6

ตอนที่ 6


รักตกกระได...หัวใจพลอยกระโจน

 

            อากาศในช่วงเช้าวันนี้ค่อนข้างแจ่มใส แต่บรรยากาศบนเรือนไทยเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยากลับไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดินฟ้าอากาศสักนิด เบื้องหน้าของนวินดาคือดอกเตอร์หนุ่มวัยสามสิบห้าที่หล่อนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาถูกผีเข้ากลางวันแสกๆ หรือเปล่า ถึงได้ดูไม่อนาทรร้อนใจใดๆ หลังจากบิดามารดาเขาบอกให้หล่อนแต่งตัวก่อนออกมาตกลงกันที่พาไล กลับกลายเป็นหล่อนเสียอีกที่เริ่มกังวลไปต่างๆ นานา เพราะยังไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรไปหมด 

                “แม่ต้องการคำอธิบาย” มุลิลาเปิดฉากไต่สวน ดวงตามีประกายตำหนิระคนผิดหวังยามมองลูกชายคนโตของหล่อนที่เป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยแท้ๆ แต่กลับทำตัวไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างด้วยการย่องเข้าห้องเด็กสาว ซ้ำยังเป็นเด็กสาวที่เพิ่งพ้นรั้วโรงเรียนมัธยมหมาดๆ     

                “ก็อย่างที่ทุกคนเห็นแหละครับ” เขตพนายอมรับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สาวน้อยร้อยเล่มเกวียนที่เป็นคนวางแผนล่อลวงเขามาติดกับดักจึงยิ่งรู้สึกเหมือนถูกไม้หน้าสามตีแสกหน้าอย่างจัง “เอาเป็นว่าผมจะรับผิดชอบน้ำผึ้งละกัน พรุ่งนี้เราจะแต่งงานกันเลย”

                ให้ตาย! ตามบทแล้วหล่อนควรจะต้องเป็นฝ่ายเรียกร้องขอความรับผิดชอบจากเขาก่อนไม่ใช่หรือไง นี่หล่อนยังไม่ทันดรามาอะไร เขากลับรีบตัดสินใจแต่งงานเสียแล้ว

                “มะ...ไม่เอาค่ะ” เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ชอบกล “น้ำผึ้งไม่แต่ง”

                “จะไม่แต่งได้ไง” เขตพนาแย้ง คิ้วหนาๆ ที่พาดเฉียงอยู่เหนือดวงตาคมเลิกขึ้นเล็กน้อยเหมือนไม่อยากเชื่อ “เมื่อกี้นี้เธอก็เป็นคนบอกเองว่าให้ฉันรับผิดชอบ”

                “เอ่อ...” นวินดาอึกอัก หายใจไม่ทั่วท้องกับการผูกมัดที่แม้ว่าหล่อนจะเป็นฝ่ายขุดหลุมพรางดักไว้ก็ตาม แต่การที่เหยื่อกระโดดลงหลุมง่ายๆ แล้วลากหล่อนลงมาด้วยแบบนี้ ใครไม่กลัวถูกตะปบตายคามือก็บ้า “น้ำผึ้งมาคิดดูดีๆ แล้ว น้ำผึ้งอาจจะตกใจไปเองมากกว่า เราคงยังไม่ได้...”

                “ได้แล้ว”

                “ยังๆๆ” หล่อนร้อนรนส่ายหน้าดิ๊กๆ แต่นอกจากเขาจะไม่รีบตะครุบโอกาสทองนี้ไว้เพื่อทำให้ตัวเองกลับเป็นผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง เขายังจะดึงดันอยากเป็นผู้ร้ายเสียอีก

                “เลือดเปิดบริสุทธิ์ชัดเจนขนาดนั้น เธอยังจะมาทำแบ๊วๆ ใสๆ คิดว่าเราแค่นอนกอดกันได้ไง”

                เอาแล้วไง...นวินดาได้แต่เม้มริมฝีปากน้อยๆ อย่างไร้ทางตอบโต้ อดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังแกล้งยอมรับผิดเพื่อบีบให้หล่อนสารภาพเองหรือเปล่า หากหล่อนเผลอหลุดปากนิดเดียวว่าคราบของเหลวสีแดงบนเตียงเป็นเลือดหมูที่ซื้อมาจากตลาดสด คราวนี้เขาก็ได้กลายเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ ส่วนหล่อนก็เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ไม่มีใครรักและเอ็นดูอีกเลย

