5

บทที่ 5 ต้องมนตร์แม่มด


5

ต้องมนตร์แม่มด

หลังจากนำถาดอาหารลงไปเก็บในห้องครัว กวินภัทรขึ้นมาอาบน้ำจัดการตนเองให้เรียบร้อย ก่อนกลับเข้ามาใหม่พร้อมเอกสารปึกใหญ่ ชายหนุ่มใช้เวลาระหว่างเฝ้าไข้ทำงานไปพลางๆ แต่เขาไม่มีสมาธิจดจ่อกับกระดาษในมือมากนัก เผลอลอบมองเธอเป็นระยะ สังเกตเห็นคนนอนหลับขยับตัวพลิกไปมาอยู่บ่อยครั้ง จึงลุกขึ้นเดินเข้าไปดูใกล้ๆ คนป่วยมีเหงื่อซึมรื้นขึ้นตามกรอบหน้า เธอหลับตาแน่นและกระสับกระส่ายชอบกล เขาจึงลองจับหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ ก็พบว่าเกือบเป็นปกติแล้ว ท่าทางเธอคล้ายคนกำลังฝันร้ายมากกว่า ดูท่าในฝันคงกำลังถึงจุดไคลแมกซ์เลยสิท่า ถึงได้ดูร้อนรนขนาดนี้ ทนมองอยู่สักพักเขาจึงจับไหล่มนเขย่าเบาๆ หวังให้เธอตื่นขึ้น

            และในทันใดนั้นหญิงสาวก็สะดุ้งขึ้นคล้ายยังไม่ได้สตินัก หลับตาลงเพียงครู่ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง ตาลอยเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์อะไรสักอย่าง วูบหนึ่งเขาเห็นแววตาที่เธอมองกัน เป็นแววตาอ่อนโยนในแบบที่ไม่เคยได้เห็นนานแล้ว

            “พี่วิน...” เธอเรียกเขาเสียงเบาค่อย ก่อนจะผล็อยหลับลงอีกครั้ง ทิ้งเขาค้างเติ่งกับความรู้สึกที่ยากเกินบรรยายนี้ บางทีเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า อารมณ์พลิกไปพลิกมาอย่างน่าประหลาด ความโกรธเกลียดที่พยายามย้ำเตือนตัวเองนั้นพลันสลายหายไปในชั่วพริบตา คล้ายไม่มีอยู่จริงในห้วงสำนึกแต่แรก

โดยปกติถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าใคร พาพราวมักไม่เคยเรียกเขาว่าพี่ด้วยซ้ำ แต่เมื่อกี้เธอเรียก เรียกอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล น้ำเสียงและท่าทางออดอ้อนทางสายตานั่นคืออะไร เขาไม่ได้ตาฝาดหูแว่วคิดไปเองใช่ไหม

“อ้าววิน! ยังอยู่อีกเหรอ น้องเป็นยังไงบ้าง” ครองขวัญเปิดประตูเข้ามาในยามดึก กะว่าจะขึ้นมาดูอาการคนป่วยสักหน่อย

ชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาวชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าเธอยังหลับเป็นปกติดีจึงหันมาตอบแม่ “น่าจะดีขึ้นแล้วครับ”

“หลับอยู่เหรอ งั้นแม่ไม่กวนดีกว่า แม่ฝากน้องด้วยนะวิน” ก่อนออกจากห้องไป เขาเห็นแม่หันมามองคล้ายกำลังลังเล เสี้ยวหนึ่งรู้สึกถึงความคลางแคลงใจในสายตา “แม่...ไว้ใจวินนะ” ครองขวัญเอ่ยย้ำกับลูกชายด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ

โอเค แม่ไว้ใจเขา แต่เขานี่สิไม่ไว้ใจตัวเองเลย...ไม่เลยสักนิด

 

เธอรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองอ่อนล้าทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกแรง เมื่อยขบไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว เป็นการนอนหลับที่ยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก ฝันถึงหลายเหตุการณ์ในความทรงจำ ปะติดปะต่อคละเคล้ากันยุ่งเหยิงไปหมด ฝันซ้อนฝันสลับกันไปมาจนสับสนปรับอารมณ์ตามไม่ทัน 

“อยู่นิ่งๆ ได้ไหม ฉันเพิ่งได้นอน” กวินภัทรปรามคนในอ้อมแขนที่เอาแต่ขยับตัวยุกยิกไปมากลางดึก

“คุณวิน ทำไม...” พาพราวยังจับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมกวินภัทรจึงมานอนอยู่ข้างกัน และไม่ใช่นอนธรรมดา ต้องถามว่าทำไมเขาจึงมานอนกอดเธอไว้แบบนี้ต่างหากจึงจะถูก

