6

จุดจบของ ‘ความรัก’



จากบทสนทนาโต้เถียงกันอย่างรุนแรงที่ธรรศได้ยิน รวมถึงท่าทางของสลักจันทร์ที่ก้มหน้าเดินผ่าน
เขาไปคล้ายกับจะซ่อนหยดน้ำตาไม่ให้เห็น ทำให้ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปคว้าต้นแขนเล็กๆ ของเธอไว้เพื่อหยุดการเคลื่อนไหว

“เพิ่งรู้ว่าคุณมีแฟน...” เขาละคำว่า ‘เป็นหนุ่มวิศวะ’ ไว้ ด้วยกลัวว่าความทรงจำแย่ๆ ที่ตกตะกอนนอนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจซอกที่ลึกที่สุด คล้ายๆ กับฉากที่หญิงสาวเผชิญอยู่เมื่อครู่ ซึ่งเขาอยากจะลบเลือนไปจากใจจะพลันปะทุขึ้นมา

ดูเหมือนหล่อนจะมีปัญหากับแฟนหนุ่ม...

‘เหมือน’ ที่เขาเคยมีปัญหากับอดีตแฟนสาว!

เจ้าหล่อนกำลังทำให้เขานึกถึงความเจ็บปวดในครั้งนั้น ความทรงจำสีเทาที่เคยรางเลือนค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในสมองและแจ่มชัดอยู่ในหัวใจอีกครั้ง…

ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาได้พบสลักจันทร์ ธรรศค้นพบว่าหญิงสาวช่างละม้ายคล้ายกับอดีตคนรักเช่นนิศานาถเหลือเกิน ราวกับมีเงาของหล่อนซ้อนทับอยู่ ไม่เพียงชื่อที่มีความหมายว่า ‘พระจันทร์’ เหมือนกันเท่านั้น ซ้ำร้ายพวกเธอยังเป็นสถาปนิกเหมือนกันอีกด้วย

และที่บังเอิญจนน่าหัวเราะก็คือ...เขาเพิ่งได้รู้ว่าหล่อนมีปัญหากับแฟนหนุ่มที่เป็นวิศวกร เหมือนกับตอนที่เขากำลังจะเลิกกับแฟนสาวไม่มีผิด!

ธรรศเหยียดริมฝีปาก ไม่รู้ว่ากำลังสมเพชตัวเองหรือหล่อนกันแน่... ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

‘เฮอะ! ผู้หญิงน่ะเจ้าเล่ห์ร้อยมารยาเหมือนกันทุกคนนั่นละ สลักจันทร์เองก็ไม่ต่างจากนิศานาถหรอก’

ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าอย่างดูแคลน เสมือนว่าหล่อนคือผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บช้ำ คนที่มากรักโลเลหลายใจ เที่ยวคอยปั่นหัวผู้ชายไปทั่ว!

สายตาของธรรศชัดเจนจนสลักจันทร์รู้สึกได้...

หญิงสาวหน้าตึง คอเชิด พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา แต่ไม่เป็นผล แม้จะออกแรงเต็มที่ สะบัดมือครั้งแล้วครั้งเล่า จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถปลดแอกตัวเองจากพันธนาการของอีกฝ่ายได้ เธอจึงเปลี่ยนวิธีมาใช้วาจาต่อต้านแทน

“กรุณาปล่อยมือดิฉันด้วยค่ะ”

ชายหนุ่มยืนนิ่ง เมินเฉย ยิ่งทำให้เธอที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วฉุนหนัก

“คุณทำให้ดิฉันวุ่นวายมามากพอแล้วนะคะ”

“ผมยังทำให้คุณปวดหัวได้มากกว่านี้อีก ถ้าคุณไม่ยอมตอบคำถามผมดีๆ ละก็”

“ดิฉันขอพูดเฉพาะเรื่องงานเท่านั้นค่ะ”

“แต่ผมเป็นนายจ้าง ผมถาม คุณต้องตอบ” คนที่เกลียดการถูกขัดใจมองหล่อนตาวาว ก่อนจะหรี่ลงกวาดมองเรือนร่างของหญิงสาวอย่างจงใจ ประหนึ่งจะให้สายตาคู่นี้ทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้าไปสำรวจตรวจตราถึงด้านใน “คุณยังเก็บความบริสุทธิ์ไว้ให้แฟนคุณจริงๆ น่ะหรือ”

แววหยามหยันในดวงตาคมกริบที่สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัด ทำให้คนถูกมองถึงกับหน้าร้อนฉ่าสลับกับชาดิก สลักจันทร์สูดลมหายใจลึกๆ พยายามเค้นเสียงเตือนเขาอย่างยากเย็น

“กรุณาให้เกียรติดิฉันด้วยค่ะคุณธรรศ!”