                แค่คิดว่าจะต้องถูกผู้ใหญ่ที่นับถือเมินเฉย...เด็กสาวที่เพิ่งเสียย่าไปหมาดๆ ก็ใจฝ่อเสียแล้ว

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า...” เขตพนาตัดสินใจลุกมานั่งข้างกายเด็กสาว เล่นเอาคนมีชนักติดหลังเริ่มมองเขาอย่างระแวงและระวังตัว เพราะยากจะคาดเดาจริงๆ ว่าเขามีแผนอะไรในใจแน่ “มาถึงขั้นนี้แล้วก็ทำให้มันถูกต้องตามประเพณีไป ไหนเมื่อกี้เธอยังร้องไห้งอแง กลัวฉันจะไม่รับผิดชอบเธออยู่เลยไม่ใช่เหรอ”

                พ่อหมียักษ์ยกมือขึ้นซับคราบน้ำประปาบนแก้มนวลอย่างอ่อนละมุน แต่กลับทำให้ผึ้งน้อยอยากร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ เพราะแววตาระยิบระยับอย่างเป็นต่อของเขา

“ไม่ร้องแล้วนะ เด็กโง่”

“เดี๋ยวนะครับ” เขตชลสังเกตอากัปกิริยาของทั้งคู่แล้วชักไม่แน่ใจว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ “ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไง”

                “นั่นสิ” ดอกเตอร์พนัสเองก็ชักจะงงๆ เหมือนกัน “คนหนึ่งบอกได้ อีกคนบอกไม่ได้ สรุปได้หรือไม่ได้”

                “ไม่...” ไม่ทันที่นวินดาจะได้กระโจนเข้าหาตัวช่วย เขตพนาก็ล็อกคอหล่อนไปชิดพลางใช้มือใหญ่เทอะทะปิดปากหล่อนเอาไว้ “อื้อ...”

“ทุกคนก็เห็นเองกับตา ยังต้องให้เราอธิบายอะไรอีกล่ะครับ” ดอกเตอร์หนุ่มหันไปแจกแจง ก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กน้อยยามหันมาประสานสายตากับหล่อน “ส่วนที่เห็นน้ำผึ้งดื้อดึงไม่ยอมรับก็คงเพราะกลัวพ่อกับแม่จะตำหนิเรื่องชิงสุกก่อนห่ามนี่ละ จริงไหม”

เด็กสาวนึกอยากส่ายหน้าปฏิเสธ แต่แววตาเชือดเฉือนของเขาก็ราวกับจะย้ำเตือนว่าหล่อนเป็นคนขุดหลุมพรางนี้เอง ต่อให้ปฏิเสธว่าไม่ได้เต็มใจมีสัมพันธ์กับเขา อย่างไรเสียคราบเลือดบนเตียงก็เป็นหลักฐานว่าเขาได้กระทำชำเราหล่อนไปแล้ว สุดท้าย...พ่อแม่ของเขาก็ต้องให้ลูกชายรับผิดชอบอยู่ดี 

โธ่ถังกะละมังหม้อ! หล่อนควรดีใจหรือเปล่าที่เขา ‘ดิ้นไม่หลุด’ แบบนี้

“ตกลงตามนี้เนอะ พรุ่งนี้เราแต่งงานกันเลย” เขตพนาเร่งรัด ทั้งที่ตามบทแล้วเขาควรปฏิเสธหัวชนฝามากกว่า “ไม่สิ...เธอยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ยังไม่ต้องจัดงานดีกว่า แค่จดทะเบียนสมรสก่อนแล้วกัน บ้านแม่เธออยู่ไหน เดี๋ยวอาบน้ำกินข้าวแล้วจะได้ไปขอ” 

“มะ...ไม่ต้องค่ะ” นวินดาละล่ำละลัก ไม่อยากให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม “ดะ...เดี๋ยวน้ำผึ้งคุยกับแม่เอง”

เด็กสาวไม่แน่ใจเลยว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น บางทีคงเพราะอยากมีเวลาตั้งหลักทบทวนอะไรอีกสักนิด ซึ่งชายหนุ่มเองก็ดูเหมือนจะอ่านท่าทีหล่อนออก

