8
ความรัก| ความลับ
พาพราวปรามชายหนุ่มเสียงหวานสั่น
“พี่วิน!
ไม่เอานะ เดี๋ยวคุณเลขาฯ รู้” เธอพยายามรั้งกายสาวหนีห่างสัมผัสรุกไล่จากชายด้านหลัง
มือหนาเริ่มอยู่ไม่สุข
เขาลูบไล้ต้นแขนเธอขึ้นลงไปมาอย่างเชื่องช้า
กรีดกรายปลายนิ้วเย้าผิวบาง แสดงความต้องการอย่างตรงไปตรงมา “ไม่รู้หรอก
พี่ใช้ออกไปทำธุระข้างนอกแล้ว อีกนานกว่าจะกลับ”
“ไม่เอา...พราวอาย”
พาพราวยังคงไม่ยินยอมพร้อมใจไปกับการเชื้อเชิญของเขา พยายามปัดมือชายหนุ่มซึ่งกุมแขนไว้ออกห่าง
เขาจึงไล้ปลายนิ้วคลึงผิวนุ่มของเธอหนักหน่วงเข้าอีก
“อายอะไร
อายพี่เหรอ” กวินภัทรกระซิบเสียงต่ำพร่าข้างหูคนตัวเล็ก
สูดหายใจเอากลิ่นเย้ายวนชวนละลายจากกายเธอ กลิ่นหอมอ่อนโยนราวกลีบดอกไม้ในยามเช้า
บางเบา ทว่าน่าค้นหา มีชีวิตชีวาและน่าลุ่มหลงในคราเดียวกัน
“ปิดหน้าต่างก่อนสิคะ”
เธอชี้นิ้วไปทางกรอบสี่เหลี่ยมเปิดโล่ง มองเห็นกิ่งก้านจากต้นไม้ใหญ่
เสียงนกร้องจิ๊บๆ กระซิบดังอยู่ไม่ไกล
ทั้งยังสายลมโชยอ่อนซึ่งพัดแผ่วเบาเข้ากระทบโมบายเล็กดังกรุ๊งกริ๊งน่าฟัง
“อ๋อ...อายฟ้าดิน”
กวินภัทรสัพยอกหยอกเย้าคนตัวเล็ก ก่อนรีบขยับกายโดยไวไปดึงม่านสีขาวปิดลงตามคำขอ
แล้วจึงกลับมาสานต่อ ไม่รอเวลาให้หญิงสาวได้ต่อรองคำใดอีก
มือหนาเชยคางมนให้หันมาหากัน ก่อนจะมอบจูบเร่าร้อนจากเขาซึ่งนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
พลันรั้งเอวบางเข้าหาจนเกือบเกยตักแกร่ง แนบชิดติดกันไปทุกการขยับไหว
“อื้อ...”
เธอโอนอ่อนผ่อนตามโดยง่าย ง่ายจนน่าประหลาดใจ ซ้ำร้ายยังไล่ลิ้นละเลียดเล่น
หยอกเย้ากับเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ราวกับว่านี่ไม่ใช่เธอคนเดิม
เรียวปากหนาแนบชิดมอบจุมพิตแสนลึกซึ้ง
ชายหนุ่มหลงใหลในรสหวานละมุนจากเธอเกินจะกล่าว พลันไล่ปลายนิ้วขยับไหวไปตามเอวบาง
ลูบวนฝ่ามือช้าๆ พลางออกแรงบีบขยำหน้าท้องของเธออย่างแผ่วเบา แม้มีเสื้อนักศึกษาตัวบางกั้นกลางอยู่
แต่เขารับรู้ได้ว่าเธอสะดุ้งเกร็ง แขม่วรับจังหวะปลุกเร้า
ให้ความร่วมมือมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มครางประท้วง
คนเอาแต่ใจจึงถอดถอนเรียวปากออกห่าง เว้นวรรคให้เธอพักหายใจ ก่อนไล่ปลายจมูกไปตามกรอบหน้าพริ้มเพรา
จูบขมับบางแผ่วเบาเพื่อให้รางวัล เธอเหนื่อยหอบจนต้องเอนกายพิงไหล่เขาไว้ วงหน้าหวานแนบเข้าใกล้ต้นคอแกร่ง
เป่ารินรดลมหายใจอุ่นร้อนใส่กันจนสั่นสะท้าน
ชายหนุ่มไล่สัมผัสขึ้นสูง
คลึงเคล้าสัดส่วนโค้งเว้าของเธออย่างมันมือ ก่อนหยุดอยู่เหนือเนินอกอิ่ม
พยายามปล้นปลดกระดุมเหล็กให้หลุดพ้นรังดุม ผ่านไปเพียงสองเม็ด...หญิงสาวก็จับแขนเขารั้งไว้เป็นเชิงห้ามปราม
ได้แค่นั้น...กวินภัทรจึงจับสาบเสื้อขาวบางของเธออ้ากว้าง
เผยผิวขาวราวไข่มุกน่าครอบครอง จดจ้องเนินนุ่มของเธอไม่วางตา แล้วจึงวาดวงแขนมาด้านหลัง
ปลดตะขอบราเซียร์ทั้งที่ยังมีเสื้อชั้นนอกอยู่อย่างชำนาญ
ถูกใจเขานักเมื่อพบว่าเป็นบราไร้สาย
มือหนาอันอุดมไปด้วยรอยเส้นเลือดแกร่งกร้านล้วงลึกเข้าไปในสาบเสื้อตัวบาง ค่อยๆ
รั้งปราการชิ้นเล็กให้หลุดเลื่อนออกมาจากความนุ่มนิ่ม
เขายกสิ่งนั้นขึ้นตรงหน้าหญิงสาว พลางกระเซ้าเสียงเบาเพียงกระซิบ “พี่ขอนะครับ”
ประกายตาเจิดจ้ายามมองเนื้อผ้าในมือตน
ลายลูกไม้
สีดำ...
ชายเบื้องหลังนั่งซ้อนโอบกอดเธอไว้
ใช้ความเหนือกว่ามองกดต่ำลงมาที่อกอิ่ม สิ่งซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อผ้าบางเบา
เขาแทบคลั่งยามมองเห็นเพียงวับๆ แวมๆ ซ่านไหวไปทั้งกายชาย
จนอยากจะกระชากกระดุมออกเสียทุกเม็ด หากไม่ติดว่าเธอจับมือยั้งกันไว้ อะไรกัน! ขออีกเม็ดไม่ได้หรือไง
มือเขาสั่นพร่าตอนที่วางประทับลงบนเนินอกอิ่มแสนละมุน
นุ่มมืออย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ อุ้งมือแข็งแกร่งขยับคลึงเบาๆ
เธอหยัดกายสู้สัมผัสเขาอย่างเหลือร้าย
ปลายทรวงสีระเรื่อชูชันเด่นชัดขึ้นจนใจนึกอยากครอบครอง
กวินภัทรประคองส่วนอิ่มล้นไว้เต็มฝ่ามือ ไล้ลงไปรองใต้ฐานล่างหนั่นแน่น
รั้งเนื้อผ้าให้ตึงแนบไปกับความอิ่มนุ่มจนขึ้นรูปขึ้นรอยเล็กๆ ที่ปลายยอด
อา...ทำไมเนื้อตัวเธอจึงน่าขย้ำได้ถึงเพียงนี้
อยากจะบดขยี้ให้เธอบิดเร่า ร้องขอ...
“คุณวินคะ! คุณวิน!” พาพราวสะกิดเรียกชายหนุ่มเสียงดังเข้มกว่าเก่าเมื่อเห็นเขาขยับนิ้วมือคล้ายกอบกุมบางอย่าง
ทำท่าทางราวกำลังฝันถึงเรื่องน่าตื่นเต้น
เมื่อครู่หลังจากเอนซบกัน
พลันไม่เกินห้านาทีเขาก็นิ่งงันไป พร้อมกับทิ้งน้ำหนักกายใส่บ่าเล็กของเธอเต็มแรง
หันมองจึงเห็นว่าเขาหลับไปแล้ว เธอจึงขยับปรับท่วงท่า จัดให้เขาเอนกายลงนอนไปบนโซฟาบุนวมตัวหนานุ่ม
ส่วนตนเองเปลี่ยนตำแหน่งมานั่งยังโซฟาอีกฝั่ง
มองดูใบหน้าเขายามหลับพริ้มด้วยแววตาอ่อนแสงลง
ราวชั่วโมงเศษที่เธอปล่อยให้เขาพักสายตา
กระทั่งได้เวลาต้องไปแล้วจึงขอเสียมารยาทขัดจังหวะการพักผ่อนของชายตรงหน้า
“คุณวิน! ตื่นค่ะ พราวต้องไปมหา’ลัยแล้ว”
พาพราวเขย่าแขนเขาเบาๆ เพื่อปลุกให้ตื่น ครั้นเห็นเขาเริ่มขยับไหวก็รีบชักมือกลับ
นั่งหลังตรงเรียบร้อยขณะรอคอยเขา
“อือ...”
กวินภัทรลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง เห็นเธอนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวเยื้องกัน ตาคมเข้มหลุบต่ำลงมองบางอย่างของเธอที่เขาเพิ่งได้สัมผัส
ก่อนเงยขึ้นสบตาเธออีกครั้งแลเห็นหญิงสาวมองเขาตาปริบๆ
โอ๊ย! เขาแค่ฝันไปหรอกหรือ บ้าเอ๊ย! ฝันกลางวันเสียด้วยสิ
ชายหนุ่มจ้องมองเธออีกครา
จ้องหน้า...อกเธอไม่วางตา ทำท่าราวกับกำลังส่งกระแสจิตผ่านสายตา
หวังให้กระดุมเธอปริออกมาได้เอง จงปริ! จงปริ!
“มองอะไรคะ!” หญิงสาวที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่รีบยกมือขึ้นปิดหน้าอกตัวเองไว้
มองเขาด้วยแววตาหวาดระแวง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าเขาดูคุกคามจาบจ้วง
จ้องมาอย่างไม่น่าไว้ใจ ทำท่าคล้ายอยากจะจับเธอเปลื้องผ้าทางสายตาอย่างนั้นละ พาพราวหน้าแดงจัด
อึดอัดเพราะสายตาของชายเบื้องหน้า
คนช่างฝันลุกขึ้นยืนโดยไว
ขยับกายเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบชิดกัน ยันแขนแกร่งกับพนักโซฟา
ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มพร่าด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ร้าย “อยากรู้ไหม เมื่อกี้พี่ฝันว่าอะไร”
ไอร้อนจัดบางอย่างจากกายเขาปกคลุมกดทับเธอไว้
น่าพรั่นพรึงและน่าสั่นไหวจนใบหน้านวลใสขึ้นสีจัด “มะ...ไม่ค่ะ ไม่อยากรู้” จะฝันอะไรก็เรื่องของเขาสิ
กวินภัทรอมยิ้มนิดๆ
ยามเห็นผิวหน้าเธอขึ้นเลือดฝาด มีชีวิตชีวาน่ามอง ใบหูเล็กแดงระเรื่ออย่างน่ารัก
“คิดลึกเหรอเรา พี่แค่ฝันว่า...”
เขาแกล้งเว้นจังหวะเงียบไปเมื่อเห็นเธอจ้องตาไม่กะพริบรอคอยคำตอบ “...ไม่บอกดีกว่า
ก็พราวไม่อยากรู้นี่เนอะ”
ตาหวานกระตุกวาบในเสี้ยวจังหวะ
คนบ้า!