“ผมพูดไม่สุภาพตรงไหนล่ะ” เขายักไหล่

“ก็ตรงที่คุณละเมิดเรื่องส่วนตัวของดิฉันที่เป็นลูกจ้าง โดยที่ดิฉันไม่เต็มใจ แต่คุณก็ยังจะบังคับให้ดิฉันตอบอยู่นี่ไงล่ะคะ”

 “อ้อ...” เขาแกล้งลากเสียง “ผมก็นึกว่าตัวเองเผลอพูดแทงใจดำคุณ เรื่องที่ถามไปตรงๆ ว่าคุณเคยมีอะไรกับคนอื่น นอกจากแฟนตัวเองบ้างรึเปล่าซะอีก”

“คุณธรรศ!”

สลักจันทร์โกรธจนตัวสั่น นึกอยากจะต่อว่าด่าทอเขากลับไปให้เจ็บแสบไม่แพ้กันบ้าง แต่เธอจำต้องกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะยังยืนอยู่ในที่สาธารณะ แถมเอกภพก็กำลังเดินย้อนมาทางนี้ ขืนเธอตะเบ็งเสียงแว้ดออกไป ปัญหาที่เริ่มบานปลายจะยิ่งลุกลามใหญ่โตจนกู่ไม่กลับ หากแฟนหนุ่มใจแคบเกิดมาเห็นเธอยืนจับมือถือแขนกับผู้ชายคนอื่นอีกเต็มสองตา

เพราะรู้ดีว่าได้ไม่คุ้มเสีย หญิงสาวจึงหลีกเลี่ยงปัญหาด้วยการพยายามระงับโทสะ ดึงสติและใจให้เย็นลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ดิฉันคิดว่าไม่เหมาะที่เราจะคุยเรื่องส่วนตัวกันตรงนี้”

“คุยในที่แจ้งไม่เหมาะ งั้นคุยในที่ลับตาคนเป็นไง” คนพูดมองเธออย่างมีเลศนัย

สลักจันทร์พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา รู้สึกลำบากใจทุกครั้งที่ต้องคอยแก้เกมเจ้านายจอมวายร้ายร้อยเล่ห์ ร้อยอารมณ์ ร้อยลับลมคมใน มิหนำซ้ำยังหงุดหงิดหัวเสียง่ายยิ่งกว่าผู้หญิงวัยทองเสียอีก!

“ดิฉันจะไม่คุยอะไรกับคุณทั้งสิ้น”

“กลัวแฟนได้ยินรึไง”

เขาถามดักคอราวกับมานั่งอยู่ในใจเธอ หญิงสาวจึงสะบัดเสียงตอบ

“แล้วแต่คุณจะคิดค่ะ”

“งั้นผมจะคิดว่าคุณแกล้งแคร์แฟนก็แล้วกัน”

“ดิฉันยังมีงานอื่นต้องทำอีกเยอะนะคะคุณธรรศ ไม่มีเวลามาเถียงกับคุณเป็นเด็กๆ อยู่ตรงนี้นานหรอกค่ะ” เธอต่อว่าอย่างเหลืออด

แทนที่คนถูกตำหนิจะสลด เขากลับกระตุกยิ้มยั่ว ดวงตาแพรวพราวขณะเขยิบเข้ามาใกล้ ทำเอาหญิงสาวชักหวาดๆ เตรียมขยับเท้าถอยหนี แต่แล้วจู่ๆ เขาก็คืนอิสรภาพยอมปล่อยแขนเธอโดยดี ดวงตาคมกริบพลันกร้าวขึ้น สีหน้าดุดันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนคุยกับเธอหลายเท่านัก สลักจันทร์จึงเหลียวมองตามจุดมุ่งหมายที่สายตานั้นพุ่งไป...

เขาไม่ชอบผู้ชายที่มากับเอกภพอย่างนั้นหรือ

สลักจันทร์หันมองเขาด้วยแววตามีคำถาม คนที่เหมือนจะรู้ในข้อกังขาจึงเปรยๆ กลับมา

“คนที่มากับแฟนคุณคือนายไพฑูรย์ เป็นวิศวกรที่รับสร้างตึกและอาคารทุกรูปแบบ แถมยังเป็นคอนเซาแทนต์ให้คำปรึกษาปัญหาด้านการก่อสร้างด้วย เป็นคนที่เหลี่ยมจัด เก๋าเกม และซิกแซ็กเก่งน่าดูเลยละ”

“เขาเป็นคนไม่ดีเหรอคะ”

บางอย่างที่ไหวระริกอยู่ในดวงตาคมคู่สวยทำให้ธรรศเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แม้เดาได้ไม่ยาก แต่เขาก็ยังถาม เหมือนไม่อยากจะเชื่อหรือยอมรับสักเท่าไร