“รู้ไหม เมื่อกี้เธอละเมอเรียกฉันว่าพี่วิน...ด้วยละ” เขากระซิบบอกเสียงทุ้มนุ่มที่ข้างหู ส่งไออุ่นกรุ่นร้อนจากลมหายใจพัดผ่านผิวบางข้างแก้มนวล ทำเอาเธอจั๊กจี้เบาๆ จนต้องเอียงศีรษะหนีสัมผัสผะแผ่วจากเขา

“...” เมื่อครู่เธอฝันอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ฝันไหนกันนะที่ทำให้เผลอเรียกเขาออกไปอย่างนั้น

“ปล่อยค่ะ” พอเริ่มสร่างไข้ สติสัมปชัญญะของเธอก็มาเต็มร้อย เขาและเธอไม่ควรอยู่ด้วยกันในลักษณะนี้ และยิ่งในเวลาเช่นนี้ด้วยแล้ว

“พอหายแล้วจะถีบหัวส่งเลยว่างั้น ฉันทั้งอุตส่าห์เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า หาข้าวหายาให้กิน แถมยังใจดีมานอนเฝ้าขนาดนี้ จะไม่ขอบคุณหน่อยเหรอ”

“...” นัยน์ตาสวยเบิกกว้าง จ้องเขาราวกับไม่เชื่อหู เขาเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอหรอกหรือ ไม่จริง! เขาอาจจะโกหกให้เธอตกใจเล่นก็เป็นได้ อาจจะเป็นครองขวัญหรือไม่ก็อารีที่ทำหน้าที่นั้น

“ไม่ต้องทำหน้าซาบซึ้งใจขนาดนั้นก็ได้ พี่ชาย...ก็แค่อยากดูแลน้องสาว”

ก็แค่น้องสาวที่ถูกเขาทิ้งมาตั้งหลายปี ทำไมตอนนี้ถึงสนใจอยากจะดูแล ถ้าไม่ใช่แค่เพราะความต้องการฉาบฉวยในแบบผู้ชาย “หายแล้วค่ะ กลับห้องคุณได้แล้ว” เธอเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ

แต่นอกจากจะไม่กลับแล้ว พี่ชายในสมอ้างยังกระชับอ้อมแขนแน่นเข้า เป็นการย้ำชัดว่าจะไม่มีใครต้องออกจากห้องไปในคืนนี้ “หลับเถอะน่า ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

เหนื่อยคนเดียวหรือไง เธอก็เหนื่อย เหนื่อยมากด้วย

แต่คนเหนื่อยจะตายยังมิวายแอบหอมแก้มนวลใสของคนในอ้อมกอด

แล้วเธอที่เหนื่อยมากด้วยจะนอนหลับลงได้อย่างไรกันเล่า

“นี่! อย่าดิ้น!” กวินภัทรเอ็ดคนตัวเล็กที่ยังขยับตัวอยู่ไม่สุขในความมืด คนหนึ่งกระชับอ้อมกอดเข้าหา ขณะอีกคนทำท่าจะผละออกให้ได้ สงครามเล็กๆ บนเตียงกว้างกลางดึกจึงเกิดขึ้น

“ปล่อยนะคะ นอนแบบนี้มันอึดอัด” พาพราวพยายามผลักเขาเท่าที่แรงกำลังของคนป่วยจะมี

“รู้ใช่ไหมว่าตัวเองโนบรา เวลาเธอดิ้นน่ะ อะไรๆ มันก็ดิ้นตามไปด้วย” เขากระซิบเสียงแผ่ว เว้นจังหวะนิ่งไปชั่วอึดใจ “...มันเสียวรู้ไหม” น้ำเสียงแปร่งปร่าของชายหนุ่มนั้นยังไม่ร้ายกาจเท่าการพยายามเบียดกายเข้าหาอย่างไม่น่าไว้ใจ ทำเอาหญิงสาวนิ่งงันไปในทันที

“...” แล้วทำไมต้องทำเสียงกระเส่าแบบนั้นด้วยเล่า ทีนี้เธอเลยได้รู้สึกวูบวาบตามเขาไปด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเธอดิ้นแทบตายเพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนเขาเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าอะไรๆ มันจะน่าหวาดเสียวขนาดนี้สักหน่อย

“ไม่ดิ้นแล้วเหรอ”

“มะ...ไม่ค่ะ”

“ดิ้นเถอะ นอนไม่หลับแล้วเนี่ย ตื่นไปหมด”

“...” หืม...ตื่น อะไรตื่น!