                “งั้นพรุ่งนี้เก้าโมงเช้าฉันมารับที่บ้าน เราจะไปจดทะเบียนกันที่อำเภอ”

                “พะ...พรุ่งนี้เลยเหรอคะ”

                “เรื่องแบบนี้จะรอช้าได้ไง...” เขตพนาไม่พูดเปล่า แต่ยังพยักพเยิดไปยังเด็กชายร่างท้วมที่นั่งอยู่บนพื้นชานใกล้ๆ พาไล “ลูกสมุนของเธอร้องแรกแหกกระเชอไปตามพ่อแม่ฉันมาแต่เช้าแบบนี้ ป่านนี้ชาวบ้านลือกันทั่วแล้วว่าเมื่อคืนฉันอยู่ที่นี่ทั้งคืน หรือเธอชอบตกเป็นขี้ปากคนอื่นนานๆ”

นวินดาสะท้อนใจวาบ ไม่อยากเชื่อว่าเขาคือคนที่กำลังจะถูกจับแต่งงานจริงๆ ทำไมถึงยังมีแก่ใจห่วงชื่อเสียงของหล่อนแบบนี้ แต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะตอบรับหรือปฏิเสธ เขตพนาก็หันไปหารือกับบุพการีที่ได้แต่นั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่บนโซฟาไม้

“พ่อกับแม่คงไม่ขัดข้องอะไรนะครับ ถ้าผมจะมีเมียเด็ก” มุมปากของเขตพนาโค้งขึ้นเล็กน้อย

เสี้ยวนาทีนั้นเด็กสาวรู้สึกเหมือนสะดุดหลุมพรางตัวเองจนหัวทิ่ม แค่ได้ยินเขาเรียกว่า ‘เมีย’ เหตุการณ์ตอนติดอยู่ใต้ผ้านวมผืนเดียวกันก็วนเวียนมาในสมอง และทำให้หล่อนร้อนๆ หนาวๆ ราวกับจะเป็นไข้

หากจดทะเบียนสมรสจริงๆ เมื่อไร...คงมิวายถูกรวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัว!

 

ว่ากันว่าพิษของผึ้งอยู่ที่เหล็กใน แต่หากไม่ใช่นางพญาผึ้งจริงๆ พอฝังเหล็กในลงบนตัวคู่ต่อสู้ไม่นาน ผึ้งน้อยตัวนั้นจะท้องแตกตาย...

นวินดาเองก็คงไม่ต่างอะไรจากผึ้งเหล่านั้น เพราะนอกจากพิษของหล่อนจะทำอันตรายหมีตัวโตๆ ไม่ได้แล้ว ยังต้องตายสนิทเพราะการปล่อยพิษของตัวเองเสียอีก

                เขตพนากลับมาอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานในฟาร์ม เขายิ้มอย่างขบขันขณะยื่นมือหนาไปปิดฝักบัว

แน่ละ! ตอนแรกเขาอาจจะโกรธที่ถูกเด็กสาวล่อลวงไปแบล็กเมล ทั้งยังแกล้งแอ๊บใสประหนึ่งว่าตัวเองเป็นนางเอกสายแบ๊ว แต่เอาเข้าจริงเขากลับไม่ได้รังเกียจที่จะต้องรับผิดชอบหล่อนด้วยการแต่งงาน

บางทีคงเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมานานมากแล้ว...

ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูผืนหนามาเช็ดเนื้อเช็ดตัว สมองเริ่มนึกถึงครั้งแรกที่เจอกันเมื่อราวๆ ห้าปีก่อน

ตอนนั้นหล่อนยังเป็นแค่เด็กนักเรียน ม. ๒ วิ่งตามลูกสุนัขสีน้ำตาลทองที่ซุกซนเข้ามาในฟาร์มของเขา เนื่องจากเจ้าพอเมอเรเนียนตัวน้อยๆ กำลังติดพันพูเดิลสาวสวยที่คนงานเลี้ยงไว้ และมักชอบแอบเจ้านายมุดรั้วเข้ามาหาสาวทุกเย็น ซึ่งเขาเข้ามาตรวจงานทีไรก็เห็นเด็กนักเรียนวิ่งเข้ามาตามหาพอมฯ หนุ่มเสมอ

