกรงช้อนขึ้นพักอย่างเบามือ ปาดเนยลงบนอิงลิชมัฟฟินให้ชุ่มก่อนวางลงแนบกริลล์บนกระทะร้อน รอจนเนยละลายและหอมไหม้พอเกรียม แล้วจึงวางซ้อนด้วยเบคอนและเจ้าไข่ดาวน้ำเนื้อนุ่มที่พักไว้ ราดด้วยซอสฮอลแลนเดสที่ตั้งใจทำในตอนแรก ปิดท้ายด้วยพริกไทยบดโรยหน้าให้พอหอมฉุย เป็นอันเสร็จเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ เขามั่นใจว่าฝีมือปลายจวักของตนจะมัดใจหญิงสาวได้แน่นอน

พาพราวเดินออกมาได้เวลาพอดิบพอดี กวินภัทรยิ้มพึงใจเมื่อเห็นหญิงสาวอยู่ในชุดที่เขาเลือกให้ เดรสสีฟ้าอ่อนลายทางสั้นเหนือเข่า มีสายเดี่ยวเส้นเล็กมัดเป็นโบที่ไหล่มน ผมยาวประบ่าถูกปล่อยลงมาคลอเคลียไหล่นวลเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ ดูอ่อนวัยลงไปอีกเมื่อเธอไม่ได้แต่งหน้า เขายิ้มกว้างต้อนรับพลางขยับเก้าอี้ให้เธอนั่ง คนหิวโซลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นอาหารน่ากิน

“เอ้ก เบเนดิกต์สำหรับมื้อแรกของเรา” พ่อครัวภูมิใจนำเสนอ ส่งสายตาหวานมาให้กันอย่างมีความหมาย

‘มื้อแรกของเรา’ ทำไมฟังแล้วเธออดเขินไม่ได้ ใบหน้าไร้เครื่องสำอางเริ่มแดงระเรื่อ

“พี่ตั้งใจทำมากเลยนะ” สีหน้าและแววตาคาดหวังจากเขาทำเอาเธอแทบกลั้นยิ้มไม่ได้

พาพราวค่อยๆ ละเลียดชิมด้วยกิริยาเรียบร้อย เปิดตากว้างเมื่อรสชาติอาหารดีเกินกว่าที่คาดไว้มาก คนทำจึงนั่งยิ้มกริ่มด้วยความสุขใจ กินไปมองเธอไปราวกับเป็นอาหารตาชั้นเลิศ

เธอเริ่มประหม่าเมื่อเขามองกันไม่วางตา ครั้นนึกได้ว่าตนไม่ได้แต่งหน้าก็เริ่มเสียความมั่นใจ “มองพราวทำไมคะ”

“ก็พราวน่ามอง”

“ให้นั่งมองทั้งวันก็ได้นะ พี่ชอบเวลาพราวไม่แต่งหน้าจัง น่ารัก...”

เขินสิ...ไม่เขินก็บ้าแล้ว

“วันนี้อยู่นี่ก่อนนะ เย็นๆ ค่อยกลับบ้านกัน”

แค่คำว่ากลับบ้านก็ทำเอาคนที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าเริ่มฝืดคอ ฝาดเฝื่อนยามเมื่อนึกถึงคนที่บ้าน เธอยังไม่พร้อมจะกลับไปเจอใคร จะมองหน้าทุกคนอย่างไร ความรู้สึกผิดยังเต็มแน่นในอก แต่ยังฝืนทำตัวปกติได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

เมื่อเธอไม่ปฏิเสธก็แสดงว่าตกลง ครั้นช่วยกันทำความสะอาดครัวเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงชวนเธอนอนดูหนังด้วยกัน เขาอยากดูหนังผีแนวสยองขวัญ ไม่ใช่เพราะชอบหรอกนะ ทว่ารู้ว่าเธอกลัวผีจึงอยากแกล้งเล่น

“ไม่เอานะคะ มันน่ากลัว”

“กลัวก็กอดพี่ไว้ไง”

“ไม่ต้องเลย! ไม่ดูนะคะ”

สุดท้ายหวยจึงมาออกที่หนังรักโรแมนติก ซึ่งเธอเป็นคนสุ่มเลือกมา เขาค้านหัวชนฝาเพราะไม่ชอบ ไม่ใช่แนว แถมยังบอกว่าเนื้อเรื่องน้ำเน่าชวนหลับจะตายไป

The Vow เรื่องราวความรักของชายหญิงที่ให้คำมั่นสัญญากันไว้ในวันแต่งงาน ก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อทั้งคู่ได้รับอุบัติเหตุในคืนวันหิมะตก ส่งผลให้หญิงสาวสูญเสียความทรงจำทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับชายหนุ่ม เขาจึงกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเธอ คนหนึ่งไม่หลงเหลือความรู้สึกใด ในขณะที่อีกคนยังรักอยู่เต็มหัวใจและอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ เขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอจำเรื่องราวระหว่างกันได้ น่าเศร้าที่สุดท้ายเธอก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ที่น่ายินดีกว่าคือเขาเริ่มยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น ไม่บีบคั้น ไม่เร่งรัดให้เธอต้องพยายามจดจำเรื่องราวในวันเก่าได้ แต่กลับรอคอยและเริ่มทำให้เธอตกหลุมรักเขาใหม่อีกครั้ง...

และนั่นเองหนังรักแสนน่าเบื่อก็ทำให้ชายหนุ่มร่างแกร่งที่กอดเธอไว้ต้องหันหน้าหนีเพื่อแอบซับน้ำตาเงียบๆ

“พี่วิน ร้องไห้เหรอคะ” พาพราวหันมองเขาตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะอ่อนไหวไปกับบทหนังได้มากถึงเพียงนี้

“ไม่ได้ร้อง!” คนโกหกค้านทั้งที่ยังหันหนี ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตามือเป็นระวิง

“ไม่ร้องจริงอ้ะ” หญิงสาวเอี้ยวหน้ามามองกันในระยะใกล้ ส่งสายตาราวล้อเลียน

“ร้องก็ได้! ก็มันซึ้งนี่นา”

“ไหนบอกว่าน่าเบื่อคะ”

“ก็...” เมื่อไปไม่เป็นจึงก้มลงหอมแก้มเธอแก้อาการเขิน

พาพราวเบี่ยงหน้าหนีเป็นพัลวัน ครั้นเห็นเขานิ่งงันไปก็เริ่มหันมามองอย่างสนใจ

“พราว...”

