จากจุดที่คู่รักทะเลาะกันอย่างรุนแรงไม่ไกล...
ธรรศยืนสูบบุหรี่พร้อมกับฟังการสนทนาอย่างแกนๆ ติดแววรำคาญเสียด้วยซ้ำ ตอนแรกเขากะว่าจะดับบุหรี่แล้วเดินกลับเข้าไปดูแลลูกค้าคนสำคัญต่อ หลังปล่อยให้ลูกน้องรับรองแขกแทนตนมานานพอสมควร แต่พอได้ยินชื่อและน้ำเสียงคุ้นหูเท่านั้นละ สองขาก็พลันชะงัก หันหลังเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจว่าทั้งคู่โต้เถียงกันด้วยเหตุใด กระทั่งพอจับใจความได้ว่าฝ่ายหญิงกำลัง ‘ขอเลิก’ เพราะมีที่หมายใหม่...
แล้วไม่กี่นาทีต่อมา...หญิงสาวที่เขานึกดูถูกในใจก็กำลังก้าวผ่านหน้า พร้อมผู้ชายคนใหม่ที่แฟนเก่าของหล่อนตราหน้าว่าเป็น ‘ชู้รัก!’
“ไอ้วีร์”
“ไอ้ธรรศ!”
ธรรศหรี่ตามองทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ปวีร์เบิกตากว้าง คงคาดไม่ถึงว่าจะมาเจอเขาในสถานการณ์ชิงรักหักสวาทเช่นนี้ มือที่จับจูงหญิงสาวอยู่ปล่อยออกแทบทันทีราวกับโดนน้ำเดือดจัดลวกเอา ชายหนุ่มปรายตามองฝ่ายหญิงบ้าง สายตาคมกริบบ่งบอกว่าคิดอะไรอยู่อย่างเปิดเผย ทำเอาสลักจันทร์มีท่าทีอึดอัด ยืนไม่เป็นสุข ใบหน้าเริ่มแดงซ่าน ต่างจากเพื่อนรักที่ปรับเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว วางมาดนิ่งเฉย ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มาทำอะไรที่นี่”
คนถูกถามยักไหล่ “จะเอาคำตอบจริงๆ หรือเล่นๆ ล่ะ”
“แล้วมีตอบแบบเล่นๆ ด้วยหรือไง”
ธรรศกระตุกยิ้มชอบใจที่เพื่อนชงคำถามให้ เขาอยากตอบใจแทบขาดอยู่แล้วว่ามายืนทำอะไรตรงนี้
“ถ้าให้ตอบตามความจริง...ฉันพาลูกค้ามาเลี้ยงรับรอง แต่ถ้าตอบแบบไม่ซีเรียสก็คงต้องบอกว่า...มายืนดูละครน้ำเน่าฉากหนึ่ง!”
“ไอ้ธรรศ! พูดให้มันดีๆ หน่อย” ปวีร์เตือนอีกฝ่ายเสียงเข้ม บอกให้รู้ว่าเขาไม่มีอารมณ์มาหยอกล้อมุกฝืดๆ ของมันเขาเพิ่งหงุดหงิดกับคำพูดหมาๆ ที่หลุดออกจากปากแฟนหนุ่มของสลักจันทร์มาหยกๆ แล้วยังต้องหัวเสียกับคำพูดไม่คิดของเพื่อนรักอีกหรือ
“ฉันพูดอะไรผิดล่ะ” ธรรศย้อนกลับนิ่มๆ
แค่มองตา...ปวีร์ก็เข้าใจแล้วว่าเพื่อนหนุ่มกำลังคิดอะไร และเขาไม่ชอบเลยยามที่ธรรศทำตัวพาลพาโลไร้เหตุผลแบบนี้
“จันทร์ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายแบบที่แกเคยเจอ”
“อ้อ...”
คนฟังพยักหน้า ลากเสียงยานคาง แกล้งทำเหมือนว่าเชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูดเสียเต็มประดา ทำให้คนมองยิ่งฉุนหนัก อยากจะด่ากลับให้หน้าหงาย แต่เพราะยังเป็นห่วงความรู้สึกของรุ่นน้องสาวอยู่มาก ปวีร์จึงหันไปบอกว่า
“จันทร์ไปรอพี่ที่รถก่อนนะ พี่ขอคุยธุระกับเพื่อนสักครู่ แล้วจะตามไป”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำด้วยความเต็มใจ แทบจะพุ่งพรวดจากไปทันควัน ชั่วโมงนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทะเลาะหรือสนใจฟังใครแดกดันเธอทั้งนั้น เพราะเธอกำลัง ‘เจ็บ’ หัวใจ...
