11

ความรู้สึกที่ (เริ่ม) เปลี่ยนไป


 

หลังจากพูดคุยเรื่องแบบบ้านกับธรรศและมารดาของเขาระหว่างนั่งรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน สลักจันทร์ก็ขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา

แต่ชายหนุ่มที่กำลังเร่งแอร์ภายในรถ หลังติดเครื่องยนต์ทำให้เธอแปลกใจด้วยคำพูดที่ว่า...

‘เดี๋ยวผมไปส่ง’

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมานั่งตัวลีบอยู่ภายในซูเปอร์คาร์คันหรูที่โรงจอดรถบ้านเขา!

“เมื่อกี้คุยอะไรกับคุณแม่ผมบ้าง”

เขาคงหมายถึงช่วงที่ตัวเองหนีขึ้นไปอาบน้ำ คงกลัวว่าเธอจะแอบนินทาเขาให้มารดาฟังจนจมหูละสิท่า

“ก็เรื่องทั่วๆ ไปค่ะ เรื่องสวน เรื่องบ้าน”

“แล้วเรื่องที่คุณบอกคุณแม่ผมว่าพ่อคุณเสียไปแล้วล่ะ”

“คะ?”

สลักจันทร์ไม่ได้ตกใจที่เขาบังเอิญได้ยินหรือแอบฟังเรื่องที่เธอพูด เท่ากับที่ชายหนุ่มเอ่ยปากถามออกมาตรงๆ ด้วยสีหน้าท่าทาง...อยากรู้!

“คุณพูดเรื่องนี้กับคุณแม่ผมไม่ใช่เหรอ” เขาถามย้ำ

“เอ่อ...ค่ะ” สลักจันทร์พยักหน้ารับ แต่ก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เขาเอ่ย จวบจนคนข้างกายกล่าวประโยคถัดมา

“ขอบคุณมาก”

“คะ?” หญิงสาวร้องเสียงหลงดังกว่าเก่า แทบจะยกมือตบหน้าตัวเองแรงๆ สักฉาดเพื่อพิสูจน์ว่าเธอฝันไปรึเปล่า ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากปากอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว

เขา...ขอบคุณเธอ?

ผู้ชายแบบ ธรรศ ธุวานนท์ เนี่ยนะ

พูดจริงหรือประชดกันแน่...

หญิงสาวคิดว่าตัวเองหูฝาดไปมากกว่า จึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

“เรื่องอะไรคะ”

“ที่คุณบอกเหตุผลของผมกับคุณแม่น่ะ” คนกล่าวนิ่งไปอึดใจ เหมือนกับขัดเขิน ก่อนจะพยายามเอ่ยออกมาใหม่ “คุณพูดว่าที่ผมตัดสินใจย้ายบ้าน เพราะผมรักท่าน ไม่อยากให้ท่านเป็นทุกข์”

สลักจันทร์พลันเข้าใจ แอบอมยิ้ม ไม่คิดว่าวันนี้เธอจะบุญหล่นทับ นอกจากจะได้เห็นภาพหายากเป็นบุญตาแล้ว ยังได้ยินคำพูดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้จากเขาให้เป็นบุญหูอีกแฮะ

“อ้อ...เรื่องนั้นน่ะเอง มันเป็นหน้าที่ของคนออกแบบบ้านอย่างฉันอยู่แล้ว คุณไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ แค่ไม่หาว่าฉันละลาบละล้วงยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณหรือทำเกินกว่าหน้าที่ ฉันก็ดีใจมากแล้วค่ะ”

คนถูกประชดหรี่ตามอง “ผมเองก็เป็นคนมีเหตุมีผลนะ”

‘เหรอออคะ!’

เธอคันปากอยากจะกวนเขากลับไปนัก แต่ขี้เกียจทะเลาะกันให้มากความ เลยเลือกที่จะนิ่งเสีย

เช่นเดียวกับคนที่อยากจะรักษาบรรยากาศดีๆ ระหว่างเดินทางกับหล่อนไว้แบบนี้ อย่างน้อยก็อีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า จึงเปลี่ยนเรื่องถาม

“บ้านคุณอยู่แถวไหน”

“ตลิ่งชันค่ะ”

ธรรศไม่พูดสิ่งใดอีก นอกจากขับเคลื่อนรถคันหรูออกจากรั้วคฤหาสน์ ‘ธุวานนท์’ แม้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยจะบังเกิดความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาให้สับสนจนไม่สามารถหาคำตอบได้ หนึ่งในเรื่องที่คาใจเขาจนสลัดไม่หลุดก็คือ...ไม่น่าเชื่อว่าสลักจันทร์จะมีชะตาชีวิตคล้ายกับเขา เหลือแต่แม่เพียงคนเดียว!

ข้อเท็จจริงที่ธรรศเพิ่งค้นพบใหม่ ทำให้เขามองสถาปนิกสาวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปนิดๆ

หล่อนดูแลตัวเองและครอบครัวมาได้อย่างไรทั้งที่ขาดเสาหลักของบ้าน...