“เป็นห่วงแฟนหรือไง”

“คุณอย่ามาโยกโย้ได้ไหมคะ” หญิงสาวบอกอย่างรำคาญเต็มที

ธรรศหรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสีหน้าเป็นกังวลของสถาปนิกสาวชี้ชัดว่าเจ้าตัวกำลังหวาดหวั่นเพียงใด พลอยทำให้เขาอดนึกอิจฉาวิศวกรหนุ่มที่ยืนเคียงข้างคอนเซาแทนต์เหลี่ยมจัดอยู่อีกฟากฝั่งไม่ได้

“เตือนแฟนคุณไว้บ้างก็ดีนะ ตอนขึ้นขี่หลังเสือน่ะง่าย แต่ตอนลงมันลำบาก จะคบคนก็ควรดูประวัติและผลงานให้ดีๆ ไม่ใช่สักแต่มองเสื้อผ้าหรือเงินทองที่เขาหยิบยื่นให้ เพราะเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นมา ของพวกนี้แทบจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรในคุกไม่ได้เลย”

 

สลักจันทร์ยังคงเป็นกังวลกับคำพูดของนายจ้างหนุ่มที่บอกเธอเมื่อวันก่อนอยู่ไม่หาย...

คิ้วเรียวขมวดมุ่น ทำให้สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดอยู่แล้วยับยู่ยี่ ขนาดคนที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอยังสะดุด ถึงกับเอ่ยปากทักด้วยความสงสัย

“เป็นอะไรไปจันทร์ ทำไมหน้าย่นแบบนั้นล่ะ หรือว่าถ่ายไม่ออก”

แม้ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะล้อเล่น แต่หญิงสาวก็ยังรับมุกอีกฝ่าย

“ถ้าเป็นเรื่องแค่นั้น จันทร์ไม่หวั่นหรอกค่ะ”

พอเห็นหน้าเขาแล้วก็พลันนึกได้ เธอลองเลียบๆ เคียงๆ ถามปวีร์ดูดีกว่า เขาน่าจะรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับวิศวกรและคอนเซาแทนต์ที่อยู่กับเอกภพวันนั้นบ้างไม่มากก็น้อย

“พี่วีร์รู้จักนายไพฑูรย์ไหมคะ”

คราวนี้เป็นฝ่ายหัวหน้าหนุ่มที่ขมวดคิ้วทันที

“จันทร์ถามทำไม”

“จันทร์เห็นภพไปกินข้าวกับเขาค่ะ”

“เตือนแฟนเราให้อยู่ห่างๆ ไอ้หมอนี่เลยนะ!”

“เขาเป็นคนร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

น้ำเสียงเข้มขรึมของหัวหน้าหนุ่มพานให้เธอนึกถึงคำเตือนและสีหน้ากระด้างของนายจ้างหนุ่มวันก่อนขึ้นมาทันควัน ตอนนั้นเขาก็พูดกับเธอเหมือนปวีร์ในตอนนี้ แสดงว่านายไพฑูรย์คงมีประวัติโชกโชนเลยทีเดียว ดีไม่ดีอาจจะชื่อเน่าฉาวโฉ่ไปทั่ววงการเลยก็ได้  เอกภพไปคบค้าสมาคมกับคนแบบนั้น อย่างนี้จะไม่พลอยถูกหางเลขไปด้วยหรือไง หญิงสาวชักจะกลัวแทนเสียแล้วสิ

“จันทร์ควรเตือนภพยังไงดีล่ะคะ”

“ก็บอกไปว่าถ้าไม่อยากจบอนาคตด้วยการนอนคุก ให้รีบปลีกตัวออกมาซะ”

“ทำยังกับว่าภพเชื่อจันทร์อย่างนั้นละค่ะ” หญิงสาวเปิดใจโดยไม่ปิดบัง เพราะคนตรงหน้ารู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของเธอกับแฟนหนุ่มที่ระหองระแหงกันในระยะหลังเป็นอย่างดี

ปวีร์ฟังแล้วยิ่งขมวดคิ้วหนัก รู้สึกขัดใจ

“แฟนจันทร์นี่มันดื้อด้านชะมัด!”

