5

ตอนที่ 5


หมีกินผึ้ง?

 

                ร่างเล็กบอบบางถูกอุ้มมาวางลงบนเตียงกว้าง เขตพนามองไปที่ปลายเท้า เห็นผ้านวมผืนหนาถูกพับเอาไว้ก็ไม่รอช้าที่จะหยิบขึ้นมาห่มให้ ก่อนจะตรงไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทเล็กน้อย

ความที่บ้านสวนของนวินดาเป็นเรือนไทยแบบโบราณจึงไม่ได้ติดมุ้งลวด มีเพียงลูกกรงช่องลมป้องกันไม่ให้ใครปีนเข้ามาทำอันตราย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจกลับไปที่เตียงอีกครั้งเพื่อดึงมุ้งกลมที่แขวนกับเพดานลงมา เพราะเป็นห่วงว่ายุงจะกัดหล่อน

                “ฮื้อ...” เสียงครางของเด็กสาวทำให้เขาหลุบตามอง ก่อนจะเห็นหล่อนปัดผ้านวมออกด้วยสีหน้ารำคาญ

                “เมื่อกี้ยังบ่นว่าหนาว” เขตพนาขำอาการย้อนแย้งในตัวสาวเจ้า แต่เวลาเดียวกันก็ยอมรับว่าอุณหภูมิในบ้านอบอ้าวกว่าข้างนอก ยิ่งปิดห้องเอาไว้มิดชิดนานหลายชั่วโมงก็ยิ่งร้อน เขากดสวิตช์พัดลมเพดานที่อยู่ตรงหัวเตียงให้หล่อน แล้วก้มลงหยิบผ้านวมมาห่มให้อีกครั้ง

                นวินดาต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการซ่อนยิ้ม พลางหวนนึกถึงวิธีการของนางร้ายในละครที่บื้อเคยพูดแล้วก็ยอมรับว่าเคยมีความคิดจะทำตามเหมือนกัน แต่ขืนใช้วิธีมอมเหล้าวางยาจริงๆ คงไม่มีทางได้ลงเอยกับพระเอกง่ายๆ เพราะเขาคงมีแต่จะโกรธละสิไม่ว่า

                ที่สำคัญ...หล่อนเป็นคนใสๆ เพราะงั้นต้องใช้วิธีใสๆ สิ!

                “พ่อ...” นวินดาแกล้งเพ้อ จับมือคนตัวโตที่กำลังห่มผ้าเอาไว้หลวมๆ เล่นเอาเขตพนาถึงกับอึ้งเพราะเขาไม่ใช่พ่อของหล่อน

                “น้ำผึ้ง นี่ฉันเอง”

                “น้ำผึ้งคิดถึงพ่อจัง”

                เสียงพึมพำนั้นทำเอาชายหนุ่มที่กำลังจะแกะมือหล่อนถึงกับใจอ่อนยวบยาบ และยังไม่ทันได้คิดว่าควรทำอย่างไรต่อด้วยซ้ำ สาวน้อยร้อยเล่มเกวียนก็ดึงมือหนาไปนอนกอดจนเขาเสียหลักเอนลงไปข้างๆ กายหล่อน

                “พ่อขา...อย่าทิ้งน้ำผึ้งไปนะ”

                แก้มใสอยู่ห่างแค่ลมหายใจเป่ารด ทำเอาหมียักษ์ใจเต้นโครมครามไปหมด

ให้ตาย! ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสัญชาตญาณดิบในกายที่กำลังก่อตัว เชื่อว่าหากอยู่กับหล่อนตามลำพังในที่รโหฐานแบบนี้นานๆ คงไม่ดีแน่

                “น้ำผึ้ง...” เขตพนาพยายามปลุกเด็กสาว แต่แล้วตัวกลับชาวาบเพราะหล่อนเบียดกายเข้ามากอดเอวเขาเสียแน่น

                “พ่อ...” เสียงหวานๆ ดังอู้อี้อยู่ตรงอกกว้าง “พ่อมาอยู่กับน้ำผึ้งแทนคุณย่าแล้วใช่ไหมคะ”

                ชายหนุ่มได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ หากเขาเป็นพ่อหล่อนจริงๆ ก็คงดีไม่น้อยจะได้กอดปลอบหล่อนอย่างสนิทใจ แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่พ่อและไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ กับหล่อนทางสายเลือดด้วยซ้ำ การที่มีร่างนุ่มนิ่มมานอนแนบชิดแบบนี้ก็คงมีแต่จะทำให้เป็น ‘พ่อของลูก’ ละสิไม่ว่า!