หล่อนดูบอบบางออกขนาดนี้ จะไปสู้รบตบมือกับใครได้ หล่อนจะเอาตัวรอดได้หรือ แค่จะเป็นเสาหลักช่วยกันแดดกันฝนให้คนในบ้านแทนพ่อที่เสียไป เขายังสงสัยว่าหล่อนจะทำได้นานสักเท่าไร หล่อนเหมือนแก้วเนื้อบางที่แตกร้าวได้ง่ายๆ แค่โดนกระทบเพียงครั้งสองครั้ง หล่อนไม่เหมาะที่จะดูแลใคร แต่เหมาะที่จะถูกปกป้องดูแลเสียมากกว่า แล้วสองมือเล็กๆ กับสองขาเรียวๆ คู่นั้นจะยืนหยัดมั่นคงได้อีกนานแค่ไหนกัน

แม้ในใจจะยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาอยากรู้อยากถาม แต่ธรรศเลือกที่จะเก็บไว้ ปล่อยให้เป็นความอยากรู้ในใจไปก่อน เพราะเขายังมีเวลาค้นหาคำตอบจากหล่อนได้อีกนาน นาน...จนกว่าบ้านหลังใหม่ของเขาจะเสร็จนั่นละ ตอนนี้เขาต้องการให้ความเงียบงันเป็นกำแพงกั้นกลางระหว่างเขากับหล่อนต่อไปภายในรถ

 

สุดท้ายธรรศก็ทนเก็บความสงสัยเกี่ยวกับตัวสลักจันทร์ที่ได้รับรู้ในวันก่อนไม่ไหว จึงเอ่ยถามเพื่อนสนิททันทีที่เจอหน้า

“ไอ้วีร์”

“มีอะไร”

“พ่อสลักจันทร์เสียไปแล้วเหรอ”

“ใช่” ปวีร์มองคนถามด้วยแววตาฉงน “ถามทำไม”

“เปล่า ไม่มีอะไร ก็แค่อยากรู้เฉยๆ” คนถามยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ ผิดกับความกระวนกระวายข้างใน

ปวีร์อมยิ้ม มองเพื่อนหนุ่มอย่างรู้ทัน

“รู้สึกว่าเขาคล้ายๆ แกว่างั้นเถอะ”

“สิ่งที่สลักจันทร์เจอน่ะเทียบกับฉันไม่ได้หรอก” ธรรศเถียงกลับทันควัน ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกในหัวใจว่าเขาคิดอย่างที่ปวีร์จี้ใจดำจริงๆ

“ใครบอกแก จันทร์เองก็เคยผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะเหมือนกัน”

ธรรศเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ปวีร์เลยขยายความ

“จันทร์เป็นลูกคนโต ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก พ่อเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ฝันอยากมีบ้าน แต่โชคร้ายที่ประสบอุบัติเหตุนั่งร้านถล่ม เสียชีวิตซะก่อน ตั้งแต่จันทร์อายุแค่สิบห้าเท่านั้น เด็กกว่าตอนที่แกเสียพ่อด้วยซ้ำ ส่วนแม่ที่เคยเป็นแม่บ้านก็ต้องออกมาทำงานรับจ้างหาเช้ากินค่ำ กัดฟันส่งเสียให้ลูกๆ ได้เรียนต่อจนสำเร็จ จันทร์สงสารแม่ ก็เลยต้องช่วยหาลำไพ่พิเศษเอาเงินมาจุนเจือค่าใช้จ่ายภายในบ้านอยู่เสมอ”

“ไม่เห็นจะแปลกเลย ใครๆ ก็หาเงินส่งเสียตัวเองเยอะแยะไป”

ปวีร์ไม่สนใจเสียงคนที่ชอบขัด ยังคงตั้งหน้าเล่าต่อ

“เด็กคนนี้เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกอย่างเราๆ เลยละ ทั้งขยัน มีความมุมานะอดทน สู้กับความลำบากยิบตา แถมยังต้องดูแลทั้งแม่และน้อง เป็นเสาหลักแทนพ่อที่เสียไปชนิดที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ที่เขาทนทำงานกับคนเรื่องมากอย่างแกอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะจะเก็บสะสมเงินไว้ให้น้องสองคนเรียนต่อสูงๆ อย่างที่พ่อแม่เคยตั้งความหวังไว้ เพราะฉะนั้นฉันขอละ แกช่วยลดๆ ความ ‘เยอะ’ ของแกลงบ้างเถอะวะไอ้ธรรศ จันทร์น่ะเป็นลูกน้องที่ทำงานดีที่สุดในแผนกฉันเลยนะเว้ย จะหาสถาปนิกที่ประเสริฐกว่านี้ในแอลเอชไม่มีอีกแล้ว ถือว่าเห็นแก่ฉัน สงสารน้องมันบ้าง อย่าเที่ยวหาเรื่องแกล้งให้มากนักเลย”

คนฟังหรี่ตา มองเพื่อนอย่างจับผิดเต็มที่

“รู้สึกว่าแกจะเข้าอกเข้าใจลูกน้องคนนี้จริงๆ นะ”

คนถูกกล่าวโทษทำหน้าเซ็งจัด ด่าเพื่อนรักอย่างเข่นเขี้ยว

“วะ...ไอ้นี่! เพิ่งจะพูดอยู่หยกๆ แกไม่ได้ฟังที่ฉันขอเลยรึไง ฉันนั่งยันยืนยันเป็นร้อยๆ ครั้งแล้วนะว่าฉันกับจันทร์ เราไม่เคยคิดอะไรเกินเลยต่อกัน”

“มันจะเชื่อได้เร้อออ ผู้หญิงกับผู้ชายก็เหมือนน้ำมันกะไฟ เข้าใกล้กันเมื่อไหร่...มีแต่ลุกกับลุกเท่านั้น”

“ฉันไม่ใช่แกนี่...ไอ้ธรรศ!”