“ไม่อย่างนั้นจันทร์จะบ่นว่าปวดหัวให้พี่วีร์ฟังทุกครั้งเหรอคะ”

“ปลงเถอะจันทร์ จันทร์พยายามทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าภพยังไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอีก ก็คงต้องปล่อยๆ มันไปบ้าง คนเราโตๆ กันแล้ว จันทร์คงบอกให้มันมีมโนสำนึกทุกเรื่องไม่ได้หรอก ของแบบนี้ต้องขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคนด้วยว่าจะคิดได้มากน้อยแค่ไหน”

ยิ่งฟัง หญิงสาวก็ยิ่งกลัดกลุ้ม เธอรู้ดีว่าปวีร์อยากให้กำลังใจเธอ อยากให้เธอปล่อยวาง เพราะไม่อยากให้คิดมาก ถ้าเธอทำได้แบบนั้นก็คงดี แต่อย่างไรเสีย...เอกภพก็เป็นเพื่อน เป็นคนรักที่เธอคบหาด้วยตอนนี้ อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นคนที่เธอรู้จัก จึงเป็นธรรมดาที่สลักจันทร์จะอดเป็นห่วงเอกภพไม่ได้

“แต่จันทร์ไม่อยากเห็นภพถลำลึกมากไปกว่านี้เลยค่ะพี่วีร์” หญิงสาวเอ่ยกับรุ่นพี่หนุ่มน้ำเสียงเศร้าๆ

“ทำไงได้ล่ะจันทร์ ทุกคนเลือกทางเดินเองทั้งนั้น ไม่มีใครขีดเส้นชีวิตให้ใครได้หรอกนะ ถึงจันทร์จะได้ชื่อว่าเป็นแฟนภพก็ตาม แต่สุดท้ายหมอนั่นก็ต้องเลือกเองอยู่ดีว่าจะเป็นวิศวกรที่ดี รักษาจรรยาบรรณ หรือแค่ขายลายเซ็นให้เจ้าของโครงการเพียงอย่างเดียว”

“พี่วีร์ทำให้จันทร์จะร้องไห้แล้วนะคะ” สถาปนิกสาวเบะปาก

“อ้าว...ไหงเป็นงั้น” ปวีร์ขำ พลางยื่นมือมาตบบ่าเธอเบาๆ “เราทำดีที่สุดแล้วนะจันทร์”

หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างซาบซึ้ง

“ถ้าเข้าใจแล้ว ก็เตรียมตัวออกไปพบลูกค้ากับพี่ข้างนอกไป จวนจะได้เวลานัดแล้ว”

“ค่ะ” สลักจันทร์รับคำ ก่อนจะรีบเก็บข้าวของจำเป็นลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ แล้วลุกขึ้นเดินตามคนที่นำหน้าไปก่อนอย่างรวดเร็ว

 

“เป็นอันว่าคุณกิตตินันท์อยากให้ทางเราออกแบบอาคารหลังเก่าย่านนางเลิ้งเป็นสไตล์ ‘ลอฟต์’ นะคะ”

“ครับ” ลูกค้าหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเศษพยักหน้า

“งั้นดิฉันขอสรุปอีกที เพื่อความเข้าใจตรงกันนะคะ”

“ดีครับ”

“สไตล์ลอฟต์ที่คุณกิตตินันท์ต้องการคือ เน้นใช้ประโยชน์จากพื้นที่กว้างขวาง หลังคาสูง เปิดโล่ง ให้แดดและลมพัดผ่านเข้ามาภายในได้อย่างเต็มที่ เน้นใช้วัสดุน้อยชิ้น เรียบง่าย โชว์เนื้อแท้ปูนเปลือย สีสนิม ให้บรรยากาศย้อนยุคแบบโรงงานอุตสาหกรรมนิดๆ เลือกใช้ของตกแต่งที่ดูดิบๆ อย่างเสาคอนกรีต คานเหล็ก หรือโครงไม้ แล้วเพิ่มความเท่ด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์สีทึมๆ โทนขาว ดำ หรือเทา จะเป็นน้ำตาลก็ได้ แต่ขอให้มีรูปลักษณ์คล้ายหรือเลียนแบบเครื่องจักรในสมัยก่อน” สถาปนิกสาวเว้นวรรคหายใจ ก่อนถาม “ตกลงตามนี้นะคะ”

 “ครับ” ลูกค้าหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ หลังจากฟังการนำเสนอแนวคิดของลูกจ้างสาวท่าทางทะมัดทะแมง “ผมตั้งงบไว้หนึ่งล้าน จะขาดเกินก็ไม่อยากให้หนีจากนี้มาก”

“รับรองว่าดิฉันจะออกแบบให้ดี จะพยายามคุมไม่ให้เกินราคานี้ค่ะ แต่ถ้าต้องเกินงบจริงๆ ก็ไม่น่าจะเกินหนึ่งแสนบาทแน่นอนค่ะ” หญิงสาวตอบเผื่อเหลือเผื่อขาด

“เยี่ยมครับ บอกตรงๆ ว่าผมไม่อยากให้งบซ่อมบ้านบานปลาย”

เห็นสีหน้าระอาของคนพูดแล้วสลักจันทร์ก็พอจะเข้าใจ เขาคงเจอ ‘ลูกเล่น’ จากบรรดาผู้รับเหมามาเยอะเสียจนขยาด...

มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาในแวดวงนี้ อย่างที่รู้ๆ กัน ช่างมักมีวิธีพูด วิธีดึงเงินและวิธีเอาเปรียบเจ้าของบ้านสารพัด ทั้งเรื่องงานก่อสร้างล่าช้า ปัญหาการละทิ้งงาน ลดเนื้องานได้เงินคืนนิดเดียว แต่ตอนทำเพิ่มกลับโดนชาร์จเต็มที่ ทุกอย่างล้วนเป็นเม็ดเงินที่ต้องเสียเพิ่มขึ้นทั้งนั้น

ดังนั้นเพื่อความสบายใจ สลักจันทร์จึงให้คำมั่นแก่เจ้าของตึกว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ดิฉันจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่ให้คุณกิตตินันท์ต้องเสียดายเงินสักบาทเดียวค่ะ”

“ดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะครับ” ลูกค้าหนุ่มมองสถาปนิกสาวอนาคตไกลด้วยแววตาขอบคุณจากใจ

สลักจันทร์ยิ้มรับ อุตส่าห์ดีใจว่ากำลังจะปิดจ๊อบนี้แบบสวยๆ แต่ก็พลันมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น

“จันทร์!”

หญิงสาวหันขวับไปทางต้นเสียง เห็นแฟนหนุ่มยืนหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ ก่อนจะปรายตามองไปยังปวีร์ที ลูกค้าที แล้วเหยียดปากพูดประชดประชัน ทำเอาเธออับอายแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี

“รู้สึกว่าช่วงนี้ภพจะเจอจันทร์อยู่กับผู้ชายคนอื่นบ่อยจังเลยนะ”

หญิงสาวรู้ทันทีว่าแฟนหนุ่มโยนระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงเสียแล้ว เธอมองหัวหน้าหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาลุแก่โทษ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ลูกค้าที่มีสีหน้างุนงง พลางกล่าวขอตัว

“จันทร์ขอตัวสักครู่นะคะ”

พูดจบ หญิงสาวก็ลุกขึ้นลากแฟนหนุ่มตัวดีออกไปจากที่ตรงนั้นโดยเร็วที่สุด!

 

“ภพฉีกหน้าจันทร์ต่อหน้าลูกค้าอีกแล้วนะ”

สลักจันทร์ขึ้นเสียง จงใจให้เขารู้ว่าคราวนี้เธอโกรธและไม่พอใจมากแค่ไหน แต่อีกฝ่ายกลับเบ้ปากอย่างไม่แคร์

“ภพพูดผิดตรงไหน”

“ตรงที่ภพไม่เคยไว้ใจจันทร์เลยไงล่ะ!” เธอสวนกลับอย่างเหลืออด ทั้งสีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงเบื่อหน่าย เหนื่อยล้าเหลือเกินที่ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับแฟนหนุ่มที่มีทัศนคติไปคนละทางอย่างสุดขั้วเช่นนี้ “เราเลิกกันดีไหม จันทร์สุดจะทนกับพฤติกรรมไร้เหตุผลแบบนี้ของภพเต็มทนแล้วนะ”

คนที่มีท่าทีไม่แยแสในตอนแรกพลันสะอึก ไม่เคยคิดว่าคำคำนี้จะหลุดออกจากปากของแฟนสาว

“นี่เรามาถึงจุดที่ต้องพูดจาร้ายๆ ทิ่มแทงกันแล้วใช่ไหมจันทร์”

“ภพเป็นคนเลือกเองนะ...” สลักจันทร์หลุบตาหลบแววตาตัดพ้อของคนพูดด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็ตัดสินใจเลือกที่จะพูดต่อไป “ความรักคือการเข้าใจ ให้อภัย ให้เกียรติ ไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่ภพไม่มีให้จันทร์เลยสักอย่าง ถามหน่อย...แล้วแบบนี้เรายังจะทนคบกันอยู่ทำไมฮึภพ”

“พูดแบบนี้แปลว่าที่ผ่านมา...จันทร์ฝืนใจคบกับภพมาตลอดเลยละสิท่า”

“หยุดหาเรื่องจันทร์สักที!”

ถึงแม้เธอจะเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เสียใจหรือไม่รู้สึกอะไรเลย คำแต่ละคำ กว่าที่เธอจะกลั้นใจพูดออกมาได้ ต้องบังคับสุ้มเสียงไม่ให้สั่นเครืออย่างยากเย็น เธอเองก็เจ็บปวดไม่แพ้เขาหรอก เธออยากรักษาสัมพันธภาพระหว่างกันไว้ก็จริง แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามมากเท่าไร ก็ยิ่งมีแต่แย่ลงมากเท่านั้น

สลักจันทร์คิดว่าแฟนหนุ่มคงไม่เข้าใจ...