                ยุบหนอ...พองหนอ...เด็กหนอ...

                เขตพนาพยายามเจริญสติ แต่ดูเหมือนว่าสมองส่วนบนของเขาจะไม่พร้อมรับรู้อะไร มีแต่สมองส่วนล่างเท่านั้นที่พร้อมทำงานเต็มที่ บางทีคงเพราะสุราที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้ด้วย กลิ่นหอมๆ จากกายสาวจึงเย้ายวนให้เขาโน้มหน้าลงชิดแก้มหล่อนอย่างลืมตัว

                คุก! คุก! คุก!

                ชายหนุ่มยั้งตัวเอาไว้ได้ทัน แต่พอฉุกคิดได้ว่าพรุ่งนี้หล่อนก็อายุสิบแปดปีบริบูรณ์ หัวใจดวงโตๆ ก็เริ่มเต้นโครมครามอีกครั้ง

                เขตพนาเผลอเหลือบมองนาฬิกาแบบโบราณที่แขวนติดอยู่กับผนัง แสงสลัวของดวงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างพอจะทำให้มองเห็นรางๆ ว่าเหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงจะเที่ยงคืน

ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องเข้าคุก...

บ้าฉิบ! ไม่ต้องติดคุก แต่การลักหลับผู้หญิงก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายดีๆ เขาทำกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่เพิ่งสูญเสียย่าไปหมาดๆ เขาจะใจร้ายใจดำไปตอกย้ำซ้ำเติมหล่อนได้อย่างไร

เขตพนาระบายลมหายใจเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อเลยว่ามีน้ำผึ้งหวานหยดอยู่ตรงหน้า หมีตัวโตๆ อย่างเขาจะก้มลงไปดื่มกินไม่ได้ แต่ครั้นจะรีบลุกออกไปก็สงสารคนกำลังหลับฝันดี ที่สุดจึงค่อยๆ วางมือลงบนศีรษะหล่อนแล้วลูบกล่อมเบาๆ ตั้งใจว่าถ้าเด็กสาวหลับสนิทเมื่อไรค่อยกลับบ้าน ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบสิบแปดปีของหล่อน อย่างไรเสียเขาก็ต้องรอบื้อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนวินดาอยู่แล้ว ค่ำมืดดึกดื่นแบบนี้การทิ้งผู้หญิงเมาหลับอยู่ในบ้านสวนเพียงลำพังคงไม่ค่อยปลอดภัย

หารู้ไม่ว่านวินดากำลังลอบยิ้ม พลางคิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ ที่อยากฝากชีวิตเอาไว้ในมือผู้ชายคนนี้...เขตพนา

 

                อากาศในช่วงเช้าวันนี้ค่อนข้างแจ่มใส พนัสกับมุลิลานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมระเบียงร้าน ซึ่งยังไม่ได้เปิดให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไป เพราะมื้อเช้าของแต่ละวันถือเป็นเวลาครอบครัว ส่วนมื้อกลางวันกับมื้อเย็นนั้นแล้วแต่ลูกๆ จะสะดวก บางครั้งเลิกงานไม่ตรงกันก็เข้าใจกันดี

                “แล้วนี่พี่หมีพี่หมึกยังไม่ตื่นอีกเหรอ” มุลิลาไถ่ถามบุตรสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม เนื่องจากหล่อนกับสามีตื่นมาเตรียมอาหารส่งลูกค้านอกสถานที่แต่เช้า ผิดกับกุมาริกาที่เพิ่งตามออกมาไม่นานและอาจพอรู้อะไรบ้าง แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ 

                “ตอนมดกับคุณชายออกมาก็ไม่เห็นใครนะคะ นึกว่ามากันแล้วเสียอีก”

                “งั้นเดี๋ยวผมไปตามให้ครับ” หม่อมราชวงศ์หนุ่มอาสา แต่ไม่ทันได้ขยับตัวออกไป ประมุขของบ้านก็ยกมือท้วง

                “ไม่ต้องแล้วคุณชาย เจ้าหมึกมาโน่นแล้ว” เขาพยักพเยิดไปทางประตูบานเฟี้ยมด้านหลังร้าน ซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังเรือนที่พักอาศัย เมื่อทุกคนมองตามไปจึงเห็นชายหนุ่มกำลังก้าวตรงมา “พี่ชายแกล่ะ”

