4

ตอนที่ 4


รู้เขารู้เรา...รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!

 

                เสียงเพลงหมอลำจังหวะสนุกสนานควรจะสร้างความสุขให้แก่เหล่าคนงาน แต่นาทีนี้มันกลับพาให้ใครต่อใครอยากยกมืออุดหูมากกว่า เพราะหลังจากนวินดาร้องเพลงจบลงแล้ว หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะเอาคืนผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตด้วยการประกาศผ่านไมโครโฟนเชิญการะเกดขึ้นร้องเพลงด้วยวิธีเดียวกัน ทั้งยังเลือกเพลงหมอลำให้เสร็จสรรพโดยไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะร้องได้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยๆ การที่บนเวทีมีจอให้อ่านเนื้อเพลงแบบคาราโอเกะก็คงพอจะช่วยให้ผู้ช่วยผู้จัดการสาวดำน้ำไปตามทำนองเพลงได้บ้าง

ไม่นึกไม่ฝัน...ตอนนี้การะเกดจะทำได้แค่ดำน้ำจริงๆ บรรดาคนงานหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ถึงได้พากันป้องปากโห่ล้อกันตามประสาเพื่อนร่วมงาน

                “สมน้ำหน้า เล่นกับใครไม่เล่น” บื้อหัวเราะชอบใจ ก่อนจะหันไปหาลูกพี่สาววัยกระเตาะที่กำลังเดินเลือกอาหารอยู่ที่ซุ้มอย่างสบายใจเฉิบ “ตอนแรกบื้อนึกว่าพี่ผึ้งจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส แกล้งร้องเพลงหยอดลุงหมีอย่างเดียวเสียอีก”

                “ก็บอกแล้วไงว่าพี่เป็นคนใสๆ ดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ ไม่โกง” นวินดายิ้มกริ่ม ไม่คิดว่าตัวเองทำเกินกว่าเหตุด้วยที่ถือวิสาสะเลือกเพลงหมอลำให้ เพราะถ้าเป็นหล่อนถูกแกล้งให้ร้องเพลงที่ไม่ถนัดก็คงจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการพูดติดตลก แล้วขอเปลี่ยนเพลงตั้งแต่ก่อนร้องท่อนแรกนั่นละ

เรื่องง่ายๆ ไม่เห็นน่าหนักใจตรงไหน แต่ในเมื่อการะเกดเลือกที่จะดำน้ำเองก็ช่วยไม่ได้  

                “ว่าแต่...ปู่เล็กกับย่าเล็กจะกลับตอนไหนก็ไม่รู้ ไหนจะมีแฟนพี่มดมาด้วยอีก ถ้าอยู่กันถึงงานเลิก แผนเราจะสำเร็จเหรอพี่ผึ้ง”

                บื้อชำเลืองมองไปทางโต๊ะของเขตพนา เห็นทุกคนยังคุยกันอย่างครื้นเครงก็อดห่วงแผนของลูกพี่ไม่ได้ แต่นวินดากลับยืนคีบเปาะเปี๊ยะใส่จานอย่างไม่ทุกข์ร้อนเท่าไร

                “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน โฆษณากระทิงแดงบอกไว้” ไม่ทันขาดคำเด็กสาวก็เหลือบเห็นดอกเตอร์พนัสกับภรรยาลุกจากโต๊ะพอดี “นั่นไงๆ ใกล้ได้เวลาแล้ว”

นวินดาเดาเอาไว้แต่แรกว่าคนแก่คงอยู่ร่วมงานไม่นาน ยิ่งกุมาริกากำลังท้องกำลังไส้ อย่างไรเสียก็ต้องกลับบ้านไปนอนพักผ่อน และการที่หม่อมราชวงศ์นพคุณประคองภรรยาลุกขึ้นเดินตามพ่อตาแม่ยายมาติดๆ ก็ราวกับจะตอกย้ำในข้อสันนิษฐาน

“หนูผึ้ง”

หญิงวัยกลางคนก้าวตรงมาหา นวินดาจึงละมือจากการคีบอาหารใส่จานชั่วคราว

“แม่จะกลับแล้วเหรอคะ”