                วันหนึ่ง ขณะกำลังนั่งตรวจบัญชีอยู่ในสำนักงานเพียงลำพัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางของสุนัขแว่วมากระทบโสตประสาท ความตกใจทำให้เขตพนารีบลุกไปมองที่ริมหน้าต่าง และเห็นเจ้าพอเมอเรเนียนนอนนิ่งอยู่หน้ารถกระบะขนผักตรงกลางถนน โดยที่เด็กนักเรียนยืนตาค้างอยู่ข้างทาง

ร่างแน่งน้อยพยายามรวบรวมสติก้าวไปนั่งลงข้างๆ สุนัข ส่วนคนงานที่ขับรถชนก็ได้แต่ยืนอึ้ง เขาจึงไม่รอช้าที่จะตรงไปยังที่เกิดเหตุเพื่อช่วยสำรวจอาการเบื้องต้น

‘พูห์...’ นวินดาในวัยสิบสามปีเอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น ยื่นมือไปหาเจ้าขนฟูที่กำลังลุกขึ้นกระเสือกกระสนเข้าหา แต่ไม่ทันไรก็เอนกายล้มแผละ ‘ฮือ...อย่าเป็นอะไรนะ’

‘มันน่าจะขาหัก’ เขตพนาสังเกตว่าขาหลังของเจ้าตัวเล็กเหมือนจะมีปัญหา อีกทั้งเนื้อตัวยังมีเลือดเปรอะเปื้อนตามขน ‘เดี๋ยวฉันไปเอารถมารับ เธออุ้มมันได้ไหม’

ประโยคหลังเขตพนาเงยหน้าถามเด็กหญิงผมเปียที่มีหยาดน้ำใสๆ ขังคลอเต็มหน่วยตา ซึ่งพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะประคองสุนัขตัวโปรดตามมาขึ้นรถยนต์ส่วนตัวของเขาไปยังคลินิกรักษาสัตว์ที่ใกล้ที่สุด

หลังส่งถึงมือสัตวแพทย์ไม่นาน ผลเอกซเรย์ที่ออกมาก็พอจะทำให้เริ่มใจชื้นได้บ้าง 

‘กระดูกขาหลังหักข้างหนึ่งนะครับ แต่ว่าไม่ถึงกับแตกเป็นชิ้นเล็กๆ เดี๋ยวเข้าเฝือกให้ยาแก้ปวด เสริมแคลเซียม กระดูกก็จะค่อยๆ เชื่อมติดกันได้เอง’ สัตวแพทย์ยิ้มน้อยๆ

ถึงจะได้ยินอย่างนั้น แต่เด็กนักเรียนก็ยังน้ำตาคลอเบ้า

‘แล้วพูห์จะเดินได้เป็นปรกติไหมคะ’

‘พูห์อายุยังน้อย การซ่อมแซมของกระดูกจะหายเร็วครับ แต่ต้องรอดูว่ากินได้ อุจจาระได้ ปัสสาวะได้ หรือเปล่า ถ้ากินเก่ง ขับถ่ายเองได้ เรื่องขาก็ไม่น่าห่วงเท่าไร’

หลังจากผู้ช่วยสัตวแพทย์ทำแผลให้เจ้าขนฟูเรียบร้อย นวินดาก็กลับออกมาจากคลินิกรักษาสัตว์พร้อมเขา ส่วนเจ้าพูห์ยังต้องพักรอดูอาการที่คลินิกต่อไปสักพัก

‘ขอบคุณนะคะ คุณ...เอ่อ...’ นวินดาไม่แน่ใจว่าเขาเป็นใคร ผิดกับเขาที่ได้ยินคนงานพูดกันว่าหล่อนเป็นหลานสาวคุณนายเครือวัลย์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงไม่เคยว่าอะไรที่เด็กนักเรียนเข้ามาเล่นในฟาร์ม แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยของเจ้าพอมฯ หนุ่ม

‘คราวหน้าคราวหลังก็ดูหมาให้ดีๆ คิดจะเอามาเลี้ยงแล้วก็ต้องเอาใจใส่ด้วย ไม่ใช่ปล่อยมาวิ่งเพ่นพ่านกลางถนนง่ายๆ ถึงจะเป็นแค่ถนนในฟาร์ม แต่ถ้ารถมาเร็วกว่านี้...เจ้าพูห์ของเธออาจไม่โชคดีอีกก็ได้’ ดอกเตอร์หนุ่มตักเตือนในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่า หรืออาจให้คำจำกัดความได้ว่า ‘หวังดี’ แต่ในสายตาของเด็กๆ วัยนี้ ความหวังดีของผู้ใหญ่ส่วนมากมักถูกให้คำจำกัดความว่ากำลัง ‘ตำหนิ’ 