เธอพยายามกลบเกลื่อนอาการไม่พอใจ
แต่เขาซึ่งรู้จักเธอดีกว่าใครมองเห็นมันชัดเจน น่ารักจนอยากจะแกล้งซ้ำๆ
ร่างแกร่งขยับออกห่างเปิดทางให้เธอ ก่อนยื่นมือมาตรงหน้าคนตัวเล็กพร้อมโปรยยิ้มให้
ขณะในใจเขากำลังร้องไห้อย่างหนัก เสียดายสุดๆ
“ไปกัน
เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าผ้าของเธอมาถือไว้ คว้ามือเล็กขึ้นกุมแล้วบังคับให้เดินออกไปพร้อมกัน
แม้เธอจะขัดขืนแค่ไหนก็ตามที แต่มีหรือเขาจะยอม
อดยิ้มมุมปากกับตัวเองไม่ได้เมื่อเห็นว่าเลขานุการคนเก่งยังคงนั่งทำงานอยู่ที่เดิม
ไม่ได้โดนเขาใช้ออกไปทำธุระที่ไหน “เดี๋ยวผมกลับเข้ามาช่วงบ่ายนะครับ
ขอออกไปส่งน้องก่อน” กวินภัทรเอ่ยบอกเสียงสุภาพเป็นเชิงขออนุญาตกันในที แล้วจึงพาเธอออกไป
“หิวไหม
ไปกินข้าวด้วยกันก่อนนะ”
“ไม่เอาค่ะ! พราวนัด...เอ่อ...นัดแตงกวาไว้แล้ว”
“เหรอ...มีเพื่อนชื่อแตงกวากี่คน
ใช่คนเมื่อเช้ารึเปล่า ไหนบอกเจอกันในคลาสเลยไง”
เขาชอบทำให้เธอจนมุมอยู่ร่ำไป
คนโกหกจึงเม้มปากแน่น ไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไร ลืมนึกไปว่าเขาแอบอ่านข้อความไปแล้วเมื่อเช้า
“เดี๋ยวนี้โกหกเก่งจังนะเรา”
ชายหนุ่มหันมาแซ็วเธอยิ้มๆ ขณะเปิดประตูรถให้คนตัวเล็กเข้านั่ง
แอบขำเล็กน้อยตอนเห็นหญิงสาวแอบเชิดปากขึ้นอย่างน่ารักน่ามอง
คำนวณเวลาคร่าวๆ
เขามีเวลาราวสองชั่วโมงเศษก่อนเธอเข้าเรียนคาบบ่าย
ชายหนุ่มลอบวางแผนในใจคนเดียวพลางยิ้มพรายขณะขับรถ
ผิวปากคลอเคล้าไปกับเสียงบรรเลงโอโบคอนแชร์โต เขาฟัง อเลโกรจากบาค หรือ โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค มาไม่รู้กี่สิบครั้ง
แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าท่วงทำนองของบาคช่างไพเราะจับใจเขานัก
มีชีวิตชีวาและทำให้เพลิดเพลินเป็นที่สุด...คงเพราะไม่ได้ฟังเพียงคนเดียวกระมัง
แม้จะข้ามขั้นจาก
‘เดตแรก’ ไปไกลโข
แต่กวินภัทรก็อยากปฏิบัติกับเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงที่เขาอยากขยับเข้าใกล้ ถักทอก่อเกี่ยวความสัมพันธ์ไปด้วยกัน
กวินภัทรเลือกคาเฟ่กลางสวนสำหรับเดตแรกอย่างเป็นทางการ
โชคดีที่สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเธอมากนัก
แม้ทางเข้าจะดูรกชัฏและน่าพรั่นพรึงไปสักหน่อย
ทำเอาคนตัวเล็กหันมองเขาด้วยแววตาหวาดระแวงเป็นระยะ
เธอทำหน้าราวกับกลัวว่าเขาจะพามาหลอกฆ่าหมกป่าอย่างนั้นละ ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าหญิงสาวลอบถอนหายใจตอนที่รถจอดนิ่งภายในเขตของร้าน
เรือนกระจกน้อยใหญ่แซมด้วยพืชไม้เลื้อยทอดทอทิ้งกิ่งใบโอบไล้ลงมา
ชื่นตาและชื่นใจแม้เพียงได้มอง คาเฟ่แห่งนี้รายล้อมไปด้วยพรรณไม้หนาแน่น
เดิมทีคงเป็นสวนสวยที่เจ้าของคงหวงแหนนักแล
ก่อนจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร
เปิดโอกาสให้ผู้คนแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมและดื่มด่ำบรรยากาศแสนบริสุทธิ์
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ซ่อนอยู่ในซอยเปลี่ยวร้าง
หากไม่รู้จักมาก่อน คงไม่มีใครขับหลงเข้ามาเจอโดยบังเอิญเป็นแน่
คนช่างสรรหาจูงมือเธอเข้ามายังห้องสี่เหลี่ยมกรุกระจกรอบด้าน
กลางห้องมีโต๊ะคั่นกลางระหว่างเก้าอี้สองตัว บุรุษหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ให้
ก่อนดันสุภาพสตรีที่ยืนประหม่า งุนงงกับสถานการณ์และบรรยากาศแปลกประหลาดเกินพอดี
เธอแค่ต้องการกินมื้อกลางวันและกลับเข้าเรียนยามบ่าย...แค่นั้น ไม่ใช่แบบนี้ แบบที่ทำให้รู้สึกพิเศษเกินกว่ามื้ออาหารธรรมดา
“ไม่ต้องเลย
เลิกดูราคาได้แล้ว มากับพี่ไม่ต้องคิดเรื่องเงินหรอกน่า”
เขาเอ็ดคนตัวเล็กที่เอาแต่จ้องราคามากกว่าหน้าตาอาหารเสียอีก คิ้วเรียวขมวดมุ่นราวกับกำลังทำข้อสอบแล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้
“ไม่ใช่สักหน่อย”
คนโดนแซ็วอ้อมแอ้มตอบในลำคอ ก็อาหารแต่ละอย่างแพงเกินราคาปกติไปมากโข
แม้รู้ว่าเป็นเมนูออร์แกนิก แต่เธอก็ทำใจสั่งไม่ได้อยู่ดี
กวินภัทรยิ้มมุมปาก
ก่อนจะสั่งอาหารทั้งของเธอและของเขาเสร็จสรรพ
เลือกเท่าที่จดจำได้จากครั้งยังเด็กว่าเธอชอบกินอะไรและไม่ชอบอะไร เธอไม่ชอบหอมหัวใหญ่
ไม่ชอบเนื้อสัตว์ติดมัน ไม่ชอบเมนูรสจัด
ไม่ชอบ...เขานึกทบทวนในใจอยู่อย่างนั้นขณะจับจ้องคนตรงหน้าราวค้นหาเรื่องราวที่หลงลืม
พาพราวทำตัวไม่ถูกเพราะสายตาและอากัปกิริยาที่เขาแสดงออกมา
เธอแอบขยับเบาๆ เพื่อลดอาการเหนียมอายจากตาคู่คม กระทั่งบริกรนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟ
ช่วยเบรกบรรยากาศเงียบงันได้สักพัก ก่อนกลับออกไป
ไร้บทสนทนา
มีเพียงสายตาหวานเชื่อมจากเขาและเสียงช้อนส้อมกระทบจานเบาๆ ในบางจังหวะ
“เอ่อ...เลิกมองได้ไหมคะ”
“ก็พราวน่ามองนี่นา”
“คือว่า...”
เธออยากถาม อยากเข้าใจในเหตุผลการเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนของเขา
อยากเข้าใจให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทว่าใจก็กลัวคำตอบ
อีกทั้งยังไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาถาม เกรงว่าจะดูเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไป
“ครับ
คือว่าอะไร...หืม?...” เพียงเสียงนุ่มทุ้มสุดท้ายที่ได้ยิน
ส่งผลให้เธอต้องกลืนถ้อยคำมากมายซึ่งยังเรียบเรียงไม่ได้ลงคอ แววตาอ่อนโยนที่เขาใช้มองกันทำเธอหวั่นระทวยอย่างหนัก
“พราว...เอ่อ...พราวต้องไปคืนหนังสือที่หอสมุดก่อนเข้าเรียนค่ะ”
เธอว่าไปนั่น สวนทางกับสิ่งที่ค้างคาในใจไปลิบลับ
กวินภัทรเอียงข้อมือดูเวลา
“เหรอ...งั้นรีบกินก็ได้”
หลังมื้ออาหารแสนพิพักพิพ่วนจบลง
ชายหนุ่มพาเธอแวะเข้ามายังส่วนที่เป็นคาเฟ่เครื่องดื่ม ซึ่งเป็นเรือนกระจกขนาดใหญ่
มีชุดเก้าอี้วางตามมุมต่างๆ มีลูกค้านั่งอยู่ราวสามโต๊ะ
กวินภัทรเลือกสั่งไอศกรีมโฮมเมดโดยไม่หันมาถามเธอสักคำ และเขา...สั่งมาโคนเดียว
ระหว่างเดินกลับมาขึ้นรถ ก่อนเปิดประตู
จู่ๆ เขาก็ดันตัวเธอแนบไปกับตัวรถ
ก่อนยื่นไอศกรีมสีขาวละมุนให้ตรงหน้า “พี่ซื้อให้”
เดตแรกสำหรับชายหญิงจะขาดไอศกรีมได้ยังไง...เขาหวังอะไรหลังจากนี้ต่างหาก
“คะ?”
“ชิมดูสิครับ
อันนี้อร่อยนะ” มือหนายื่นเข้ามาใกล้ริมฝีปากบาง ไอเย็นจางๆ
ลอยปะทะลมหายใจจนชุ่มฉ่ำ
พาพราวยื่นมือขึ้นหมายจะจับโคนไอศกรีมกินเอง
แต่เขาเบี่ยงหลบเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงปรามในลำคอ
จ่อเข้าใกล้จนเกือบชิดเรียวปากอิ่ม
เธอจึงต้องอ้าปากลิ้มชิมรสไปตามมารยาทอย่างเสียไม่ได้
ชายผู้ซึ่งรอจังหวะนี้นานแล้วก้มเข้าหา
ละเลียดชิมไอศกรีมเนื้อเนียนรสหวานนุ่มไปพร้อมกับเธอ หญิงสาวนิ่งค้างไปชั่วจังหวะ
มองดูชายหนุ่มในระยะเกินใกล้ ระหว่างเรียวปากทั้งคู่คั่นกลางด้วยความเย็นแสนละมุน
กวินภัทรผละห่าง ตวัดลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเหลือร้าย มองดูหญิงสาวยืนตัวแข็งทื่อ
เนื้อครีมข้นสีขาวเลอะมุมปากเล็กน้อย
เมื่อครู่เธอแทบลืมหายใจ
กระแสอารมณ์บางอย่างวิ่งพล่านไปทั้งกาย ใจสั่นหวิวคล้ายจะล้มลงไปกองที่พื้น
เขา...อันตรายกับใจเธอเกินไป
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเอ็นดู
ก่อนไล้ปลายนิ้วโป้งเช็ดรอยเปื้อนให้เธอ ก่อนจะทำสิ่งที่เหนือการคาดหมาย
เขายกปลายนิ้วนั่นขึ้นละเลียดต่อหน้าต่อตาเธอ...หวานละมุนติดปลายลิ้น
เธอไม่ไหว
คล้ายจะเป็นลมไปเสียตรงนั้น
“รีบกินนะ
เดี๋ยวละลาย” เขาเอ่ยทิ้งท้ายพลางดึงมือบางให้รับไอศกรีมไว้
ก่อนอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง
ไร้ทางเลือก...ทิ้งไว้ก็คงละลายเลอะมือ
พาพราวจำต้องกินระหว่างเดินทางไปกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
หวาดผวาเวลาเขาหันมองมาทุกครั้ง
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย
แทนที่เขาจะส่งเธอลงตรงประตูทางเข้าด้านหน้าอย่างที่เอ่ยขอ
รถคันหรูสีดำขลับเงาวับกลับวิ่งตรงเข้าไป
เรียกความสนใจจากผู้คนริมถนนให้หันมองเพียงครู่ ก่อนเบนสายตากลับคืน เขาขับมาส่งเธอจนถึงหน้าอาคารเรียน
หญิงสาวไม่ชอบสายตาที่ทุกคนมองมาอย่างสนใจนี่เลย เธอไม่ชอบเป็นจุดเด่น
“ตอนเย็นเดี๋ยวพี่มารับนะ
ไปเยี่ยมป้านิ่มกัน”
“ค่ะ”
ประโยคหลังทำให้เธอค้านไม่ได้
ก่อนรีบกล่าวขอบคุณและเปิดประตูลงรถไปด้วยกิริยาเร่งรีบเกินปกติ
“พราว...”