“จ้ะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมเปิดร้านแต่เช้า เพราะมีลูกค้าออร์เดอร์อาหารไปตักบาตรนอกสถานที่ด้วย ส่วนพี่มดก็เริ่มปวดหลังแล้ว แม่เลยชวนกลับพร้อมกัน” มุลิลาพยักพเยิดไปทางลูกสาวที่ช่วงนี้นั่งนานๆ ไม่ค่อยได้ เพราะอายุครรภ์ที่มากขึ้นทุกวัน

“น้องผึ้งตามสบายนะ พี่หมี พี่หมึก น่าจะอยู่ถึงงานเลิก มีอะไรก็บอกพี่หมี พี่หมึก ได้”

“ค่ะ พี่มดก็ดูแลสุขภาพนะคะ เอาไว้คุยกันวันหลัง”

“จ้า” กุมาริกาลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ อย่างรักใคร่ ก่อนจะชักชวนสามีและบิดามารดาออกจากงานไป

นวินดาถือโอกาสยืนส่งกระทั่งเห็นว่าทั้งสี่คนขึ้นรถยนต์ไปแล้ว ถึงค่อยหันกลับมาสั่งสมุนน้อยที่น้ำหนักไม่น้อยอีกครั้ง “ได้เวลาแล้ว ไปจัดการตามแผน”

“จัดให้” บื้อยกมือขึ้นทำท่าโอเค

นวินดามองตามหลังร่างจ้ำม่ำที่วิ่งไปทางซุ้มเครื่องดื่มใกล้ๆ แต่ไม่ได้สนใจติดตามผลงานมากนัก เพราะหล่อนเองก็ต้องแยกไปปฏิบัติตามแผนอีกทาง

เด็กสาวรีบคีบเปาะเปี๊ยะใส่จานให้เต็ม ก่อนจะยกแก้วค็อกเทลสีชมพูหวานที่หยิบมาจากซุ้มเครื่องดื่มก่อนหน้านี้ตรงกลับไปที่โต๊ะ

แต่ในขณะที่ร่างแน่งน้อยกำลังนั่งบนฟ่อนฟาง เขตพนากลับหรี่ตามองเครื่องดื่มของหล่อนอย่างประเมิน

“เป็นเด็กเป็นเล็ก ดื่มของมึนเมาด้วยเหรอ” เขาเปิดฉากเทศน์ตามประสาหนุ่มเจ้าระเบียบ แต่นวินดากลับไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดตรงไหน

“ใครๆ ก็ดื่มกันนี่คะ” หล่อนพยักพเยิดไปยังพนักงานสาวๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะอื่น “อีกอย่างนี่เป็นงานสังสรรค์ ไม่ใช่งานบุญ ดื่มเหล้าไม่บาปหรอกค่ะ”

“แต่เธอยังเด็ก”

“เที่ยงคืนวันนี้ก็อายุสิบแปดแล้ว ไม่เด็กแล้วค่ะ” นวินดาแจกแจงเหตุผล เชื่อว่าเขาน่าจะพอจำวันเกิดหล่อนได้บ้าง เพราะถัดจากวันครบรอบวันก่อตั้งฟาร์มเพาะรักแค่วันเดียวเท่านั้น

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” เขตพนาถอนหายใจ “กฎหมายยังห้ามเด็กอายุต่ำกว่ายี่สิบปีเข้าร้านเหล้า เพราะฉะนั้นอายุสิบแปดก็ถือว่ายังเด็ก”

นวินดาได้แต่อ้าปากหวอ ใช่ว่าหล่อนไม่รู้กฎหมายข้อนี้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะเป๊ะเว่อร์ขนาดนี้ต่างหาก

“เอาน่า...” เขตชลไม่อยากให้ปิดกั้นมากนัก “อย่างน้อยๆ ดื่มในสายตาผู้ใหญ่ก็ดีกว่าแอบไปดื่มกับเพื่อนข้างนอกนะครับ เด็กวัยนี้อยากรู้อยากลองเป็นปรกติ พี่หมีอย่าหัวโบราณไปหน่อยเลย”

                นวินดาพยักหน้าหงึกๆ ริมฝีปากอิ่มขยับยิ้มทันทีที่มีคนให้ท้าย ก่อนจะรีบยกแก้วค็อกเทลขึ้นลองชิมนิดๆ เพื่อความแนบเนียน

                “รสชาติดีกว่าที่คิดนะคะ ไม่เหมือนเหล้าขาว”