“คะ?”

“ถ้าเลือกได้พราวอยากเป็นคนไหน ระหว่างคนที่จำอะไรไม่ได้เลยกับคนที่จำทุกอย่างได้ดี” น้ำเสียงเขาเนิบนาบราวคนเหม่อลอยในห้วงภวังค์

“อืม...พราวขอเป็น...คนที่ลืมทุกอย่าง พราวเห็นแก่ตัว พราวไม่อยากเจ็บปวด พราวไม่อยากมองแววตาว่างเปล่าเหมือน...เหมือนคนไม่รู้จักกัน มันคงทนไม่ได้...แล้ว” เธอพยายามพูดอย่างระวังที่สุด ไม่อยากเปรียบเทียบกับความรู้สึกของตน ไม่อยากหลุดเข้าไปในวังวนความเจ็บปวดเก่าๆ ไม่อยากแตะโดนริ้วแผลไหนๆ ไม่อยากร้องทั้งที่ข้างในกำลังอ่อนแอเปราะบาง

กวินภัทรเพียงกอดกระชับเธอเข้าหาตัว กลั่นทุกความรู้สึกที่มีเพื่อส่งผ่านให้เธอรับรู้

“งั้นพี่จะเป็นคนที่จำเอง พี่จะทำทุกอย่างให้ความรักเกิดขึ้นใหม่ให้ได้อีกครั้ง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่ามั่นคงหนักแน่น หนักแน่นจนเธอเริ่มอึดอัด ไม่อยากชักนำบรรยากาศไปสู่อะไรก็ตามที่รังแต่จะทำให้ยิ่งถลำลึกลงไปเรื่อยๆ “พระเอกจัง” เธอว่ากลบเกลื่อนอารมณ์อ่อนไหวของตนเอง

“แน่นอน! ว่าแต่ทำไมพราวถึงเลือกเรื่องนี้ล่ะ”

“เห็นพระเอกหล่อดี”

ตัวโกงอย่างเขาทนได้ที่ไหน มาชมผู้ชายคนอื่นหล่อต่อหน้ากันได้ยังไง!

กวินภัทรเหวี่ยงคนในอ้อมกอดให้นอนราบไปกับโซฟาทันที แล้วจึงตามมาทาบทับเธอไว้ด้วยความรวดเร็ว ตรึงข้อมือเล็กด้วยมือสองข้าง คนปรับอารมณ์ตามไม่ทันได้แต่งุนงงท่าทีของเขา ทุกอย่างรวดเร็วเสียจนเธอไม่ทันคิดอะไรด้วยซ้ำ

คนเหนือกว่าโน้มหน้าเข้าหา จดริมฝีปากยามเมื่อเธอเผยออ้าจะเอ่ยบางคำ เขาดูดซับมันไว้เพราะไม่อยากได้ยินสิ่งใด ดูดเม้มกลีบปากสีฉ่ำอย่างเอาแต่ใจ เอียงหน้าปรับองศาจนปลายจมูกกดลงบนแก้มนุ่มตามจังหวะการจูบ หญิงสาวได้แต่ครางต้านในลำคอ มือเรียวกำแน่นและบิดไปมาเพื่อเรียกหาอิสระ ทว่าเขาไม่ยอมปล่อย ตอบสนองอาการต่อต้านของเธอด้วยการส่งปลายลิ้นเข้าหา

ครั้นปลายลิ้นร้อนสัมผัสกันก็เกิดกระแสหวิวไหวในกายสาวจนเธอสะดุ้งเกร็ง พยายามดุนดันลิ้นหนาของเขาออกอย่างคนไม่รู้วิธีจัดการ เขาจึงอาศัยจังหวะนั้นดูดดึงเธอไว้อย่างเนิบนาบ ขบเม้มเรียกร้องราวโหยหา คนต่อต้านจึงไม่อาจฝืน ยอมคล้อยตามอย่างเสียเปรียบ มือบางคลายลงตามอารมณ์ เขาจึงเลื่อนลูบไล้เข้าสอดนิ้วจบกันไว้อย่างแนบแน่น

หลังผ่านเหตุการณ์เมื่อค่ำคืน เธอคิดว่าตัวเองจะแข็งแกร่งและรับมือเขาได้ ทว่าไม่ใช่เลย จูบนี้เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเธอช่างอ่อนประสบการณ์ ไม่อาจต้านทานหรือหาทางหยุดเขาได้ มีแต่จะเผลอปล่อยใจไปกับสัมผัสเร่าร้อนได้ง่ายขึ้น

ชายหนุ่มยังคงไล้ลิ้นนุ่มเข้าหา ไม่ผ่อนจังหวะ ยิ่งจูบก็ยิ่งอยากทำอะไรที่มากกว่าจูบ เธอกำลังทำลายความยับยั้งชั่งใจของเขาให้ต่ำลงเรื่อยๆ และเขาควรหยุดก่อนเลยเถิดไปมากกว่านี้

“ห้ามชมผู้ชายคนไหนต่อหน้าพี่อีก” คนไม่อยากหยุดสั่งด้วยเสียงพร่าต่ำในลำคอ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังก่อปะทุให้มอดดับลง

เธอไม่มีแรงหรือสมองจะคิดหาคำตอบใดนอกจากพยักหน้ารับแต่โดยดี นอนอ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างหนา หอบหายใจถี่กระชั้นขณะมองหน้าเขาไม่วางตา ด้วยเกรงว่าเขาจะทำสิ่งใดที่มากกว่านี้

กวินภัทรกวาดสายตามองคนใต้ร่าง “พราว...” เอ่ยเรียกคล้ายละเมอ

“ขะ...คะ”

“ขอพี่ดูชุดชั้นในหน่อยสิ”

“คะ! ไม่นะ!”

“นะ...พี่อุตส่าห์เลือกแบบที่ชอบ อยากเห็น”

“ปล่อยเลยนะ ไม่!” เธอกะว่าถ้าเขาไม่ยอมลุกออกไปดีๆ งานนี้คงได้มีถีบแน่ๆ คนโรคจิต!