                “อ้าว ยังไม่มาเหรอครับ” เขตชลมีสีหน้าประหลาดใจ พลอยทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ประหลาดใจไปด้วย

                “หมีไม่อยู่ที่บ้านเหรอ” มุลิลาเป็นตัวแทนถาม เนื่องจากไม่บ่อยนักที่ลูกๆ ของหล่อนจะออกไปไหนโดยไม่บอกกล่าว โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้าๆ แบบนี้

                “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เห็นห้องเงียบๆ ก็นึกว่าออกมาแล้ว สงสัยเมื่อคืนคงดึกไปหน่อย...” เขตชลวิเคราะห์ตามเนื้อผ้า แต่ยังไม่ทันเสนอตัวกลับเข้าไปตาม เสียงใครคนหนึ่งร้องตะโกนก็ดังมาจากถนนหน้าเรือน

                “ปู่เล็ก! ย่าเล็ก!”

                สายตาทุกคู่พร้อมใจกันหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าเป็นร่างจ้ำม่ำของเด็กชายวัยสิบสี่ปีคนหนึ่งที่คุ้นหน้าค่าตากันดี

                “นั่นมัน...บื้อนี่ครับ” เขตชลแน่ใจว่ามองไม่ผิด

                เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ลูกสมุนของนวินดาก็วิ่งขึ้นบันไดเรือนมาหอบหายใจฮักตรงหน้าโต๊ะอาหาร

                “มีอะไรเจ้าบื้อ วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียว” มุลิลาเปิดฉากถาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ อย่างอดแปลกใจไม่ได้

                “ลุงหมีครับ ลุงหมี...”

                เสียงของบื้อขาดห้วง เนื่องจากเจ้าตัวยังคงเหนื่อยอยู่มาก แต่ชื่อของคนที่หายไปจากโต๊ะอาหารเช้าก็ทำให้สมาชิกในครอบครัวต่างรอฟังอย่างกระตือรือร้น ติดตรงที่ว่าบื้อไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียที ทั้งยังเริ่มมีประกายตาลังเล

                “เจ้าหมีทำไม” พนัสร้อนใจจนต้องคาดคั้น

                เด็กชายกลับอึกอักอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจส่ายหัวปฏิเสธ “บื้อไม่กล้าพูด ปู่เล็กกับย่าเล็กไปดูเองดีกว่า”

                คู่สามีภรรยาวัยกลางคนเริ่มใจคอไม่ดีนัก ต่างหันไปมองหน้ากันและกันอย่างอดอยากรู้ไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายกันแน่!

 

                เสียงสะอึกสะอื้นของเด็กสาวที่แว่วมากระทบโสตประสาทปลุกให้ชายหนุ่มที่เผลอหลับไปตอนกลางดึกเริ่มรู้สึกตัวทีละน้อย เขตพนาลืมตามองเพดาน ภาพมุ้งกลมที่แขวนประดับอยู่ด้านบนดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นตาเท่าไรว่าเป็นห้องนอนเขา กระทั่งสมองเริ่มรับรู้เรื่องราวต่างๆ เสียงร้องไห้กระซิกของคนข้างๆ ก็ทำให้อดหันไปมองไม่ได้

                “น้ำผึ้ง!” เขตพนารีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แปลกใจที่เห็นหล่อนร้องไห้พลางกอดผ้านวมไว้แนบอก อีกทั้งชุดกระโปรงที่สวมใส่ยังดูไม่เรียบร้อยเหมือนเมื่อคืน เนื่องจากกระดุมเสื้อช่วงบนหลุดออกจากรังดุมสองสามเม็ดจนเผยให้เห็นเนินอกขาวนวล

                “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

                “ลุงยังจะกล้าถามอีกเหรอ” นวินดาหันมามองค้อน หยาดน้ำใสๆ เปรอะเปื้อนเต็มแก้มนวล “คนใจร้าย! คนฉวยโอกาส เสียแรงที่น้ำผึ้งอุตส่าห์ไว้ใจ”

                ให้ตาย! หล่อนคิดว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง

“เดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มคิดว่าคงมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น “ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอนะ แต่เมื่อคืนนี้เธอเมามาก แล้วเข้าใจผิดว่าฉันเป็นพ่อ เธอเลยมากอดฉัน...”