                “อะไรนะ!” เขตชลย้อนถามอย่างไม่อยากเชื่อหู “นี่เคยกินเหล้าขาวด้วยเหรอเราน่ะ”

                “ก็เห็นคนงานในสวนต้มกินกัน น้ำผึ้งเลยขอลองเป๊กหนึ่งค่ะ” หล่อนหัวเราะแหะๆ จำได้ว่ารสชาติเลวร้ายบาดไส้หล่อนมาก “แต่ครั้งเดียวเข็ด เพราะเล่นเอาสลบไปทั้งวันเลย”

                “งั้นก็อย่าดื่มมาก” เขตพนาถือโอกาสเตือน เพราะรู้สึกว่าหล่อนค่อนข้างเมาง่าย “ถึงค็อกเทลจะไม่แรงเหมือนเหล้าขาว แต่แค่ชิมนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ”

                “ค่า...พ่อ”

                “เมื่อก่อนเป็นลุง ตอนนี้เป็นพ่อ อีกหน่อยจะเป็นอะไร” เขตชลแกล้งแซ็วพร้อมยิ้มขบขัน ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้พี่ชายนิดหนึ่งอย่างรู้กัน แต่นอกจากเขตพนาจะไม่มีอารมณ์ร่วมแล้ว ดวงตาคมๆ คู่นั้นยังหรี่มองน้องชายจอมยุอย่างเชือดเฉือนอีกด้วย “เอาละ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนดีกว่า”

                เขาแสร้งทำทีเป็นมองนาฬิกา เพราะอยากเปิดโอกาสให้นวินดาอยู่กับพี่ชายตามลำพัง

                “จะรีบไปไหน พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ”

                “วันหยุดก็ต้องมีนัดไปพักผ่อนกับสาวๆ สิครับ” เขตชลอ้างพลางหันไปลาหลานสาวคุณนายเครือวัลย์ที่เขาเห็นมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวฟาร์มเพาะรักบ่อยๆ ในช่วงหลายปีมานี้ “พี่กลับก่อนนะ มีอะไรก็บอกพี่หมี”

                “ค่ะ”

                นวินดายกมือไหว้ลา เขตชลจึงหันไปยิ้มมุมปากให้เขตพนาแล้วเดินฮัมเพลงจากไปอย่างสุนทรีย์

 

มีเมียเด็ก...ต้องหมั่นตรวจเช็กร่างกาย

ไม่ต้องนึกอาย เป็นลูกผู้ชายต้องกล้า

 

เพลงแก้ของเพลงที่นวินดาเพิ่งขึ้นไปร้องบนเวทีหมาดๆ ทำเอาเจ้าตัวขำ มองออกว่าเขตชลช่วยเปิดโอกาส เลยอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าใครๆ ก็ชอบหล่อนทั้งนั้น เหลือก็แต่ลุงหมีหัวโบราณนี่ละที่ยังปิดประตูหัวใจแน่นหนาเหลือเกิน

                “ถึงลุงจะบอกว่าน้ำผึ้งร้องเพลงไม่ได้เรื่อง แต่ท่าทางพี่หมึกจะชอบนะคะ มีร้องเพลงแก้ด้วย”

                เขตพนานิ่ง ไม่ปฏิเสธว่าหล่อนร้องเพลงใช้ได้ แต่ที่ต้องให้บื้อไปบอกว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’ ก็เพราะเกรงว่าหล่อนจะได้ผัวแก่กลับไปจริงๆ มากกว่า

                มีอย่างที่ไหน...ร้องเพลงเนื้อหาจัดจ้านเกินวัยในงานเลี้ยงที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้ ต่อให้คนงานในฟาร์มเขาจะไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน แต่ยามเหล้าเข้าปากบางครั้งก็หน้ามืดกันได้ ยิ่งหล่อนไม่มีย่าคอยดูแลแล้วก็น่าจะยิ่งระมัดระวังตัวเองมากขึ้น  

“แล้วนี่บื้อไปไหน”

“นั่นสิคะ” นวินดาแสร้งทำทีเป็นสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ งาน “เอ...เมื่อกี้ก็ยังเลือกอาหารอยู่ด้วยกัน นึกว่าจะตามมาที่โต๊ะเสียอีก”

