7

ตอนที่ 7


มีเมียเด็ก

 

“เรื่องมันเป็นมายังไง” พนัสเปิดฉากไต่สวน ยังคงตะขิดตะขวงใจอยู่มากที่จู่ๆ ก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ครั้นจะสอบปากคำทันทีที่กลับมาถึงเรือนกุมาริกา ลูกชายคนโตก็หลบฉากไปอาบน้ำในบ้านเสียก่อน

“ตอนอยู่บ้านน้ำผึ้ง ผมก็อธิบายไปหมดแล้วนี่ครับ”

“ยัง” คนเป็นมารดาแย้ง ก้าวมาจี้ถามอย่างตรงประเด็นชนิดไม่เปิดช่องทางให้แถง่ายๆ “หมียังไม่ได้อธิบายเลยว่าไปทำแบบนั้นกับหนูผึ้งได้ยังไง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าน้องยังเด็ก และเพิ่งจะเสียย่าไปไม่ทันข้ามเดือน”

“ที่สำคัญ...พ่อไม่อยากเชื่อว่าลูกชายพ่อจะเห็นแก่ได้ถึงขนาดไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเอง”

เขตพนานิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะโกหกพ่อกับแม่ไม่เคยได้เลยจริงๆ เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยมีประวัติอื้อฉาว ไม่มีทางเสียละที่จู่ๆ จะเผลอหน้ามืดไปกระทำชำเราเด็ก แต่ขืนสารภาพทุกอย่างตามตรง นวินดาก็คงมีแต่จะเสียหายที่เล่นอะไรพิเรนทร์

ไหนๆ หล่อนก็กำลังจะแต่งงานเป็นภรรยาเขาแล้ว เขาไม่อยากให้บิดามารดามองภรรยาในแง่ลบ

“พ่อกับแม่ก็เอ็นดูน้ำผึ้งอยู่แล้วนี่ครับ วันก่อนก็เพิ่งบ่นผมหยกๆ ว่าอยากให้แต่งงานมีเมียเสียที พอมีให้จริงๆ ก็มาจับผิดอะไรกันอีก เอาใจยากนะเนี่ย” เขตพนาแกล้งสัพยอกกลบเกลื่อน แต่นอกจากบุพการีจะไม่ขำด้วยแล้วยังนิ่วหน้าเสียอีก

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง” 

“ใช่ค่ะ” กุมาริกาไม่รอช้าที่จะช่วยสำทับ “พี่หมีสารภาพมาตรงๆ ดีกว่าว่าไปอยู่ในห้องน้องผึ้งได้ไง หรือว่าแอบไปจีบกันตอนไหน ทำไมมดไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน”

“ชอบก็บอกว่าชอบครับ แอบจิ้นน้องเขามากี่ปีก็ว่ากันไป” เขตชลดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยสนใจอยากหาคำตอบเรื่องนี้เท่าไร ถึงได้นั่งกอดกีตาร์เกาเพลงโปรดเบาๆ อย่างสบายใจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คืออ่านท่าทีเขาออกแต่แรกอยู่แล้ว

“เมื่อคืนแกบอกว่ามีนัดกับสาวๆ ไม่ใช่หรือไง ทำไมยังมาเสนอหน้าอยู่อีก”

“ยกเลิกนัดไปแล้ว เตรียมซ้อมเพลงรักหวานๆ ไว้เล่นในงานแต่งพี่หมีดีกว่า” คนเป็นน้องชายยักคิ้ว ปลายนิ้วเริ่มบรรเลงเพลง “มีเมียเด็ก” ขึ้นมาอย่างสุนทรีย์

 

มีเมียเด็ก...ต้องหมั่นตรวจเช็กร่างกาย

ไม่ต้องนึกอาย เป็นลูกผู้ชายต้องกล้า

อย่าไปตะแบงในเมื่อเรี่ยวแรง...โรยรา

ร่างกายไม่ไหวก็ต้องอาศัย...โดปยา

มีคู่นอนอ่อนกว่า ต้องหายา...บำรุง!