                “ลุงก็เลยฉวยโอกาสลักหลับน้ำผึ้งเหรอ” เป็นข้อกล่าวหาที่ทำเอาคนเผลอเมาหลับถึงกับเหวอ แต่ไม่ทันได้อ้าปากอธิบายอะไร เด็กสาวก็หยิบหมอนมาฟาดใส่เขาไม่ยั้ง “คนเห็นแก่ตัว! ทำแบบนี้กับน้ำผึ้งได้ไง น้ำผึ้งจะจุดธูปฟ้องวิญญาณคุณย่า ฮือ...”

                “น้ำผึ้งหยุดก่อน หยุด!” คนตัวโตกว่าพยายามจับมือหล่อนไม่ให้ตีโพยตีพายมากไปกว่านี้ “ตั้งสติแล้วคุยกันดีๆ ดีกว่านะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลยจริงๆ เราแค่นอนด้วยกันเฉยๆ”

                “โกหก!” นวินดาสวน “ถ้าแค่นอนเฉยๆ แล้วน้ำผึ้งจะอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ไง หรือลุงคิดว่าน้ำผึ้งเป็นเด็กใสๆ แล้วจะหลอกลวงยังไงก็ได้ ลุงพูดแบบนี้แปลว่าจะไม่รับผิดชอบใช่ไหม”

                รับผิดชอบ?

ชายหนุ่มมองกระดุมชุดที่ไม่เรียบร้อยของหล่อนแล้วก็ยอมรับว่าตกใจเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้เป็นคนทำให้หล่อนอยู่ในสภาพนี้แน่นอน

ต่อให้เขาเผลอคิดนอกลู่นอกทางไปบ้าง เขาก็ยังรู้ผิดชอบชั่วดีมากพอ หากไม่ใช่เพราะเขารอบื้อนานจนเผลอหลับไปก่อน รับรองว่าคงกลับออกไปตั้งแต่เมื่อคืนด้วยซ้ำ

‘ลุงๆ มาแต่งงานกันไหม’

จู่ๆ คำชวนของหล่อนเมื่อวันก่อนก็วนเวียนเข้ามาในสมอง และทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าบางทีมันอาจเป็นแผนการของหล่อน

“ลุงลักหลับน้ำผึ้ง ปู้ยี่ปู้ยำน้ำผึ้ง...” นวินดาสะอื้นฮัก ก่อนจะเบะปากร้องไห้โฮเหมือนเด็ก “พรหมจรรย์ที่เฝ้าถนอมมาสิบแปดปีของน้ำผึ้งย่อยยับเพราะลุงหมดแล้ว ฮือ...”

                บ้าฉิบ! ถ้อยคำสละสลวยราวกับสคริปต์บทละครโทรทัศน์ แล้วไหนจะท่าทางร้องไห้ของหล่อนที่มีแต่คราบน้ำตาเต็มแก้ม แต่ดวงตาไม่บวมช้ำเลยสักนิดเดียว

                “ตลก!” เขาหยิบหมอนขึ้นมาตีเข้ากลางหน้าผากเด็กสาว เผื่อจะช่วยเรียกสติสตังที่ไม่ค่อยจะเต็มให้หวนกลับคืนมาได้บ้าง “ไม่ต้องมาเล่นละคร ลูกไม้ตื้นๆ คิดว่าฉันรู้ไม่ทันหรือไง”

                นวินดาถึงกับอ้าปากหวอ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะจับได้ไล่ทันเร็วขนาดนี้  

                “ขวดน้ำตาเทียมอยู่ไหน” เป็นคำถามที่ทำเอาเด็กสาวได้แต่นั่งใบ้กิน เขาดูออกด้วยหรือว่าหล่อนไม่ได้ร้องไห้จริงๆ 

                “นะ...น้ำตาเทียมอะไร” หล่อนโต้ พยายามซุกซ่อนอารมณ์หวาดกลัวไว้ภายใต้ใบหน้าเชิดรั้น เพราะเอาเข้าจริงแล้วหล่อนไม่ได้ใช้น้ำตาเทียมเสียหน่อย แต่ใช้น้ำประปาในห้องน้ำต่างหาก จ้างให้เขาก็หาหลักฐานไม่เจอแน่ๆ “ลุงย่ำยีน้ำผึ้งแล้วจะมาบ่ายเบี่ยงแบบนี้ไม่ได้นะ”

                “ฉันไปย่ำยีเธอตอนไหน กางเกงก็ยังใส่อยู่แบบนี้” เขตพนารู้จักนิสัยของตัวเองดี หากเผลอหน้ามืดทำอะไรหล่อนลงไปจริงๆ เขาไม่มีทางนอนทั้งที่ยังสวมกางเกงและคาดเข็มขัดเต็มยศแน่  

                “น้ำผึ้งเมาหลับจะไปรู้ได้ไง...” นวินดาแถ ประกายตาไหววูบดูมีพิรุธจนดอกเตอร์หนุ่มยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐาน “ลุงอาจจะหยิบมาใส่ทีหลังก็ได้”  

“ไม่มีทาง!”