เมื่อชายหนุ่มหันไปช่วยกวาดตามองหา สาวเจ้าเล่ห์ก็ไม่รอช้าที่จะหยิบแก้วค็อกเทลสีหวานมารินของเหลวทิ้งลงบนพื้นข้างๆ ฟ่อนฟาง ก่อนจะแกล้งทำทีเป็นยกมาจ่อริมฝีปากอย่างรวดเร็ว พอชายหนุ่มหันขวับมามองอีกครั้งก็ถึงกับตะลึง

“เฮ้ย!” เขาอุทานอย่างคาดไม่ถึง “รวดเดียวหมดแก้วเลยเหรอ”

เด็กสาวหัวเราะแหะๆ วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะพลางคีบเปาะเปี๊ยะมากินต่อโดยไม่คิดแก้ตัวใดๆ แต่พอกินไปได้สองสามชิ้น หล่อนก็ไม่รอช้าที่จะดำเนินการตามแผนขั้นถัดไป

“เดี๋ยวน้ำผึ้งไปตามบื้อดีกว่าค่ะ” ร่างแน่งน้อยขยับกายลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากโต๊ะก็เซล้มไปทางชายหนุ่ม “โอ๊ย...”

“น้ำผึ้ง!” เขาถลันขึ้นไปประคองเอาไว้ สังเกตว่าหล่อนเอาแต่ก้มหน้างุดอยู่ตรงอกกว้าง “เป็นอะไร”

“เวียนหัวยังไงก็ไม่รู้ค่ะ น้ำผึ้งรู้สึกเหมือนโลกเอียง” หล่อนแกล้งทำเสียงอ้อแอ้ แต่ไม่มากจนเกินไปเพราะเขตพนาฉลาดเป็นกรด หากเขาระแคะระคายเสียก่อนคงไม่มีโอกาสใกล้ชิดเขาอีก

“เมาเหรอเนี่ย” เสียงเขาบอกชัดว่าไม่อยากจะเชื่อ

“ม่ายยย...” หล่อนรีบเงยหน้าขึ้นปฏิเสธ สังเกตจากพวกคนงานในสวนมะม่วง...เวลาดื่มเหล้าจนเมาทีไรก็ไม่มีใครเคยยอมรับว่าเมาสักคน

ถ้าหล่อนบอกว่าตัวเองเมา ดอกเตอร์ก็ไม่เชื่อว่าเมาสิ!

“เพิ่งกินไปแก้วเดียวจะเมาได้ไงคะ”

“แต่เธอยืนจะไม่ไหวอยู่แล้ว”

นั่นปะไรล่ะ! นวินดาต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการซ่อนยิ้ม แกล้งทำตาปรือนิดๆ เพราะพอจะเคยเล่นละครเวทีของโรงเรียนมาบ้าง

“กลับบ้านได้แล้วไป เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“แต่บื้อยังไม่มาเลยนะคะ”

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ขืนยังอยู่ต่อคงได้หลับคาโต๊ะ”

“แต่...”

“ไม่เถียงฉันสักคำคงไม่ทำให้เธอเป็นใบ้หรอกนะ”

เสียงดุๆ ของเขาทำให้คนแกล้งเมาได้แต่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ที่จริงแล้วหล่อนก็ไม่อยากเถียงในเวลานี้นักหรอก แต่ถ้าเชื่อฟังง่ายๆ ก็คงกลับกลายเป็นเขาเองนั่นแหละที่ไม่เชื่อหล่อน

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง...ซุนวูกล่าวไว้!

 

                “อ้าว! นาย กลับแล้วเหรอครับ” คนงานหนุ่มใหญ่ที่นั่งสังสรรค์อยู่โต๊ะใกล้ทางออกจากงานยิ้มทัก แปลกใจนิดๆ ที่เห็นเขตพนาประคองร่างโงนเงนของสาวสวนมะม่วงออกมา ทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังเห็นหล่อนขึ้นไปร้องเพลงสนุกสนานบนเวทีอยู่เลย

                “น้ำผึ้งไม่ค่อยสบาย ฉันเลยว่าจะไปส่งที่บ้าน” เขตพนาปด ไม่อยากให้ใครต่อใครมองหล่อนไม่ดีนัก “สงสัยว่าบื้อจะไปเข้าห้องน้ำ ถ้ากลับมาแล้วฝากบอกให้ตามไปที่บ้านสวนด้วยแล้วกัน เพราะเดี๋ยวจะหากันไม่เจอ”