คนถูกย้อนหน้าเข้ม กระชากเสียงถามกลับ เพราะเขารังแกหญิงสาวอย่างที่อีกฝ่ายตอกกลับจริงๆ

“ฉันเป็นยังไง!”

“ก็เป็นอย่างที่เห็น...” บุ้ยหน้า “อารมณ์ร้อน แปรปรวนง่ายเหมือนผู้หญิงวัยทอง เอาใจยากก็ที่หนึ่ง ลองว่าปักใจเชื่ออะไรแล้ว จะดันทุรังคิดอยู่อย่างนั้น ใครพูดก็ไม่ฟัง แต่ฉันอยากบอกแกสักอย่างนะไอ้ธรรศ จันทร์ไม่เหมือนผู้หญิงแบบที่แกเคยเจอมา เขาแกร่งและรักศักดิ์ศรีมากกว่าที่แกคิดไว้เยอะ ระวังเถอะ! ยิ่งจับผิดเขามากๆ หาว่าเขาเป็นแบบนู้นแบบนี้ จะกลายเป็นว่าแกนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายตกหลุมรักเขาเสียเอง ถ้าพบว่าเขาเก่งและมีคุณค่าในตัวเองแบบที่แกเคยฝันหา”

“แกอย่ามาพูดเพ้อเจ้อนะไอ้วีร์!” ชายหนุ่มหงุดหงิด เพราะเพื่อนสนิทกล่าวราวกับรู้ทันความคิดเขา “แกก็รู้...ฉันไม่มีวันเชื่อใจผู้หญิงหน้าไหนอีก”

คนฟังยิ้ม “ให้บ้านหลังใหม่ของแกสร้างเสร็จก่อนเถอะ แล้วค่อยพูดคำนี้”

ธรรศยิ่งหัวเสียที่เป็นฝ่ายยั่วปวีร์ แต่ตัวเองกลับฉุนเสียเอง ไม่เห็นปวีร์จะมีท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจสักนิด ไม่...แม้แต่จะออกอาการร้อนตัว ไม่ส่อพิรุธให้เขาจับสังเกตได้เลยว่าเจ้าตัวคิดอะไรเกินเลยกับลูกน้องสาวมากกว่าแค่เพื่อนร่วมงานกันจริงๆ

“ฉันก็จะรอดูเหมือนกันว่าแกจะทำได้อย่างที่ปากพูดไหม”

คนที่มั่นใจเกินร้อยยืมท่า ‘ยักไหล่’ ของอีกฝ่ายมาใช้ให้คนมองมันเจ็บๆ คันๆ เล่น

“จะถามแบบนี้อีกกี่ร้อยรอบ คำตอบก็ยังเหมือนเดิมคือ...ฉันไม่เคยคิดอะไรกับจันทร์”

ปวีร์เดาถูกเผง เมื่อเพื่อนรักเหยียดปากมองเขาด้วยความหมั่นไส้ แถมยังเตรียมจะอ้าปากด่าคืนอีกชุดใหญ่ เขาเลยต้องรีบเบรกด้วยการเปลี่ยนเรื่องเป็นการด่วน

“ว่าแต่เรื่องงานของแกเถอะ เห็นว่าได้เอกภพอดีตแฟนจันทร์มาคุมโครงการใหม่ให้ไม่ใช่เหรอ จะไปได้ตลอดรอดฝั่งไหมเนี่ย”

ธรรศลืมความขุ่นข้องหมองใจเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น มองตาเพื่อนอย่างซึ้งใจในความห่วงใยที่ปวีร์มีให้เขาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะวันนี้...หรือวันไหน...มิตรภาพของพวกเขาก็ไม่เคยเสื่อมคลาย

“ขอบใจ แต่แกไม่ต้องกลัวเรื่องนั้นหรอก ฉันมีวิธีจัดการ”

“ทำไมไม่ให้ไอรีนเปลี่ยนคนล่ะ”

“ไม่จำเป็น ไม่เคยมีใครโกงฉันได้ง่ายๆ”

“กันไว้ไม่ดีกว่าเหรอวะ ท่าทางเอกภพจะสนิทสนมกับศัตรูเก่าของแกอยู่นะ”

“รู้แล้วละ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยใส่ใจ แตกต่างกับคนทักที่เริ่มร้อนใจแทน

“แสดงว่าเคยเห็น”

“อืม”

“ที่ไหน”

“ที่ร้านอาหารพร้อมกับเด็กแกนั่นแหละ ฉันนัดสลักจันทร์ไปคุยงานที่นั่น บังเอิญเจอฝ่ายโน้นเข้า คงจะนัดมาสุมหัววางแผนทำเรื่องชั่วๆ หาทางโกงเงินชาวบ้านเข้ากระเป๋าตัวเองอีกเหมือนเคย”

“ฉันจะฝากจันทร์ไปเตือนให้”

ธรรศโบกมือห้าม “ไม่ต้องทำอะไร”

“แต่งานแกจะเสียหาย”

เจ้าของโครงการหนุ่มตบไหล่เพื่อนให้คลายความกังวลใจ

“ฉันบอกแล้วไงว่าเอาอยู่ ไอ้ไพฑูรย์ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”

“แกอย่าประมาทไป!”