“มะ...ไม่ดิ้นแล้ว นอนนะคะ” เท่านั้นเองคนตัวเล็กจึงซุกหน้าลงบนอกกว้าง แกล้งทำท่าว่าหลับในทันที ทั้งๆ ที่ใจเธอยังคงเต้นแรงตึกตักอยู่ในอก แล้วมีหรือเขาจะไม่รู้ ก็เล่นเบียดชิดกันขนาดนี้ เนื้อกายเธอแทบจะจมหายเข้าไปในอกเขาอยู่แล้ว

ชายหนุ่มยิ้มขำในความมืด มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบอบบางไปมาอย่างช้าๆ สัมผัสแผ่วเบาราวกับกำลังปลุกปลอบกล่อมให้เธอหลับลง ถึงใจจะอยากแค่ไหน...

แต่เขาจำได้...แม่ไว้ใจเขานี่

 

เช้าวันรุ่งขึ้นพาพราวตื่นนอนอย่างสบายตัว อาการเมื่อยล้าอ่อนเพลียหายเป็นปลิดทิ้งในชั่วข้ามคืน เธอลืมตาขึ้นอย่างคุ้นเคยเหมือนทุกวัน แล้วพลันคิดได้ว่าเมื่อคืนมีใครอีกคนมานอนอยู่ข้างกันด้วย จึงรีบหันขวับมองยังที่นอนด้านข้าง แต่เขาไม่อยู่แล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยยับย่นบนเนื้อผ้าและกลิ่นหอมจางๆ พาให้นึกถึง

ไม่! ห้ามนะ...ห้ามนึกถึงเขาเด็ดขาด

หลังจากนอนป่วยอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวันทั้งคืน วันนี้พาพราวจึงลงมาข้างล่างแต่เช้า เข้าครัวทำบานอฟฟีพายซึ่งเป็นของโปรดของกวีลดา ตั้งใจว่าจะนำมาขอโทษที่เมื่อวานเธอพูดจาไม่ดีจนน้องตกใจ หญิงสาวยืนถือจานขนมอย่างละล้าละลังอยู่หน้าประตูห้องนั่งเล่น และเห็นว่ากวีลดากำลังนั่งดูซีรีส์เรื่องโปรดของตนอยู่คนเดียว

            “พี่พราว ยืนทำอะไรตรงนั้นคะ” น้องสาวทักขึ้นเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นนานสองนาน ไม่เข้าไปสักที

            “พี่...เอ่อ พี่ทำขนมมาให้ค่ะ” พาพราวเดินเข้าไปหา เธอไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี ปกติเธอไม่เคยเข้าหากวีลดาก่อน แถมยังไม่ค่อยได้เป็นฝ่ายพูด มีแต่ฟังเพียงอย่างเดียว

            “...” เด็กหญิงละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมกว้างแล้วหันมามองกันโดยไม่พูดอะไร ทำเอาพี่สาวลุ้นใจเต้น กลัวว่าน้องจะยังโกรธกันอยู่ พอเห็นสีหน้าหงอยของคนที่ปกติมักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ กวีลดาจึงยิ้มกว้างและกว้างขึ้นอีก เมื่อกี้เธอแค่แกล้งเล่นหรอกน่า

            “น้องวิป...ไม่โกรธพี่แล้วใช่ไหมคะ พี่ขอโทษนะคะ” พาพราวเอ่ยถามด้วยความกริ่งเกรง สบตาน้องแบบไม่เต็มสายตา

            คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือก่อนตอบ “โกรธค่ะ”

            “คะ?”

            “แต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว” คนช่างอำขยับตัวเข้ามานั่งใกล้กัน พลันยกมือขึ้นดึงแก้มเนียนของพี่สาวสองข้างเบาๆ อย่างมันเขี้ยว “พี่พราวน่ารักจัง”

เขิน...เธอเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘เขินหนักมาก’ ก็วันนี้ละ ปกติเธอไม่ได้ทำตัวร่าเริง เล่นหัวหยอกเอินกับน้องแบบนี้สักเท่าไร พอเจอความใกล้ชิดในรูปแบบนี้เข้าไปก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่หลุบตาลงต่ำ เพราะไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนดี อีกทั้งไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหน “พี่ไป...ไปทำงานก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวค่ะ วิปมีเรื่องจะขอให้ช่วย” กวีลดาเอ่ยขอด้วยเสียงออดอ้อนสุดพลัง พาให้นึกสงสัยว่ามีเรื่องอะไร และอย่างเธอจะช่วยอะไรน้องได้หรือ

 