ทั้งจุก ทั้งเจ็บและผิดหวังอย่างแสนสาหัส จนแทบยืนไม่อยู่!
ปวีร์มองตามร่างบางสูงโปร่งจนพ้นจากสายตา แล้วจึงหันมาต่อว่าคนที่จงใจซ้ำเติมให้สลักจันทร์เจ็บปวดมากยิ่งขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนจัด
“แกไม่มีคำพูดที่มันดีกว่านี้แล้วรึไง”
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แกก็รู้ดีนี่นา จะมาหงุดหงิดอะไร”
“หงุดหงิดที่แกทำเหมือนว่า...ผู้หญิงทั้งโลกเหมือนนิศานาถ!”
รอยยิ้มหยันหุบฉับ สีหน้าธรรศพลันบูดบึ้ง กดเสียงต่ำเตือนคนพูดให้พึงระวังไว้จงหนัก
“อย่าเอ่ยชื่อนั้น”
“ฉันก็ไม่อยากพูดนักหรอก แต่แผลมันยังกลัดหนอง แกก็ต้องบ่มออก ถึงจะหายสนิท”
“ไม่จำเป็น!” ธรรศตวาดลั่น
“จำเป็นสิ! เพราะแกไม่เคยลืมอดีตเลยแม้แต่วันเดียว”
“เรื่องงี่เง่าไร้สาระพรรค์นั้น ฉันไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมองหรอก”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แกจะพาลหาเรื่องฉันหาเรื่องจันทร์ทำไม” ปวีร์สวนทันควัน
เขาตั้งใจจะตอกหน้าคนปากพล่อยกลับไปบ้าง แต่พอเห็นแววตาแข็งกร้าวที่ซุกซ่อนความปวดร้าวของเพื่อนรัก ก็ถอนหายใจ พยายามดึงตัวเองให้ใจเย็นลง แล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยเหตุผลเหมือนดังเช่นทุกครั้ง
“ฉันรู้ว่าอดีตของแกไม่ค่อยน่าโสภาเท่าไร แต่แกจะเที่ยวพาลเห็นใครเป็นตัวแทนนิศานาถแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม จันทร์ก็คนหนึ่งละ...เขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือทำให้แกเจ็บสักหน่อย ฉันอยากให้แก ‘ลบ’ ความทุกข์เดิมๆ อดีตเก่าๆ แล้วโยนมันทิ้งไปให้หมดจากใจซะ ไม่ใช่แค่แกล้งทำเป็น ‘ลืม’ เท่านั้น
“แกจะได้เห็นโลกที่สดใสมากกว่านี้ ดีกว่าจมอยู่ในโลกมืดๆ สีหม่นๆ ของแกต่อไปไม่รู้จบ ขืนแกไม่ยอมลืมอดีตละก็ ชาตินี้แกไม่มีวันมีความสุขได้หรอก เพราะแกจะมองใครต่อใครเป็นผู้หญิงหลายใจเหมือนที่แกเคยเจอไปหมด”
คนถูกจี้ใจดำขบกรามแน่น แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนรัก แต่ก็อย่าริอ่านมาสั่งสอนเขาเป็นอันขาด เขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าโง่ในวันวานอีกแล้ว...