ปวีร์ไม่ละความพยายามที่จะเอ่ยเตือน แต่คนฟังก็ยังเมินเฉย เหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“ถ้ามันเล่นงานฉันได้ มันทำสำเร็จไปนานแล้ว แกก็เห็นนี่ มันไม่สามารถหว่านล้อมหรือจูงจมูกฉันได้ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ฉันไม่โง่ให้มันเข้ามาหลอกตักตวงผลประโยชน์ โดยอาศัยคำว่า ‘ที่ปรึกษา’ ด้านงานก่อสร้างมาบังหน้าเหมือนที่มันชอบทำกับบริษัทอื่นๆ หรอก แกไม่ต้องตื่นตูมไป ฉันไม่ใช่หมูในอวยให้มันเชือดแน่นอน”

ปวีร์ลอบถอนใจ ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ ถึงจะรู้ดีว่าเพื่อนรักฉลาดเป็นกรด ไอ้เรื่องจะมาใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงเล่นงานเจ้าตัวน่ะฝันไปเถอะ คนระดับ ธรรศ ธุวานนท์ ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้ศัตรูง่ายๆ ในสมรภูมิธุรกิจ เพราะเขาจะจัดการปิดเกมก่อนที่อีกฝ่ายจะทันขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่โบราณท่านว่า ‘สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง’ แล้วจะเอาอะไรมาการันตีได้ว่าเพื่อนเขาจะเป็นผู้ชนะตลอดไป!

“ถ้าเล่นกันซึ่งๆ หน้า ฉันก็ไม่กลัวหรอก แต่ไอ้หมอนี่มันถนัดเรื่องลอบกัดน่ะสิ”

“โครงการหนึ่งมีผู้ตรวจสอบตั้งหลายฝ่าย ต้องผ่านขั้นตอนอีกเยอะแยะหลายขั้นหลายด่าน การจะปลอมแปลงเอกสารหลอกแต่ละแผนก มันไม่ใช่ง่ายๆ แกเองก็รู้นี่ว่าจะโกงแผนกบัญชีบริษัทฉันยากมากแค่ไหน”

“ลองคนมันโลภ มันจะเอา มันก็หาวิธีขโมยจนได้นั่นละ ป้องกันได้ที่ไหน”

ธรรศหัวเราะอย่างขบขัน “ถ้าเป็นโพรเจกต์ของบริษัทอื่นละก็ไม่แน่ แต่ไม่ใช่ที่ธุวานนท์พรอพเพอร์ตีเด็ดขาด!”

คนพูดชักจะเหนื่อยใจจนต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ เพราะถึงตะเบ็งเสียงแหกปากจนคอแตกอย่างไร แต่ลองว่าธรรศมีความคิดความเชื่อมั่นเป็นของตัวเองแบบนี้แล้ว พูดให้ตาย มันก็ไม่ทะลุเข้าไปในโสตประสาทคนฟังแน่ เขาคงต้องทำใจสถานเดียว ถือว่าเตือนเจ้าตัวแล้ว หลังจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้น คงต้องช่วยกันฝ่าวิกฤตไปให้ได้เท่านั้น

“ฉันคงได้แต่ภาวนาขออย่าให้ไอ้ไพฑูรย์เล่นงานแกได้ก็แล้วกัน”

ขนาดปวีร์เตือนแล้วเตือนอีกจนปากเปียกปากแฉะ แต่เจ้าตัวก็ยังคงมั่นใจ แถมเหยียดปากบอกอย่างมาดมั่นว่า

“ไว้มันทำได้เมื่อไหร่...ฉันค่อยเครียด!”

 

สลักจันทร์มีสีหน้าประหลาดใจนิดๆ ที่วันนี้จู่ๆ ปวีร์ก็เดินตรงดิ่งมาหาเธอถึงโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดผิดกับทุกที แสดงว่าจะต้องเป็นธุระด่วนหรือมีเรื่องสำคัญมากๆ

“ถ้าจะพูด...จันทร์ขอข่าวดีนะคะ”

เหมือนมีลางสังหรณ์ เธอเลยรีบดักคออีกฝ่ายไว้ก่อน แต่หัวหน้าหนุ่มกลับไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด แถมยังส่ายหน้า บอกเธอสั้นๆ ว่า

“เสียใจ...ข่าวร้าย”

“เรื่องอะไรคะ” สลักจันทร์ถาม พลอยมีสีหน้ากังวลไปด้วย

“อดีตแฟนจันทร์ทำโครงการใหม่ให้ไอ้ธรรศ”

“ภพน่ะเหรอคะ!” หญิงสาวนิ่วหน้า ความวิตกยิ่งขยายวงกว้างขึ้นอีกหลายเท่า “ภพไปทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่าคะ”