กวินภัทรเดินเข้ามาเมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กอยู่เพียงลำพังในห้องนั่งเล่น  ห้องนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรของเธอ  กิจกรรมสุดโปรดยามว่างในวันหยุดของกวีลดาคือการตะลุยดูซีรีส์แบบรวดเดียวไม่หยุดพัก เช้าจดเย็นจดค่ำ บ้างก็ไปจดเช้าอีกวัน รันต่อเนื่องยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำเอาคนเป็นพ่อแม่ได้แต่บ่นอย่างอิดหนาระอาใจ แต่ก็ยอมรับได้ เมื่อลูกสาวยังคงรับผิดชอบหน้าที่ส่วนอื่นได้เป็นอย่างดี กวีลดาเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่ง แต่เป็นประเภทที่ไม่ค่อยขยัน ก็แน่ละ เวลาของเธอมีค่า เหล่าโอปปารอเธออยู่ เด็กหญิงมักบอกคนอื่นๆ แบบนี้เสมอเมื่อถูกดุให้ไปอ่านหนังสือ สำหรับเธอแค่ตั้งใจเรียนในห้องให้เข้าใจก็เพียงพอแล้ว

“อื้อ! ของวิปนะ อย่ามาแย่ง” กวีลดาหันมาดุใส่พี่ชายตัวโต คนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งลงบนโซฟาข้างกัน แถมเขายังเบียดกายหนักๆ มาพิงเธอไว้ ปิดท้ายด้วยการแย่งช้อนตักขนมที่เธอกำลังจะกินไปเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย ครบสูตรตัวโกง!

“แค่นี้ทำหวงไปได้” คนแย่งขนมน้องเลยหันไปขยี้หัวฟูๆ นั่นอย่างอดใจไม่ได้

“หวงสิ พี่พราวอุตส่าห์ทำให้วิปเป็นพิเศษ”

“เหรอ...” กวินภัทรแกล้งทำหน้าตาล้อเลียน ส่งเสียงลากยาวด้วยแววยียวนเต็มกำลัง พอน้องมัวแต่หันไปสนใจดูซีรีส์ พี่ชายจึงอาศัยจังหวะนั้นแอบจัดการจนหมด...เกลี้ยง!

อร่อย...อร่อยเหมือนคนทำเลย

“ไอ้พี่วิน! นิสัย!” คนโดนแย่งของกินที่เพิ่งรู้ตัวได้แต่ฮึดฮัดใส่พี่ชาย จับหมอนอิงที่กอดไว้ฟาดใส่คนตัวโตไปสองสามที ก่อนไล่ให้ไปไกลๆ แถมยังใช้ให้เอาจานไปเก็บในครัวอีกด้วย เสียอารมณ์ที่สุด

 

คืนนั้นพาพราวเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะวันรุ่งขึ้นเธอต้องตื่นแต่เช้าไปมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีนัดคุยเรื่องงานแสดงภาพกับอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนเข้าเรียน หลังจากอาบน้ำและใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่กำลังทาครีมอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง พลันนั้นก็เห็นว่ามีใครบางคนนอนอยู่บนเตียงของตนรางๆ และคล้ายกำลังจ้องมองมาผ่านภาพสะท้อนในกระจก

กวินภัทร! หญิงสาวหันหลังกลับไปมองทันที ก้าวถอยหลังด้วยความระแวดระวัง

“ชุดนอนน่ารักดีนะ” เขาพูดด้วยแววหยอกเย้ากระเซ้าแหย่

“...” เธอก้มมองชุดนอนของตนเองทันที แล้วรีบหันกลับไปส่องกระจก ก่อนจะต้องตกใจเมื่อได้เห็นว่าตนเองนั้นใส่เพียงเสื้อยืดสีเทาตัวเล็กกับกางเกงขาสั้นเข้าชุดกัน ใส่เท่านั้นจริงๆ ส่วนข้างในไม่มีอะไรแล้ว โล่ง! หญิงสาวหันกลับมามองเขาหน้าตาตื่น ก่อนจะปิดเนื้อตัวด้วยมือน้อยนิดแล้วรีบวิ่งเข้าไปยังส่วนที่เป็นโซนแต่งตัว

“อายอะไร ตอนเด็กๆ ก็เห็นหมดแล้ว แถมยังเคยอาบน้ำให้ด้วย”

“...” ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงขวดโรลออนถูกปาออกมาทางเขาเท่านั้น ไม่เกินอึดใจ พาพราวก็ออกมาใหม่ในชุดวอร์มเต็มพิกัด กวินภัทรอดขำไม่ได้เมื่อเห็นเธอพยายามรูดซิปขึ้นจนสุดปลายคาง สวมฮูดคลุมจนเหลือเพียงใบหน้าเท่านั้นที่โผล่ออกมา