“งั้นถอดมาให้พี่ดูเฉยๆ ก็ได้” ครั้นได้สติชายหนุ่มจึงแกล้งเย้าให้เธอหน้าแดงเล่น

“ไม่เอานะคะ เลิกเล่นได้แล้ว ตอบก่อนทำไมห้องพี่วินถึงมีของใช้ผู้หญิงเต็มไปหมดเลย” พูดไปแล้วก็อยากตีปากตัวเอง อุตส่าห์เก็บความสงสัยไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ชั่งใจอยู่นานว่าจะถามอย่างไรดีไม่ให้ดูน่าเกลียดคล้ายกำลังคาดคั้นเขา แต่แล้วเธอก็โพล่งออกไปโต้งๆ แบบนี้...บ้าที่สุด

เขาอึ้ง ไม่ได้อึ้งเพราะไม่รู้จะตอบเช่นไร ทว่าอึ้งเพราะคำถาม อยากคิดเข้าข้างตัวเองเหลือเกิน ความรู้สึกยินดีฟูฟ่องจนพองคับอก

“ลุกค่ะ พราวหนัก” เมื่อไม่ได้คำตอบที่เอ่ยถาม พาพราวจึงไปไม่เป็น งุ่นง่านเล็กน้อยเพราะอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

เขารีบลุกขึ้นโดยไว มือหนาเผลอสะบัดไปโดนชายกระโปรงเธอเข้า ทำเอาผ้าเนื้อดีเลิกขึ้นสูงเปิดเปลือยไปถึงไหนต่อไหน ดีที่เธอตะครุบมันไว้ได้ทัน

“พี่วิน!” เธอรีบจับชายกระโปรงไว้พลางมองเขาราวไม่ไว้ใจกัน

“ขอโทษ มือมันไปโดนเอง จริงๆ นะ”

“...”

“แต่ตะกี้พี่แอบเห็นนะ” ชายหนุ่มเว้นจังหวะคำพูด ก่อนส่งสายตาวาววับมาให้ และกระซิบใส่เสียงกระเส่า “น่ามาก!”

ครั้นเห็นเธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จึงยอมลุกขึ้นนั่งดีๆ ดึงเธอขึ้นมานั่งบนตักแกร่ง กอดแนบชิดไว้อย่างออดอ้อน

“ทุกอย่างในห้องนี้...พี่เตรียมไว้ให้พราว...คนเดียว” กวินภัทรเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสื่อความหมาย ทำลายความทะลึ่งตึงตังเมื่อครู่ไปหมดสิ้น เขายังมีวิธีอีกร้อยแปดที่จะไล่ต้อนคนตัวเล็ก ขอลองวิธีตรงๆ ห้วนๆ ดูก่อน ถ้าเธอยังดื้อเดี๋ยวค่อยจัดการขั้นเด็ดขาด

เกิดความเงียบงันชั่วครู่

ชายหนุ่มเชยคางเล็กขึ้นให้เธอสบตากัน สะกดหญิงสาวด้วยเสียงอ่อนโยน “พี่...”

“พราวง่วงแล้วค่ะ” เธอรีบพูดแทรกเมื่อยังไม่พร้อมจะได้ยินถ้อยคำอันตราย ปิดตาลงคล้ายไม่อยากรับรู้สิ่งใด

 เกือบแล้วเชียว เกือบจะเอ่ยมันออกมาแล้วถ้าเธอไม่ขัดจังหวะกันเสียก่อน ใจจริงเขาจะพูดให้จบก็ย่อมได้ ทว่าไม่เป็นไร เขาจะรอ...รอจนกว่าเธอพร้อมจะฟัง

“งั้นไปนอนในห้องดีกว่า” คิดเองเออเองคนเดียว แล้วจึงอุ้มเธอไปยังเตียงนอนด้านใน วางหญิงสาวลงอย่างทะนุถนอม ห่มผ้าและบรรจงจดริมฝีปากลงบนหน้าผากนวล ส่วนเขาขยับนั่งพิงหัวเตียงอีกฝั่ง วางโน้ตบุ๊กลงบนตักเพื่อดูภาพถ่ายของเธอเมื่อวาน อมยิ้มอย่างคนมีความสุขขณะกดเลื่อนดูไปเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดที่ภาพหนึ่ง ภาพเกือบสุดท้ายที่มีเขา เธอ และเพื่อนสนิท ภาพที่เธอแอบหันมองเสี้ยวหน้าเขา ภาพนั้นกระตุกหัวใจให้เต้นผิดจังหวะ จนต้องกดซูมขยายเพื่อมองให้ชัด ยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียว ก่อนจะครอปภาพนั้นให้เหลือแค่เขาและเธอ จัดการโยนไฟล์ภาพโดยเลือกเฉพาะที่มีแต่ภาพของเธอเข้าโฟลเดอร์ลับแล้วจึงพับปิดหน้าจอลง และวางโน้ตบุ๊กไว้ข้างหัวเตียง

กวินภัทรล้มตัวลงนอนเคียงข้างคนตัวเล็กที่หลับใหลราวเด็กน้อย นอนมองดวงหน้าหวานใสในระยะใกล้ พินิจมองเครื่องหน้างามพริ้มเพราอย่างลุ่มหลง แกล้งเอานิ้วมือสะกิดปลายจมูกโด่งรั้นของเธอเบาๆ และรอดูปฏิกิริยาของคนขี้เซา

เธอครางอืออาในลำคอพลางย่นจมูกหนีสัมผัสรุกราน น่ารัก...น่ารักจนอยากเก็บเธอไว้รักคนเดียว แล้วจึงกระชับร่างบางเข้ากอด สละแขนต่างหมอนให้เธอหนุนนอน แนบหน้าหวานกับซอกคออุ่นของตน วางคางเกยศีรษะเธอไว้ ก่อนหลับลงในห้วงฝันแสนหวาน

 

กระทั่งเวลาค่ำ กวินภัทรจึงพาหญิงสาวกลับบ้าน ครั้นอยากยื้อเวลาให้ยาวนานก็ทำไม่ได้

“ไปถึงไหนกันสองคนนี้” ครองขวัญเอ่ยถามตามสไตล์คุณแม่ช่างห่วง

“แอบหนีเที่ยวแน่เลย ไม่ชวนวิป” กวีลดาโผล่หน้ามามองอย่างจับผิด น้ำเสียงเจือแววน้อยใจนิดๆ ด้วยคิดว่าตนเป็นลูกหลงซึ่งอายุห่างจากพี่ทั้งสองหลายปี ช่องว่างระหว่างวัยทำให้เธอมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่รู้จักโตในสายตาพี่เสมอ และนั่นทำให้เธอพลาดอะไรดีๆ ไปทุกครั้ง พี่ๆ ชอบทำอะไรโดยไม่ชวนกัน