“แกอย่ามาทำเป็นรู้ดีไปกว่าตัวของฉันเลย..ไอ้วีร์”
“แกมันก็พวกปากหนัก ไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็น ฉันถึงต้องชี้ให้เห็นไงล่ะ”
“แล้วสิ่งที่แกเป็นล่ะ แกรู้ตัวบ้างรึเปล่า” ธรรศย้อน ไม่ยอมรับในสิ่งที่เพื่อนรักพูดถึงตัวเขาง่ายๆ
“ถ้าแกจะหมายถึงเรื่องฉันกับจันทร์ละก็ มันไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น ฉันขอยืนยัน” ปวีร์บอกอย่างหนักแน่น สบตาเพื่อนหนุ่มไม่ยอมหลบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ
แต่เจ้าตัวกลับเหยียดปาก เลิกคิ้วถามกลับ
“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมแฟนเขาถึงได้หาว่าแกเป็นชู้ล่ะ”
“ก็คนมันบ้า! มันขาดสติ! มันก็คิดได้แค่เรื่องชั่วๆ พรรค์นั้นแหละ”
“แกแน่ใจนะ”
ปวีร์มองหน้าเพื่อนหนุ่มอย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายหรี่ตามองเขาราวกับจะจับผิดให้ได้
“แกจะหาเรื่องฉันอีกคนใช่ไหม”
“เปล่า” ธรรศยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ ผิดกับแววตาจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่น “แต่ฉันแค่สงสัยว่าไอ้วีร์ที่ฉันรู้จักหายไปไหน”
“ฉันเป็นยังไง” ปวีร์ถามกลับอย่างนึกหมั่นไส้
“ไอ้วีร์ที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนใจร้อนแบบนี้”
คนฟังสะอึก ยอมรับว่าวันนี้เขาอารมณ์ร้อน ทำอะไรวู่วามเกินไปจริงๆ แต่ถ้าใครตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา แล้วยังใจเย็นได้อีก ก็คงใจดำเกินคนไปแล้วละ
“แกนึกว่าฉันเป็นพระอิฐพระปูนหรือไง เห็นน้องนุ่งกำลังเดือดร้อนแล้วยังยืนเฉย ไม่ยอมช่วย”
“แต่อย่างน้อยแกก็น่าจะใจเย็นมากกว่านี้นี่ ไม่ใช่ไปตะลุมบอนกับเขาแบบนั้น แกพูดเองไม่ใช่เหรอว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง...”
แม้ธรรศจะละคำพูดบางคำเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่คนมองก็รับสารได้เป็นอย่างดี ในเมื่อสายตาของเจ้าตัวนั้นฟ้องอยู่โต้งๆ ว่า
‘หรือมันจะเป็นความจริง’
คนที่เพียรระงับโทสะครั้งแล้วครั้งเล่ากลอกตาอย่างเอือมระอาเต็มทน เขาเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าพูดกับ ‘คนพาล’ ต่อให้ใช้ความมุ่งมั่นพยายามสักเพียงไหน ก็ไม่มีทางเข้าใจได้หรอก ถ้าคนมันไม่คิดจะเปิดหู เปิดตา และเปิดใจรับฟังเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจึงตัดบทสั้นๆ
“ฉันคบกับจันทร์ฉันพี่น้อง ไม่ได้กิ๊กกัน...จบ!”
“แต่ฉันก็ยังอดข้องใจไม่ได้ คนที่อารมณ์ดี ใจเย็นเป็นแม่น้ำ แถมคอยเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนๆ ในกลุ่มอยู่เสมออย่างแก ทำไมถึงได้ฟิวส์ขาดแบบนั้น”
ปวีร์นึกเข่นเขี้ยว ไอ้เขารึอุตส่าห์บอกว่าจบแล้วแท้ๆ จบก็คือจบ แต่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับไม่อยากจบเสียอย่างนั้น ตั้งท่าจะให้เขาปีนต้นงิ้วให้ได้ อยากให้พ่อเล่นบททศกัณฐ์นักใช่ไหม...ได้!
“ไอ้ธรรศ! ถ้าแกยังไม่หยุดพล่ามละก็ ฉันต่อยแกปากแตกแน่!”
“แล้วที่ฉันเห็นแกจับมือกับเขาเมื่อกี้ล่ะ แกจะอธิบายว่ายังไง”
แน่ะ! ไอ้หน้าด้าน โดนเขาด่าขนาดนี้แล้วยังจะมาตีมึน เซ้าซี้ถามไม่เลิกอีก
“ไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งนั้นแหละ”
“งั้นก็แปลว่าสิ่งที่ฉันสงสัย...ถูกต้อง?”
“แกจะคิดอะไรก็เชิญ แต่ฉันมีงานต้องทำ ไม่ว่างมาคุยกับแกให้เสียทั้งเวลาเสียทั้งอารมณ์หรอก” แล้วคนพูดก็หันหลังเดินหนีไปทันที
ธรรศมองตามแผ่นหลังของเพื่อนรักด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ และเมื่อใดที่เขายังไม่ได้คำตอบ ธรรศจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ดวงตาคมกริบมองอย่างหมายมาดว่าจะทำบางสิ่ง เพื่อพิสูจน์ความคิดของเขาให้จงได้...
วันนี้สลักจันทร์แทบไม่มีสมาธิทำงานเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะมีสายตาคู่หนึ่งคอยจ้องจับผิดเธออยู่ตลอดเวลา...
‘เขาไม่มีงานไม่มีการทำรึไงนะ!’