“เข้ามาได้ยังไงคะ” เธอมั่นใจว่าตนเองล็อกประตูห้องเรียบร้อยแล้ว ก็ในเมื่อเขาแสดงออกชัดเจนว่าพยายามหาโอกาสเล่นงานกันขนาดนี้ เธอก็จะไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใจเด็ดขาด

“ประตูหลัง” ก็ประตูหน้าล็อก เขาเลยต้องลงทุนปีนระเบียงข้ามจากห้องตัวเองมาห้องของหญิงสาว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ แม้ตกไปจะมีสิทธิ์ตายจากความสูงสามชั้นนี้ได้ แต่นั่นละ เขาก็รอดมานั่งอยู่ตรงนี้ได้แล้วนี่นา

“มีอะไรคะ”

“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอเอง”

“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ พราวไปกับลุงชัยเป็นปกติอยู่แล้ว”

“ลุงชัยของเธอไม่ว่าง งานแกเยอะแล้ว อย่าทำตัวเพิ่มภาระน่า”

หืม...เพิ่มภาระ พูดมาได้! เด่นชัยขับรถรับส่งเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาจะไปเพิ่มภาระตรงไหนไม่ทราบ แล้วเธอก็ยอมเป็นภาระของลุง ดีกว่าเป็นภาระของเขาซึ่งไว้ใจไม่ได้!

“ค่ะ” เธอรับปากอย่างเสียไม่ได้

“ก็ดี...เป็นแค่คนอาศัย อะไรที่ไม่ทำให้คนอื่นลำบากก็ควรจะทำ เข้าใจไหม”

“มีอะไรอีกไหมคะ จะนอน!” หญิงสาวถอนหายใจอย่างแรง แรงแบบที่ไม่คิดเกรงใจว่าเขาจะได้ยิน

“มี”

“คะ?”

กวินภัทรลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาทางเธออย่างรวดเร็ว เขาเอื้อมมือมาจับร่มที่เธอพยายามซ่อนไว้ด้านหลัง กะว่าถ้าเขาเข้ามาคุกคาม เธอจะฟาดให้สักทีสองที แต่เอาเข้าจริงพอเขาเข้ามาใกล้ เธอก็ทำได้แค่กำมันไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมราวกับสมองไม่สั่งการ หรือไม่ก็คงสั่งการช้าเกินไป ไม่ทันเขา

“แค่จะบอกว่าร่มแค่นี้ ฉันหักมือเดียวก็พังแล้ว” เขาพูดขณะพยายามคร่อมกายอยู่เหนือร่างบางที่พยายามเอนหนีเขาจนสะโพกเกยเข้ากับขอบโต๊ะวางของ ไม่มีส่วนใดสัมผัสแนบชิดกัน

นอกจาก...

กวินภัทรโน้มใบหน้าเข้าหา หลุบตาลงมองเรียวปากอิ่มอันปราศจากลิปสีสวยใดๆ มีเพียงสีระเรื่อเป็นธรรมชาติน่ามองและ...น่าลิ้มลอง

ชายหนุ่มกดริมฝีปากของตนลงบนเรียวปากอุ่นนุ่มของเธอ ไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว และไม่ทันได้รู้สึกด้วยซ้ำ เขาก็ผละออกห่างอย่างรวดเร็วคล้ายแกล้งจุ๊บเท่านั้น “กูดไนต์คิส” ชายหนุ่มนึกขำยามเห็นสีหน้าตื่นๆ บวกกับอาการนิ่งค้างของเธอ

คนตัวเล็กเลยได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองกันอย่างงุนงง ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก เพียงแค่นึกว่าเขาจูบเธอ เลือดในกายสาวก็สูบฉีดพลุ่งพล่าน หัวใจกระตุกเต้นผิดจังหวะ สัมผัสแผ่วเบาเพียงเสี้ยวนาที แต่กลับตีตัวตนภายในให้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เขาทิ้งรอยสัมผัสไว้ในความรู้สึก พาพราวกัดริมฝีปากล่างไว้ขณะมองเขาอย่างค้นคว้า

เธอไม่คิดว่าเขาจะทำแค่นี้

ไม่สิ! เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะทำเท่านี้

ไม่ ไม่ ไม่! เธอหมายถึง...แค่คิดว่าตัวเองจะถูกทำอะไรที่มากกว่านี้

โอ๊ย! เธอไม่คิดแล้ว...