“ตอนนี้น่ะยัง แต่อนาคตไม่แน่ พี่อยากให้จันทร์ช่วยเตือนๆ กันหน่อย ธรรศไม่เหมือนคนอื่น มันเป็นพวกรักแรงเกลียดแรง อย่าได้คิดลองดีกับมันเชียว มันเอาตายเลยนะ คนอย่างไอ้ธรรศถ้าคิดจะเล่นงานใครสักคนละก็ พี่บอกได้เลยว่าเรื่องคงไม่จบแค่ติดคุกแน่ ต่อให้ออกจากคุกมาได้ ก็อย่าหวังว่าจะมีโอกาสได้เดินในแวดวงนี้อีก แค่พื้นดินที่จะให้เหยียบหรือเอาดินกลบหน้า มันก็ไม่ให้ เชื่อเถอะว่าไอ้ธรรศจะตามรังควานคนคนนั้นให้อยู่อย่างไม่มีความสุขชนิดที่ตายเสียยังดีกว่า พี่ไม่ได้ขู่นะจันทร์ เพราะเคยมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว พี่ฝากจันทร์ไปเตือนเอกภพไว้ก่อน จะได้ไม่คิดลองของ”

ปวีร์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่นเหมือนปกติ ทำเอาคนมองใจหาย สีหน้าเครียดลงกว่าเดิมหลายเท่า

“แต่ภพเขาคงไม่เชื่อจันทร์หรอกค่ะพี่วีร์ จันทร์ก็แค่แฟนเก่า ภพเขาเชื่อในความคิดตัวเองเสมอ ไม่ว่าเรื่องนั้นมันถูกหรือผิดก็ตาม” สลักจันทร์บอกเสียงขื่น อดน้อยใจไม่ได้ เมื่อหวนนึกถึงครั้งล่าสุดที่เธอเตือนอดีตแฟนหนุ่มด้วยความห่วงใย แล้วเป็นไง...เขาหาว่าเธอจุ้นจ้าน!

“ลองพูดดูนะจันทร์”

ปวีร์พอจะรับรู้ถึงความลำบากใจของหญิงสาว แต่ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องขอให้คนใกล้ชิดที่น่าจะยังพอมีความสำคัญหลงเหลืออยู่บ้างสำหรับเอกภพช่วยเตือนสติกันสักนิดก็ยังดี เขาไม่ได้หวังให้เอกภพทำความเข้าใจตอนนี้ ขอแค่ทุกครั้งที่คิดจะลงมือทำชั่ว จงพึงระลึกให้หนักๆ ยั้งคิดให้มากๆ รู้จักมีความเกรงกลัวละอายต่อบาปกรรมบ้าง

“จันทร์จะพยายาม แต่ไม่รับปากนะคะว่าจะสำเร็จหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร แค่จันทร์ยอมช่วย พี่ก็ดีใจแล้ว ไม่อยากให้โครงการไอ้ธรรศมีปัญหา พี่บอกตรงๆ เลยว่าไม่ค่อยไว้ใจนายไพฑูรย์เท่าไร”

“คนที่จันทร์เห็นวันนั้นน่ะเหรอคะ”

“ใช่! มันนั่นแหละ...ตัวดีเลย!”

 

ในที่สุดสถาปนิกสาวก็รวบรวมความกล้ามาพบอดีตแฟนหนุ่มที่ไซต์งานก่อสร้างโครงการคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อย่างธรรศ หลังตกปากรับคำปวีร์เมื่อสามวันก่อน ยอมรับว่าที่เสี่ยงมาทั้งที่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เป็นเพราะยังคงห่วงใยอีกฝ่ายในสถานะของคนที่เคยรู้สึกดีต่อกัน คนที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งแฟน เป็นคนที่เคยมีความฝันและปรารถนาในสิ่งเดียวกัน

ถึงแม้ว่าวันนี้...เธอกับเอกภพต่างก็มีเส้นทางของแต่ละคนที่อาจไม่มีวันบรรจบกันได้ เขาเลือกใช้วิชาชีพหาเงินเข้ากระเป๋า เพื่อความสุขสบายของตัวเองเป็นใหญ่ แต่เธอเลือกใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มี เพื่อให้คนที่ลงทุนเสียสตางค์จ้างเธอเป็นสุข อยู่ในวิมานที่พวกเขาหวังให้เป็นที่พักผ่อนสุดท้ายของชีวิต เป้าหมายของเธอกับเขาจึงช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่สลักจันทร์ก็ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนอื่นคนไกล

อดีตแฟนหนุ่มยังคงเป็นเพื่อนที่เธอหวังอยากให้เขาพบเจอแต่สิ่งดีๆ มีรอยยิ้มมีความสุข เธอยังหวังว่าเขาจะกลับตัวกลับใจได้ทัน ยังไม่สายเกินไป วันนี้เธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เพื่อบอกเขา แม้ในหัวใจอาจไม่เชื่อมั่นว่าตัวเองจะพูดสำเร็จไหม เอกภพจะยอมฟังคำที่เธอกล่าวเตือนหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็จะพยายามอย่างเต็มที่ อย่างสุดความสามารถ เพื่อโน้มน้าวใจคนที่เธอยังคอยเป็นห่วงเป็นใยเสมอให้ตาสว่างเสียที