สถาปนิกสาวแอบค่อนนายจ้างหนุ่มในใจ ก่อนเอ่ยปากถามออกไปไวเท่าความคิด
“วันนี้เลิกงานเร็วเหรอคะ...”
‘ถึงมาคอยจับผิดฉันอยู่ได้’ ประโยคหลังสลักจันทร์ละไว้ให้อยู่เพียงในความคิดเท่านั้น
คนที่นั่งไขว่ห้าง เอนกายอย่างสบายอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ปรายตามองเธอ แล้วยักไหล่
“เปล่า”
“แล้วคุณมานั่งเฝ้าดิฉันอยู่ทำไมกันล่ะคะ”
‘...น่าจะไปทำงานหรือทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่านี้นะคะ’ สลักจันทร์ละคำพูดไว้เช่นเคย...
เหมือนธรรศเองก็รู้ว่ากำลังโดนค่อนขอดอยู่ ร่างสูงใหญ่จึงยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกว่าร้อยแปดสิบ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ขณะก้าวย่างเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ โต๊ะเขียนแบบที่สถาปนิกสาวจับตั้งขึ้นสี่สิบห้าองศาเพื่อนั่งสเกตช์แบบ
สลักจันทร์มองตามเขาด้วยแววตามีคำถาม...
ไม่ถึงอึดใจ เขาก็เฉลยให้เธอรู้ด้วยการโน้มกายลงมาหา มือหนาวางยันบนโต๊ะเขียนแบบ แววตาบ่งบอกถึงความรู้สึกบางอย่างยามที่ทอดลงมองเรือนร่างของเธออย่างเปิดเผยไม่เกรงใจ
“ไอ้วีร์มันไม่ได้คิดกับคุณแค่พี่ชายใช่ไหม”
หญิงสาวเข้าใจความหมายในแววตาคู่นั้นทันที ใบหน้าชาดิก เพราะโดนเขาตบซ้ำๆ อย่างไม่ปรานีด้วยคำพูดที่แสนจะหยาบหยามกัน
“คุณธรรศ!” สลักจันทร์แผดเสียงลั่น โกรธจนเกินระงับ ลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วหันมาประจันหน้ากับเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ “กรุณาคิดอะไรให้มันสร้างสรรค์กว่านี้หน่อยค่ะ อย่าให้คนอื่นที่เขาได้ยินคำพูดมักง่ายแบบนี้ดูถูกคุณได้ว่า ที่แท้มันสมองระดับผู้บริหารก็ไม่ต่างจากพวกมดปลวกเลยสักนิด คิดได้แต่เรื่องที่ต่ำกว่าเอว”
คนฟังกระตุกยิ้มแทนที่จะแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดเหมือนทุกครั้ง ทำราวกับสิ่งที่เธอต่อว่าต่อขานเขานั้นไม่มีผล ไม่ระคายหูเขาเสียด้วยซ้ำ ที่ร้ายกว่านั้นเขายังเขยิบเข้าไปใกล้ชิดเธอมากขึ้น จงใจเคลื่อนมือมาหยุดอยู่ข้างๆ เอวเธอ ปิดทางอีกด้าน เท่ากับว่าตอนนี้สลักจันทร์ไม่มีที่ว่างให้เขยิบหนีไปไหน เพราะข้างเอวทั้งซ้ายขวาต่างก็ถูกกักกันไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงของคนที่นึกอยากเท้ามือลงมา ก็ทำอย่างไม่มีเกรงใจ ไม่มีการส่งสัญญาณเตือนใดๆ ให้เธอรู้ตัวล่วงหน้าอีกด้วย มิเช่นนั้นสลักจันทร์ไม่มีทางเสียท่าตกอยู่ในวงแขนของเขาเหมือนคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนี้หรอก
“คุณจะทำอะไรน่ะคุณธรรศ เขยิบออกไปเดี๋ยวนี้!”
สลักจันทร์แว้ดใส่เขาเสียงสั่น พลางยกมือขึ้นกันอกกว้างที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงมาหาคล้ายกับจะแกล้งกัน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงชายที่มีมากกว่าเธอหลายขุมได้ เธอจึงต้องเอนกายหนีจนแผ่นหลังเกือบจะแนบไปกับกระดานเขียนแบบอยู่รอมร่อ เพราะเกรงว่าความใกล้ชิดที่ดูจะมากเกินควรไปเสียแล้ว จะยิ่งทำให้เธอเพลี่ยงพล้ำถูกเขาเอารัดเอาเปรียบมากกว่านี้ ปากก็คอยร้องสั่งเขา
“ฉันบอกให้กระเถิบออกไปไงล่ะคะ คุณน่าจะฟังภาษาไทยง่ายๆ แค่นี้ออกนะ!”