วรรณิกกระโดดเข้ามาดักหน้าหญิงสาว ดีที่เธอมาเร็วกว่าเวลาเรียนครึ่งชั่วโมง
จึงทันเห็นอะไรดีๆ แหม... ผ่านไปไม่กี่วัน ทีตอนในร้านกาแฟละทำเป็นไม่สนใจเขา
เพื่อนเธอนี่ไม่เบาจริงๆ เห็นหงิมๆ ไปจิ้มกันมาตอนไหนเนี่ย! อยากรู้
แต่ดูจากหน้าตาตื่นของเพื่อนสาวแล้ว
เก็บความสงสัยไว้ก่อนก็ได้ รอเผือกวันหลังก็ยังไม่สาย
ตอนเย็นกวินภัทรมารับหญิงสาวไปเยี่ยมบุลลาที่โรงพยาบาลด้วยกัน
แต่อยู่ได้ไม่นานนัก เนื่องจากคนเป็นป้าเอาแต่หาเรื่องว่า
พูดจาค่อนขอดพาพราว จนเขาชักอึดอัด
ส่วนหญิงสาวที่ถูกกล่าวหาก็เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาทำตัวไม่ถูก
เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงมองว่าช่างน่าหมั่นไส้สิ้นดี ตีความว่าเธอกำลังเรียกร้องความสนใจ
แต่ในเวลานี้...มุมมองเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เปลี่ยนจนนึกโกรธตนเองในอดีต เธอก็เป็นเธอแบบนี้มานานแล้ว
ทำไมเขาจึงไม่เคยมองในมุมนี้
ชายหนุ่มตัดสินใจพาเธอกลับบ้าน
อ้างว่าหากช้ากว่านี้การจราจรจะติดขัดเอาได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงเวลานี้ต่างหากที่ท้องถนนวิกฤติอย่างหนัก
หากจะคล่องตัวก็ต้องรอให้ดึกกว่านี้อีกสักหน่อย
กิริยาที่เธอลอบผ่อนลมหายใจตอนเดินออกมาจากห้องคนไข้
ทำใจเขาวูบโหวงอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเธอต้องทนฟังคำพูดร้ายกาจพวกนี้มานานแค่ไหนกัน
ผ่านความรู้สึกชวนอึดอัดเหล่านี้มากี่ร้อยกี่พันครั้ง
มือหนาจึงคว้ามือบอบบางมากุมประสานไว้
เสียใจที่ตนก็เป็นส่วนหนึ่งในความโหดร้ายทั้งหมดทั้งมวลนั่น
พาพราวมองเจ้าของมืออุ่นนุ่มที่กุมกันไว้
มองไหล่และแผ่นหลังแกร่งด้วยแววตาชนิดหนึ่ง
ราวกับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ตนมีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาถึงเพียงนี้...พี่ชายที่ทอดทิ้งเธอไปนานนมแล้ว
นานจนไม่กล้าใฝ่ฝันว่าจะมีวันไหนสักวันที่เขาให้ความใส่ใจน้องสาวคนนี้อีกครั้ง...นานจนเธอไม่มีหวังแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเอาแต่คิดวกวนว่าตนทำอะไรผิด
ผิดที่ตนไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับเขาหรือ
เขาจึงแปรเปลี่ยนจากพี่ชายกลายเป็นคนแปลกหน้า นอกจากไม่รักยังทำร้ายกันซ้ำๆ
ด้วยคำพูดร้ายกาจ ผลักดันเธอให้ตกลงไปในหลุมดำมืด ว้าเหว่ เคว้งคว้าง
อ้างว้างเกินทน สิบกว่าปีที่ต้องปลอบโยนตนเองให้เข้มแข็ง
ก้าวข้ามความแหว่งวิ่นของชีวิตวัยเด็ก
เพื่อเติบโตเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์
เธออาจไม่เจ็บเท่าวันวาน
ทว่าร่องรอยความปวดร้าวก็ยังอบอวลอยู่ในความรู้สึก แค่เพียงนึกถึงก็อึดอัดคับแน่นในอกขึ้นมาได้ทุกครา
มองย้อนไปในอดีต
ราวกับความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กเป็นแค่ฝันที่เธอจินตนาการเอาเอง หลายครั้งที่นึกสงสัยว่านั่นอาจเป็นแค่นิทานหลอกเด็กคนหนึ่งให้เคลิบเคลิ้ม
ก่อนฉุดกระชากหักมุมด้วยความเลวร้ายในตอนจบ เจ็บเพราะความจริงแท้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง...คงดีกว่านี้ถ้าเธอไม่ใช่แค่เด็กที่พวกเขาเก็บมาเลี้ยง
คงมีความสุขกว่านี้ถ้าเธอเป็นลูกของพ่อกับแม่จริงๆ
หญิงสาวจึงเจ็บฝังแน่นยาวนานมาจนกระทั่งเวลานี้
กระนั้นแล้วเธอจึงไม่แปลกใจที่ตนจะอ่อนไหวไปกับสิ่งดีๆ
ที่เขาทำให้ เพราะที่ผ่านมาเขาเอาแต่ยัดเยียดความเลวร้ายมาให้ โถมกระหน่ำซ้ำเติมจุดด้อยของเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ยามนี้แม้ความดีเพียงน้อยนิดก็มีอิทธิพลกับตัวตนของเธออย่างหนัก พ่ายแพ้ไปไม่เป็นหากเขาอ่อนโยนเช่นที่ทำอยู่ในเวลานี้
แพ้ทุกอย่างที่แสดงถึงความใส่ใจ แพ้คำพูดนุ่มนวลชวนละลาย
แพ้สัมผัสใกล้ชิดที่เขามอบให้...แพ้ผู้ชายที่เดินนำหน้ากันอยู่ตอนนี้
ไม่รู้ว่าการต้องทนนั่งในรถที่ติดหนักมากกว่าชั่วโมงนี้เป็นแผนของเขาด้วยไหม
หญิงสาวมองไฟท้ายรถสีแดงนับหลายสิบคู่อย่างเหนื่อยใจ ทั้งยังหนักใจเมื่อชายข้างกายเอาแต่หาจังหวะยุ่มย่ามกับเนื้อตัวเธอเล่น
บ้างก็ดึงมือเธอไปคลึงเคล้า บ้างก็จับปลายผมเปียมาไล้แก้มเธอ
ทำราวกับเธอเป็นตุ๊กตาตัวโปรดของเขา ครั้นห้ามปรามเขาก็ไม่ฟัง
จะบ่ายเบี่ยงหลีกหนีไปไหนก็ไม่ได้ ความคับแคบภายในรถทำให้เธอต้องจำยอม
คนตัวโตเลยได้กำไรไปเต็มๆ
ให้รถติดถึงเช้าก็ยอม
เสียงโทรศัพท์เข้าทำให้พาพราวต้องดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา
ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าสะพายบนตัก
ก่อนชะงักงันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครโทร. เข้ามา แม้ไม่ได้บันทึกรายชื่อไว้
แต่เธอจำหมายเลขสี่ตัวท้ายได้ หญิงสาวแอบชำเลืองตามองเขา
ซึ่งกวินภัทรยังคงตั้งใจขับรถเป็นปกติ ไม่ได้หันมาสนใจกัน
เธอคงลืมคิดไปว่านั่นน่ะ...ไม่ปกติ
หญิงสาวจึงกลั้นใจกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ...ค่ะ...ได้ค่ะ...พรุ่งนี้เย็นๆ ก็ได้ค่ะ...โอเคค่ะ...สวัสดีค่ะ”
เมื่อกดวางสายจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าโดยไว ลอบถอนหายใจแผ่วเบา
“ใครโทร.
มา” เขาถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากท้องถนน
“เอ่อ...เพื่อนค่ะ”
เธอกลั้นใจตอบก่อนเม้มริมฝีปากเข้า กุมมือตัวเองแน่นระงับความสั่นไว้
“เหรอ”
กับเพื่อนจำเป็นต้องพูดเพราะขนาดนี้เลย? กวินภัทรไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอะไรต่อ ไม่ได้ทำสิ่งอื่นใดอีกนอกจากขับรถเงียบๆ
คงเพราะอีกไม่ไกลจะถึงซอยเข้าบ้านแล้ว
เขาจึงไม่ได้ยุ่งกับร่างกายเธอดังเช่นที่ทำมาตลอดทาง
รินรดาแอบยืนอยู่บริเวณริมทางเข้าหมู่บ้าน
ทันทีที่เห็นรถของชายหนุ่มเลี้ยวเข้ามา เธอจึงรีบก้าวขาออกไป
ก่อนจะต้องหดกลับในทันใด และรีบเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้ตามเดิมเมื่อเห็นว่าเขามากับใคร
พาพราว
พาพราวมารอพบใครบางคนตามนัดที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย
โดยเลือกนั่งในมุมอับสายตาเพื่อความเป็นส่วนตัว
เมื่อช่วงบ่ายกวินภัทรโทร. มาบอกว่าเย็นนี้มีประชุมจึงมารับเธอไม่ได้
เขาบอกให้เด่นชัยมารับเธอแทนแล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องดี เพราะหากรู้ว่าเธอแอบมาพบใคร
ชายหนุ่มคงโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้าเป็นแน่
ราวหนึ่งทุ่มสิบนาที
ชายผู้หนึ่งก็เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบจนเกือบจะดูลนลาน “รอนานไหม ขอโทษทีนะ
พอดีพี่ติดธุระด่วนนิดหน่อย” เขาว่าขณะเหนื่อยหอบนิดๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ
พี่คุณมีอะไรจะคุยกับพราวเหรอคะ” เธอเข้าเรื่องโดยไว ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
ท่าทางล่อกแล่กของเขายิ่งกระตุ้นให้เธออยากรู้เข้าไปอีก
“พี่อยากคุยกับวิน
แต่พราวต้องช่วยพี่”
ตรัยคุณเล่าเรื่องราวในอดีตให้เธอฟังเกี่ยวกับจุดแตกหักของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนชาย
อธิบายเหตุผลว่าทำไมเธอจึงต้องยอมช่วยเขา พาพราวตั้งอกตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
เจ็บแปลบในอกเพราะสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้
เข้าใจแล้วว่าทำไมคืนนั้นกวินภัทรจึงทำเช่นนั้น...กับเธอ
สีหน้าของตรัยคุณยามระบายสิ่งอัดอั้นตันใจออกมานั้นฉายแววความรู้สึกผิดอยู่เต็มล้น
เธอรับรู้ได้ ซ้ำร้ายชายตัวโตตรงหน้ายังมีน้ำตาคลอเบ้าให้เห็น
เกินกว่าการคาดการณ์ของเธออยู่มาก พาพราวทำตัวไม่ถูก
ไม่รู้ว่าควรปลอบโยนเขาด้วยคำพูดใด เธอจึงยื่นมือไปแตะมือเขาเบาๆ หวังให้คลาคลายอารมณ์ลง และรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะพยายามหาทางทำให้กวินภัทรใจอ่อน
ยอมมาเจอเขาให้ได้ ส่วนหนึ่งเธอคิดว่าที่ยอมทำเพราะอยากช่วยชายตรงหน้า
แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเธอทำเพื่อกวินภัทร เขาคงเจ็บไม่น้อยจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ไม่รู้ว่าห้าปีที่ผ่านมายาวนานพอจะรักษารอยแผลนั้นให้หายสนิทได้หรือยัง
คล้อยหลังจากการพูดคุย
หญิงสาวเดินเหม่อลอยออกมาจากร้าน เพื่อรอเด่นชัยมารับในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ภายในหัวเธอเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เพิ่งได้รับฟังเมื่อครู่ คิดไม่ตกว่าควรหาทางพูดกับกวินภัทรอย่างไรดี
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามาเจอมันอีก! เคยฟังที่พูดไหม!” กวินภัทรโผล่พรวดเข้ามาดักไว้
จ้องเธอด้วยใบหน้าถมึงทึง
“คะ...คุณวิน”
หญิงสาวพึมพำเสียงหลง หัวใจเธอแทบปลิดปลิวไปกับพายุอารมณ์ของเขา
นัยน์ตาคู่คมดำทะมึนราวกับมีเมฆหมอกมืดครึ้มปกคลุมอยู่