สลักจันทร์ยืนมองวิศวกรหนุ่มที่กำลังคุมงานก่อสร้างในพื้นที่ด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ เป้าหมายคือผู้ชายที่สวมหมวกนิรภัย ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว พับแขนขึ้นมาครึ่งศอก กับกางเกงยีนสีเข้ม ซึ่งยืนถือกระดาษแปลนขนาดใหญ่อยู่ข้างรถแทรกเตอร์ที่จอดสนิท

หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะส่งเสียงทัก พยายามบังคับน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติ

“ภพ”

คนที่ถูกเรียกขานปรายตามองหญิงสาวอย่างไม่ประหลาดใจเลยสักนิด พลางนึกกระหยิ่มว่าในที่สุดหล่อนก็ต้องเป็นฝ่ายมางอนง้อเขาจนได้ แต่อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมยกโทษให้หล่อนง่ายๆ สลักจันทร์จะต้องได้รับบทเรียนที่ทำให้เขาโกรธเคืองอย่างสาสมเสียก่อน

“นึกว่าใคร...มีอะไร”

แม้จะทำใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอสายตาเย็นชาและท่าทางห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน แต่เอาเข้าจริง หญิงสาวก็อดเจ็บช้ำไม่ได้ มันปวดหนึบๆ ในอก รู้สึกร้าวไปหมด เจ็บจุกจนแทบพูดไม่ออก แต่ก็พยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่แล่นมาอุดลำคอลงไป ฝืนยิ้มทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ยินดีต้อนรับ

“จันทร์มีเรื่องอยากพูดกับภพ เราไปคุยกันตรงนู้นหน่อยได้ไหม” หญิงสาวชี้ไปตรงมุมที่สงบเงียบ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน

“ภพกำลังทำงาน ไม่ว่าง”

“จันทร์ขอรบกวนเวลาภพแค่ห้านาทีเท่านั้น”

“งั้นก็รีบๆ พูดมาตรงนี้เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินกลับ ภพไม่มีเวลาให้คนแปลกหน้ามากนักหรอกนะ”

“จันทร์เพิ่งรู้นะว่าเดี๋ยวนี้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็เป็นเงินเป็นทองสำหรับภพไปหมดแล้ว” คนฟังอดประชดไม่ได้ที่เขาตัดรอนอย่างไร้เยื่อใย

อีกฝ่ายเองก็เหน็บกลับทันควัน “ก็เงินเป็นสิ่งมีค่านี่จันทร์ ใครมีเงินก็เป็นเจ้า ส่วนคนไม่มีก็เป็นได้แค่ทาส ต้องนั่งก้มหน้าทำงานงกๆ หลังขดหลังแข็งเหมือนพวกที่มีชอบโม้ว่ามีอุดมการณ์ทั้งหลายแหล่แบบจันทร์นี่ไงล่ะ”

“งั้นแปลว่าที่ผ่านมา...คนที่จันทร์คบด้วยไม่ใช่ผู้ชายที่จันทร์เคยรู้จักเลยสินะ ตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ตรงหน้าตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวและนึกถึงแต่ความสุขของตัวเองมาก่อนเสมอ นี่ใช่ไหม...คือผู้ชายที่ชื่อเอกภพตัวจริง!”

“ก็แล้วแต่จันทร์จะคิด!” เขากระชากเสียงตอบ เริ่มหงุดหงิดที่แฟนสาวมาเพื่อต่อว่าเขา แทนที่จะงอนง้อขอคืนดีกันอย่างที่คิดไว้

“จันทร์เชื่อในสิ่งที่ภพแสดงให้จันทร์เห็น” หญิงสาวสวนกลับ ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่ความคิดความเชื่อผิดๆ ของอีกฝ่าย ไม่สนใจด้วยว่าเขาจะขุ่นเคืองเธอแค่ไหน

 “ก็ดี! ในเมื่อภพไม่เคยมีอะไรดีเลยในสายตาของจันทร์ แล้วคนดีเลิศประเสริฐศรีแบบจันทร์จะมายุ่งกับภพทำไม อยู่ห่างๆ กันไปเลยดีกว่า”

“จันทร์ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก” หญิงสาวพลั้งปากด้วยความโมโหจนลืมจุดประสงค์หลักที่มาหาเขาวันนี้ “คนดื้อด้านอย่างภพน่ะ ต้องลองให้เจอกับความทุกข์ความลำบากซะบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน พูดไปจนปากเปียกปากแฉะก็เท่านั้นแหละ!”

“ฮึ...ก่อนจะมาเป็นห่วงภพ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะจันทร์ จนแล้วยังจะหยิ่งอีก ศักดิ์ศรีกับจรรยาบรรณที่จันทร์ยึดมั่นถือมั่นนักหนาน่ะ มันช่วยทำให้ท้องอิ่มได้รึไง”

สลักจันทร์อ่านสายตาเย้ยหยันที่เขาส่งมาได้ว่า...