เจ้าตัวยังทำเฉย ไม่ยอมถอยออกไป แถมยังย้อนถามกลับว่า
“แบบนี้ใช่ไหม...เรื่องต่ำกว่าเอวที่คุณหมายถึง”
หญิงสาวตะลึงงัน เบิกตากว้าง คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้
“คุณธรรศ...กรุณาพูดจาสุภาพและให้เกียรติดิฉันด้วยค่ะ”
ธรรศยิ้มเยาะ ส่ายหัวอย่างยียวนกวนประสาทคนมองเป็นที่สุด
‘เฮอะ...ผู้หญิง!’
แค่เขาทำเป็นสนใจ จงใจเข้าหา แกล้งทำตัวสนิทชิดเชื้อสัมผัสหล่อนเบาๆ ขี้คร้านพวกหล่อนก็พากันหวั่นไหวใจระทวยเสียแล้ว แบบนี้ยังจะให้เขาเชื่ออีกหรือว่า แม่สาวตรงหน้ากับเพื่อนสนิทไม่เคยคิดอะไรเกินเลยต่อกัน เหมือนที่ทั้งคู่พยายามปฏิเสธ...
เขาไม่เชื่อ!
ไม่มีวันโง่...หลงเชื่อมารยาร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงอีกเป็นอันขาด!!
“เท่าที่พูดกันอยู่นี่ ผมคิดว่าผมสุภาพกับคุณมากแล้วนะ” ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังยืนยันคำพูดด้วยการกวาดสายตาโลมเลียมเรือนร่างหล่อนราวกับจะเปลื้องผ้า
“คุณธรรศ!”
สลักจันทร์ไม่ขอทนกับความกักขฬะของผู้ชายที่มีดีแค่หน้าตาอีกต่อไป สองมือที่ยันกายเขาอยู่ดันชายหนุ่มให้ออกห่างจากตัว พยายามรวบรวมแรงสุดกำลังดิ้นรนขัดขืน เพื่อให้เธอเป็นอิสระจากเขา ไม่อาจอยู่ใกล้คนที่มีความคิดน่ารังเกียจได้อีกแม้แต่นาทีเดียว เพราะชิงชังคำพูดและการกระทำของเขาสุดหัวใจ
คำพูด...ที่เหมือนกับสิ่งที่แฟนหนุ่มเคยดูถูกเธอ
คำพูด...ที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่กันอย่างโหดร้าย
และ...เธอก็เจ็บมามากจนเกินพอแล้ว!
“รู้ไหมคะว่าชุดสูทราคาแพงๆ ที่คุณใส่อยู่หรือความรู้สูงๆ ที่คุณมี แม้กระทั่งเงินที่คุณมีท่วมหัว มันไม่ได้ช่วยยกระดับให้คุณมี ‘ความคิดที่ดี’ เสมอไป”
“แล้วยังไง”
ชายหนุ่มยักไหล่ไม่แยแส มองใบหน้าแดงก่ำที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรือขัดเขินกันแน่ สบดวงตาแวววาวของหญิงสาวด้วยความท้าทาย สองแขนกระชับเอวหล่อนไว้มั่นไม่ยอมปลดพันธนาการง่ายๆ ก่อนจะตอกกลับด้วยถ้อยคำที่แสบสันพอกัน
“ผู้หญิงที่แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิด ก็ใช่ว่าจะ ‘ยาก’ เสมอไป”
หญิงสาวเม้มปากแน่น จนแทบห้อเลือด
“ดิฉันจะ ‘ยาก’ หรือ ‘ง่าย’ มันเกี่ยวอะไรกับคุณคะ”
“ที่จริงก็ไม่เกี่ยวกับผมหรอกนะ อ้อ...ไม่สิ ต้องบอกว่าผมไม่เคยใส่ใจเลยต่างหาก คุณจะไปหลอกลวงใช้มารยากับผู้ชายคนไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับไอ้วีร์ เพื่อนรักผมคนนี้เป็นคนดี ดี...เกินกว่าที่ผมจะยอมให้แปดเปื้อนเพราะผู้หญิงร้อยเล่ห์อย่างพวกคุณ”
“คุณธรรศ!”
เผียะ!