ชายหนุ่มแอบซุ่มดูเธอนานแล้ว
เขาสงสัยตั้งแต่เธอรับโทรศัพท์ด้วยท่าทางมีพิรุธเมื่อค่ำวานนี้
แม้ใจอยากจะรู้แค่ไหน แต่คิดว่าถามไปก็คงไม่ได้คำตอบที่ต้องการ
เขาจึงซ้อนแผนหลอกเธอนิดหน่อย แต่ไม่คิดว่าคนที่โดนตลบหลังจะเป็นตัวเอง
“ทำไม! ยังชอบมันอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่นะคะ
ฟังกันก่อน”
“ไม่ใช่อะไร
ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแอบนัดเจอมัน แล้วไปจับมือมันทำไม!” เขาเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ กร้าวกระด้างจนคนฟังรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
กลัวพี่ชายตรงหน้าจะแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นคนใจร้ายเหมือนเก่า
ชายหนุ่มเดือดจัด
โกรธกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โกรธจนเหมือนจะเป็นบ้า เขาพยายามระงับสติ สูดลมหายใจเข้าลึก
แล้วคว้ามือเธอไปคลึงเคล้น คล้ายอยากลบรอยสัมผัสของผู้ชายคนนั้น ไม่รุนแรงจนทำให้รู้สึกเจ็บ
ทว่าก็ไม่ได้นุ่มนวล แล้วจึงจูงมือคนตัวเล็กไปขึ้นรถ
ก่อนปิดประตูกระแทกเสียงดังใส่ ดังชัดเข้าไปในความรู้สึก กระทบเอาความหวาดกลัวที่เธอพยายามเก็บซ่อนไว้ให้ปริแตกกระจัดกระจายออกมา
เขาอาจ...เกลียดเธอ...อีกครั้ง
โชคดีที่เขายังพอมีสติประคองพวงมาลัยพาเธอกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
แต่แทนที่จะขับไปจอดในโรงรถเช่นทุกวัน กวินภัทรกลับจอดรถทิ้งไว้ตรงมุขหน้าบ้าน
ก่อนก้าวลงมาเปิดประตูให้เธอ
“ลงมา”
เขาเอ่ยเสียงนิ่งเย็น แม้ไม่ได้ตวาดเสียงดัง ทว่าสายตากลับดุดันน่ากลัว เมื่อเห็นเธอนิ่งเฉย
ไม่ยอมลงมา เขาจึงคว้ามือเธอไปกุมไว้และจับจูงเข้าบ้านไปด้วยกัน ไม่รุนแรง
ทว่าก็ห่างไกลจากความอ่อนโยนอยู่มากโข
และเพียงก้าวเข้ามาในบ้าน
บรรยากาศเงียบงันทำให้เธอสั่นไหว
ไม่รู้ว่าสวรรค์เข้าข้างเขาหรือเป็นเพราะนรกเปิดรับเธอ พาพราวจึงเพิ่งระลึกได้ว่าวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน
กวีลดาไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัด ครองขวัญกับอารีไปนอนเฝ้าบุลลาที่โรงพยาบาล ส่วนกมนทัตไปติดต่อธุรกิจยังต่างประเทศ
แม่บ้านและสาวใช้ก็คงแยกไปพักที่เรือนด้านหลังกันหมดแล้ว มีเพียงเด่นชัยที่รอเปิดประตูใหญ่และเดินแยกไปสักพักแล้ว
ท่าทางนิ่งเย็นของเขาบอกให้รู้ว่าเธอไม่ควรขัดขืนต่อต้าน
หญิงสาวรู้ดีว่าสถานการณ์ไหนควรแข็งหรือควรโอนอ่อนผ่อนตาม ขณะเดินตามแรงรั้งของเขา
เธอก็พยายามคิดหาทางหนีทีไล่ หวังจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หรือไม่...ก็อาจต้องใช้น้ำตา
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าระยะทางจากประตูหน้าบ้านจนถึงชั้นสามนั้นสั้นเกินไป
ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจชายหนุ่มก็พาเธอมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนเขา “ไม่เอานะคะ”
“เข้าไป”
เสียงกระซิบแข็งกร้าวดังอยู่ด้านหลัง ซึ่งเจ้าของคำพูดยืนห่างจากเธอไม่เกินคืบ
รัศมีความเย็นเยือกบางอย่างแผ่ปกคลุมโอบล้อมจนเธอกลัว
รู้ว่าตนคงขัดขืนต่อต้านไม่ได้ในเวลานี้
หญิงสาวหันไปมองประตูห้องตน
คิดคำนวณในใจว่าจะวิ่งเข้าไปหลบในห้องได้ทันไหม
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องเสียเวลาไขกุญแจอีกนี่นา
เธอยังไม่ทันได้คิดแผนสำรองก็ถูกรุนหลังให้เข้าไปภายในห้องที่มืดสนิท
จำได้เลือนรางว่าตนเคยเข้ามาในห้องนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อตอนเป็นเด็ก นานจนลืมไปแล้วว่าเข้ามาทำอะไร
แต่ความคุ้นเคยบางอย่างกระแทกเข้ามากระทบความทรงจำ ไม่ใช่! มันมีอีกครั้งหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน...เธอเคยเข้ามา
เสียงล็อกประตูทำเธอผวา
แต่ไม่กล้าหันมอง ทางหนีของเธอถูกปิดหมดแล้ว ถ้าใช้กำลัง...แน่นอนว่าเธอไม่มีทางสู้เขาได้
แต่ถ้าใช้การเจรจาต่อรองก็อาจพอมีหวัง
หญิงสาวยืนตัวสั่นงกๆ
เงิ่นๆ อยู่กลางห้องกว้าง ฟังการขยับไหวของชายด้านหลัง ก่อนโคมไฟข้างหัวเตียงจะส่องสว่างขึ้น
ตามมาด้วยอากาศเย็นเยียบชวนวังเวงจากเครื่องปรับอากาศ และ...
เสียงลงฝีเท้าหนักของเขาขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ก่อนแรงกดทับบนบ่าเล็กจะทำเธอสะดุ้ง
ชายหนุ่มดึงเอากระเป๋าผ้าของเธอออกไปวางไว้ที่ไหนสักแห่ง ก่อนจับตัวเธอหมุนไปหา
เผชิญหน้ากับอารมณ์ของเขา
“พี่วินคะ...”
หญิงสาววางฝ่ามือลงบนอกแกร่งเบาๆ ราวกับต้องการปลอบประโลมอารมณ์เขาให้เพลาลง
พี่วิน?
เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่เธอเรียกเขาเช่นนี้ยามอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง กวินภัทรขยับมือขึ้นโอบประคองต้นคอระหงของเธอไว้
ทอดทอประกายตาวูบไหวสื่อความหมาย
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่เอ่ยคำใด
มีเพียงสายตาที่จ้องมองเธอราวค้นคว้า และนิ้วมือหนาที่เกลี่ยไล้ผิวอ่อนของเธอเบาๆ
“คือพราว...”
เธอมีสิทธิ์พูดเพียงแค่สองคำ
หลังจากนั้นเป็นสิทธิ์ขาดของเขา ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้ โฉบเรียวปากแนบชิด
ดูดซับเอาถ้อยกระแสที่เธอหมายจะเอื้อนเอ่ย
มือหนาออกแรงรั้งให้เธอแหงนหงายขึ้นรับจูบจากเขา
เสียงครางประท้วงในลำคอดังแผ่วให้ได้ยิน กวินภัทรจึงขบเม้มเธอย้ำลงอีก
แรงดูดดึงจากเขาทำเอาใจดวงเล็กเต้นกระหน่ำ
คนถือสิทธิ์ผละห่างเพียงนิดเพื่อจะเปลี่ยนองศาพลางกระซิบบอกเสียงทุ้มพร่า
“รู้ใช่ไหมว่าขัดคำสั่งต้องโดนลงโทษ” ก่อนจะไล้ปลายนิ้วที่ผิวแก้มนุ่มมือของเธออย่างแช่มช้า
พร่าเธอด้วยแววตาลุ่มลึกทรงพลัง ตามด้วยวงแขนแกร่งตวัดกอดที่บั้นเอวเล็ก
รั้งเข้าหาอย่างแนบแน่น แน่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
อันตรายเกินกว่าจะจบแค่...การจูบ
“พะ...”
เธอเอ่ยไม่เป็นคำด้วยซ้ำ มีเพียงลมแผ่วพ่นผ่าน
ชายหนุ่มให้เวลาเธอพักหายใจ
แต่ไม่ได้ให้เวลาอธิบายอะไร ริมฝีปากอวบอิ่มถูกประกบลงอีกครั้งไม่ให้สิทธิ์ในการพูดคำใดออกมา
มือร้อนผะผ่าวของเขาบีบคลึงผิวข้างแก้มของเธอจนซ่านไหว
คล้ายกำลังจะมอดไหม้ภายใต้สัมผัสมากล้นจากคนเบื้องหน้า
จังหวะการขยับเรียวปากชวนหวิว
ทำใจเธอแทบปลิดปลิวไปกับอารมณ์ที่โดนปลุกเร้า
ราวกับเขาคลั่งไคล้บางอย่างในกายเธอหนักหนา
เขาจึงดูค้นคว้าและพยายามเรียกร้องในคราเดียวกัน
มันเกินกว่าจินตนาการของเธอไปไกลลิบ
จังหวะดูดกลืนของเขาช่างเย้ายวนชวนหวามไหว
ริมฝีปากบางที่พยายามปิดรับการรุกไล่จากเขาจึงเริ่มคลาคลาย...โดยไม่รู้ตัว
มือบางเลื่อนขึ้นจับบ่าแกร่งราวกับต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว
เพียงเสี้ยวเดียวที่เธอขยับมือบนแผ่นอกทำเขาแทบสิ้นสติ
จึงตอบสนองกลับด้วยการส่งลิ้นร้ายละเลียดเข้าไปในความหวานนุ่ม แตะต้องปลายลิ้นเล็กของเธออย่างเอาแต่ใจ
ตวัดเข้า เกี่ยวพัน หลอกล่อ กระทั่งดูดกลืนเธอไว้เต็มแรง
หญิงสาวผวาเฮือก
เผลอหยัดกายขึ้นจนส่วนสวยงามแนบชิดจมล้นลงไปในกล้ามอกหนั่นแน่น
อุ่น
ร้อน เย็น หนาว ราวระบบร่างกายของเธอผิดเพี้ยนไป แม้มีฉนวนชั้นดีกางกั้น
แต่ไม่อาจคั่นกระแสอารมณ์บางอย่าง
ปลายทรวงเธอซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าซ่านไหวแปลบปลาบอย่างที่ไม่เคยเป็น
สัมผัสชัดเจนถึงเรือนร่างร้อนผ่าวของเขา
เจ้าของร่างแกร่งเองก็ไม่ต่าง
เขาแทบละลายไปกับเนื้อกายสาว พาพราวทำให้เขาไม่เป็นตัวเอง
ประสบการณ์รักที่เคยพบพาน ไม่อาจทัดทานได้เมื่อเจอเธอ
เจ้าของฝันหวานที่ผลาญใจเขาอยู่ทุกราตรีกาล
ค่ำคืนนี้คงไม่อาจปล่อยผ่าน
ขอขยับเข้าใกล้และเอาแต่ใจอีกนิด กวินภัทรไม่ปรานีคนในอ้อมแขน
ลวงสะกดเธอด้วยจุมพิตลึกซึ้ง ดื่มชิมริมฝีปากนุ่มนิ่มอย่างไม่รู้อิ่มรู้พอ
ครอบครองราวเป็นสิทธิ์ขาด
หญิงสาวกำลังพยายามประคองสติ
มือนุ่มกดบ่าแกร่งของเขาไว้ เบาสลับช้าตามฤทธิ์อารมณ์ที่ถูกปรนเปรอ อาการนั้นยิ่งปลุกเร้าคนตัวโตได้อย่างเหลือแสน
สัมผัสวูบวาบแนบนาบจากเธอพาให้เขาร้อนผะผ่าว
กระทั่งพอใจ
ชายหนุ่มจึงถอดถอนเรียวปากขยับห่างเพียงนิด
มองดูกลีบปากฉ่ำหวานขึ้นสีซ่านของเธอด้วยแววพึงใจ
ความอุ่นร้อนที่แนบกายชิดกันยังคงชัดเจน
“พี่...วิน
ฟัง...ก่อนนะคะ” เสียงหวานขาดหายเป็นห้วงๆ หอบถี่กระชั้นราวกับออกแรงกำลังอย่างหนัก
ทั้งที่ความจริงเธอทำเพียงยืนนิ่งให้เขา...จูบ จูบอย่างดูดดื่มและดำดิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ซ่านไหวเกินทน
“พราวหมดโอกาสพูดแล้ว”
ชายหนุ่มโน้มเข้ากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
ไม่คิดปกปิดอารมณ์ความต้องการแม้แต่น้อย รวบผมหอมนุ่มของเธอเปิดออก
เพื่อจู่โจมเล้าโลมต้นคออุ่นร้อนด้วยความลุ่มหลง
เธอไม่ยอมแพ้
แม้ไร้แรงกำลังจะต้าน ยังอุตส่าห์กัดฟันเพื่อพูดมันออกไปให้ได้
“ไม่ค่ะ...พราว...ไปหาพี่...พี่คุณ...อื้อ!”