‘ก็ไม่ได้ปล่อยเสียหน่อย น้ำผึ้งตามมาดูแล้วไง ใครจะคิดล่ะคะว่าจู่ๆ จะมีอุบัติเหตุ’ เด็กหญิงวัยสิบสามแจกแจงเหตุผล หลุบตาลงนิดหนึ่งเพราะแววตาคมดุของเขากำลังทำให้รู้สึกเหมือนหล่อนเถียง

‘ฉันรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ถ้าเธอดูมันให้ดีๆ กว่านี้ มันก็คงไม่เกิดอุบัติเหตุ จริงไหม’ เป็นการย้อนถามที่ทำเอาเด็กนักเรียนอดหน้าเหวอไม่ได้ นึกอยากโต้แย้งว่าหล่อนดูแลพูห์อย่างดีแล้ว แต่เขาก็ดักคอเสียก่อน ‘อุบัติเหตุอาจจะควบคุมไม่ได้ แต่คนเป็นเจ้าของย่อมต้องรู้ว่าหมาตัวเองนิสัยเป็นยังไง หรือถ้ายังไม่รู้ก็ต้องหัดสังเกต ถ้าเห็นพูห์ชอบวิ่งไม่ดูทาง เวลาใกล้ถึงถนนก็ควรจะอุ้ม หรือไม่ก็ใช้สายจูง ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะที่พูห์จะมาเล่นกับหมาตัวอื่นในฟาร์ม แต่แค่ไม่อยากเห็นใครร้องไห้งอแงตอนมันตายต่อหน้าก็เท่านั้น’

นวินดาหน้าคว่ำ ไม่ชอบเอาเสียเลยที่จู่ๆ ก็ต้องมาถูกคนแปลกหน้าดุ แต่เวลาเดียวกันก็ยอมรับว่าหล่อนประมาทเองที่ปล่อยให้พูห์วิ่งข้ามถนนในฟาร์ม เพียงเพราะเห็นว่าไม่ค่อยมีรถยนต์แล่นผ่าน

‘ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตพูห์เอาไว้’

ดอกเตอร์หนุ่มยิ้มน้อยๆ ดวงตาฉายแววเอ็นดู รู้ว่าเด็กอาจกำลังแอบงอน พอเหลือบเห็นร้านขายไอศกรีมใกล้ๆ จึงนึกบางอย่างขึ้นได้

อย่างไรเสียการผูกมิตรกันไว้ก็น่าจะช่วยให้หล่อนเก็บเอาคำพูดเขากลับไปคิดมากกว่าจะปล่อยให้อคติบังตา

‘กินไอติมไหม’

เด็กหญิงผมเปียเงยหน้าขึ้นสบตา ก่อนจะมองตามการพยักพเยิดของเขาไปยังร้านไอศกรีมมะพร้าวอ่อน ท่าทางดูสนอกสนใจไม่น้อย แต่ไม่นานกลับหันมาส่ายหน้าปฏิเสธ เขตพนาจึงถือวิสาสะเดินไปสั่งไอศกรีมใส่กะลามะพร้าวมาให้ 

‘จะได้อารมณ์ดี’ คนอายุมากกว่ายิ้มละไม เชื่อว่าหล่อนไม่ได้รังเกียจไอศกรีม เพราะจำได้ว่าเวลาแวะไปเยี่ยมคุณนายเครือวัลย์ในสวนมะม่วง มีหลายครั้งได้ยินคุณนายพูดว่าหลานสาวขี่จักรยานไปกินไอศกรีมร้านโปรด ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ นั่นละ

นวินดาโปรดปรานไอศกรีมเป็นที่หนึ่ง แม้ไม่แน่ใจว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาไม้ไหน แต่พอนึกถึงคำสอนของย่าที่ว่าเวลาผู้ใหญ่ให้ของไม่ควรปฏิเสธ หล่อนจึงกระพุ่มมือไหว้

‘ขอบคุณค่ะ’ เด็กหญิงรับกะลามะพร้าวบรรจุไอศกรีมสีขาวข้นท่าทางหวานมันมาถือเอาไว้ ทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขายังอยู่ตรงหน้า หล่อนคงจะหาที่นั่งชิมแล้วแน่นอน