‘ไม่ต้องมาทำเป็นสั่งสอนภพ ภพทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ เผลอๆ จะได้มากกว่าจันทร์ไม่รู้ตั้งกี่เท่า ภพอยู่ดีมีสุข มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ไม่ต้องลำบากกัดก้อนเกลือกินไปวันๆ เหมือนจันทร์’

“ถ้าภพคิดแบบนั้น จันทร์ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก แต่ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความหวังดี ไอ้สิ่งที่ภพคิด เส้นทางที่ภพเลือกเดินอยู่ มันเต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่ซ่อนอยู่ใต้กลีบกุหลาบที่ดูสวยงาม ถ้าวันไหนภพพลาดไปเหยียบมันเข้า วันนั้นอาจไม่ใช่แค่ได้แผลเล็กๆ มีเลือดไหลซิบๆ เท่านั้น เพราะหนามที่ซ่อนอยู่จะเกี่ยวพันตัวภพจนเป็นแผลเหวอะหวะไปหมด จันทร์กลัวว่าถ้าถึงวันที่ภพต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ภพจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว”

“ไม่มีวันนั้นหรอกจันทร์”

หญิงสาวลอบถอนใจ รู้สึกเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน  กระทั่งวินาทีสุดท้าย...เอกภพก็ยังคงมั่นใจในความคิดตนไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี ให้พูดกับเด็กห้าขวบ บางทีอาจจะยอมรับฟังและเข้าใจง่ายเสียกว่า

“คุณธรรศเจ้าของโครงการนี้ไม่ใช่หมูให้ภพเคี้ยวง่ายๆ หรอกนะ จะทำอะไรก็ระวังหน่อย”

“อ้อ...ที่อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ เพราะจะมาปกป้องผลประโยชน์แทนชู้ใหม่อย่างนั้นละสิ”

หญิงสาวฉุนจัดจนแทบจะตะกุยหน้าคนหาเรื่องให้เสียโฉมเสียเลย แต่ก็พยายามฝืนข่มใจระงับโทสะเอาไว้ได้ดี

“คงมีแต่ภพเท่านั้นแหละที่คิดอะไรอกุศลได้ถึงขนาดนี้”

“ก็หรือไม่จริง”

“ถ้าภพจะวกมาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกละก็ จันทร์จะกลับ ขี้เกียจอยู่ทะเลาะกับภพซ้ำๆ ซากๆ”

“ภพพูดความจริงของผู้หญิงหลายใจแบบจันทร์ไงล่ะ”

“ภพคิดไปเองทั้งนั้น คนเราลองว่าไม่เหลือความไว้เนื้อเชื่อใจให้กันแล้ว จะทนฝืนคบกันไปได้นานอีกสักแค่ไหนเชียว สุดท้ายยังไงก็ต้องเลิกกัน”

“ข้ออ้าง เพราะจันทร์มีคนใหม่ที่คิดว่าดีกว่าภพต่างหาก จันทร์ก็เลยถีบหัวภพส่ง”

“ไม่ใช่ ต้นเหตุตัวเดียวก็คือ...ภพไม่เคยไว้ใจจันทร์!”

หญิงสาวตะเบ็งเสียงจนเกือบเป็นตวาด ฟิวส์ขาดทุกครั้งที่อดีตแฟนหนุ่มยกเรื่องนี้ขึ้นมาหาเรื่องกันไม่หยุดหย่อน มันเป็นปัญหาเรื้อรังระหว่างเธอกับเขามานานแล้วตั้งแต่ตอนคบกัน หลายครั้งที่เอกภพแสดงความหึงหวงเธอโดยไม่มีเหตุผล ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม จนตอนนี้เลิกรากันไปแล้ว มันก็ยังคงตามมาเป็นปัญหาอีก เพราะเขาไม่เคยยอมรับ เที่ยวฟาดงวงฟาดงา ลากคนอื่นเข้ามาร่วมขบวน แล้วโยนความผิดทุกอย่างให้เธอเพียงฝ่ายเดียว

“มีแต่คนโง่กับคนปัญญาอ่อนเท่านั้นละที่จะไม่คิดอะไร เราเป็นแฟนกันประสาอะไร ภพแทบไม่เคยได้แตะเนื้อต้องตัวจันทร์เลยสักครั้ง แค่จะโอบกันบ้าง กอดกันบ้างนิดๆ หน่อยๆ จันทร์ก็เอาแต่ว่า ห้ามสารพัด แต่ทีกับคนอื่น จันทร์ยอมให้จับมือถือแขนง่ายๆ ถามจริงๆ เถอะ จันทร์เคยรักภพบ้างไหม”

เอกภพมองอดีตคนรักด้วยแววตาตัดพ้อ น้อยเนื้อต่ำใจ เขายังรักสลักจันทร์อยู่ รักมาก...ถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวถึงเพียงนี้ เขาเสียหน้า เสียใจ เสียความรู้สึก เสียอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมาย แต่ไม่เท่ากับการที่ต้องเสียสลักจันทร์ไป เขายอมรับอย่างไม่อายว่า...เขาเสียดาย

“จะพูดตอนนี้ให้ได้อะไรล่ะภพ ในเมื่อเราเลิกกันแล้ว”

หญิงสาวเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากสบแววตาที่อาจทำให้เธอใจอ่อน แม้จะเห็นร่องรอยความเจ็บช้ำของคนตรงหน้าที่ทำเอาเธอใจหายและรู้สึกผิดเหลือคณา เธอเองก็เหมือนเขา เจ็บปวดไม่น้อยกว่าเขา ถ้าเลือกได้เธอก็ไม่อยากเลิก เอกภพเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวที่คบหากันมายาวนาน จู่ๆ ต้องมาจบความสัมพันธ์กันเพียงเท่านี้ ใช่ว่าหญิงสาวจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร เธอเองก็เสียใจและเสียดายความผูกพันที่มีอย่างแน่นแฟ้น แต่เพราะความไม่เข้าใจกันหลายๆ เรื่องที่ทำให้เธอและเขามีความคิดสวนทางกัน สลักจันทร์จึงต้องเลือกห่าง...