แค่เธอเอ่ยชื่อคนที่เขาไม่อยากได้ยิน
มากพอจะก่อเกิดความคุกรุ่นขึ้นภายในใจ จึงเผลอดูดดึงผิวนุ่มของเธอเต็มแรง
รอยแดงสีกุหลาบจางจึงปรากฏบนผิวเนียนสวย เจ้าของเรือนร่างอรชรสะดุ้งโหยงจนต้องบีบไหล่เขาไว้แน่น
มิเช่นนั้นเธออาจทรงกายไม่ไหว
ทุกอย่างที่เขาทำมันมากเกินไป...เกินกว่าที่เธอขีดเส้นคั่นตัวเองไว้
และเกินมาไกลมากแล้ว
“อื้อ...เพราะ...พี่คุณอยาก...เจอพี่วิน”
แต่ละคำล้วนกลั่นออกมาจากความพยายามของเธอ ฝืนทนต้านห้วงอารมณ์เคลิบเคลิ้มชวนหลงใหล
กวินภัทรหยุดการเคลื่อนไหว
เลื่อนใบหน้าออกจากซอกคอแสนหวาน ขยับห่างเพื่อมองหน้าเธอให้ชัด
ลูบเก็บกลุ่มผมที่รบกวนนัยน์ตาหวาน
จ้องสะกดราวต้องการส่งผ่านความเจ็บปวดให้เธอได้รับรู้ “แต่พี่ไม่อยากเจอมัน
มันทำอะไรกับพี่ พราวรู้บ้างไหม” เสียงเขาอ่อนลงจนน่าใจหาย
ประกายความรวดร้าวพาดผ่านนัยน์ตาเข้มจัดชัดเจน
พาพราวยกมือขึ้นลูบไล้ขมับเขา
คลึงเบาๆ ราวทะนุถนอม “พราวรู้ พราวรู้หมดแล้ว”
พี่ชายของเธอไม่เคยอ่อนแอให้เห็นเช่นนี้ ไม่เคยเปิดเปลือยความรู้สึกให้เธอเข้าถึง
หญิงสาวใจอ่อนยวบเพียงได้มองแววตาอ่อนล้าของเขา
กวินภัทรกำลังซึมซับความอ่อนโยน
เธอกำลังทำอะไรกับใจเขา...กำลังรักษาเขาหรือไร
ทำไมใจเขาจึงบางเบาลงเพียงเพราะสัมผัสและคำพูดจากเธอคนนี้
“พี่คุณอยากขอโทษพี่วินนะคะ”
“ไม่...”
เขาปฏิเสธอย่างเหนื่อยล้า “อย่าพูดถึงมันให้พี่ได้ยินอีก...ได้ไหมพราว”
“ไม่...”
คำตอบไม่ถูกใจคนถาม
เธอจึงโดนเขาปิดปากอีกครั้ง บดปลายลิ้นเข้าหาความอ่อนหวานรัญจวนซ่านอย่างเอาแต่ใจ
“ได้ไหม”
ถอนจูบเพื่อให้โอกาสเธอตอบอีกครั้ง
“คือ...พี่วินคะ”
โอกาสของเธอหมดแล้ว...
ริมฝีปากบางถูกประกบลงอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่มีการผ่อนปรนหรือประวิงเวลา ไร้ซึ่งการยับยั้ง ทุกอย่างจัดเจน
หนักหน่วง จนเธอต้องครางประท้วงในลำคอ
ตื่นไหวอย่างหนักยามเมื่อเขาขยับกายชายแนบชิด
กดบางอย่างซึ่งแข็งแกร่งเข้าหาเนื้อตัวของเธอ
นั่นมากพอจะดึงสติเสี้ยวสุดท้ายของเธอให้กลับมา รวบรวมแรงกำลังเพื่อต้านเขา
หญิงสาวผลักอกแกร่งที่แข็งดั่งหินผานี้ให้ขยับถอย
แต่เธอไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นั้นกำลังสู้กับเขาหรือสู้กับร่างกายตนเองกันแน่
เธออยากปลอบโยนเขา
แต่ต้องไม่ใช่วิธีนี้ มีวิธีอีกเป็นร้อยพันที่จะทำ
กวินภัทรผละออกเมื่อรู้ว่าร่างบางใต้อาณัติแข็งขืนต่อต้านเพียงใด
ไม่ใช่แรงกำลัง แต่เป็นใจ...ใจเธอต่อต้านเขาเหลือคณนา
ดูท่าฝันเขาคงใกล้จะสลายแล้ว
ไม่ได้...เขาไม่ยอม
เอาวะ!
ร่างหนาขยับออกเล็กน้อย
ลดมือจากการกอดเกี่ยวเอวบางขึ้นมากอดอกตนเองไว้ มองคนตรงหน้าที่ยังไม่สิ้นฤทธิ์ ทั้งๆ
ที่โดนเขาปลุกเร้าจนอ่อนระทวยแทบยืนไม่ไหว แต่ทำไมใจเธอจึงแข็งนัก
พาพราวยืนก้มหน้า
หอบหายใจถี่จนไหล่บางไหวขึ้นลงเป็นจังหวะ
มือเล็กกำชายเสื้อนักศึกษาที่หลุดออกจากกระโปรงไว้แน่น
ลอบมองปลายเท้าชายหนุ่มด้วยใจเต้นถี่ รัวเร็วราวกลองออกศึก
กวินภัทรถอนหายใจเสียงดัง
ชั่งใจว่าตนควรทำอย่างไรกับเธอคนนี้ดี
สาบานว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดทำเกินเลยกับเธอเลยสักครั้ง...เอ่อ (ยกเว้นในฝันนะ)
แต่หลังจากได้จูบแรกจากเธอ ใจเขาก็เรียกร้อง โหยหา ยิ่งได้ยิ่งไม่พอ...ไม่เคยพอ
มีแต่อยากจะถลำลึกลงไปให้มากเข้า
กระทั่งเวลานี้
หลังจากได้แนบชิดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ อารมณ์ร้อนในกายเขาก็ปะทุแน่น
ทะยานขึ้นจนเกินยั้ง หวังอะไรที่มากกว่า เห็นทีคงต้องงัดไพ่ในมือออกมาใช้ก่อนเวลาอันควร
ดื้อนักใช่ไหม
นัยน์ตาหวั่นไหวมองดูปลายเท้าเขาก้าวขยับอ้อมตัวเธอไป
ทำอะไรบางอย่างเสียงดังกุกกักตรงหัวเตียง แต่เธอไม่กล้าหันหน้าไปมอง
เกรงว่าการขยับตัวเพียงนิดอาจทำให้เขาเปลี่ยนใจ ก่อนต้องสะดุ้งไหวเพราะน้ำหนักมือชายที่โอบกอดเอวบาง
รั้งเข้าหา แล้วพาเดินไปหยุดยืนหน้ากระจกบานใหญ่ ขยับกายไปยืนซ้อนด้านหลัง
จับไหล่มนอย่างอ่อนโยน พาพราวเงยหน้าขึ้นมองเขา
ชายหนุ่มเห็นคนตัวเล็กจ้องกันผ่านกระจกอย่างสงสัยจึงระบายยิ้มให้
พลางยกมือขึ้นเก็บช่อผมที่หล่นปรกลงมาระใบหน้างามไปทัดหูให้ สางผมนุ่มลื่นอย่างเบามือ
ก่อนเก็บรวบไปไว้ที่ไหล่อีกด้านหนึ่ง เปิดเปลือยลำคอเนียนระหงน่าซุกซบ
สอดมือโอบกอดเธอไว้และวางคางเกยไหล่อย่างออดอ้อน
พร้อมทั้งสะกดสายตาเธอผ่านภาพสะท้อน
ทุกอย่างที่เขาทำอยู่ในสายตาของพาพราว
นุ่มนวลจนไม่อาจละสายตา
“พี่มีของจะคืนให้”
“คะ?”
คำตอบอยู่ตรงหน้า
มือหนาชูบางสิ่งบางอย่างขึ้นสูง ‘กิ๊บติดผม’ ของเธอ ของที่หายไปนานแล้ว หญิงสาวมองเขาอย่างมีคำถาม
และยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ย
“จำได้ไหม
พราวทำตกไว้ในห้องพี่...คืนนั้น”
‘คืนนั้น’ หวังว่าคงเป็นคนละคืนกับที่เธอนึกกลัว
พาพราวรู้สึกราวอ้อมกอดของเขารัดรึงจนน่าอึดอัดทั้งๆ ที่เขายังคงกอดเหมือนเดิม
กอดในท่วงท่าเดิม ด้วยแรงโอบเท่าเดิม แต่เป็นใจเธอเอง...เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหนีเขาไม่พ้น
“คิดว่าพี่ไม่รู้ใช่ไหมว่าคืนสุดท้ายก่อนพี่จะไปเรียนต่อมันเกิดอะไรขึ้น”
หญิงสาวยังคงเงียบงัน
คิดเอาไว้ในใจ ถ้าเธอไม่พูด เขาก็ไม่คงรู้
“คืนนั้นเป็นพราวใช่ไหม”
ประโยคนั้นประโยคเดียวสาดซัดเอาคลื่นแรงโต้เข้าหาใจเธอจนพังครืน
หมดซึ่งสิ่งที่อุตส่าห์ปกปิด ตกใจจนชาดิกไปทั้งร่าง ราวกับเลือดในกายหยุดไหล
เกร็งแน่นอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่ชายหนุ่มมอบให้ แต่เธอกลับหนาวสะท้านไปทั้งใจ ส่งสายตามองเขาอย่างเว้าวอน
พร่าเลือน ไม่ชัดเจน ก่อนหยาดน้ำใสจะพร่างพรายลงมาในเสี้ยววินาที
“ถ้าแม่รู้เรื่องคืนนั้น
รู้ว่าพราว...เข้ามาในห้องพี่ รู้ว่าเรา...” เขากระซิบเสียงเย็นพร่า ฆ่าเธอซ้ำด้วยคำขู่ร้ายกาจ
เพียงเสียงกระซิบ
ทว่ากลับดังก้องไปทั้งโสตประสาท กู่ร้องกระทบซ้ำไปซ้ำมาในความรู้สึก มือบางจับแขนหนาที่โอบกอดกันไว้แน่น
“พี่...พี่วิน พราว...จะลืม ลืมให้หมดเลย พราวขอโทษนะคะ” เธอเริ่มสะอึกสะอื้น
ขอร้องเขาทั้งน้ำตา
“ถ้าพราวขอโทษ
พี่ก็จะให้โทษ” ชายเจ้าเล่ห์ขู่ขวัญคนตัวเล็กไม่เลิก แม้น้ำตาเธอจะพาใจเขาแกว่ง
แต่ต้องแข็งใจไว้ พลางกระตุกยิ้มร้ายกาจอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
“ขอร้อง...อย่าบอกแม่นะคะ
อย่าให้แม่รู้” หญิงสาวเริ่มกระวนกระวาย กลัวใจชายหนุ่ม พะว้าพะวังว่าเรื่องต่างๆ
หลังจากนี้จะยุ่งยากเกินรับมือ
“ให้พี่สิ
แล้วพี่จะไม่บอก” เขาออดอ้อนเสียงหวาน จ้องประสานสายตาสื่อความต้องการไม่ลดละ
พาพราวก้มหน้าลงเมื่อไม่อาจทนมอง
เจ็บรื้นจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกไว้ หวาดหวั่นเพราะเรื่องที่คิดว่าไม่มีใครรู้ คิดว่าปกปิดซุกซ่อนได้มิดชิด
ความลับย่อมเป็นความลับต่อไป ทว่า...