“ใช่ สนุกมากกก” พี่ชายคนดีตอบน้องสาวอย่างกวนอารมณ์

เท่านั้นเองคนมือไวจึงปาหมอนใส่อย่างไม่ทันคิด กวินภัทรหลบได้ทัน จึงทำให้หมอนอิงใบเล็กเจ้ากรรมกระเด็นไปโดนคนที่นั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะมัวแต่เหม่อลอย ทำเอาหญิงสะดุ้งตกใจกว่าปกติ

“พี่พราว วิปขอโทษนะคะ” กวีลดารีบวิ่งมากอดเธอไว้พลางยกมือไหว้ระรัว สำนึกในความผิดของตน

“ไปเลย อย่ามาแย่งพราวของพี่” คนขี้หวงดันน้องสาวออกและดึงพาพราวเข้ามาโอบไว้

“ของวิปนะ” มีหรือจะยอม นิสัยหวงของนี่มันคงเป็นกรรมพันธุ์สินะ

พราวของพี่และของวิปเลยนั่งหน้าแดงจัดอยู่ในอ้อมกอดของสองพี่น้อง ไม่กล้าสบตาคนเป็นแม่ ความรู้สึกผิดถูกตีกันวุ่นจนยากจะจัดการ ตอนเห็นหน้าแม่ครั้งแรกเธอฝืนอย่างหนักไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา ทว่าตอนนี้เธอต้องฝืนยิ้มปั้นหน้ายาก ไม่รู้ว่าตนเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปบ้าง

“พอเลยทั้งคู่ ปล่อยพราวไปพักได้แล้ว ดูซิ หน้าตาเหนื่อยจะแย่แล้ว” ครองขวัญดุสองพี่น้องที่ชอบเล่นกันเป็นเด็กๆ ก่อนหันไปสั่งรินรดาให้ไปยกของท้ายรถกวินภัทรขึ้นไปเก็บบนห้องนอนของพาพราว

...

รินรดายืนมองข้าวของแสดงความยินดีกับบัณฑิตสาวที่จุแน่นอยู่เต็มกระโปรงท้ายรถ อดเหยียดยิ้มใส่สิ่งตรงหน้าไม่ได้ กวาดนัยน์ตาร้อนมองอย่างอิจฉา คุณหนูที่ใครต่างพากันรุมรัก...ก็แค่เด็กกำพร้าที่พ่อแม่ทิ้ง แต่ทำไม...ทำไมหญิงสาวจึงโชคดีนัก แล้วทำไมไม่เป็นเธอบ้าง ทำไมเธอต้องจมอยู่กับโชคร้ายมาโดยตลอด ทำไมต้องทนอยู่ในสถานะที่ไม่มีค่าอะไร ทำไมต้องทนทำงานแลกข้าวแลกน้ำ ทำไมแม่ต้องทิ้งเธอไป ทำไมแม่ต้องเห็นยัยคุณหนูนั่นดีกว่าลูกแท้ๆ อย่างเธอ มือหยาบกร้านกำมงกุฎดอกไม้ไว้แน่น แน่นเสียจนมันบิดผิดรูปผิดรอย ดอกไม้สีสวยจึงช้ำเละคามือหญิงสาว

เสียงเคาะประตูดังขึ้น กวินภัทรจึงเดินไปเปิดด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน เจ้าของห้องอาบน้ำอยู่ และเขา...แอบเข้ามาโดยเธอไม่รู้ตัว

“อ้าวริน มา…ฉันช่วย” หญิงสาวเดินหอบข้าวของกองใหญ่ขึ้นมาเต็มสองมือสองไม้

“คะ?...คุณวิน” เธอตกใจที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในห้องของพาพราว ทว่ารีบเก็บอาการไว้ได้ทัน ปั้นสีหน้าเหนื่อยอ่อนเรียกคะแนนสงสาร

กวินภัทรช่วยเธอถือของเข้ามาวางในห้อง ก่อนสาวใช้จะกลับออกไป ชายหนุ่มจึงล็อกประตูและเดินกลับมานอนที่เตียงกว้างระหว่างรอคอยเจ้าของห้องอาบน้ำอย่างใจเย็นจนเกือบจะเคลิ้มหลับไป ทว่า...

พาพราวเดินออกมาในแบบที่ทำให้เขาแทบจะตื่นเต็มตา

ร่างบางพราวระยับไปด้วยหยาดน้ำภายใต้ผ้าขนหนูผืนสั้น กระโจมอกปิดบังไว้อย่างหมิ่นเหม่ เปิดเปลือยผิวเหนือเนินอกน่าสัมผัส ร่องสวยเบียดชิดพองามก่อนแยกหายโค้งเว้าลงไปในปมผ้าขนหนูสีขาว เธอเกล้าผมขึ้นมัดเป็นมวยสวยกลางศีรษะ ทิ้งไรผมเปียกชื้นตกระคอเนียนระหง เรียวขางามนวลเนียนยามก้าวฉับสับเท้าคู่นั้นช่างน่ามอง อดจินตนาการลึกซึ้งไม่ได้ยามมองบั้นท้ายสวยขยับดันเนื้อผ้าไหวตามจังหวะการเดิน

เขากำลังคลั่ง...

เธอไม่เห็นเขา เพราะชายหนุ่มนอนนิ่งไม่ขยับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา โผล่มาเพียงใบหน้าเท่านั้น แม้แต่ตายังจดจ้องเธอไว้ไม่กะพริบ กลัวจะพลาดส่วนสำคัญเพียงเสี้ยวไป มองดูเธอบรรจงทาครีมบำรุงผิวหน้าและลูบไล้เนื้อครีมขาวข้นลงบนผิวกายสาวไม่วางตา ยามมือเรียวสวยปัดป่ายไปตามกายสาวนั้นช่างยวนใจเขานัก อยากไปช่วยทา อดทนไม่ขยับเพราะอยากมองดูเธอทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ตัวไม่ขยับลุก ทว่าบางอย่างในกายนั้นตื่นลุกอย่างไม่อาจบังคับได้ ใจเย็น วินนี่ลูกพ่อ!