“งั้นนั่นอะไร” เด็กสาวชี้ไปตรงกลางเตียง เล่นเอาเขตพนาถึงกับตัวชาวาบ

ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนถูกไม้หน้าสามตีแสกหน้า เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะเห็นรอยเลือดเปรอะเปื้อนบนผ้าปูที่นอน

“เลือดเปิดบริสุทธิ์ชัดเจนขนาดนี้ ลุงยังปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ จิตใจทำด้วยอะไร ย่ำยีร่างกายน้ำผึ้งยังไม่พอ ยังมาย่ำยีหัวใจกันอีก...”

นวินดาร้องไห้คร่ำครวญชนิดที่ว่าหากหล่อนเป็นดาราก็อาจเรียกได้ว่า ‘จ้างร้อยเล่นล้าน’ เลยทีเดียว แต่เมื่อจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด เขตพนาจึงเพ่งดูอย่างพิจารณาว่ามันคือเลือดหรือน้ำยาอุทัยทิพย์กันแน่

เลือด...สัญชาตญาณของเขาฟ้องว่าอย่างนั้น

“เลือดหมู เลือดเป็ด หรือเลือดไก่” ชายหนุ่มมิวายหันไปสอบสวน

สาวน้อยร้อยเล่มเกวียนหน้าเหลอ

“เกินไปแล้วนะ!” หล่อนพยายามทำขึงขังกลบเกลื่อน ถึงแม้ว่าคราบเลือดที่เห็นจะเป็นเลือดหมูในตลาดสดที่หล่อนซื้อมาทำลาบกินกับข้าวเหนียว แล้วแบ่งแช่ตู้เย็นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานจริงๆ ก็ตาม “ลุงได้น้ำผึ้งแล้วจะไม่รับผิดชอบได้ไง”

เขตพนาขบกรามแน่น ไม่อยากเชื่อเลยว่าหล่อนจะยังดันทุรังสูง

“โอเค งั้นไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย” เขาไม่รอช้าที่จะคว้ามือคนตัวบางให้ลุกขึ้นจากเตียงกว้าง แต่ความตกใจทำให้เด็กสาวพยายามยื้อไว้

“เดี๋ยวๆๆ” หล่อนขืนตัวไม่ยอมลงจากเตียงง่ายๆ “เราจะไปโรงพยาบาลทำไมคะ”

“ก็ไปตรวจหาร่องรอยการเสียตัวไง” เสียงแข็งๆ ของเขาทำเอานวินดาตะลึง ไม่แน่ใจว่าเขาจะตรวจด้วยวิธีใดได้ “ถ้าฉันปล้ำเธอจริงๆ หมอคงต้องตรวจเจอร่องรอยอะไรบ้างแหละ เลือดออกเสียขนาดนี้ ของเธอคงฉีกขาดไปถึงไหนต่อไหนละ”

นวินดาหน้าซีด ลืมไปเสียสนิทเลยว่าการแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าไปไกล หากเขาพาไปตรวจที่โรงพยาบาลจริงๆ มีหวังความแตกแน่นอน

“ไม่เอาๆ” นวินดาส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “น้ำผึ้งไม่ตรวจ”

“ที่ไม่กล้าตรวจก็เพราะว่าฉันไม่ได้ปล้ำเธอจริงๆ ใช่ไหม”

“เพราะหลักฐานมันชัดเจนพอแล้วต่างหาก” นวินดาพยายามกลบเกลื่อนความกลัวในใจด้วยการเชิดหน้ารั้น

เวลาเดียวกันนั้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้าน ซึ่งจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงรถยนต์ของบิดาเขา

ให้ตาย! หากเดาไม่ผิดคงเป็นความตั้งใจของหล่อน ยิ่งเหลือบไปเห็นเสื้อเชิ้ตที่เขาถอดคลุมไหล่ให้หล่อนเมื่อคืนหล่นอยู่ข้างเตียง เขตพนายิ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าเหตุใดหล่อนถึงบ่นว่าหนาวตอนขี่จักรยานผ่านสวนมะม่วง ทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้เย็นมาก

ทุกอย่างเป็นแผนจัดฉากมาตั้งแต่ต้น!