 

เลวจริง! เขาละอยากตัดพี่ตัดน้องกับมันก็วันนี้แหละ

“พอใช้ได้ไหม คุณชาย” เขตชลมิวายหันไปหาแนวร่วม

“ครับ” หม่อมราชวงศ์นพคุณที่นั่งอยู่ข้างๆ ภรรยาตอบรับด้วยไมตรีจิต

 “ท่าทางจะอยากกลับบ้านคนเดียว” เขตพนาเหน็บ สีหน้าราบเรียบแต่แววตาขุ่นเคืองใจนิดๆ ที่น้องเขยถือโอกาสตีเนียนมาเข้าพวกกับน้องชายของเขา

“อ้าว...” หม่อมราชวงศ์นพคุณหัวเราะน้อยๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าออกความเห็นทีไรก็งานเข้าตลอด “ผมก็แค่เห็นด้วยว่าที่ทุกคนถามก็เพราะเป็นห่วง เห็นน้องผึ้งดูกลัวๆ ตอนอยู่บ้านสวน ถ้าพี่หมีชอบน้องผึ้งจริงๆ ทุกคนจะได้สบายใจว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกันไงครับ”

“พูดแบบนี้คุณชายหาว่าผมรังแกเด็กสินะ”  

“เปล่าหรอกค่า...” กุมาริการีบออกโรงปกป้องสามี เพราะไม่อยากให้พี่ใหญ่เข้าใจผิดไปไกล ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นเดินไปยืนกอดอกคาดคั้นใกล้ๆ “พวกเราก็แค่อยากได้ยินความจริงมากกว่า”

หญิงสาวจ้องดวงตากลมโตมาที่เขาเป๋ง เขตพนาจึงยิ่งมั่นใจเกินร้อยว่าน้องสาวยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่เขากับนวินดามีความสัมพันธ์กันแล้ว เพียงแต่คราบเลือดบนเตียงอาจทำให้ไขว้เขว เลยอยากสอบปากคำให้รู้แจ้งกันไป 

“ความจริงก็คือ...พี่กับน้ำผึ้งอยู่ด้วยกันทั้งคืนแล้ว ใครเอาไปพูดต่อก็มีแต่จะเสียหาย หรือทุกคนอยากให้ชาวบ้านลือกันว่าลูกชายบ้านนี้เป็นพวกไม่มีความรับผิดชอบ” ชายหนุ่มบ่ายเบี่ยงด้วยการแสร้งทำเป็นย้อนถาม แต่กลับไม่ได้ต้องการคำตอบสักเท่าไรนัก เพราะทันทีที่พูดจบเขากลับหันไปหาพนักงานเสิร์ฟสาวที่ยืนแอบฟังอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าครัว “เดี๋ยวเอาปิ่นโตไปส่งผมที่ฟาร์มด้วยนะ”

โดยไม่รอการตอบรับ ร่างสูงก็ก้าวลงบันไดเรือนไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้กุมาริกาได้แต่เผยอปากอย่างเหวอๆ

“เจ้าหมีนะเจ้าหมี...ก่อเรื่องขนาดนี้แล้วยังจะมีหน้ามาชิ่งอีก” มุลิลาถอนหายใจเฮือก แต่เวลาเดียวกันก็รู้ดีว่าคนอย่างเขตพนาหากไม่อยากพูดเสียอย่าง ต่อให้ช่วยกันเอาคีมมาง้างปากก็ไม่มีทางล้วงความลับได้ ซึ่งจริงๆ แล้วหล่อนก็ไม่ได้รังเกียจในตัวลูกสะใภ้ ออกจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำไป เพียงแค่อยากรู้มากกว่าว่าอะไรคือเหตุผลแท้จริงของการแต่งงานครั้งนี้

หวังก็แต่ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาเท่านั้น

 

ตายๆๆ ทำอย่างไรดีนะ!

ครอบครัวของเขตพนากลับออกไปนานแล้ว แต่เด็กสาวที่กำลังจะกลายเป็น ‘เจ้าสาว’ กลับยังคงเดินไปเดินมาอยู่ที่ชานเรือนอย่างคิดไม่ตก ไม่อยากเชื่อเลยว่าดอกเตอร์หนุ่มท่าทางตะกละตะกลามเมื่อเช้าคือคนเดียวกับที่หล่อนรู้จักมาตลอดหลายปีจริงๆ

ตั้งแต่วันแรกที่พบหน้า...นวินดาไม่เคยเห็นเขาในแง่มุมนี้มาก่อน ภาพเขาในความทรงจำดูเป็นสุภาพบุรุษ ใจดี อ่อนโยน ถึงบางครั้งจะดุไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่หล่อนเผชิญกับปัญหา เขาก็มักจะเป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามาอยู่ตรงหน้าเสมอ