รอกระทั่งหญิงสาวเดินเข้าไปสวมเสื้อผ้าในโซนแต่งตัว ตาคมเข้มเฝ้ามองผ้าม่านผืนหนาที่เธอผลุบหายเข้าไปนานสองนาน ก่อนผ้าสีหวานจะสะบัดพลิ้ว เรือนร่างอวบอิ่มก็ก้าวออกมา ทว่าเธอสวมชุดนอนโดยยังไม่ได้กลัดกระดุม สาบเสื้อจึงเปิดอ้าอย่างน่าหวาดเสียว มองเห็นสิ่งซึ่งนุ่มนิ่มล่อตาล่อใจชายนัก แม้เห็นเพียงบางส่วน ทว่าทุกการขยับไหวยามเธอเคลื่อนกายนั้นช่างเย้ายวนสิ้นดี วินนี่ลูกพ่ออดทนไว้

“พี่วิน!” คนโดนรุกล้ำร้องออกมาอย่างตกใจ เธอกำลังจะก้าวขึ้นเตียงและได้เห็นว่าใครนอนนิ่งจ้องมาตาไม่กะพริบ เพราะไม่ได้ใส่คอนแทกต์เลนส์ การมองเห็นของเธอจึงไม่ชัดเจน

“พราว...” เสียงเขาทุ้มต่ำเกินควบคุมยามเมื่อเห็นเธอก้มตัวลงจนชายเสื้อด้านหนึ่งเปิดเปลือยไปถึงไหนต่อไหน

มือบางรีบกลัดกระดุมชุดนอนของตนด้วยอาการสั่นระริก “ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ว่าพลางมองเขาราวจับผิด

“ตั้งแต่แรกเลย เห็นหมด” เขาว่าเสียงสั่นไม่เก็บอาการ ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน ก่อนยันกายขึ้นนั่งแล้วจับมือสั่นไหวของเธอไว้ “พราวติดผิด เดี๋ยวพี่ติดให้นะ” กวินภัทรกระซิบเสียงนุ่ม แล้วบรรจงแกะกระดุมที่เธอกลัดผิดรังดุมออกจนหมดด้วยใจสั่นหวิว

“ห้ามทำอะไรนะคะ” เธอว่าเสียงสั่นไม่แพ้กัน

เท่านั้นชายหนุ่มจึงรีบกลัดกระดุมให้ใหม่ ก่อนทิ้งกายลงแผ่บนที่นอนนุ่มอย่างคนหมดหวัง วินนี่ลูกพ่อ แม่เขาไม่รักเรา ใจร้ายที่สุด

คนตัวโตนอนดีดดิ้นอยู่บนที่นอนของหญิงสาว ทำตัวราวเด็กถูกขัดใจ เธอก็เห็นว่าอะไรๆ มันตื่นขนาดไหน ยังจะใจร้ายได้ลงคอ

“นิดนึงไม่ได้เหรอ”

“ไม่นะคะ”

“งั้นให้พี่นอนด้วยนะ”

“...”

“คนอะไรใจแข็งชะมัด”

“ก็...พี่วินยังไม่อาบน้ำเลย”

คนยังไม่อาบน้ำเลยเด้งตัวขึ้นทันที ดีใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ขยับนั่งชิดขอบเตียงแล้วดึงเธอที่ยืนข้างๆ กันมากักไว้ระหว่างกลางต้นขาหนั่นแน่นของเขา

“น่ารัก” ไม่พูดเปล่า เขายังกดหน้าลงในตำแหน่งชวนหวาดเสียว

“อื้อ...ให้นอนอย่างเดียวนะคะ”

“ครับ พราวตัวหอมจัง” คนซุกหน้าเข้าหายังไม่ยอมขยับห่าง ไซ้แกล้งกันเล่นอยู่อย่างนั้น ก่อนจูบเบาๆ ที่หน้าท้องแบนราบ แล้วจึงผละออกเพื่อกลับไปอาบน้ำที่ห้องตนเอง

“อื้อ...พี่วิน” ใจเธอหวิวจะแย่ มันซ่านเสียจนอดคิดถึงเรื่องคืนก่อนไม่ได้ หน้าเห่อร้อนไปหมด คนบ้า!

ไม่เกินสิบนาทีเจ้าของร่างแกร่งก็มาพร้อมกลิ่นเย็นสดชื่น กลิ่นจรุงใจที่เธอเริ่มคุ้นชินและรู้สึกผ่อนคลายยามได้สูดดม อ้อมแขนแกร่งตวัดรวบเธอเข้าหากันทันทีที่ก้าวขึ้นเตียง ขยับชิด ทิ้งพื้นที่เตียงอีกฝั่งให้ว่างเปล่า เอาศีรษะหนุนหมอนใบเดียวกับเธอ ดึงผ้าห่มคลุมกันไว้

“พราวหลับยัง”

“หลับแล้วค่ะ” เธอพูดทั้งที่ยังหลับตานิ่ง

“ตลกนะเรา” คนโดนอำแกล้งซุกหน้าเข้าหาซอกคอหอมกรุ่น แล้วสูดแรงๆ เต็มฟอด

“อื้อ...พี่วิน นอนค่ะ” เธอหวามไหวไปกับสัมผัสเล็กๆ ของเขาเสมอ ทว่าความเปียกชื้นที่แนบแก้มเนียนทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง “ทำไมไม่เป่าผมให้แห้งก่อนคะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เธอเอ็ดเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นก้าวลงจากเตียงไปหยิบของ

กวินภัทรมองตามคนตัวเล็ก เธอเปลี่ยนชุดนอนใหม่ มิดชิดยิ่งกว่าชุดเข้าวัดเสียอีก!

พาพราวถือไดร์และผ้าขนหนูออกมายืนรอข้างเตียง ชายหนุ่มจึงรีบขยับไปนั่งชิดริมเตียงให้เธอจัดการให้ มือบางจับผ้าขนหนูซับผมเปียกชื้นให้เขาอย่างนุ่มนวล นวดคลึงเบาๆ ให้เขาผ่อนคลาย ก่อนจะใช้ไดร์เป่าผมด้วยลมอุ่นๆ นิ้วเรียวค่อยๆ เสยผมสั้นของเขาอย่างเบามือ

กวินภัทรเพลิดเพลินเกินบรรยาย รู้สึกพิเศษยามได้รับความใส่ใจจากเธอ “นวดตัวด้วยได้ไหม พี่เมื่อยไปหมดทั้งตัวเลย” เขาออดอ้อนเสียงหวาน

“ได้คืบแล้วจะเอาศอกเหรอคะ”

“เอา...นิ้วด้วยได้ไหม”

รู้ทันทีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด คนลามก!