‘ขึ้นรถสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง’ เป็นคำชวนที่ทำให้นวินดาได้แต่เม้มปากน้อยๆ ประกายตาไหววูบอย่างลังเลใจ ชายหนุ่มจึงอดขำนิดๆ ไม่ได้ที่หล่อนเพิ่งจะระแวงกลัวคนแปลกหน้าตอนนี้ ‘ขามายังมาได้ ขากลับจะมาระแวงอะไร ฉันไม่พาเธอไปขายหรอก’

ดอกเตอร์หนุ่มว่าแล้วก็หันไปหาพ่อค้าร้านไอศกรีมที่พอจะคุ้นหน้าค่าตากันอยู่

‘ถ้าพรุ่งนี้มีข่าวเด็กคนนี้หาย รบกวนช่วยแจ้งความจับผมด้วยนะครับลุง’

‘ได้ครับ คุณหมี’ พ่อค้าหัวเราะร่วนรับมุก รู้ดีว่าเขตพนาไม่มีทางทำเรื่องร้ายกาจแบบนั้น

นวินดามีสีหน้าอึ้งๆ ไป เพราะชื่อของเขาตรงกับชื่อดอกเตอร์เจ้าของฟาร์มที่ย่ามักเอ่ยชมให้ฟังบ่อยๆ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา หล่อนมโนภาพลุงดอกเตอร์เป็นคนแก่วัยหกสิบอัป

คุณพระช่วย! เขายังดูหนุ่มมากเลย

‘คราวนี้ไปกันได้หรือยัง’ ดอกเตอร์หนุ่มในวัยสามสิบปีชักชวนอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นหลานสาวคุณนายเครือวัลย์ยังเอาแต่ยืนตะลึงจึงนึกอยากคว้ามือให้ตามไปที่รถ ติดเสียก็แต่ว่าเขาไม่ได้สนิทกับหล่อน อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นเพศตรงข้าม หล่อนกำลังเริ่มโตเป็นสาว การจะจับมือถือแขนคงไม่เหมาะสม

เมื่อเหลือบเห็นโบสีขาวที่หล่อนใช้ผูกหางเปียสองข้างไว้เพียงหลวมๆ เขตพนาจึงตัดสินใจดึงโบผูกผมของหล่อนมาแทน เล่นเอานวินดาเผยอปากอย่างตกตะลึง เพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับหล่อนมาก่อน

‘เดี๋ยวคืนให้ตอนถึงบ้าน’ เขตพนายิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินนำไปที่รถ นวินดาจึงไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าตามเขาไปติดๆ

ต่อจากวันนั้นเขาก็แวะไปดูพูห์ที่คลินิกบ้าง ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกับหล่อนมากขึ้น และได้รู้ว่าเด็กนักเรียนที่เคยคิดว่าหงิมๆ ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนอย่างที่คิดเลย เพราะหล่อนมีความกบฏเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งยังซุกซนจนทำให้ผู้เป็นย่าปวดหัวบ่อยๆ บางครั้งก็ลามมาทำให้เขาเดือดร้อนด้วย กระนั้นเขาก็ยังเอ็นดูหล่อนเหมือนน้องนุ่ง

กระทั่งช่วงที่นวินดาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้นก็ทำให้เขาค้นพบว่าตัวเองมีบางอย่างเปลี่ยนไป...

เช้าวันนั้นนวินดาเพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันรถกระบะพุ่งทะลุรั้วมาถึงแปลงแคร์รอตหน้าสำนักงานฟาร์มของเขา กว่าหล่อนจะเบรกได้ก็เล่นเอาแคร์รอตที่กำลังงอกงามตายเรียบ

แน่ละ! เขาไม่ได้ห่วงสวัสดิภาพของผักมากไปกว่าเด็กสาว แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังรู้สึกผิดจนมาช่วยคนงานปลูกแคร์รอตใหม่โดยไม่ต้องร้องขอ พอเห็นเขายืนมองอย่างไม่คิดไม่ฝัน นวินดาก็โบกไม้โบกมือทักทายอย่างสดใส ซึ่งเขาไม่แน่ใจเลยว่าหล่อนยิ้มสวยขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่แน่ๆ คือเขารู้สึกเหมือนต้องมนตร์สะกดในตอนที่ร่างแน่งน้อยก้าวมาหยุดตรงหน้า