ช่วงที่หล่อนอยู่ ม. ๒ และเพิ่งได้รับอนุญาตจากคุณย่าให้เอาลูกหมามาเลี้ยงใหม่ๆ หล่อนเคยประมาทจนทำให้ลูกหมาเกือบถูกรถชนตาย แต่ก็รอดมาได้เพราะความช่วยเหลือของเขา ถือเป็นครั้งแรกที่รู้จักและอยากทำอะไรตอบแทนเขาบ้าง

พอรู้ว่าเขาชอบกินยำไข่มดแดงเป็นพิเศษ ปิดเทอมฤดูร้อนปีนั้นหล่อนจึงชวนบื้อเอาไม้ไปแหย่รังมดแดงในสวนมะม่วงด้วยกัน หมายจะทำของโปรดไปฝากเขาที่สำนักงาน แต่นอกจากไม่ได้ไข่แล้ว ยังถูกมดแดงรุมกัดจนต้องกระโดดลงคลองกันจ้าละหวั่น เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหล่อนเกิดเป็นตะคริวกะทันหัน บื้อเลยรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากดอกเตอร์หนุ่มที่แวะมาคุยกับย่าพอดี นับเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขามีพระคุณกับหล่อน

พอขึ้น ม. ๓ นวินดาไม่ค่อยได้ไปซุกซนใกล้ๆ เขานัก เนื่องจากฝันอยากเข้าเรียนสายวิทย์ให้ได้ ช่วงใกล้สอบปลายภาคจึงหลบไปซุ่มอ่านหนังสือบนกิ่งต้นจามจุรีท้ายสวน นึกไม่ถึงว่าจะเผลอหลับจนร่วง คิดว่าตัวเองจะหัวร้างข้างแตกอยู่แล้ว แต่สายเอี๊ยมกลับเกี่ยวกิ่งไม้ขนาดใหญ่ไว้ได้อย่างหวุดหวิด

ตอนนั้นเด็กสาวหาทางลงจากต้นไม้ไม่ได้ ไม่ว่าพยายามร้องหาคนช่วยแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน สุดท้ายเลยได้แต่ร้องไห้จนตาบวมตุ่ย กระทั่งฟ้ามืดโน่นละ ย่าถึงให้คนงานช่วยกันออกตามหา แล้วคนที่เจอหล่อนในสภาพห้อยโตงเตงอยู่กับกิ่งไม้ก็ไม่ใช่ใครอื่น

เขตพนา!

‘เป็นคนดีๆ ไม่ชอบหรือไง ถึงได้อยากจะเป็นนารีผล’ เป็นคำสัพยอกที่เขาใช้แกล้งล้อหล่อนอยู่พักใหญ่ทีเดียว แต่ถึงจะอย่างนั้นเด็กสาวก็รู้ดีว่าเขามีน้ำใจกับหล่อนแค่ไหน

เข้า ม. ๔ ได้ หล่อนเลยพยายามสงบเสงี่ยมมากขึ้น แต่ช่วงนั้นเริ่มหัดขับรถใหม่ๆ และคิดว่าตัวเองขับได้คล่องแล้ว วันหนึ่งเห็นรถย่าจอดอยู่เฉยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเอาออกไปหัดขับคนเดียวในสวน ทั้งยังลองเร่งความเร็วอย่างคึกคะนองตามประสาวัยรุ่น นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ พูห์จะวิ่งตัดหน้าแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ทั้งยังลากแม่พูเดิลสาวฮอตที่กำลังติดเป้งกันออกมากลางถนนด้วย

‘กรี๊ดดด!’

ความตกใจทำให้หล่อนหักพวงมาลัยหลบเข้าข้างทางและเกือบจะชนต้นมะม่วงอย่างจัง ดีว่าหักหลบทันอีกครั้ง แต่เคราะห์ร้ายกลับไปตกที่อยู่เจ้าของฟาร์มข้างๆ เพราะหล่อนเหยียบเบรกไม่ทัน รถเลยเสยเข้ากับรั้วไม้ระแนงสีขาวที่เกือบจะพังแหล่มิพังแหล่อย่างแรง

โครม!