“ทำไม ไม่พอเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงท้าทายขณะยังคงเท้าแขนคร่อมเธอไว้ใต้อาณัติ ทิ้งระยะห่างเพียงนิดไว้ ไม่ยอมขยับแนบชิด จูบเมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่าเธอ...นุ่มนิ่มมากแค่ไหน ชักติดใจขึ้นมาแล้วซี นัยน์ตาเสน่หายังคงจ้องยามเธอกัดริมฝีปากล่างไว้ไม่วางตา...อยากช่วยกัดจัง

“พอ! พอแล้ว” ราวกับโดนเขาดูดกลืนสติไปแล้ว มันทั้งหวิวไหว หวาดหวั่น ตื่นเต้น ครั่นคร้าม และทำอะไรไม่ถูกในคราเดียว

“โอเค...ถ้าไม่พอบอกได้” คนหล่อร้ายเอียงศีรษะขณะพูด ยักคิ้วนิดๆ อย่างชายเจ้าเล่ห์เพทุบาย

“ไม่เอา...ออกไปนะ” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือ ไล่เขากลับห้องตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย ไม่! อย่างน่าโมโหต่างหากเล่า

 

กวินภัทรเปิดประตูเข้ามาในห้องตนเอง ชายแกร่งเดินตรงไปยังโซฟาบุนวมตัวใหญ่ ทิ้งกายลงอย่างเหนื่อยล้า เมื่อครู่เขาข่มกลั้นอารมณ์แทบตาย ยับยั้งใจไว้ไม่ให้เผลอทำอะไรเธอลงไป ก็หุ่นเธอมันน่า...น้อยเสียที่ไหนล่ะ ก่อนจะหลับตาจินตนาการถึงคนที่เพิ่งไล่กันออกมา

และทันใดนั้นเอง มีใครบางคนเปิดประตูตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาลืมตาขึ้นมองทันที

“พี่วิน...ช่วยด้วย! พราวร้อน” หญิงสาวเดินเข้ามาในชุดนอนขายาวแขนยาวตัวเมื่อกี้ วงหน้างามมีเหงื่อผุดพราย ไรผมเธอเปียกชื้นแนบลู่ไปกับผิวนวลเนียน แก้มขึ้นสีจัดคล้ายคนไม่สบาย

“เป็นไร” เขากำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปดูเธอใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันขยับหญิงสาวก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน เธอหย่อนกายนั่งคร่อมลงบนตักเขาอย่างรวดเร็ว หันหน้าเข้าหากัน ก่อนจะยกมือขึ้นโอบลำคอเขาไว้ ไม่ทันให้ชายหนุ่มได้ตั้งตัว

“พราว...ทำไม...” คนถูกจู่โจมเอ่ยถามราวกำลังละเมอ สิ่งที่เธอทำเรียกเลือดในกายเขาให้ร้อนฉ่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเดือดจัดแทบมอดไหม้เมื่อหญิงสาวจดริมฝีปากลงมาหากัน

กวินภัทรไม่ขัดศรัทธายามเมื่อเธอกดเนื้อตัวเข้าหา ใช้ความนุ่มนิ่มสู้กับมัดกล้ามหนั่นแน่น บดเบียดส่วนเย้ายวนเข้าหยอกยั่วอุราชาย

กลีบปากบางนุ่มขบเม้มเข้าหาอย่างท้าทาย เธอเป็นฝ่ายสูดปากดูดกลืนไว้ราวหิวกระหาย ก่อนทิ้งท้ายด้วยการขบกัดริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ แล้วจึงขยับออกห่าง แผดเผาเขาด้วยสายตาร้อนแรงน่าลุ่มหลง เธอไปหัดมาจากไหนกันเนี่ย!

ชายหนุ่มเผยอปากรอรับสัมผัสร้อนแรงเมื่อหญิงสาวก้มเข้าหาอีกครา ครั้งนี้รุกล้ำ ดื่มด่ำ ย่ำผ่านเข้ามาสัมผัสความเปียกชื้นของเขา ดูดชิมชายวัยกำหนัดไว้ได้อยู่หมัด เธอมันยัยแม่มดร้าย! ร้ายได้อย่างละมุนที่สุด เขารู้สึกคล้ายกำลังได้ละเลียดวิปครีมเนื้อเนียนนุ่มบนบานอฟฟีที่คุ้นเคย

และแม่มดของเขายังร้ายได้อีก เธอถอดถอนจูบยวนใจออกกลางคัน ผละกายออกห่างเล็กน้อย แล้วจึงเอื้อมคว้ามือแกร่งไปวางบนเสื้อของตนเองไว้ในเชิงบังคับ “พี่วินขา รูดซิปให้พราวหน่อยสิคะ พราวร้อน” เสียงหวานกระเส่าเร้าอารมณ์ชายร่ายเวทมนตร์ใส่กันไม่หยุดหย่อน

แล้วมีหรือผู้ชายตาดำๆ อย่างเขาจะรอดพ้น กวินภัทรจับหัวซิปเล็กด้วยมือสั่นเทา ค่อยๆ รูดลงมาช้าๆ เผยผิวบางกระจ่างนวลเหนือเนินอก

รูดลงมาอีกนิด ผ่านเนื้อนุ่มนวลเนียนที่เขาแสนปรารถนา เพียงแค่มองยังรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มน่าแนบชิด

รูดลงมาอีกนิด...