เอกภพคงได้ยินเพียงแต่คำที่เธอบอก ‘เลิก’

เขาสนใจแต่ว่าเขา ‘เจ็บ’ แต่ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกปวดร้าวหรือเสียใจของเธอเลยสักครั้ง!

ขนาดในช่วงเวลาที่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พูดคุยกันในฐานะคนรัก เอกภพก็ยังไม่คิดที่จะลด ละ เลิก ยังคงตั้งหน้าตั้งตาถกเถียงกับเธอด้วยเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ ไม่เปลี่ยน

เมื่อไร…เอกภพจะมองเห็นตัวตนของเธอ จะเข้าใจความรู้สึกของเธอบ้าง!

หญิงสาวทอดถอนใจอย่างอ่อนล้า รู้ดีว่าต่อให้เรียกร้องอ้อนวอน เธอก็ไม่มีวันได้ในสิ่งที่อยากขอแฟนหนุ่มอย่างแน่นอน ซ้ำร้ายดูเหมือนอคติจะบังตาเขาจนมืดบอดไปแล้ว ทำให้เอกภพเข้าใจผิดว่าเธอแสนจะเอือมระอา อยากเลิกรากับเขาจนตัวซีดตัวสั่นเต็มที เขาจึงแดกดันกลับมาด้วยน้ำเสียงขุ่นจัด

“ไม่ต้องกลัวนะว่าภพจะยื้อจันทร์เอาไว้ ในเมื่อจันทร์อยากเลิกนัก ภพก็ไม่ขัดศรัทธา!”

หญิงสาวจ้องหน้าแฟนหนุ่มด้วยดวงตาร้าวราน

เกลียด...เวลาที่เขาพูดจาทำร้ายจิตใจเธอสารพัดแบบนี้จริงๆ

“ดูเหมือนเราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยสักนาทีนะ”

“ถามตัวจันทร์เองก่อนซี่” เขาตอกกลับเสียงดัง “เป็นภพเหรอ...ที่ชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ เอาแต่พูด เอาแต่หาเรื่องทำให้เราอารมณ์เสียจนพานทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา มีแต่ภพนี่แหละที่เป็นฝ่ายนิ่ง อดทนฟังจันทร์บ่นเรื่องงี่เง่าซ้ำซากอยู่ทุกวี่ทุกวัน”

คนฟังโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ชักอยากจะทำใจ ‘ปล่อยวาง’ ให้คนตรงหน้าได้ ‘เผชิญ’ และ ‘ผจญ’ กับผลของสิ่งที่เขากระทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่หนุ่มเสียแล้ว เธอจะเลิกหวังให้แฟนหนุ่มพูดจารู้เรื่องหรือยอมเข้าใจในความหวังดีของเธอเสียที สลักจันทร์รู้ซึ้งแล้วว่าการจะขอให้แฟนหนุ่มกลับตัวกลับใจ มันยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรหรือเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก!

“งั้นต่อไปภพเองก็ไม่ต้องกลัวเหมือนกัน จันทร์จะไม่ยุ่งไม่บ่นเรื่องที่ภพบอกว่างี่เง่าซ้ำๆ ซากๆ อีก เพราะจันทร์คงไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของภพแล้ว”

เอกภพกัดฟันกรอดๆ ยิ่งเดือดดาล เขาไม่ได้ตั้งใจจะเลิกกับสลักจันทร์เสียหน่อย แค่จะขู่ให้เธอกลัวว่าเขาก็เอาจริงเหมือนกัน แต่แทนที่แฟนสาวจะยอมอ่อนข้อ หล่อนกลับยิ่งดื้อด้านออกอาการต่อต้าน จนเขาโมโหแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!

“จันทร์จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม” เขาถามเสียงลอดไรฟัน

“ใช่!” สลักจันทร์ตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เราคงไปกันไม่ได้”

“ข้ออ้างควายๆ!” เอกภพตะคอกกลับใส่หน้าหล่อนเสียงดัง เริ่มจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ และไม่คิดจะทำด้วย

“ภพ!?” หญิงสาวตกใจ ไม่คิดเลยว่าคนที่เคยดีๆ ต่อกัน จะกลับพลิกผันทำตัวหยาบช้า เผยให้เห็นธาตุแท้สันดานดิบกันง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

สลักจันทร์นิ่งอึ้งตะลึงงันไปนาน กว่าจะคลำหาเสียงตัวเองเจอและถามเขาอย่างอ่อนระโหย

“ทำไมภพพูดกับจันทร์แบบนี้ล่ะ”

“ก็จันทร์ไม่ใช่แฟนภพแล้วนี่ จะพูดดีด้วยไปเพื่ออะไร” เอกภพเหยียดปาก มองอดีตคนรักหมาดๆ อย่างเย็นชา

หล่อนจะรู้สึกอย่างไร...จะเจ็บ จะปวด หรือร้องไห้ฟูมฟาย ก็ช่างหัวหล่อนสิ!