ในที่สุดล้อรถก็ไปหยุดเอากลางแปลงแคร์รอตของเขา เด็กสาวใจหายใจคว่ำ คิดว่าตัวเองอาจถูกตำหนิชุดใหญ่ที่ทำแคร์รอตสวยๆ ตายเรียบ ที่ไหนได้...เขากลับถามไถ่สวัสดิภาพของหล่อนอย่างห่วงใยจนอดไม่ได้ที่จะขอทำดีไถ่โทษด้วยการไปช่วยปลูกแคร์รอตทดแทน

หรือตลอดหลายปีที่ผ่านมา...หล่อนจะยังไม่รู้จักเขาดีพอ?

เหตุการณ์ที่ถูกหมียักษ์ตะปบใต้ผ้านวมเมื่อเช้าทำเอานวินดาอยากปฏิเสธการแต่งงานให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็รู้ดีว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้หล่อนพ้นจากอำนาจปกครองของมารดาได้

                “พี่ผึ้งๆ”

                เสียงเรียกของสมุนน้อยไม่ได้อยู่ในความสนใจนัก ร่างเล็กบอบบางยังคงเดินกลับไปกลับมาอย่างคนใช้ความคิด ในที่สุดคนมองตามจนตาลายก็ถอนหายใจเฮือก ตัดสินใจตะโกนเรียกเสียงดัง

                “ไอ้พี่ผึ้งโว้ย!”

                นวินดาสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองเด็กชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพาไลอย่างตกตะลึง ก่อนจะเริ่มตาเขียวนิดๆ ที่อีกฝ่ายพูดจาไม่น่ารัก

“เดี๋ยวเถอะ เมื่อกี้เรียกใครว่าไอ้”

                “ขอโทษคร้าบ” บื้อยกมือไหว้พร้อมยิ้มแห้งๆ อย่างรู้ตัว “แต่บื้อเรียกพี่ผึ้งตั้งนานแล้ว พี่ผึ้งไม่ได้ยินเสียทีนี่นา”

                นวินดานิ่ง ยอมรับว่าหล่อนเองก็จมอยู่ในห้วงความคิดส่วนตัวจริงๆ 

                “แล้วบื้อเรียกพี่ทำไม” ถามไม่ทันขาดคำ ร่างจ้ำม่ำของเด็กชายก็ขยับกายลุกลงมาจากพาไลทันที           

“บื้ออยากรู้ว่า...พี่ผึ้งกับลุงหมี ‘โจ๊ะพรึมๆ’ กันแล้วจริงเหรอ”

เป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ทำเอานวินดาเหวอ กะพริบตาปริบๆ อย่างเหลือเชื่อพร้อมกับสองแก้มแดงเรื่อขึ้นมาทันที

                “บ้า!” หล่อนตาขุ่นตาเขียว ก่อนจะย้อนถามเด็กชายเสียงแข็ง “พูดแบบนี้อยากโดนต่อยใช่ไหม”

                “เอ้า!” คนตัวเตี้ยกว่ารีบถอยหลบกำปั้นที่ง้างขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้รู้ว่าลูกพี่ไม่เคยต่อยจริงๆ แต่อย่างไรเสียก็ขอปลอดภัยไว้ก่อน “ถ้ายังไม่ได้โจ๊ะพรึมๆ ทำไมจู่ๆ ลุงหมีถึงบอกทุกคนแบบนั้น แถมยังเร่งรัดจะแต่งงานกับพี่พรุ่งนี้อีก”

                “ก็นั่นน่ะสิ” นวินดาถอนหายใจนิดๆ พลางลดมือที่ชูกำปั้นลงอย่างคิดไม่ตก

ตอนแรกหล่อนมั่นใจว่าเขตพนาจะต้องพยายามอธิบายความจริงต่อหน้าทุกคน หากเป็นอย่างนั้นก็คงไม่ยากที่จะบีบน้ำตาเรียกคะแนนความสงสาร เพราะหล่อนวางบทเอาไว้หมดแล้ว แต่การที่เขาเล่นนอกบทแบบนี้...เด็กสาวไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะรับมือไหว

“ลุงหมีจับได้แต่แรกแล้วว่าเป็นแผน ตอนแรกก็เหมือนจะโกรธ แต่พอทุกคนมาถึงจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเกิดเฮี้ยนอะไร ถึงได้เปลี่ยนใจบอกทุกคนไปอย่างนั้น”

“เอ...” บื้อยกมือเกาคางด้วยท่าทางครุ่นคิด “หรือจริงๆ แล้วลุงหมีจะแอบชอบพี่อยู่ เลยถือโอกาสนี้ตะครุบพี่เอาไว้”