‘น้ำผึ้งอยากทำดีไถ่โทษ ต่อไปนี้น้ำผึ้งจะมาช่วยลุงปลูกแคร์รอตทุกวันจนกว่ามันจะโตเหมือนเดิมนะคะ’ เด็กสาวไม่พูดเปล่า แต่ยังยื่นนิ้วก้อยมาขอสัญญากับเขา และทันทีที่ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับหล่อน ดอกเตอร์หนุ่มในวัยสามสิบสองก็รู้สึกว่าหัวใจดวงโตๆ เต้นแรงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

นับตั้งแต่วันนั้น...เขตพนาพบว่าตัวเองมักจะสอดส่ายสายตามองหาเด็กสาวบ่อยๆ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร ติก็แต่เครื่องแบบที่นวินดาสวม

หล่อนยังเป็นนักเรียน ม. ๔ อยู่เลย!

ความรู้สึกเหมือนเป็นเฒ่าหัวงูทำให้ดอกเตอร์หนุ่มพยายามตัดใจหลายครั้ง แต่การต้องเจอกันบ่อยๆ ก็ทำให้ความรู้สึกมีแต่จะลุกลามหนักขึ้น และไม่อาจทำอะไรได้มากกว่ารอคอยเวลาที่เหมาะสม หากนวินดาไม่เจอใครที่ถูกใจไปเสียก่อน วันใดที่หล่อนโตพอ เขาจะไม่ห้ามใจตัวเองแน่นอน 

                นึกไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นหล่อนที่มาขอเขาแต่งงานดื้อๆ!

ตอนนั้นเขาคิดว่าหล่อนแกล้งป่วนไปตามประสา ถึงได้ไล่หล่อนไปให้พ้นๆ เพราะกลัวใจตัวเองจะเผลอตอบตกลงง่ายดาย แม้จะตงิดใจลึกๆ ว่าหล่อนอาจมีปัญหาอะไร และตั้งใจจะสืบเรื่องนี้หลังจบงานครบรอบสิบปีฟาร์มเพาะรัก แต่ในเมื่อหล่อนชิงวางแผนจับเขาแต่งงานเสียก่อน มีหรือที่ดอกเตอร์หนุ่มจะไม่รีบตะครุบโอกาสทองนี้ไว้

                มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปนิด ตะกละตะกลามไปหน่อย เพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร แต่อย่างน้อยๆ การที่หล่อนเลือกเขาเป็นสามีย่อมแปลว่าไว้ใจ...

แล้วเหตุใดเขาถึงต้องปฏิเสธเล่า!

เขตพนายิ้มน้อยๆ พลางเลือกชุดลำลองสำหรับใส่ไปทำงานในฟาร์ม ก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกนิด แล้วตรงไปยังเรือนร้านอาหารที่มีทางเดินเชื่อมต่อจากเรือนพักอาศัย

ทันใดนั้น สมาชิกในครอบครัวที่นั่งรออยู่ก่อนก็ทำเอาสองเท้าชะงัก ดวงตาทุกคู่มองเขาอย่างพร้อมเพรียงประหนึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ เล่นเอาคนมีชนักติดหลังรู้สึกเหมือนเดินหลงเข้ามาในศาลไคฟงไม่มีผิด

‘เหว่...หวู่...’

เสียงเปิดศาลแบบในละครโทรทัศน์ดังแว่วมาในหัวสมอง ก่อนภาพในจินตนาการจะปรากฏร่างบิดาเขาในชุดเปาบุ้นจิ้นก้าวไปนั่งบนบัลลังก์เตรียมการพิพากษา โดยมีมารดายืนเคียงข้างเป็นที่ปรึกษาแบบกงซุนเช่อ ส่วนน้องสาวของเขารับบทจั่นเจา แล้วไหนจะน้องชายกับน้องเขยที่พร้อมใจกันก้าวมาจับไหล่เขาให้นั่งคุกเข่าประหนึ่งเป็นหวังเฉากับหม่าฮั่นอีกด้วย

ตายละวา! มีเมียเด็กเพิ่งพ้นรั้วโรงเรียนมัธยมหมาดๆ แบบนี้ เห็นทีคงหนีไม่พ้นเครื่องประหารหัวสุนัขแน่นอน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น