ทีหล่อนยังทำให้เขาเจ็บเลย แล้วทำไมเขาจะเอาคืนหล่อนบ้างไม่ได้ ในเมื่อหล่อนกำลังจะเป็นแค่ผู้หญิงแปลกหน้าที่เขาไม่ต้องแคร์อีกต่อไป...

“ต่อไปนี้จันทร์จะทำอะไรก็เชิญ อยากจะมีผัวใหม่สักสิบคนร้อยคนก็ตามสบาย อ้อ...ถ้าคันมากนักละก็ ภพขอแนะนำว่าให้อ่อยไอ้แก่เมื่อกี้ ไอ้ปวีร์ หรือไอ้เจ้านายกระเป๋าหนักคนนั้นแก้ขัดไปก่อนก็ได้นะ ภพไม่สน จันทร์จะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับภพทั้งนั้น...”

ผัวะ!

ร่างคนพูดล้มลงกองกับพื้นทันที ด้วยหมัดลุ่นๆ ของคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาทันได้ยินวาจาดูถูกเพศหญิงอย่างร้ายกาจ จนเขาสุดจะทนเฉยได้

“พี่วีร์! ภพ!” คนกลางยกมือปิดปาก ตกใจแทบสิ้นสติ

“มึงถอนคำพูดชั่วๆ ของมึงเดี๋ยวนี้!” ปวีร์ชี้หน้าไอ้ตัวดีอย่างเอาเรื่อง

“กูไม่ถอน! มึงจะทำไม”

“หน็อย! มึง...” ปวีร์พุ่งเข้าไปหมายจะยกขาเสยปลายคางคนพูดเสียให้เลือดกบปากด้วยความเข่นเขี้ยว แต่สลักจันทร์ผวาเข้ามาคว้าแขนของเขาเอาไว้ก่อน พลางร้องห้ามเสียงหลง

“อย่าค่ะพี่วีร์! จันทร์ขอ...”

หากไม่ถูกสลักจันทร์ขวางไว้เสียก่อนละก็ เชื่อเถอะว่าเขาได้ระดมมือประเคนเท้าใส่ไอ้คนที่ล้มกลิ้งแบบไม่ยั้งแน่

“ไอ้ชาติชั่ว! มึงเห็นรึยังว่าแฟนมึงดีแค่ไหน!”

“ถ้าดี มึงก็รับเดนกูไปสิ”

“ไอ้...” ยิ่งฟังเอกภพพูด ปวีร์ยิ่งควันออกหู เกิดคันไม้คันมือขึ้นมาติดหมัด อยากจะเข้าไปซัดไอ้คนที่เก่งแต่ปากให้หมอบกระแต แต่ติดตรงที่สลักจันทร์โถมกายเอาตัวเข้ายื้อยุดฉุดเขาเอาไว้อย่างสุดกำลัง พลางอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“อย่าค่ะพี่วีร์...อย่า...พอเถอะค่ะ จันทร์อายเขา”

“เราไม่ใช่คนผิด ไอ้คนที่มันคิดอกุศลกับแฟนตัวเอง ทั้งๆ ที่จันทร์รักมันมากขนาดนี้ต่างหากล่ะที่ควรจะอาย ให้ด่ามันว่า ‘ชั่ว’ ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับความคิดอุบาทว์ๆ ของมัน!”

“ช่างเขาเถอะค่ะ จันทร์ไม่อยากถือสาหาความ ยังไงก็คนเคยรักเคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน”

หญิงสาวน้ำตาคลอ พานจะไหลออกมาเสียให้ได้ ด้วยครั้งหนึ่งเขาก็คือคนที่เธอเคยฝากหัวใจไว้ แม้ว่าวันนี้มีหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่อง ‘เงิน’ ทำให้ความรักจืดจาง แต่สลักจันทร์ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าความรักที่เคยมีให้เขาหมดไปแล้วจากใจ เธอเชื่อว่าในซอกหลืบหัวใจ เธอยังคงวางเอกภพและรักแรกอยู่ในนั้นเสมอ

“จันทร์ขอนะคะ ขอให้จันทร์ได้เก็บความทรงจำที่ยังคงสวยงามเอาไว้ จากนี้...และตลอดไป”

“ไม่มีแล้วละจันทร์...ไอ้ความทรงจำเฮงซวยพรรค์นั้นน่ะ!”