“เป็นไปไม่ได้อ้ะ” นวินดาปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ลุงหมีชอบไล่พี่ไปเล่นไกลๆ พี่ว่าเขาอาจจะอยากแกล้งอะไรพี่มากกว่า”

ต่อให้ตอนเด็กๆ เขาจะเคยช่วยหล่อนเอาไว้หลายครั้ง แต่เวลาทำขนมอร่อยๆ ไปฝากที่สำนักงาน เขามักจะขอบคุณสั้นๆ โดยไม่คุยเล่นอะไร แล้วไล่กลับบ้านอยู่เรื่อย

“หรือพี่จะไม่แต่งงานแล้วดี”

                “ไม่ทันแล้วม้าง...” เด็กชายบื้อทอดเสียง ดวงตาคมๆ ที่มองหล่อนเหมือนอยากตำหนิกลายๆ ว่าคิดตื้นเขิน “ลุงหมีท่าทางเอาจริงขนาดนั้น ขืนพี่ผึ้งไม่แต่ง พรุ่งนี้ลุงบุกบ้านแม่พี่แน่ๆ อีกอย่าง...พี่จะยอมไปอยู่กรุงเทพฯ กับแม่งั้นเหรอ”

                นวินดายืนนิ่ง ยอมรับว่าการไปอยู่กรุงเทพฯ เป็นตัวเลือกสุดท้ายในความคิดของหล่อน

ตลอดสิบสามปีที่ผ่านมา...สุดารัตน์ไม่เคยคิดกลับมาดูดำดูดีลูกในไส้คนนี้ ต่อให้อ้างว่ารักและคิดถึงหล่อนเสมอ ติดตรงไม่กล้าสู้หน้าย่าถึงได้หายเงียบไปเลย แต่แววตาของอีกฝ่ายกลับดูเหมือนแม่เสือสาวที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อโง่ๆ ตัวหนึ่งมากกว่า

เด็กสาวจำต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด แต่นาทีนี้กลับรู้สึกเหมือนกำลัง ‘หนีเสือปะหมี’ อย่างไรพิกล ทั้งยังเป็นหมียักษ์ขั้วโลกที่ดูเหมือนจะเพิ่งออกจากฤดูจำศีลด้วย!

 

ในห้องรับประทานอาหารของคฤหาสน์หรูย่านใจกลางกรุงเทพฯ สุดารัตน์กำลังนั่งกินมื้อเช้าอยู่กับสามีวัยห้าสิบห้า ซึ่งเป็นนักธุรกิจค้าอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง อธิคมเกิดในครอบครัวคนจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากในเมืองไทย และประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตครอบครัวของเขากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

เหตุมาจากความเจ้าชู้สมัยยังหนุ่มแน่น ภรรยาคนแรกถึงได้ขอแยกทางไป ส่วนภรรยาคนที่สองแอบคบชู้สู่ชาย เพราะเห็นว่าเขาเองก็มีบ้านเล็กบ้านน้อยนับไม่ถ้วน กระทั่งได้มาเจอนักร้องสาวพราวเสน่ห์อย่างสุดารัตน์ในไนต์คลับ จากที่คิดจะคบเล่นๆ ตามประสาพ่อหม้ายเนื้อหอม แต่ความน่ารักอ่อนหวานและเข้าอกเข้าใจของหล่อนก็ทำให้เขาเลือกที่จะแต่งงานเป็นครั้งที่สาม

“แล้วนี่เจ้าอัทธ์ทำไมยังไม่ลงมา” อธิคมเปิดฉากถามผู้เป็นภรรยา มือหนาปิดหนังสือพิมพ์และพับเก็บเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะจิบกาแฟในแก้วที่เหลืออยู่อีกนิด ซึ่งเป็นปรกติเหมือนทุกเช้าเวลารอสมาชิกในครอบครัวมาร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา

“แม่บ้านบอกว่าคุณอัทธ์เพิ่งกลับเข้ามาเมื่อตอนเช้ามืด รัตน์ว่าคงลงมาอีกทีตอนเที่ยงโน่นแหละค่ะ” สุดารัตน์ยิ้ม ผิดกับสามีวัยกลางคนที่เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหงุดหงิดฉุนเฉียว

“เจ้าลูกคนนี้ เมื่อไรมันจะเลิกเที่ยวเตร่เสเพลเสียที อายุก็ปาเข้าไปตั้งยี่สิบสามแล้ว ยังไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเองอีก ผมละเบื่อมันจริงๆ” คนเป็นพ่อบ่นอุบ ที่จริงลูกชายเขาไม่ใช่คนหัวทึบ ก่อนหน้านี้ยังเคยทำให้เขาภูมิใจที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้นๆ ของประเทศได้ เสียก็แต่พอเข้าเรียนจริงๆ กลับไม่ค่อยขยันและเอาแต่ใจตัวเองเกินไป หากไม่พอใจอาจารย์เมื่อไรก็ดรอปรายวิชานั้นไปเสียดื้อๆ ทุกวันนี้ถึงยังเรียนไม่จบปริญญาตรี “นี่ถ้าปีนี้มันยังเรียนไม่จบ ผมคงต้องเลิกให้เงินจริงๆ”

“อย่าเพิ่งกังวลไปเลยค่ะ คุณอัทธ์ก็รับปากแล้วนี่คะว่าเทอมนี้จะเก็บวิชาที่ดรอปให้ครบ”

“ก็หวังว่าคำขู่ของผมจะช่วยให้มันกระตือรือร้นขึ้นได้บ้างนั่นละ” อธิคมถอนหายใจเล็กน้อย เริ่มลงมือรับประทานอาหารเช้ากับภรรยาสาวที่อยู่เคียงข้างกันมานาน “จริงสิ...เรื่องลูกสาวคุณเป็นยังไงบ้าง ได้ไปเยี่ยมแกอีกหรือเปล่า”

หัวข้อสนทนาที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นเรื่องนี้ทำเอาสุดารัตน์แอบเซ็งนิดหน่อย เพราะหากย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นได้ หล่อนคงไม่ปล่อยให้ตัวเองท้องกับชาวสวนแน่ๆ

“คุณก็รู้นี่คะว่ารัตน์เกลียดที่นั่นจะตาย ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ธุรกิจของคุณ...รัตน์คงไม่กลับไปเหยียบที่นั่นด้วยซ้ำ”

สุดารัตน์สารภาพตรงๆ ตามประสาแม่ที่ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับลูกสาวมากนัก ทั้งยังรู้สึกมาโดยตลอดว่านวินดาเปรียบเสมือนรอยด่างในชีวิต ซึ่งฝ่ายสามีเองก็เข้าใจเรื่องนี้ และเขาคงไม่คิดอยากให้หล่อนรับลูกชาวสวนมาเลี้ยงดูแน่ๆ หากไม่ใช่เพราะเด็กสาวเพิ่งได้รับมรดกที่ดินจากผู้เป็นย่า

สวนมะม่วงเครือฟ้า...มองเผินๆ อาจจะเป็นเพียงสวนผลไม้ธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่หากปรับเปลี่ยนที่ดินผืนนั้นให้กลายเป็นโครงการบ้านพักตากอากาศหรูได้ เงินคงไหลเข้ากระเป๋าไม่อั้น

“เอาน่า...” อธิคมไม่อยากให้ภรรยายึดติดกับเรื่องในอดีตมากนัก “ธุรกิจของผมก็เหมือนธุรกิจของคุณนั่นแหละ ที่ดินตรงนั้นทำเลงามจะตาย ราคามีแต่จะพุ่งขึ้นเรื่อยๆ นี่พอมิสเตอร์หว่องรู้ว่าสวนมะม่วงเครือฟ้าเป็นของลูกสาวคุณ เขาดูมีความหวังมากนะ ถ้ากล่อมเด็กนั่นให้ยอมเชื่อฟังคุณได้จริงๆ รับรองงานนี้กำไรมหาศาล”  

มิสเตอร์หว่องเป็นนักลงทุนชาวสิงคโปร์ที่มีเครือข่ายธุรกิจอยู่หลายประเทศในทวีปเอเชีย ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยส่งนายหน้าชาวไทยไปติดต่อขอซื้อที่ดินจากคุณนายเครือวัลย์สองครั้ง แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธ โครงการสร้างบ้านพักตากอากาศหรูในย่านชานกรุงจึงเป็นอันต้องล้มพับไป