                “ได้ครับนาย”

                เมื่ออีกฝ่ายยิ้มรับ ชายหนุ่มจึงประคองร่างแน่งน้อยมายังรถจักรยานสีชมพูหวานที่หล่อนจอดไว้ นวินดาอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคิดว่าเขาจะพาไปยังรถยนต์ส่วนตัวเสียอีก

                “ซ้อนจักรยานไปไหวหรือเปล่า”

                “ลุงจะขี่เหรอคะ”

                “ฉันจอดรถไว้ที่สำนักงาน” เขาพยักพเยิดไปทางสำนักงานส่วนตัวที่อยู่ไม่ไกลจากงานมาก แต่ถ้าต้องเดินไปเอารถก็คงใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน “ถ้าไม่ไหวก็รอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันไปเอารถมารับ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ” นวินดาไม่อยากรอนานๆ เพราะถ้าการะเกดลงจากเวทีมาขัดจะพานเสียแผนมากกว่า “น้ำผึ้งขี่เองยังไหว”

                ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างนึกขำในความรั้น แค่ยืนยังแทบจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ขืนให้ขี่เองจริงๆ มีหวังล้มหัวทิ่มตั้งแต่สิบเมตรแรก

                “ซ้อนฉันไปนี่แหละ ไม่อยากพาใครไปให้หมอทำแผลตอนดึก” เขาปล่อยมือจากเอวหล่อนเพื่อจับแฮนด์จักรยานแล้วเอาขาตั้งรถจักรยานขึ้น

                นวินดาแอบยิ้มเล็กๆ เพราะมองออกว่าภายใต้เสียงบ่นของลุงหมีขั้วโลกแฝงไว้ด้วยความห่วงใยในสวัสดิภาพของหล่อน

                เด็กสาวไม่รอช้าที่จะหย่อนก้นซ้อนท้ายจักรยานและกอดเอวคนตัวโตเอาไว้ เอนตัวแนบแก้มกับแผ่นหลังกว้างอย่างมีความสุขตลอดทางที่เขาพาหล่อนซ้อนท้ายผ่านแปลงผักออร์แกนิกในฟาร์มมาเรื่อยๆ

จริงๆ แล้ว...นวินดาไม่คิดว่าเขาจะกล้าขี่จักรยานคันนี้ด้วยซ้ำ เพราะสีชมพูหวานๆ ของมันดูขัดกับรูปร่างสูงใหญ่และบุคลิกนิ่งขรึมของเขาเหลือเกิน

แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขาทำอะไรแปลกๆ แบบนี้ ตอนที่หล่อนเสียคุณย่าใหม่ๆ เขาก็ไปช่วยดูแลแขกเหรื่อในงานและอยู่เป็นเพื่อนหล่อนจนงานเลิกทุกคืน ไหนจะตอนที่หล่อนหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็มาช่วยติววิชายากๆ ให้โดยไม่ต้องร้องขอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้หล่อนคิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างไรว่าลึกๆ แล้วลุงหมีขั้วโลกก็เอ็นดูหล่อนเหมือนน้องนุ่ง

                “ลุงๆ” นวินดาดึงเสื้อของเขา หลังจากจักรยานแล่นเข้ามาในเขตสวนมะม่วงของคุณย่าสักพัก

                “อะไร”

                “หยุดรถก่อน”

                เขตพนาบีบเบรกมือเบาๆ พลางใช้เท้าใหญ่ค้ำยันจักรยานไม่ให้ล้ม ก่อนจะหันไปหาเด็กสาวที่นั่งซ้อนท้ายอยู่เบาะด้านหลัง นึกไม่ถึงว่าจะเห็นหล่อนยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองไปมา

                “ลมมันเย็นอะ น้ำผึ้งหนาว”

                “อีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว”

                “ขอพักทำใจแป๊บหนึ่ง” หล่อนห่อไหล่เล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าหนาวจริงๆ ผิดกับเขาที่รู้สึกว่าอากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาว “น้ำผึ้งไม่ไหวจริงๆ”