เอกภพยกมือแตะมุมปากที่ห้อเลือด ขึงตามองคนที่ลอบทำร้ายเขาด้วยความเจ็บแค้น ก่อนจะยันกายลุกขึ้น ใจนึกอยากจะเข้าไปแลกหมัดกับชายชู้ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย ติดอย่างเดียวที่เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงจะเห็นปวีร์หุ่นพอๆ กับเขาก็จริง แต่เอกภพรู้ดีและได้พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายแข็งแรงกำยำผิดจากที่เห็นลิบลับ ดูจากน้ำหนักหมัดที่กระแทกหน้าเข้าเต็มๆ ทำเอาเขามึนไปชั่วขณะ ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ดังนั้นหนทางเอาคืนที่ดูจะสาแก่ใจกว่าก็คือ การใช้คำพูดกรีดเนื้อเถือหนังมันแทน

“ถ้ามึงอยากได้เมียกูมากนักละก็ ขอกันดีๆ ก็ได้ กูยกให้ฟรีๆ เลย เพราะเมียกูมันแรด อยากจะวิ่งแร่ตามมึงไปอยู่แล้ว”

“ไอ้ภพ! ไอ้หน้าตัวเมีย!”

น้ำอดน้ำทนที่เพียรสะกดกลั้นขาดสะบั้นลงทันที อย่าว่าแต่สลักจันทร์ที่หน้าชาแล้วชาอีก มือไม้อ่อน เพราะทนฟังคำพูดหยาบหยามของแฟนหนุ่มไม่ได้เลย แม้แต่ปวีร์ที่เป็นคนนอกยังรับไม่ได้ เขาอาศัยช่วงที่หญิงสาวหมดแรงเผลอปล่อยต้นแขนเขาประเคนหมัดลุ่นๆ เข้าปลายคางคนพูดจนหน้าหงาย เซล้มไม่เป็นท่าอีกครั้ง

“ภพ!” หญิงสาวรีบพุ่งตัวเข้าไปประคองแฟนหนุ่มด้วยความตกใจ แตะปลายนิ้วลงบนมุมปากที่มีเลือดไหลซิบๆ อย่างแผ่วเบา “เป็นอะไรไหม”

อย่างไรหญิงสาวก็ยัง ‘ห่วง’ เขา...

ตรงข้ามกับคนที่ได้รับความเห็นใจอย่างสิ้นเชิง เอกภพเบือนหน้าหนี พลางสะบัดมือออกอย่างรังเกียจ ก่อนจะหันมามองอดีตแฟนสาวกับชู้รักอย่างเคียดแค้น

“ไม่ต้องมายุ่งกับกู เพราะความร่านของมึงนั่นแหละ กูถึงต้องมาเจ็บตัวแบบนี้” คนเสียหน้าตะคอกกลับเสียงดังลั่น พร้อมโบ้ยความผิดทุกอย่างไปลงที่หญิงสาว

“มึงอยากโดนอีกใช่ไหม!” ปวีร์ขบกราม กำหมัดแน่น อยากจะตรงเข้าไปซ้ำไอ้คนปากเสียให้หนำใจนัก

เอกภพพลันเสียวสันหลังวาบ ในใจเริ่มหวั่นๆ เกิดปอดแหก ไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ จึงส่งเสียงเอะอะไล่หญิงสาวแทน

“จันทร์รีบกลับไปเลย แล้วก็เอาไอ้ชายชู้ของจันทร์กลับไปด้วย ภพไม่อยากมองหน้ามันให้เสียลูกตา!”

“จันทร์...”

“ไปเถอะ” ปวีร์ตรงเข้ามาฉุดแขนสลักจันทร์ให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินจากไป “ปล่อยมันทิ้งไว้ตรงนี้แหละ ไม่ต้องไปห่วงมัน เดี๋ยวเจ้าของคนใหม่ก็หาปลอกคอให้มันเองแหละ หมาโง่ๆ ตะกละตะกลามหิวโซจนไม่ดูตาม้าตาเรือก็เหมาะกันดีแล้วกับนักบุญในคราบคนบาป เมื่อไหร่ที่เขาใช้งานเสร็จจนหมดประโยชน์ เขาก็คงให้ไอ้หมาเซ่อๆ อย่างมันเป็นแพะรับบาปเมื่อนั้น  กว่ามันจะคิดได้ ไม่แคล้วคงต้องติดคุกหัวโตหรือไม่ก็นอนตายจมกองเลือดเหมือนหมาขี้เรื้อนตัวอื่นๆ ที่เคยโดนนั่นละ”

ปวีร์ไม่วายฝากคำพูดทิ้งท้ายไว้เตือนสติ เผื่อคนที่กำลังถลำลึกจะคิดได้ แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น