“ไม่ร้องนะ
พี่ไม่บอกหรอก ขอแค่พราวไม่ดื้อกับพี่” เขาหมุนกายเธอกลับมาเผชิญหน้ากันและกัน
ซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนทะนุถนอม กอดปลอบเธอไว้แนบอก
“รวมถึง...พราวต้อง...ต้องยอมคุณวินด้วยใช่ไหมคะ”
เธอกลั้นใจถามเสียงสั่น ตัดพ้อทั้งที่ยังไม่คลายสะอื้นในอ้อมอกเขา เป็นเพราะแบบนี้รึเปล่า
เขาจึงพยายามเข้าหาเธออย่างหนัก เพราะหวังอยากได้อะไรแบบนั้นอีกครั้งใช่ไหม
แล้วยังไงต่อ... พอใจแล้วจบ เท่านั้นใช่ไหม
“จะไม่ยอมก็ได้นะ
ต้านพี่ให้อยู่แล้วกัน” คนเอาแต่ใจมักมองไม่เห็นความรู้สึกของคนอื่น
กวินภัทรหยอกเย้าใบหูเล็ก ทิ้งรอยประทับหวานลงบนต้นคออุ่นนุ่ม
ฝ่ามือร้อนผ่าวดันกายสาวให้เข้าแนบชิดสนิทซึ้งกว่าคราใด ครั้นเห็นเธอไม่ขัดขืน
เขาจึงยกยิ้มให้ตัวเองในกระจก รู้ว่าตนกำลังจะได้กอบกุมชัยชนะ...ชัยชนะอันแสนหวาน
โดยมีร่างบางนุ่มนิ่มนี้เป็นรางวัล
แม้จะดูเป็นการเห็นแก่ตัวที่เรียกร้องแบบนี้
แต่เขารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร มั่นใจว่าควบคุมทุกอย่างได้ และเขาไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะมีความสุขบนรอยน้ำตาของผู้หญิง
ไม่ว่าคนไหนๆ และยิ่งเป็นเธอคนนี้ เป็นคนที่เขาอยากปกป้องดูแล
ถึงกายอยากจะรักเธอแทบตาย แต่เพราะอยากได้ใจเธอมากกว่า ฉะนั้นวันนี้ขอแค่นิดๆ
หน่อยๆ ให้พอยังชีพได้
ก่อนอื่นต้องทำให้เธอหยุดร้องไห้
เห็นน้ำตาเธอแล้ว เขา ‘ฟิน’ ไม่ออกจริงๆ
กวินภัทรคลายอ้อมกอด
เชยคางมนขึ้นให้เธอสบตากัน เกลี่ยไล้รอยชื้นฉ่ำให้พ้นไป แล้วจึงกอดเธอไว้อีกครั้ง
พลางเอ่ยถ้อยคำปลอบโยน “ไม่ร้องนะ พี่จะปลอบพราวเอง” เป็นการปลุกปลอบเพื่อจะเปลี่ยนรูปแบบการร้อง...
ไม่นานเธอจึงเริ่มคลายสะอื้น
ความเสียใจเริ่มจางหาย แทนที่ด้วยความวูบไหวบางอย่าง
กระจ่างในกายอุ่นร้อนที่แนบแน่นไปกับเขา พรั่นพรึงเกินพรรณนา ทว่าก็ไม่อาจฝืน
เธอโอนอ่อนผ่อนตามราวกับต้องมนตร์
ยอมทำตามใจเขาเพื่อแลกกับความลับ ยอมให้เขาจับจูงไปนั่งอยู่กลางเตียงใหญ่
เสียงยวบยาบยามทิ้งกายและความเย็นชืดจากผ้าหนานุ่มทำเธอผวา
ตระหนักชัดว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้...ไม่มีเหล้า
ไม่มีใครมอมเมา ทั้งเขาและเธอมีสติเต็มร้อย
มันจะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือ...เธอมีสิทธิ์ป้องกันตัวเองได้ไหม
กวินภัทรมองคนตัวสั่นกลางเตียงกว้างก่อนขยับเข้าใกล้
นั่งซ้อนหลังเธอไว้ “พี่ไม่ทำอะไรมากหรอก สัญญา”
“อย่าทำเลยได้ไหมคะ
มันผิด”
“เราผ่านกันมาแล้ว
นะครับ”
“สัญญาว่าจะไม่บอกแม่นะคะ”
สิ้นคำสุดท้าย
ชายด้านหลังก็โน้มเข้าหา
คลอเคลียต้นคอขาวเนียน ละเลียดชิมอย่างไม่รู้พอ
ขบเม้มไล่ขึ้นมาเรื่อยจนถึงใบหูเล็ก หอมซับเอากลิ่นหวานรัญจวนจากแก้มเนียนนุ่ม
คนโดนคลอเคล้าสั่นเครืออย่างหนัก
เม้มเรียวปากเข้า ไม่กล้าแม้แต่จะขยับกาย เขาปลุกเร้ากันราวกระหายหนักหนา
มือหนาที่จับไหล่มนไว้เริ่มเลื่อนไล้ไปมา
ลูบเรียวแขนเสลาที่โผล่พ้นเสื้อนักศึกษาขึ้นลงราวปลอบประโลม ไม่เกินอึดใจ ชายหนุ่มก็เอื้อมมาด้านหน้า
ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของเธอออกทีละเม็ด...ทีละเม็ด
เขาทำอย่างเชื่องช้า
ทว่าก็ยังเร็วเกินไปในความรู้สึกของคนถูกจู่โจม กระดุมค่อยๆ หลุดออกจากรังดุม ไล่ลึกลงไปเรื่อยๆ
กระทั่งสุดชายเสื้อ ผิวบางจึงเปิดเปลือยต่ออากาศเบื้องนอก ราวอุณหภูมิต่ำลงอย่างน่าใจหาย
กายสาวสั่นสะเทิ้นเขินอายและเย็นเยียบจนขนอ่อนลุกเกรียว ความอวบอิ่มที่เธอมี
ยามนี้เธอรู้สึกว่ามันเต่งตึงขึ้นจนน่าอึดอัดหวั่นไหว
ชายหนุ่มไม่รอช้า
พยายามเปลื้องปราการชั้นนอกของเธอออก สาบเสื้อนักศึกษาถูกแยกกว้างจนเผยไหล่นวลเนียน
ภายในกายเธอกำลังปั่นป่วนอย่างหนัก ทุกอย่างตื่นไหวจนแทบระเบิด
หากเธอตื่นเต้น
เขาเองก็คงไม่ต่าง เขาฝันถึงเธอมาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้ง
แต่ครานี้นางในฝันกำลังปรากฏกายเบื้องหน้า จับต้องได้
ให้ความรู้สึกที่มากกว่าจินตนาการไม่รู้กี่พันเท่า เขากำลังจะได้สัมผัสตัวจริงของเธอ...อีกครั้ง
ปกเสื้อถูกรูดลงไปตามไหล่ลาด
ก่อนหยุดอยู่ที่ต้นแขนเรียวสวย เธอยกแขนขึ้นกอดอกแน่น
ไม่ยอมให้มันหลุดเลื่อนไปโดยง่าย เธอ...ทำใจไม่ได้ ไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับอะไรที่มากมายเพียงนี้
พลันกายก็กระตุกทันใดเมื่อลิ้นร้อนชื้นลากไล่อยู่บนท้ายทอย
เลยเรื่อยลงไปที่แผ่นหลังเนียนละเอียด ปลายลิ้นเขาทำเธอสะท้านเกินทน
จนต้องแหงนใบหน้าขึ้น สูดปากเพื่อลดอาการหวามไหวที่จู่โจม ยอมให้เขาจัดการกับบางสิ่งจนไร้พันธนาการ
ส่วนบนจึงเหลือเพียงบราเซียร์สีพีชอ่อนโอบอุ้มปทุมถันไว้
ได้แค่นั้น...เพราะเขาปลดตะขอมันจากทางด้านหลังเรียบร้อยแล้ว
ริมฝีปากร้อนจัดกดเรื่อยลงไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่า
หวิวไหวจนต้องหยัดกายหนี ปลายลิ้นอุ่นร้อนของเขาไม่ปรานีเธอเลยสักนิด
ชายหนุ่มร้อนเร่าจนแทบจะมอดไหม้ไปกับอารมณ์ของตนเอง
เขากำลังคลั่ง ตื่นตัวไปกับความเดียงสา พาพราวไม่ลดละผ่อนปรน
ยังคงกระชับจับปราการชิ้นบนของตนไว้แน่น
แม้สายเส้นเล็กจะถูกเขารั้งไปกองอยู่ที่แขนเรียวของเธอแล้วก็ตาม
ทว่าเจ้าของยังคงไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่เธอ...ขัดเขาได้ที่ไหน
ยิ่งเธอกอบกุมก็ยิ่งเน้นย้ำความอวบอิ่มมากล้น
จนคนมองแทบลืมหายใจ กลืนน้ำลายลดอาการร้อนรุ่ม ภาพมุมสูงเช่นนี้ช่างดีเกินกล่าว
ความแข็งกร้าวเร่งเร้าจนเขาแทบยับยั้งตนเองไม่ไหว ทว่าต้องเตือนตนให้ใจเย็น
ด้วยเห็นชัดว่าเธอตื่นตระหนก
กวินภัทรพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนที่ปะทุแน่นอยู่ภายใน
“พี่ขอนะ”
ชายหนุ่มเอื้อมมากุมซ้อนมือบางไว้ บีบขยำเบาๆ
เป็นจังหวะเพื่อส่งความต้องการผ่านมือเล็ก เธอไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน
ยอมให้เขาดึงปราการชิ้นบนจนหลุดพ้น
เสี้ยววินาทีแห่งการปลดเปลื้องทำใจเธอหลุดลอยเช่นกัน ผวาหวาดหวั่นเมื่อมันถูกแทนที่ด้วยมือหนาอุ่นจัดชัดเจน
เนื้อต้องเนื้อ หญิงสาวระริกสั่นจนไม่อาจฝืน หลุดเสียงน่าอายออกมาจนได้
เธอไม่เคยคิดฝันว่าต้องใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้อีกครั้ง
ที่สำคัญไม่รู้ว่าตนเคยผ่านอารมณ์เหล่านี้มาได้อย่างไร
ทำไมครั้งนี้มันจึงรุนแรงนัก
อุ้งมือร้อนผ่าวกอบกุมเนื้อแท้ของเธอราวทะนุถนอม
เขาวางรองใต้ฐานของความอวบนุ่ม แล้วค่อยๆ บดคลึงอย่างละมุนมือ
ริมฝีปากเข้มจูบซับที่ขมับเธอค้างไว้ พึงใจกับอากัปกิริยาของคนตัวเล็กนัก
เพียงนึกว่าเขากำลังทำอะไรเธอ
ใจก็หวีดกระตุกไหวได้ทุกจังหวะการเต้น เขาเคล้นคลึง
หยอกเย้าจนยอดทรวงเคร่งครัดชูชันอย่างที่ไม่เคยเป็น เสียวสะท้านไปตามจังหวะที่เขามอบให้
ยามเมื่อปลายนิ้วแกร่งบดขยี้ที่ยอดทรวงสีหวานทำเธอซ่านจนต้องห่อไหล่เข้า ความรู้สึกบางอย่างบิดมวนกระตุกวาบอยู่ภายใน
เธออยากต่อต้าน ทว่าก็ต้องการโหยหาในเวลาเดียวกัน
“หันมาหาพี่”
เขากระซิบเสียงหวานนุ่มพร้อมเลื่อนแขนมาวางที่ไหล่มน
เธอยังคงแข็งขืน
ไม่ยอมหันหน้ามาหากัน “หลับตาก่อนได้ไหมคะ”
“หลับแล้ว”
เธอจึงค่อยๆ
หันมา แต่ว่า...เขาโกหก! ดวงตาคู่คมเข้มเต็มล้นไปด้วยแรงปรารถนาทำเธอสะท้านไปทั้งกาย
หมายจะยกมือขึ้นปิดส่วนหวิวไหว ทว่าเชื่องช้ากว่าชายตรงหน้าไปเสี้ยวเดียว
กวินภัทรจับข้อมือคนตัวเล็กไว้ตรึงแน่น พลางดันให้กายสาวเอนราบไปบนที่นอนนุ่ม
ก่อนเสียงยวบยาบจะตามมาเมื่อเขาขยับคร่อมเธอไว้ ไล้เลื่อนไปสอดประสานมือกันอย่างลึกซึ้ง
กดจนจมลงไปกับผ้าเนื้อหนา
“พราวไว้ใจพี่ไหม...”