“ไม่เอาศอก ไม่เอาคืบ ไม่เอานิ้วก็ได้ แต่ขอเอาพราวได้ไหม”

เธอปิดไดร์ทันที “เสร็จแล้วค่ะ” ก่อนเดินหายเข้าไปเก็บของโดยไม่สนใจคนพูดจาไม่เข้าหู

ครั้นเธอกลับมา ชายหนุ่มก็นั่งทำหน้าลุแก่โทษ กางแขนกว้างเตรียมโอบกอดกัน ทว่าเธอไม่สนใจ ก้าวขึ้นเตียงและนอนหันหลังให้เขา

“งอนพี่เหรอ” เขาโน้มตัวมากระซิบเสียงนุ่ม

พาพราวกดหน้าซบลงกับหมอน “ไม่ได้งอน”

งอนชัดๆ กวินภัทรจับคนขี้งอนหันกลับมาหา จ้องหน้าคนที่ทำทีเป็นหลับตานิ่ง “พี่ขอโทษ ยังไม่เอาก็ได้”

“อื้อ...พอแล้ว ห้ามพูดแล้ว”

“ขอพูดอีกสองประโยคได้ไหม” ชายหนุ่มว่าพลางกดริมฝีปากที่หน้าผากนวล “ฝันดีนะครับ ฝันถึงพี่ด้วย”

 

กวินภัทรต้องเดินทางไปคุมงานใหญ่ทางภาคใต้เป็นเวลากว่าสามวัน ซึ่งเป็นโพรเจกต์ออกแบบและตกแต่งภายในให้โรงแรมหรู มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่าเลขสิบหลัก จบงานนี้ผลประกอบการในไตรมาสที่สองของบริษัทคงก้าวกระโดดขึ้นทันที เครดิตและความเชื่อใจที่เขาพยายามสร้างคงพิสูจน์ให้ทีมบริหารยอมรับในฝีมือได้ไม่ยาก

ทว่าก็ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ กว่าจะเคลียร์ปัญหาระหว่างทีมโฟร์แมนและอินสเปกเตอร์ได้ เล่นเอาต้องยกทั้งศาสตร์และศิลป์เข้ามาช่วยเจรจาเพื่อให้งานเดินต่อไปได้ ยิ่งโพรเจกต์ใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งมากตามไปด้วย เขาพยายามเรียนรู้และปรับตัวอย่างหนัก ด้วยรูปแบบการทำงานของคนไทยนั้นแตกต่างกับเมืองนอกโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มจึงค่อยๆ วางระบบการทำงานให้มีระเบียบแบบแผนมากยิ่งขึ้น วิเคราะห์จุดบกพร่องและแก้ไขจุดที่อยู่ในความควบคุมไปทีละส่วน

“เหนื่อยไหมลูก” ครองขวัญถามเมื่อเห็นสีหน้าลูกชายอ่อนล้าเกินทน

“เนื้อยเหนื่อยครับ” ได้ทีเด็กชายตัวโตจึงออดอ้อนแม่เสียยกใหญ่ หอมแก้มซ้ายแก้มขวาจนคนเป็นแม่เริ่มจั๊กจี้

“พอๆ ไปอาบน้ำไป ตัวเหนียวจะแย่ อ้อ...ของที่ชิปปิงมาถึงไทยแล้วนะ แม่ให้เด็กขนไปไว้บนห้องแล้ว วินลองแยกๆ ดูนะลูก จะเก็บอะไรไว้ไหนบ้าง เดี๋ยวแม่ให้เด็กจัดการอีกที” ครองขวัญหมายถึงข้าวของกองมหึมาที่ลูกชายส่งมาจากอเมริกา

กวินภัทรรีบขึ้นห้องไปจัดการตนเองทันที ตามกำหนดการเดิมเขาต้องเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ทว่าเพราะทนคิดถึงคนที่บ้านไม่ไหวจึงเร่งเคลียร์งานให้เสร็จโดยไว แล้วให้เลขานุการจองเที่ยวบินที่เร็วที่สุดของวันนี้ให้อย่างกะทันหัน แม้ต้องนั่งชั้นอีโคโนมีเขาก็ไม่เกี่ยงงอน

คนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เดินออกมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า เขาบรรจงทาครีมบำรุงผิวสำหรับผู้ชายอย่างที่ไม่ใช่วิสัยปกติ เสยผมจนดูเรียบร้อยเข้าทรง ส่องกระจกเอียงซ้ายเอียงขวาไปมาเพื่อเช็กความเรียบร้อย ทำตัวราวหนุ่มน้อยนัดเดตกับสาวครั้งแรก เมื่อมั่นใจในความหล่อเหลาของตนจึงรีบเดินตรงไปยังประตู หมายจะไปหาใครบางคนที่แสนคิดถึง

“อื้อ...พี่วิน” หญิงสาวไม่รู้ว่าเขากลับมาแล้ว เธอกำลังจะเดินไปห้องหนังสือ ทว่าระหว่างผ่านหน้าห้องชายหนุ่ม มือไวของใครบางคนก็ฉุดร่างบางผลุบหายเข้าไปในห้องโดยไว เธอเกือบกรีดร้องแล้วหากเขาปิดปากไว้ไม่ทัน

กำลังจะออกไปหาก็ผ่านมาให้เจอพอดี เสร็จโจร!

กวินภัทรจัดการปิดประตูและล็อกในทันใด ดันหลังเธอพิงกับบานประตูทั้งที่ยังใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเธอไว้ คนตัวเล็กเอาแต่กะพริบตามองเขาปริบๆ เมื่อมั่นใจว่าเธอไม่ส่งเสียงแน่จึงยอมเลื่อนมือออก

“พี่...”