ชายหนุ่มกลั้นลมหายใจ จ้องเธอไว้ตาไม่กะพริบ รู้สึกราวกับว่าตนกำลังเดินทางผ่านช่องแคบระหว่างภูเขาสองลูก...ใหญ่

“พอค่ะ!” เธอสั่งหยุดเสียงเข้ม การเดินทางที่แสนพิเศษจึงต้องสิ้นสุดลง แต่เขาอยากเอาธงไปปักที่ยอดเขานี่นา

มือบางกุมมือเขาไว้ ไม่ยอมให้รูดต่ำลงไปกว่านี้ เธอยกยิ้มยั่วยวนกันอย่างเหลือร้าย ก่อนสะบัดมือเขาออกห่าง ถ่างสาบเสื้อให้อ้ากว้างเล็กน้อย เปิดเปลือยผิวขาวราวไข่มุกเหนือเนินอก แล้วจึงโน้มกายสาวเข้าหา กดใบหน้าเขาให้แนบชิด กวินภัทรสูดกลิ่นหอมบางเบาเย้ายวนใจเข้าจนช่ำปอด เธอกำลังมอมเมาเขาให้เคลิบเคลิ้ม ก่อนจะดับฝันกันในทันใดด้วยการขยับกายออกห่าง

“ยัยแม่มด!”

“ถอดกางเกงออก เร็วๆ สิคะ” แม่มดน้อยของเขาบงการเสียงหวาน ลวงสะกดกันด้วยแววตาเร่าร้อน

ทันทีที่กางเกงนอนและซับในสีขาวหลุดพ้นพันธนาการไปจากเรือนกาย มีบางอย่างชูชันขึ้นท้าทายสายตาหญิงสาวร้อนรัก เธอคุกเข่าลง คลานเข้าหา และจับขาเขากางออกกว้างเพื่อแทรกตัวเข้ามานั่งหว่างกลาง

ภาพที่เห็นกำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า ชายหนุ่มครางต่ำในลำคอ แค่คิดว่าเธอจะทำอะไรให้ ใจเขาก็สั่นเต้น ตื่นรับรอคอยด้วยความหวังล้นปรี่

 ไม่น้อยนะ....แต่ก็น่ารักอยู่ ลูบไล้คล้ายอยากทำความรู้จักเสียเต็มประดา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเว้าวอนราวกับจะขออนุญาตกัน

ตามสบายเลย เต็มที่ พี่ยอมทุกอย่าง

เธอยังคงนิ่งงัน เอียงคอจ้องมองอย่างน่ารัก...น่ารักจนเขาอยากจะรักให้สมใจ และในที่สุดก็ถึงเวลาที่ยัยแม่มดร้ายจะร่ายคาถารักใส่กัน เธอโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ แตะปลายลิ้นลงบนส่วนหนั่นแน่นอย่างละล้าละลัง เพียงแค่นั้นชายหนุ่มถึงกับต้องหลับตาเกร็งกายด้วยความเสียวซ่าน เธอคงไม่รู้ว่าเขาปรารถนาสิ่งนี้มานานแค่ไหน

ลิ้นเล็กละเลงความร้อนลงบนลำร่าง ละเลียดชิมอย่างแช่มช้า พาให้เขาเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย ก่อนจะกระชากอารมณ์กันด้วยการดูดกลืนเข้าเต็มกำลังอย่างรุนแรง ไม่ทันให้ตั้งตัว

“พราว...” ชายหนุ่มเกร็งกายอย่างหนัก เขาเห็นเธอผงกหัวขึ้นลงตรงกลางลำกายแกร่ง จึงเอื้อมมือหนาไปจับช่อผมที่ตกปรกหน้างามงดบดบังรัศมีการมองเห็นของเขา รวบกลุ่มผมนุ่มไปรวมไว้อีกด้าน เปิดวงหน้าหวานให้เขาได้เชยชมชัดๆ ว่าเธอกำลังปรนเปรอกันอยู่อย่างไร

ความรู้สึกยามเมื่อเธอดูดกลืนครอบครองกันไว้เปียกชุ่ม อุ่นเร้า ราวกับจะมอดไหม้ ลิ้นเล็กกวัดแกว่งรุกล้ำ กระตุ้นอารมณ์กันเหลือจะกล่าว “พราว! เร็วอีก!”