                “ไม่สบายหรือไง” เขตพนาใช้หลังมืออังหน้าผากหล่อน ตัวไม่ร้อน แต่บางทีคงเป็นเพราะชุดกระโปรงแบบเปิดไหล่ที่หล่อนสวมอยู่ จึงตัดสินใจปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มของตนออกแล้วถอดออกมาคลุมไหล่มน

                 

                นวินดามีสีหน้าประหลาดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรในตอนที่เขาหันกลับไปจับแฮนด์จักรยานอีกครั้ง

                อุ่น...เป็นความรู้สึกที่เอ่อซึมในหัวใจดวงน้อย

นวินดากระชับสาบเสื้อเชิ้ตของเขาเข้าหากัน สังเกตชายหนุ่มที่ตอนนี้เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวสวมติดตัวอยู่กับกางเกงยีน

“ลุงไม่หนาวเหรอ”

“ไม่” เขาตอบปฏิเสธสั้นๆ พลางออกแรงขี่รถไปตามทางในสวนอีกครั้ง “ขืนมัวแต่รอเธอพักทำใจ เดี๋ยวก็ได้ไม่สบายจริงๆ เพราะตากน้ำค้าง”

“ลุงเป็นห่วงละสิ”

“ก็ย่าเธอเคยช่วยฉันหลายเรื่อง...” แม้จะไม่ยอมรับตรงๆ ว่าห่วง แต่นวินดาก็ยังอดชื่นใจไม่ได้ “ว่าแต่เมื่อไรเธอจะเลิกเรียกฉันว่าลุงเสียที ฉันกับไอ้หมึกอายุห่างกันแค่ปีเดียว”

“ลุงก็เลิกหัวโบราณก่อนสิ หรือไม่ก็...” นวินดาทอดเสียง หลับตาพริ้มพลางเอนศีรษะอิงแผ่นหลังกว้างอีกครั้ง “เปลี่ยนใจมาแต่งงานกัน รับรองจะเลิกเรียกว่าลุงทันที”

“เพ้อเจ้อ” เขาหัวเราะขำ ก่อนจะหยุดรถเมื่อมาถึงหน้าเรือนไทยโบราณของคุณนายเครือวัลย์ในเวลาต่อมา “เมาแล้วก็เข้าบ้านไปนอนได้ละ เดี๋ยวฉันบอกบื้อให้รีบมานอนเป็นเพื่อน”

นวินดานิ่ง ไม่หือไม่อือจนคนตัวโตอดหันหลังไปมองอย่างแปลกใจไม่ได้

“น้ำผึ้ง”

ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบรับ อีกทั้งหล่อนยังไม่ขยับเนื้อขยับตัวด้วยซ้ำ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะค่อยๆ หันไปประคองร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขนพลางใช้ขาเขี่ยขาตั้งจักรยานลงอย่างระมัดระวัง

“หลับจริงเหรอเนี่ย” เขตพนาไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเด็กแสบอย่างหล่อนจะสิ้นฤทธิ์ง่ายดายเพราะค็อกเทลแก้วเดียว แต่ตรองดูดีๆ ก็ไม่แปลก...เด็กไม่เคยดื่มจะให้คอแข็งเหมือนพวกผู้ใหญ่ได้อย่างไร ยิ่งนึกถึงตอนที่หล่อนเล่าว่าเคยนอนสลบทั้งวันเพราะเหล้าขาวเป๊กเดียว เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้

รู้ตัวว่าคออ่อนแล้วยังจะรั้นดื่ม...เป็นน้องเป็นนุ่งจริงๆ ละก็จะจับตีให้ก้นลาย!

เขตพนาตัดสินใจช้อนร่างบอบบางขึ้นมาอยู่ในวงแขนแข็งแกร่ง ก้าวขายาวๆ ขึ้นบันไดเรือนไทยโบราณริมน้ำ ก่อนจะเลี้ยวไปทางห้องนอนที่อยู่ขวามือของชาน เนื่องจากพอรู้อยู่บ้างว่าเป็นห้องนอนเด็กสาว แต่ทันทีที่ผลักประตูบานเฟี้ยมเข้าไปในความมืดมิด เขากลับไม่รู้เลยสักนิดว่ากำลังก้าวสู่หลุมพรางที่หล่อนขุดไว้ ทั้งยังเป็นหลุมพรางอันแสนเย้ายวนใจเสียด้วย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น