เสียงเขาหวานละมุนจนเธอแทบละลาย เขายังไม่วายส่งสายตาทอประกายตอกตรึงกันไว้
“...”
หญิงสาวไม่ตอบคำใด นัยน์ตาหวานเจือแววลังเลเต็มล้น มองค้นลึกลงไปในดวงตาเข้มขลับ
ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ยังมีอะไรให้เธอไว้ใจได้อีก เกินสู้จึงหลับตาลง
เตรียมรับสัมผัสร้อนจัดที่เขากำลังจะมอบให้
ชายหนุ่มกดเรียวปากลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา
เปลือกตา แก้มนวลระเรื่อ ก่อนจบที่ริมฝีปากไหวระริก
ขยับเคล้าเร้าหญิงสาวด้วยจังหวะละเมียดละไม หวังให้เธอคลาคลายความหวาดระแวงลง
เขาบรรจงเลื่อนไล้ลงไปเรื่อย
ปลุกเร้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปลายลิ้นแตะต้องลงบนยอดทรวงหอมหวานที่เขาปรารถนา
เพียงจังหวะแผ่วเบาก็ทำเธอหวิวไหว
ส่งเสียงครางแผ่วซ่านออกมาให้ได้ยิน
ราวมอดไหม้
ปลายลิ้นเขาทำเธอแทบสิ้นสติ การเดินทางบนเตียงกว้างไม่มีลดละ ทุกอย่างมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ไม่คาดคิดว่าความสัมพันธ์ทางกายระหว่างชายหญิงจะมากล้นเช่นนี้
อยากให้เขาปรานีกันสักนิด
กวินภัทรไม่เว้นวรรค
ทิ้งรอยสัมผัสวนรอบยอดสีระเรื่ออย่างเย้ายวน ก่อนครอบครองเต็มกำลัง
จนเธอหวีดครางอย่างรัญจวนตอบรับการปรนเปรอของเขา
เธอไม่ไหว...ทั้งหมดนี้มันมากเกินไป
ชายหนุ่มยังคงไล้ลิ้นละเลงลงบนความนุ่ม
แนบปลายจมูกจมลงไปในเนื้อกายสาว เธอชูชันเบ่งบานอยู่ภายใต้การครอบครองของเขา
ขณะอีกข้างก็ถูกบดขยี้ด้วยปลายนิ้วเรียวยาว สร้างความกระสันให้กันอย่างเร่าเร่ง
เธอหวานละมุน
กลิ่นกายสาวหอมละไมชวนหลงใหล จนชายหนุ่มอยากดูดกลืน ดื่มกินเธอทั้งหมดที่ต้องการ
ไม่เหลือไว้ให้ใคร
“พราวไม่ไหว...”
เสียงเธอหอบสะท้านสะอื้นไหวพร้อมกับการหยัดกายสู้สัมผัสจากเขา
มือบอบบางขยุ้มปกคอเสื้อเชิ้ตของเขาไว้ ทุกอย่างเกินกลั้นไหว
ความรู้สึกบางอย่างแล่นริ้วลงไปตามกายสาว
มีจังหวะปลาบแปลบนิดๆ ในหลืบเร้นส่วนลึก
“รู้ไหมว่าพี่อยากทำแบบนี้มานานแค่ไหน”
เขาเงยหน้าขึ้นสบตา จดจ้องเพราะต้องการให้เธอรับรู้
หญิงสาวประหม่ายามสบนัยน์ตาคมเข้มที่จ้องมองอย่างลึกซึ้ง
อดทนต่อแรงเสน่หาที่พร่าเลือน ขบเม้มเรียวปากไว้แน่น
ก่อนหันหนีหลบสายตาร้อนแรงจากร่างแกร่งที่ซ้อนทับเบื้องหน้า
“อย่ากัดปาก
อย่าเก็บกลั้นตัวเอง”
สัมผัสแผ่วเบาจากปลายนิ้วเขาทำให้เธอเผลอปล่อยริมฝีปากสีซ่านของตนออก
หวีดสะท้านอีกครายามเขากอบกุมส่วนหวานนุ่มล้นมือของเธอไว้ หลับตาแน่น
ไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำสิ่งใดกับเรือนร่างของตน
“ปล่อยมันออกมา
ร้องมันออกมาให้พี่ได้ยิน ลืมตามองพี่”
เธอลืมตาขึ้นมองเขา
เชื่อฟังราวต้องมนตร์สะกด นัยน์ตาหวานวาวรื้นไปด้วยฤทธิ์อารมณ์ร้อนเกินควบคุม
เขาจะมอมเมาเธอให้คลั่งไคล้จนหนีไปไหนไม่ได้
ชายหนุ่มจับเรือนร่างอรชรให้ลุกขึ้นนั่งยันที่นอนด้วยเข่า
เขาทำอย่างรวดเร็วจนเธองุนงง ทว่ากว่าจะรู้ตัวมือของตนก็โอบอยู่ที่ต้นคอเขาแล้ว
ขยับเพียงนิด ใบหน้าหล่อเหลาก็อยู่เกือบชิดจุดอันตรายกับใจเธอ ซ้ำยังแกล้งปัดป่ายปลายจมูกเย้ายอดสีระเรื่อ
ดอมดมโลมเลีย สูดเอากลิ่นกายสาวไว้จนช่ำปอด
มือแกร่งลูบไล้ไปตามแผ่นหลังนวลเนียน
บดคลึงไปตามส่วนโค้งเว้า เขาอยากสัมผัส อยากตีตราจอง อยากเป็นเจ้าของเธอทั้งหมด
หญิงสาวคิดว่าที่ผ่านมานั่นมากพอแล้ว
แต่ผิดถนัด มันยิ่งมากขึ้น...มากขึ้นเรื่อยๆ
จนเธอเองก็อยากรู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน
ทุกสิ่งที่เขาทำ
ทุกอย่างที่เขาแสดงออก เขาทำเหมือนรู้จักร่างกายของเธอดี...ดีกว่าตัวเธอเองเสียอีก
กวินภัทรเงยหน้าขึ้นจูบเธออีกครั้ง
ก่อนจะขยับตัวออกไปยืนอยู่ข้างเตียง
ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตนเองอย่างแช่มช้าพร้อมทั้งมองเรือนร่างอรชรเปลือยเปล่าอย่างที่เขาฝันถึง
เธอหอบถี่กระชั้นจนอกอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ยอดอกเคร่งครัดเต่งตั้งท้าทายสายตาเขาเหลือเกิน
สาบเสื้อของชายหนุ่มเปิดออก
เผยแผงอกแน่นแกร่งและมัดกล้ามเป็นลอนล่ำสัน ชวนหวั่นไหวจนหญิงสาวไม่กล้ามอง
ครั้งสุดท้ายที่ริมสระว่ายน้ำยังทำใจเธอเต้นกระหน่ำ
ฉะนั้นยามนี้หัวใจเธอแทบจะหลุดออกมาเต้นนอกอก หน้าหวานซับสีระเรื่อก้มลงทันใด
ก่อนต้องสะเทิ้นอายยิ่งขึ้นยามมองอกอิ่มของตน
ชายหนุ่มสะบัดปราการชิ้นบนให้หลุดพ้นออกจากตัว
เปลือยเปล่าให้เท่ากับเธอตรงหน้า ก่อนรีบก้าวขึ้นเตียงสานต่อความต้องการส่วนลึก
มอบจุมพิตรสหวานร้อนแรงให้เธออีกครา พาให้ดื่มด่ำเคลิบเคลิ้มไม่ทันรู้ตัว ก่อนไล้ปลายนิ้วลงต่ำจนน่าหวาดเสียว
แตะต้องเรียวขาเนียนนุ่มอย่างเย้ายวน ลากวนขึ้นสูง
บดคลึงสะโพกกลมกลึงให้แนบชิดเข้าหา รับจังหวะการบดเบียดอย่างมีชั้นเชิงของเขา
เธอเกร็งกายตื่นกลัวบางอย่างของเขา
ส่งเสียงครางในลำคอต่อต้าน กวินภัทรจึงกรีดกรายปลายนิ้วขึ้นสูง
ไม่ทันให้เธอต่อต้าน นิ้วชายก็หายเข้าไปใต้กระโปรงสีเข้ม
กดบางสิ่งบางอย่างตรงกลางหว่างขาเนียนอย่างนุ่มนวล
“อย่า...อย่าทำแบบนี้”
เมื่อจุดอ่อนโยนโดนเขาสัมผัส เธอสะดุ้งไหวจนต้องโอบกายเขาไว้แน่น
เสียววาบไปทั้งสรรพางค์ ทรมานเกินกว่าจะฝืน
สะท้านอย่างรุนแรงเมื่อเขายังคงขยับเย้าไม่เลิก ครางหนักเข้าเมื่อเขากรีดไล้ไปตามรอยแยก
เผลอขยับเรียวขาเปิดทางให้เขาอย่างไม่รู้ตัว
“ชอบไหมพราว”
เขากระซิบชิดดวงหน้าหวาน กรอบหน้าเธอเริ่มมีเหงื่อผุดพราย “พี่จะทำให้พราวชอบ”
ชายหนุ่มหลอกล่อคนในอ้อมแขนให้เคลิบเคลิ้ม
เคล้นคลึงผ่านปราการกั้นจนสัมผัสได้ถึงความเปียกชุ่มพรั่งพร้อม แล้วใช้โอกาสนั้นรูดรั้งสิ่งขวางกั้นชิ้นบางลงไปตามเรียวขางาม
พาพราวหวั่นผวาจนต้องก้มลงมอง
เห็นสิ่งนั้นค่อยๆ ถูกเขาปลดเปลื้องลงไปอย่างน่าใจหาย
อายจนเกินทนเมื่อรู้ว่าตนเปลือยเปล่าอย่างแท้จริง แม้มีกระโปรงนักศึกษาบดบัง
ทว่าไม่อาจช่วยอะไร
ชายหนุ่มขยับเข้านั่งพิงหัวเตียง
เปิดวงขาแล้วดึงคนตัวเล็กเข้ามานั่งกึ่งกลาง กอดเธอไว้ราวหลงรักหนักหนา
วางคางเกยแนบไหล่มน ก่อนกระเซ้าเสียงหวาน “วันนี้พี่จะไม่ทำอะไรมาก”
นี่ยังไม่เรียกว่ามากอีกหรือ...มากกว่านี้เธอคงไม่ไหว
มือร้อนจับเรียวขางามให้ขยับออก
เปิดกว้างจนกระโปรงร่นขึ้น เผยสิ่งซุกซ่อนที่เขาปรารถนา
“พอแล้วได้ไหมคะ
พราว...”