ก่อนที่ความ ‘ขัดแย้ง’ จะดำเนินไปจนมองหน้ากันไม่ติด

ก่อนที่ ‘ความรัก’ จะกลายเป็น ‘ความเกลียด’

ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง...สลักจันทร์จึงต้องยอมตัดใจ!

ผิดด้วยหรือ...ที่เธอเลือกรักษามิตรภาพเอาไว้ในวันที่ยังพอจะเหลืออยู่บ้าง ด้วยการปล่อยมือให้เอกภพเดินไปข้างหน้า แล้วเธอเลือกที่จะเดินย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น เพราะเส้นทางที่แฟนหนุ่มเลือกเดินนั้น ไม่ใช่หนทางที่เธอต้องการอีกต่อไป

เส้นทางของเธอคือ...ยังคงรักษาอุดมการณ์และความมุ่งมั่นเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม เธอต้องการเห็นคนมีบ้านมีความสุข จึงทำทุกวิถีทางเพื่อปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ โดยที่ไม่ลืมคำนึงถึงความเหมาะสมและปลอดภัย

ส่วนเส้นทางของเขา...มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าเช่นกัน แต่เป็นการทำเพื่อเงินในกระเป๋าสตางค์ตัวเองเท่านั้น อนาคตใครจะเป็นอย่างไร เอกภพไม่เคยใส่ใจ และสลักจันทร์ก็รู้ดีว่าไม่อาจเปลี่ยนความคิดนี้ของเขาได้ เธอถึงเลือกจากไป...เพื่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องนี้อีก ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง

เอกภพก็มีอีโก้ มีความเชื่อมั่น ส่วนเธอก็มีอัตตาในตัวเองสูงเช่นกัน

เพราะฉะนั้น...วันนี้อาจจะเป็นความผิดของเธอเองก็ได้ที่ตัดสินใจมา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางฟัง!

“จันทร์จะกลับ...และจะไม่มายุ่งเรื่องอะไรของภพอีก”

“พอถูกจับได้ว่าสวมเขาให้ภพ จันทร์ก็เลยจะหนีไปง่ายๆ งั้นสิ”

“จันทร์ไม่เคยทำอะไรผิด!”

“ใช่ซี่...ภพไว้ใจจันทร์ ถึงไม่เคยแอบไปส่องใต้เตียงจันทร์เลยว่าแอบเอาผู้ชายคนไหนมานอนกกนอนกอดไว้บ้างรึเปล่าระหว่างที่เราคบกัน ก็เลยไม่มีหลักฐานมาเล่นงานจันทร์ได้ จันทร์ถึงยังลอยหน้าปฏิเสธเสียงแข็งได้แบบนี้ไงล่ะ!”

“ภพ!” ฝ่ามือบางตวัดลงบนใบหน้าของคนที่พูดจาดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงของเธออย่างแรง ก่อนจะตวาดเสียงกร้าว “นี่คือผลของการที่ดูถูกจันทร์ และถ้าภพยังคิดแบบนี้ ชาตินี้เราไม่ต้องคุยกัน!”

หญิงสาวกำมือแน่น น้ำตาคลอด้วยความโกรธจัด ผิดหวังในตัวเอกภพเหลือเกิน

เจ็บ...ที่เขาดูถูกกันไม่เลิก ตราหน้าหาว่าเธอเป็นผู้หญิงใจง่าย

เสียใจ...ที่แม้แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ เขาก็ยังไม่เชื่อใจ ไม่ให้เกียรติ ไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลยสักนิดเดียว

สลักจันทร์เสียดายความรักความหวังดีที่เคยมีให้ผู้ชายคนนี้...คนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นทั้งเพื่อนทั้งแฟนจริงๆ ผีห่าซาตานตนไหนเข้าสิงเอกภพ ทำให้เปลี่ยนเป็นคนใจหยาบแบบนี้กันหนอ

เธอไม่รู้สึกผิดเลยที่ทำร้ายเขา ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนแล้ว ไม่สนด้วยว่าใครจะมองมาอย่างสนใจ จะคิดกับเธออย่างไร หรือกำลังสงสัยว่าทำไมเธอถึงกล้ามาสร้างเรื่องสร้างราวภายในอาณาบริเวณเขตก่อสร้างของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทยอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้

สลักจันทร์ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเสียงของเธอจะลอยไปกระทบโสตประสาทใครหน้าไหนเข้า เลยไม่ทันเห็นว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งมองมาจากอีกฟากของไซต์งานด้วยความสนใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น