พอทราบข่าวคุณนายเครือวัลย์เสียชีวิต อธิคมจึงไม่รอช้าที่จะเสนอตัวช่วยเหลืออีกฝ่าย เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าหลานสาวคนเดียวของคุณนายเครือวัลย์คือเลือดเนื้อเชื้อไขของสุดารัตน์ อย่างไรเสียก็คงเกลี้ยกล่อมมาอยู่ในความปกครองได้ไม่ยาก และทางมิสเตอร์หว่องเองก็ยินดีรอ ทั้งยังรับปากจะให้สิทธิ์บริษัทเขาในการก่อสร้างโครงการตามที่เสนอไป หากสามารถทำให้นวินดายอมขายที่ได้จริง

แน่ละ! นอกจากผลกำไรจากการรับเหมาแล้ว เขาอาจได้ส่วนแบ่งจากราคาที่ดินอีกโข เพราะเด็กบ้านนอกอย่างนวินดามีหรือจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมนักธุรกิจ ยิ่งถ้าอีกหน่อยกลายมาเป็นลูกสาวแสนดีของแม่ เผลอๆ จะยอมยกผลประโยชน์ให้แม่แบบเต็มพิกัดด้วยซ้ำ

“ก็ยังไม่เห็นต้องรีบนี่คะ ยังไงๆ ก็ต้องรอให้มันอายุครบยี่สิบอยู่ดี” สุดารัตน์อาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายนัก แต่ก็พอจะมีความรู้รอบตัวอยู่บ้างว่าผู้เยาว์ไม่สามารถทำนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ได้ เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากศาลเยาวชน ซึ่งศาลย่อมพิจารณาถึงผลประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ ฉะนั้น แม้ว่าหล่อนจะเป็นแม่แท้ๆ ก็ใช่จะขยับตัวทำอะไรกับมรดกลูกสาวได้คล่อง

ด้วยเหตุนี้...สุดารัตน์ถึงได้รับปากสามีว่าจะรับนวินดามาอยู่ในความปกครองก่อน แสร้งทำดีด้วยสักนิด เอาอกเอาใจสักหน่อย กว่านวินดาจะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ก็คงเริ่มรักแม่ของตัวเองบ้างแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยหลอกให้โอนที่ดินมา

จะให้ด้วยความเสน่หาก็ดี หรือจะขายต่อก็ได้...อย่างไรเสียราคาประเมินจากกรมที่ดินก็เทียบไม่ได้กับราคาซื้อขายจริงอยู่ดี แล้วเด็กบ้านนอกอย่างนั้นมีหรือจะรู้ราคาจริงได้

“ช่วงที่คนเรากำลังเสียใจ เป็นช่วงที่อ่อนไหวที่สุด” อธิคมแนะตามประสาเสือร้ายที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจมานาน และรู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ “ผมว่าแทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ คุณน่าจะเข้าไปทำดีกับแกช่วงนี้ อย่างน้อยเด็กนั่นจะได้เชื่อว่าคุณรักและหวังดีกับแกจริงๆ ส่วนเรื่องอายุไม่ถึง...ถ้าแกเชื่อคุณสนิทใจเสียอย่าง ผมก็พอจะมีช่องทางอยู่นะ”

มุมปากของผู้เป็นสามีโค้งขึ้นนิดๆ ดวงตาพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์

“ช่องทางอะไรคะ” สุดารัตน์เลิกคิ้ว แปลกใจว่าเขาจะทำอย่างไรให้การซื้อขายที่ดินดำเนินไปได้อย่างถูกกฎหมายโดยไม่ต้องรอให้นวินดาอายุครบยี่สิบปี

“ผมมีวิธีก็แล้วกัน ตอนนี้คุณแค่พยายามทำให้เด็กนั่นยอมรับคุณเป็นแม่ให้ได้ก็พอ”

สุดารัตน์ได้แต่ถอนหายใจบางๆ ใช่ว่าหล่อนไม่ลองพยายามเสียเมื่อไร

คราแรกที่ไปพบนวินดาถึงบ้านสวน หล่อนรึอุตส่าห์อ้างว่าไม่กล้าสู้หน้าย่า ถึงได้ไม่เคยกลับมาเยี่ยมมาหา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รัก ไม่คิดถึงลูก คิดว่าเด็กสาวจะซาบซึ้งตรึงใจบ้าง ที่ไหนได้...นวินดากลับมีท่าทางเฉยๆ บางครั้งยังดูเหมือนไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าหล่อนรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ถึงได้ไม่ยอมเรียกหล่อนว่า ‘แม่’ เลยสักคำเดียว