ดวงตาของชายหนุ่มวาววับ เชื่อขนมกินได้เลยว่าถ้าใครมาเห็นเขากับหล่อนอยู่ด้วยกันในสภาพนี้ ต่อให้อมพระมาพูดก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเขาไม่ได้รังแกเด็กจริงๆ

“เล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้...” มุมปากของเขตพนาเหยียดโค้ง ก่อนที่เขาจะผลักหล่อนลงบนเตียงกว้างพลางตลบผ้านวมมาคลุมร่างหล่อนเอาไว้ใต้ร่างของเขา

“กรี๊ด!” นวินดาตกใจ ไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะตะโบมจูบปล้ำหล่อนแบบนี้ “ลุงจะทำอะไร พ่อแม่ลุงกำลังขึ้นมานะ”

“ก็เธออยากให้พ่อแม่ฉันเข้าใจว่าเราได้เสียเป็นผัวเมียกันแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันช่วยทำให้สมจริงขึ้นไง” เขาเงยหน้าประสานสายตาหล่อนครู่สั้นๆ ก่อนจะก้มลงซุกไซ้ลำคอหล่อนอีกครั้ง แต่นอกจากนวินดาจะไม่ให้ความร่วมมือง่ายๆ แล้วยังคอยแต่จะผลักไสเขาออกเสียอีก

นึกไม่ถึงว่ายิ่งต่อต้านชายหนุ่มจะยิ่งทำให้หล่อนติดอยู่ในพันธนาการของเขา ผ้านวมห่อม้วนคนทั้งสองเข้าด้วยกันจนแทบจะหาทางออกไม่เจออีก

“อื้อ! ลุงหมี ปล่อยน้ำผึ้งนะ” นวินดาทำได้แค่ดิ้นขลุกขลัก เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตัดสินใจถูกหรือผิดที่คิดจับดอกเตอร์หนุ่มแต่งงาน

ก็ที่จริงเขาควรจะกลัวพ่อกับแม่มาเห็นต่างหาก ไฉนเลยถึงกลับกลายเป็นฝ่ายช่วยจัดฉากเสียเอง ทั้งยังเล่นจริงจูบจริงไม่อิงมุมกล้องด้วย

นวินดาหลับตาปี๋เมื่อเขาก้มหน้าลงมาชิด หัวใจแทบหลุดออกจากร่างเพราะคิดว่าต้องเสียจูบแรกแน่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะหยุดชะงัก พอดีกันกับที่ประตูห้องนอนถูกเปิดผางเข้ามา

“ว้าย! ตายแล้ว” เสียงอุทานที่ค่อนข้างคุ้นหูทำเอาเขตพนาเงยหน้าขึ้นมองนิ่งๆ มารดาของเขากำลังยืนยกมือทาบอกอยู่ที่ประตู โดยมีบิดาก้าวตามมาติดๆ นอกจากนี้ยังมีเขตชล กุมาริกา ตลอดจนหม่อมราชวงศ์นพคุณที่ตามลูกสมุนของหล่อนมาด้วย

“ไอ้หมี! นี่แกทำอะไรหนูผึ้ง” ดอกเตอร์พนัสร้องถามลูกชาย ดวงตามีประกายเหลือเชื่อ

นวินดาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน พวงแก้มทั้งสองข้างแดงแจ๋จากการที่ต้องติดอยู่ใต้ร่างเขาในสภาพไม่คิดไม่ฝัน ยิ่งเห็นพ่อหมียักษ์หลุบตามองหล่อนพร้อมยิ้มมุมปาก นวินดาก็ยิ่งนึกอยากให้ตัวเองกลายเป็นน้ำผึ้งไปเสียจริงๆ จะได้ละลายซึมหายไปกับผ้าปูเตียง

พุทโธ่เอ๋ย...อุตส่าห์วางแผน ‘จับหมี’ แท้ๆ ไฉนเลยกลับถูกหมีตะปบเสียเอง ทั้งยังรู้สึกเหมือนผึ้งตัวน้อยๆ อย่างหล่อนจะดิ้นไม่หลุดจากอุ้งมือหมีด้วย!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น