เขาต้องการมากกว่านี้...เร็วกว่านี้

ชายหนุ่มคำรามเสียงดัง มัดกล้ามเครียดเกร็งขึ้นจนเห็นเด่นชัด เธอส่งเขาถึงยังปลายทางของความสุขซ่าน

มือบางยังคงรีดรูดความแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งเร้า ปากเล็กดูดกลืนทุกหยาดหยดเต็มล้นไม่มีเหลือ สิ่งขาวขุ่นหยาดเยิ้มออกมาเล็กน้อยจากริมฝีปากอวบอิ่ม เธอตวัดลิ้นละเลียดกลับ

“เก่งมาก แม่มดน้อยของพี่” มือหนาลูบศีรษะคนตัวเล็กราวกับให้รางวัล เห็นเธอระบายยิ้มให้กัน เขาจึงทิ้งตัวพิงเอนไปตามพนักโซฟาอย่างสบายอารมณ์ ตาคมจ้องมองเพดานด้วยความเบาสบาย

ฟึ่บ!

ร่มสีขาวลายดอกไม้คันเล็กถูกกางขึ้น นี่มันร่มที่เธอจะใช้ฟาดกันเมื่อกี้นี่นา

“พราว...กางร่มทำไม”

“เดี๋ยวเปียกค่ะ!”

เพียงเท่านั้นเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก และ...ไม่ทันแล้ว เปียกหมดแล้ว!

 

กวินภัทรรู้สึกว่าบรรยากาศเช้านี้แช่มชื่นรื่นรมย์กว่าทุกวัน เขาผิวปากอย่างเพลินใจขณะปาดเนยลงบนขนมปังระหว่างมื้ออาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่สิ ยังขาดไปอีกหนึ่งคน

“อารมณ์ดีอะไรแต่เช้าคะคุณพี่ น้องเห็นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ฝันไกลไปถึงดาวเนปจูนแล้ว” กวีลดายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มแป้นแล้นมองพี่ชายอย่างล้อเลียน

            “ยุ่ง! คุณพี่ว่าคุณน้องไม่เผือกสักเรื่องน่าจะดีกว่านะครับ” พี่ชายแสนดีขยี้หัวฟูๆ ของเธอ ก่อนจะผลักจนกระเด็นกลับเข้าที่เดิม

“แม่...พี่วินแกล้งหนู”

“เรานี่นะ!” ครองขวัญเหนื่อยจะเอ็ดคู่นี้แล้ว “อ้าวพราว มานั่งสิ วันนี้มีโยเกิร์ตกับซีเรียลของโปรดพราวด้วยนะลูก” เธอทักลูกสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอิดโรย ท่าทางเหมือนนอนไม่เต็มตื่น

            เด็กสาวพยักหน้าให้คนเป็นแม่ขณะเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกับกวินภัทร เธอเห็นเขาลอบยิ้ม

ยิ้มอะไร

พาพราวขยับตัวอย่างประหม่า ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าเขาจับจ้องกันอยู่ หลังจูบวัดใจเมื่อคืน เธอรู้สึกเหมือนริมฝีปากของตัวเองไวต่อสัมผัสอย่างน่าประหลาด รู้สึกว่ามันล่อตาล่อใจเขาจนต้องขบเม้มไว้ตลอดเวลา สายตาเขายามมองมาสร้างความรู้สึกแปลบปลาบน่าหวาดหวั่นสิ้นดี

“รีบกินสิพราว จะสายแล้ว พี่รีบ” กวินภัทรเอ่ยบอกคนตรงหน้าเสียงนุ่ม

“ค่ะ” สิ้นคำ คนโดนเร่งเร้าจึงรีบตักอาหารในถ้วยกินเพื่อทำเวลา เธอเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีนัดกับอาจารย์เช่นกัน เร่งรีบจนไม่ทันระวังทำให้เนื้อครีมขาวข้นเยิ้มเลอะมุมปากอิ่ม หญิงสาวจึงเม้มริมฝีปากและตวัดลิ้นเลียอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้สังเกตอาการของคนตรงหน้า

ใช่! เขาคิด เหมือนในฝันเลย...

“ไปกันเลยไหมคะ พราวเสร็จแล้ว”

เฮ้อ...ยัยแม่มดที่แท้จริง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น