เธอกำลังจะเอ่ยถาม ทว่าเขากลับรอฟังไม่ไหว ทนแทบไม่ได้หลังห่างหายกันกว่าสามวัน เขาโทร. มา เธอก็ไม่ค่อยว่างรับสาย ส่งข้อความมา เธอก็ไม่ค่อยตอบกลับ ความคิดถึงจึงจุกแน่นในอก ส่งผลให้เขาโน้มเข้าหา เอียงหน้ากดเรียวปากพลางดูดซับกันไว้ด้วยความคิดถึงที่มี หญิงสาวแทบสิ้นสติ เจอหน้ากันแทนที่จะพูดจา ทว่าชายหนุ่มกลับมอบจูบลึกซึ้งให้ไม่ทันตั้งตัว สัมผัสแนบชิดราวโหยหา เต็มล้นไปด้วยแรงปรารถนาเกินต้าน

ชายหนุ่มเรียกร้องจนเกินพอดี เสียดสีเรือนร่างเธอด้วยจังหวะน่าหวาดเสียว ส่งแรงกระทบเบาๆ จนกายสาวกระแทกบานประตูเป็นจังหวะตามการควบคุมของเขา ครั้นรู้ตัวเขาจึงสอดมือโอบประคองรองแผ่นหลังบางไว้ไม่ให้เธอเจ็บ

พาพราวครางต้านการรุกรานมากล้น เธอต้องการอากาศหายใจก่อนจะช็อกตายคาจูบแสนเย้ายวนของเขา และนั่นเองคนเอาแต่ใจจึงยอมผละออกให้เธอได้พักตั้งหลัก

“พี่คิดถึงพราวนะรู้ไหม” เขากระซิบทั้งที่ริมฝีปากยังใกล้ชิดจนเกือบสัมผัสกัน

ทั้งคู่สลับกันหอบหายใจจนไอร้อนพ่นผ่าน รู้สึกได้ถึงกันและกัน

เธอยังไม่เอ่ยคำใด ยังคงหอบถี่และตั้งสติเพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ

“คืนนี้ได้ไหม” กวินภัทรไม่เคยรอคำตอบ เขาเริ่มซุกไซ้เสี้ยวหน้างดงาม แนบปลายจมูกไปตามผิวนุ่มที่ต้นคอสาว สูดหายใจเอากลิ่นกายหอมจรุงใจที่แสนคะนึงเข้าเต็มรัก

“พะ...พี่วินคะ คือพราว...” เสียงหวานกลั่นออกมาอย่างยากลำบาก เธอรู้ว่าเขาทรมาน ทว่าฟังกันก่อนได้ไหม

“พราวทำไม” ชายหนุ่มเอ่ยถามราวละเมอ เพลิดเพลินกับความนวลนุ่ม รุ่มร้อนเมื่อความต้องการกำลังแล่นพล่านอยู่ภายใน เผลอขบเม้มผิวกายเธอจนเกิดร่องรอยจางๆ

“อื้อ...พี่วิน”

เสียงครางลึกของเธอทำเขาคลั่ง ความปรารถนาที่อัดแน่นมาหลายวันกำลังโหมกระหน่ำเข้าใส่ ปลุกบางอย่างที่หลับใหลอย่างสงบให้ตื่นรับราวม้าคึกเตรียมออกศึก

“พราวเป็นวันนั้น...ของเดือน” เธอบอกเขาเสียงสั่นเครือ ร่างกายอ่อนระทวยจนต้องเกาะยึดเขาเพื่อพยุงตัวเองไว้

โอเค เดินคอตกจูงม้ากลับคอก วันนี้ยังไม่มีศึกสงคราม แม้ใจอยากจะรบแค่ไหนก็ตาม ทหาร! ถอนทัพ! กลับ!

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตอนที่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงแล้วต้องเบรกหัวทิ่มเพราะติดไฟแดงกะทันหัน เขาอยากไปต่อ แต่ต้องรอไฟเขียวก่อน แทบจะร้องไห้กลางสี่แยกไฟแดง ต้องรอไปอีกกี่วัน

กวินภัทรกอดเธอไว้นิ่ง วางคางเกยไหล่บางไว้ พยายามข่มกลั้นอารมณ์กำหนัดของตนให้สงบลง ไม่ง่ายเลยสักนิด ยิ่งมือบางพยายามลูบแผ่นหลังให้เขาราวปลุกปลอบมันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ก่อนผละกายออกเพื่อมองหน้าคนตัวเล็ก

“พราว...ขอโทษนะคะ”

หน้าตาเธอเหมือนลูกแมวน้อยโดนทิ้ง แววตาเว้าวอนจนน่าสงสาร จะโกรธก็โกรธไม่ลง ทั้งที่เขาแอบท่องจำวันเป็นรอบเดือนที่เธอจดไว้ได้ขึ้นใจ ทว่าวันนี้กลับหน้ามืดจนลืมนึกไป

“อย่าโกรธพราวนะคะ” เธอเกือบจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่เขานิ่งไปไม่พูดอะไรสักคำ

“พราว...” จะโกรธลงได้ยังไง นอกจากไม่โกรธแล้วยังยิ่งรักและเอ็นดูเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมเธอชอบทำให้เขาตกหลุมรักซ้ำๆ นะ

ชายหนุ่มบรรจงจูบหน้าผากเธออย่างละมุนละไม ก่อนโน้มลงหาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน มองตาเธอด้วยความรู้สึกอัดแน่น เปิดเผยและส่งผ่านไม่ผ่อนปรน เพื่อให้คนตรงหน้ารับรู้ถึงสิ่งที่เขามีอยู่เต็มเปี่ยมเสียที

“พี่รั...”

พาพราวยื่นหน้าเข้ามาจูบปิดปากเขาไว้ทันที เมื่อครู่เธอมองริมฝีปากเขาไม่วางตา ยิ่งยามเมื่อเขาขยับอ้าพูดบางประโยคที่แสนอันตรายก็ยิ่งผวา กล้าทำในสิ่งที่แสนอาย ไม่ใช่แค่ประกบปากแนบปากเขาไว้เหมือนครั้งก่อน ทว่าเธอกำลังขบเม้มเขาไว้อย่างที่ไม่เคยทำ ดูดกลืนคำพูดใดๆ ที่ยังทำใจตั้งรับไม่ได้

เธอไม่ได้กลัวสิ่งที่เขาจะเอื้อนเอ่ย เธอกลัวผลที่จะตามมาหลังคำพูดนั้นต่างหาก กลัวตัวเองจะห้ามใจไม่ได้ กลัวการคาดหวังที่ไร้ซึ่งความหวัง กลัวว่ามันจะทำให้เธอไม่อาจหนีพ้นจนยอมกระโจนลงไปในห้วงอารมณ์ที่ไม่อาจยอมรับ เธอรู้ดีว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่...เพราะรักนั้นมันไม่ถูกที่ถูกทาง รักที่รังแต่จะทำให้ใครต่อใครเจ็บปวด รักนั้นย่อมไม่ใช่รักที่ควรค่าให้เขาต้องสละใจลงมาหา จมดิ่งในความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกไม่ควร ถึงใจอยากจะรัก แต่ก็ไม่อาจรักได้...