“ครับ”
“พราวรู้สึกเหมือนจะตาย
พราวไม่ไหว...”
ชายหนุ่มจูบขมับบางของเธออย่างเอ็นดู
หัวเราะในลำคอ “ไม่ตายหรอก ครั้งนั้นมากกว่าครั้งนี้อีก”
ก็ครั้งนั้นเธอ...
หญิงสาวครางออกมาอย่างลืมอายเมื่อเขาสัมผัสส่วนหวิวไหวของเธอในทันใด
ไม่ให้ตั้งตัว ความรู้สึกชัดเจนขึ้นสิบเท่ายามเขาขยับไล้ ไร้ซึ่งสิ่งขวางกั้น
เนื้อแท้ของเธอร้าวกระสันอย่างรุนแรง มวลความร้อนมากมายถาโถมเข้าหาจนเกินรับมือ
กวินภัทรไม่หยุด ยังคงเดินหน้า นำพาม่านหมอกน่าอึดอัดพัดปกคลุมกันไว้
เธอหายใจไม่ทัน ทุกอย่างมันมากยิ่งกว่ามาก
อารมณ์บางอย่างที่ไม่รู้จักกำลังวิ่งพล่านอยู่ภายใน
หนักหน่วง
เร่งเร้า เรียกร้องจนต้องหลับตาแน่น ขมวดคิ้วมุ่น
ครางเสียงหวานชิดกล้ามแขนกำยำของเขา กอดเกี่ยวชายหนุ่มไว้แน่น ไม่เหลือพื้นที่ให้ความเขินอาย
รู้เพียงตนเองต้องการผ่านพ้นไปจากมวลอารมณ์หนาแน่นนี้
กวินภัทรมองหญิงสาวด้วยแววพอใจ
เร่งขยับไล้เต็มกำลัง
เธอรู้สึกเหมือนตัวตนของตัวเองเต้นเร่าอยู่ใต้ปลายนิ้วของเขา
บางอย่างทำให้เธอคาดหวังและต้องการ...มากขึ้น...มากขึ้น
“อื้อ...”
เขาทิ้งเธอไว้กลางทาง ละมือหนาออกจากการปรนเปรอ ทำให้เธอซึ่งกำลังหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มต้องเงยหน้าสบตาเขาด้วยแววตาเว้าวอน
“พี่จะทำให้พราวรู้จักตัวเองก่อน”
คำเฉลยของเขาไม่ช่วยไขความกระจ่างให้เธอสักนิด กระทั่งมือหนาเอื้อมมากุมกันไว้
สัมผัสชุ่มชื้นจากมือเขาทำเธอสะเทิ้นอาย
ก่อนต้องอายหนักเมื่อเขาจับมือเธอมาวางลงบนส่วนลึกลับของตน
ร้อนรุ่ม
ชุ่มฉ่ำ ซ่านหวิว...เธอไม่เคยสัมผัสตนเองแล้วรู้สึกมากมายในทำนองนี้มาก่อน
มือแกร่งซึ่งวางซ้อนกันไว้บงการให้เธอขยับไหว
คลึงเคล้าในจังหวะเร่าร้อน กายสาวจึงบิดส่ายเมื่อถูกปลุกเร้าอยู่ภายในอีกครา
ปะทุแน่นแทบแตกสลาย ก่อนเสียงครางสุดท้ายจะลากยาวพร้อมกับที่กายสาวเกร็งค้างในจังหวะหนึ่ง
เธอพานพบปลายทางแห่งความพร่างพราวแล้ว
น่าตื่นเต้นหวามไหวจนหัวใจแทบหลุดออกจากอก
ทว่าวินาทีต่อมากลับล่องลอยราวอยู่ในห้วงฝัน เคลิ้มหลงไปกับความเบานุ่มภายใน
ก่อนความเขินอายจะระอุแล่นไปทั่วเนื้อตัว
“ปะ...ปล่อยก่อนค่ะ”
หญิงสาวหน้าแดงซ่าน ตาหวานหยาดเยิ้มจนน่าหลงใหล หอบหายใจสะท้านถี่ “อย่านะคะ!”
ห้ามไม่ทัน! ปลายนิ้วเรียวสวยฉ่ำชื้นถูกดึงขึ้นไปดูดกลืนโดยชายเบื้องหลัง
อารมณ์หวิวไหวซัดใส่เข้ามาซ้ำอีกครั้ง เขาทำเธออายจนต้องซุกหน้าลงกับอกแกร่ง
แล้วต่อไปจะมองหน้ากันอย่างไรเล่า
“ทำไมครับ”
กวินภัทรสัพยอกคนขัดเขินอย่างหนัก ชั่งใจว่าควรพอแค่นี้ดีไหม
ท่าทางเธอคล้ายจะรับไม่ไหว แม้แก่นกายเขาแทบระเบิดแล้วก็ตามที
“พะ...พอแล้วนะคะ”
เธอเอ่ยขอเสียงสั่นขณะเขาเงียบงันไป เนื้อกายเปล่าเปลือยจนเริ่มรู้สึกหวิวไหว
อายจับใจ มือบางพยายามรั้งผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมเรือนร่างตนเองไว้
“ไม่แล้วเหรอ
ใจแข็งจัง” เธอใจแข็ง ทว่าเขาน่ะสิ บางอย่างแข็งพอกัน
เสียงยามเอื้อนเอ่ยออกไปจึงต่ำพร่าสิ้นดี
“ไม่...นะคะ”
เพียงการออดอ้อนและแววตาเว้าวอนก็ทำใจเขาแทบละลาย
ทว่าสิ่งกลางกายกำลังเรียกร้องอย่างหนัก
“ครับ...”
ชายหนุ่มแทบกัดฟันตอบ “ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาด พี่ออกมาต้องเจอพราว เข้าใจไหม”
กวินภัทรเอ่ยเสียงเข้ม หอมแก้มคนหน้าแดงจัดเต็มแรง
ก่อนผละไปอาบน้ำ...และจัดการตนเอง ขืนอยู่ตรงนี้ต่อไปคงหน้ามืดปล้ำเธอเป็นแน่
คล้อยหลังชายหนุ่มเพียงไม่นาน
หญิงสาวรอจนมั่นใจว่าเขาคงยังไม่ออกมาในเวลานี้
เธอเอื้อมมือหยิบเสื้อผ้าที่ตกระพื้นขึ้นสวมด้วยความรวดเร็ว
ชั่งใจว่าควรหนีไปตอนนี้ดีไหม ทว่ามีบางอย่างร่ำร้องให้รอคอยเขา
เมื่อครู่เธอรู้ว่าเขาต้องอดกลั้นอย่างหนัก เขาเป็นผู้ชาย
เธอเข้าใจดีว่ามันยากเกินควบคุม แต่เธอไม่อาจยอมพลีกายเพียงเพื่อให้เขาระบายอารมณ์เพียงชั่วครู่ชั่วยามได้
แค่สิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นก็มากล้นเกินรับไหว ได้แต่หวังว่าเขาจะรักษาสัญญา
น้ำตาหยดหนึ่งรินไหล
ก่อนใจจะยวบไหวลงเพียงนึกถึงความผิดที่ตนเองก็มีส่วนร่วม
เธอต้องทนอยู่บนความหวาดระแวงนี้ไปอีกนานแค่ไหน
การต้องตื่นมาในทุกเช้าซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว...กลัวความผิดที่ซุกซ่อนไว้จะถูกจับได้ในวันใดวันหนึ่ง
ไม่อาจวางใจกับเรื่องใดในชีวิตได้แม้เพียงสักวัน
ราวกับผ่านพ้นแต่ละวินาทีไปด้วยความไม่มั่นคง
เธอนอนหันหน้าหนีแสงสว่างจ้าจากโคมไฟข้างหัวเตียง
เพ่งสายตามองเข้าไปในความมืดมิด หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เขายังอยากเป็นพี่ชายเธออยู่ไหม
หรือเธอ...ควรค่าพอจะเป็นน้องสาวของเขาอยู่รึเปล่า
หลังจากนี้เรายังเป็นพี่น้องกันได้อีกไหม น้ำตามากมายพรั่งพรูลงมาจนชุ่มหมอนใบนุ่ม
ยกมือขึ้นกลั้นเสียงสะอื้นของตนไว้ ไม่อยากให้เขารับรู้ว่าเธออ่อนแอแค่ไหน
“ร้องไห้ทำไมครับ”
น้ำเสียงอ่อนโยนและอ้อมกอดอบอุ่นถูกส่งมาให้คนที่กำลังอ่อนแออย่างหนัก
“ไม่ได้ร้อง”
เธอว่าเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังกดหน้ากับหมอนนุ่มอยู่อย่างนั้น
กวินภัทรหมุนกายเธอเข้าซบอกแกร่ง
“พี่ขอโทษนะ...ที่เอาแต่ใจ” กดริมฝีปากบนเรือนผมหอมของเธออย่างแผ่วเบา กระชับกอดราวทะนุถนอมหนักหนา
ราวจูบนั้นนำพาเอากระแสความอบอุ่นบางอย่างอาบไล้ใจแห้งแล้งให้ชุ่มชื้นขึ้น
“พี่วินอย่าบอกแม่นะคะ เรื่องคืนนั้น แล้วก็...คืนนี้ด้วย”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำใด
ทำเพียงกระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้า
เมื่อเห็นเขานิ่งงันไป
ใจเธอก็เริ่มหวาดหวั่น พรั่นพรึงต่อสัญญาลมปากของเขา “พราวขอร้อง...” ท้ายเสียงสั่นไหว
ก่อนน้ำตาจะไหลลงอีกครา เธอเม้มปากเป็นเส้นตรง พยายามกลั้นสะอื้นจนจุกแน่นในอก
“พี่ไม่บอกหรอก
ไม่ร้องนะ” ขยับโยกเบาๆ ราวกับปลอบเด็กร้องไห้ แม้ใจเคยคิดขุ่นข้องกับอะไรบางอย่าง
ทว่าตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว ไม่อยากรู้และพร้อมมองข้ามมันไปได้แล้ว “พี่ขอโทษนะ
เรื่องคืนนั้น พราว...เจ็บมากไหม”
เสียงร้องไห้อย่างหนักคือคำตอบ
เธอเก็บกลั้นอะไรไม่ไหวอีกแล้ว
หน่วงใจจนชายหนุ่มต้องยันกายขึ้นนั่งแล้วดึงเธอมาพิงอกเขาไว้
ปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดเขา ปวดร้าวไปด้วยกัน ห้าปีที่ผ่านมาคงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง
แม้ใจอยากถามถึงเรื่องราว ทว่าเขาไม่อยากกรีดซ้ำลงบนแผลเก่าของเธอ
ดูก็รู้ว่าเธอรวดร้าวเปราะบางแค่ไหน สัญญากับตนเองว่าจะชดเชยให้อย่างไม่มีข้อยกเว้น
เขาอยากเห็นรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา อยากเห็นพาพราวที่มีความสุขกว่าที่เป็นอยู่นี้
ความคิดเห็น |
---|