 

‘คุณไม่จำเป็นต้องชดเชยอะไรให้น้ำผึ้งหรอกค่ะ น้ำผึ้งอยู่ที่นี่ก็สบายดีอยู่แล้ว และน้ำผึ้งภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกชาวสวนอย่างพ่อนพ ไม่ว่ายังไงก็คงไม่ย้ายไปจากที่นี่ ขอบคุณนะคะที่กรุณาสละเวลามาเยี่ยม’

ท่าทางเฉยเมยของลูกสาวเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อนทำเอาสุดารัตน์ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการสะกดกลั้นอารมณ์เกรี้ยวกราด ก่อนจะยื่นคำขาดไปว่าตนเองมีสิทธิ์ในฐานะแม่ ตราบใดที่นวินดายังไม่บรรลุนิติภาวะก็ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองอยู่ดี

หญิงสาวตั้งใจว่าระหว่างนี้คงไม่ไปเหยียบสวนมะม่วงเครือฟ้าให้ต้องขุ่นเคืองใจอีก รอให้ครบกำหนดร้อยวันค่อยส่งคนไปรับทีเดียว เชื่อว่าพอย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ไม่นาน เด็กบ้านนอกอย่างนวินดาก็คงตาสว่างเองว่าการได้ใช้ชีวิตหรูหรามันวิเศษกว่าการขุดดินทำสวนตั้งเป็นไหนๆ

“เอาเป็นว่ารัตน์จะลองดูอีกทีก็แล้วกันค่ะ” สุดารัตน์จำต้องรับปากไปก่อน เพราะรู้ว่าสามีไม่ชอบคนขัดใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไร สาวใช้ก็ก้าวมาในห้องรับประทานอาหาร

“คุณผู้หญิงคะ โทรศัพท์ของคุณผู้หญิงค่ะ”

“ใคร”

“ไม่ทราบค่ะ หนูเห็นเป็นมือถือเลยไม่กล้ารับ” สาวใช้วัยยี่สิบปลายๆ ยื่นสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดให้ผู้เป็นเจ้าของ

สุดารัตน์รับมาดูหน้าจอครู่หนึ่ง คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เพราะเป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นตา

“สวัสดีค่ะ” หล่อนตัดสินใจรับสาย ก่อนจะเริ่มหงุดหงิดนิดๆ ที่ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา แต่ด้วยฐานะภรรยาของนักธุรกิจคนดัง หล่อนจึงต้องวางอารมณ์ให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์สามี เพราะบางทีอาจเป็นพวกนักข่าวจากนิตยสารที่มักมาขอสัมภาษณ์ก็ได้ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่านั่นใครคะ”

“เอ่อ...” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งค่อยๆ ลอดมาตามสาย “น้ำผึ้งเองนะคะ”

“น้ำผึ้ง...” สุดารัตน์อุทานเบาๆ พลางหันไปมองหน้าสามีอย่างเหนือความคาดหมาย ครั้นเรียกสติกลับคืนมาได้ หล่อนก็ไม่รอช้าที่จะแสร้งไถ่ถามนวินดา “นึกยังไงโทร. หาแม่ได้ล่ะ หรือว่า...อยากจะมาอยู่กับแม่แล้ว”

ริมฝีปากบางขยับยิ้ม เชื่อว่าการที่จู่ๆ เด็กหัวดื้ออย่างอีกฝ่ายโทร. หา ย่อมต้องเป็นข่าวดีแน่นอน 

“น้ำผึ้งมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย เย็นนี้คุณสะดวกมาเจอน้ำผึ้งไหมคะ” เสียงของนวินดาราบเรียบยากจะคาดเดาอารมณ์ คนเป็นแม่จึงอดแปลกใจไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหวังลึกๆ ว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่หล่อนเสนอตัวอยากรับอีกฝ่ายมาเลี้ยงดูที่กรุงเทพฯ 

คงไม่มีผู้หญิงฉลาดๆ ที่ไหนอยากดักดานอยู่กับงานในไร่ในสวนไปทั้งชีวิตหรอก

“ได้สิ” สุดารัตน์ยิ้ม ตาพราวระยับยามหันไปมองหน้าสามีที่ตอนนี้กำลังกระหยิ่มใจไม่น้อยกว่ากัน “นผึ้งอยากให้แม่ไปเจอที่ไหนดีจ๊ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น