หญิงสาวจบการกระทำน่าอายของตนด้วยการกอดชายหนุ่มไว้เต็มอ้อมแขน ซบหน้าลงบนอกแกร่ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ หลับตาลงในห้วงความอ่อนแอที่กำลังจะพ่ายแพ้ให้ใจตัวเองในอีกไม่นาน

เขากอดเธอไว้แน่นเมื่อไม่อาจเอ่ยคำใด เมื่อคำว่ารักนั้นส่งไปไม่ถึงใจคนในอ้อมแขน

เป็นความเงียบที่มาพร้อมความอึดอัด ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง

“พราวช่วยพี่รื้อของนะ” ไม่อาจปล่อยบรรยากาศให้เงียบงันไปมากกว่านี้ เขาจึงชวนเธอทำบางอย่างเพื่อหวังให้ความรู้สึกระหว่างกันนั้นผ่อนคลายลง

เธอตอบรับด้วยการพยักหน้าเบาๆ ในอ้อมอกเขา

ชายหนุ่มจึงจูงมือเธอมานั่งกลางห้องข้างกองกระเป๋าใบใหญ่และกล่องหลายใบที่กองไว้อย่างเป็นระเบียบ เขาค่อยๆ รื้อดูสิ่งของเหล่านั้นอย่างใจเย็น ลอบมองคนตัวเล็ก เห็นเธอยังคงนั่งประหม่าวางตัวไม่ถูกจึงเริ่มชวนคุย เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับข้าวของต่างๆ ที่รื้อออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ เธอนิ่งเงียบฟังอย่างตั้งใจในคราแรก ก่อนจะเริ่มอมยิ้มตามเมื่อเขาพูดถึงวีรกรรมแสนสนุกให้ฟัง และพาพราวก็คล้อยตามเขาได้ไม่ยาก

“อันนี้กล่องอะไรคะ” หญิงสาวหยิบกล่องเหล็กที่มีหน้าตาไม่เข้าพวกขึ้นมา

กวินภัทรชะงักงันไปเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “อ๋อ...กล่องใส่รูปพีช แฟนเก่าพี่เอง”

มือบางสั่นระริกเมื่อรู้ว่าภายในกล่องนั้นบรรจุสิ่งใดไว้ ความรู้สึกมากมายไหลพรั่งพรูเข้าหา หลังจากเรื่องคืนนั้น หลังจากเขาพยายามจะเอ่ยคำรัก หลังจากรู้ว่าเขาใส่ใจกัน เธอเริ่มคาดหวังทั้งที่พยายามเตือนตนเองไว้ ใจเริ่มอยากครอบครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เริ่มรู้สึกวูบโหวงยามเขาเอ่ยถึงผู้หญิงคนอื่น เธอไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยากรู้สึกว่าต้องเรียกร้องและรอคอยสิ่งใดจากใคร

กระนั้นแล้วคนข้างกายยังซ้ำเติมเธอด้วยการเปิดมันออกให้ และหยิบรูปถ่ายเขากับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาให้เธอมองใกล้ๆ

“ยัยนี่นะบ้าแฟชั่นเข้าเส้น กระเป๋า รองเท้า มาเต็ม”

“นี่ๆ อันนี้ถ่ายตอนไปเที่ยวพอร์ตแลนด์ด้วยกัน ที่นั่นสงบแล้วก็ธรรมชาติมาก ปั่นจักรยานกันจนเพลินเลยละ โรงเบียร์เยอะด้วยนะ พราวอยากไปไหม”

“อันนี้ตอนปาร์ตีที่บ้านเอเลนน่า หลังจากรูปนี้คือเมาเละเทะ พี่แทบจะแบกยัยนี่กลับห้อง”

“นี่ตั๋วหนังตอนไปตะลุยดูด้วยกันช่วงคริสต์มาส พวกไม่มีบ้านให้กลับก็งี้แหละ”

“นี่ตอนไปเทศกาลดนตรีด้วยกัน สนุกโคตร”

“นี่ๆ อันนี้พราวต้องชอบแน่เลย ขนาดยัยนี่ยังสนุกเลย ไว้พี่จะพาไปนะ”

...

เขาคงเล่าด้วยความสนุก ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นได้บาดลงในความรู้สึกของใครบางคน เขาคงชอบอะไรแบบนี้ ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งมองเห็นช่องว่างระหว่างเธอกับเขา ผู้หญิงของเขาแสนจะเปรี้ยว เฉี่ยว มีความมั่นใจ อดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ แม้ได้เห็นเพียงรูปถ่ายก็รู้ว่าตนเองไม่มีอะไรเทียบเคียงเธอคนนั้นได้เลย เขาคงมีแต่เรื่องสนุกๆ ให้ทำตลอดห้าปีที่ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้พูดคุย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาใช้ชีวิตยังที่ห่างไกลนั่นยังไง ผ่านเรื่องราวอะไรบ้าง คงมีแค่เธอที่จมอยู่ในโลกแสนเหงาของตัวเองเงียบๆ ตรงนี้

แน่นอนว่าเธอไม่ใช่คนที่แสดงออกเก่ง ถึงใจจะอ่อนไหวแค่ไหน ทว่าก็ไม่อาจเปิดออกไปให้เขารับรู้ จึงทำเพียงปรายตามองเขาราวตั้งใจฟัง ถึงฟังแล้วจะหน่วงแปลกๆ แต่ก็ยังอยากฟัง อยากรู้ กระนั้นแล้วก็ยังมองภาพในกล่องสี่เหลี่ยมนั่นไม่วางตา

“พูดแล้วก็คิดถึงเหมือนกันนะ เห็นว่ากลับไทยมาสักพักแล้ว โทร. หาดีกว่า”

ไม่รู้ว่าเขาบ่นคนเดียวหรือเขาตั้งใจพูดให้เธอฟัง ทว่าฟังแล้ว...เจ็บดี

กวินภัทรละมือจากข้าวของตรงหน้าแล้วจึงวิดีโอคอลหาคนของเขาผ่านโปรแกรมสนทนาออนไลน์ทันที รอเพียงชั่วครู่ อีกฝ่ายก็กดตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ไฮ...วินนี่”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น