เกิดเสียงดังสนั่น เมื่อมือบางเงื้อขึ้นแล้วตวัดลงบนซีกแก้มของคนปากร้ายสุดแรงเกิด จนใบหน้าหล่อเหลาสะบัดหันไปตามฝ่ามือ สติของหญิงสาวขาดผึงไปแล้ว จึงไม่ทันยับยั้งชั่งใจคิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าผลของการกระทำในครั้งนี้จะเป็นเช่นไร เธอขอเพียงให้ได้สั่งสอนผู้ชายจอมยโสที่ชอบดูหมิ่นเพศหญิงอย่างเขาให้หายเจ็บใจเป็นพอ
“ที่ดิฉันเกลียดที่สุดก็คือการดูถูกคนค่ะ โดยเฉพาะคนที่เป็นเพื่อนสนิท ดิฉันจะยิ่งเชื่อใจและไม่มีวันคิดอะไรสกปรกด้วยเด็ดขาด...อ๊ะ!”
“สลักจันทร์!”
เขาคำรามลั่นสวนขึ้นมา พร้อมๆ กับจัดการรวบสองแขนของเธอ ดันร่างให้นอนราบลงบนโต๊ะเขียนแบบโดยไม่ให้เธอตั้งตัว ทำให้สภาพของสลักจันทร์ตอนนี้ล่อแหลมกึ่งยืนกึ่งนอน มีเขายืนคร่อม กางแขนกางขาขึงพืดมือทั้งสองไว้ด้วยท่อนแขนทรงพลังกักกันอิสรภาพของเธอ ก่อนที่เสียงห้าวจะเอ่ยลอดไรฟันออกมา
“ลองทำแบบเมื่อกี้นี้ดูสิ”
สลักจันทร์ขบฟันแน่น เจ็บก็เจ็บ กลัวก็กลัว หายใจแทบไม่ทั่วท้อง แต่เธอจะไม่ทนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขามาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเธออีกเด็ดขาด จึงท้าทายเขากลับไป
“คุณก็ลองปล่อยมือฉันดูสิคะ”
“ถ้าผมทำแบบนั้น คุณจะต้องเสียใจทีหลังแน่”
ทีแรกหญิงสาวยังไม่เข้าใจความหมาย แต่พอถูกเขารวบข้อมือทั้งสองข้างด้วยมือเดียว แล้วเลื่อนมือข้างที่ว่างลงมาวางพาดชายโครง ใต้ทรวงอกลงมาเพียงนิด กายสาวก็พลันสะท้านเฮือก ตาเบิกโพลง หน้าร้อนเห่อ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ วูบวาบตามร่างกายขึ้นมาทันที ดั่งใครเอาน้ำเดือดมาราด แล้วสาดซ้ำด้วยน้ำเย็นจัด
“ถ้าคุณกล้าตบผมอีกทีละก็ ผมจะไม่เพียงแค่จับมือคุณเฉยๆ เท่านั้นนะ แต่ผมจะแตะต้องร่างกายของคุณทุกส่วนที่ผมสามารถทำได้ เหมือนตอนนี้ไงล่ะ!”
“คุณจะทำอะไรน่ะ!” เธอร้องถามเสียงหลง สีหน้าตื่นตระหนก
ธรรศก้มหน้าลงมาหา จงใจเคลื่อนผ่านริมฝีปากอวบอิ่มไปอย่างเฉียดฉิวมาชิดใบหู แล้วกระซิบ
“คุณก็น่าจะรู้ดีนี่นาว่าผมจะทำอะไร”
“อย่านะ!”
สลักจันทร์อยากจะหลับตา ไม่กล้ามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองต่อจากนี้ ทว่าในความเป็นจริงเธอได้แต่จับจ้องมองใบหน้าที่กำลังลอยเด่นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ตื่นเต้นระคนหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน
“อย่าทำเป็นไม่เคยไปหน่อยเลยสลักจันทร์ ผมเอียนไอ้ท่าทางอินโนเซนส์ของคุณเต็มทีแล้ว”
รอยยิ้มเยาะที่ตอกย้ำย่ำยีศักดิ์ศรีของเธอให้จมธรณี เปรียบเสมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองเพลิงที่กำลังลุกโชน ทำให้คนฟังมีลูกฮึดขึ้นมาทันตา สลักจันทร์ออกแรงดิ้นรนอีกครั้ง ทั้งขืนตัว สะบัดแขนเร่าๆ สองขาก็เตะสะเปะสะปะไปมั่วๆ หวังให้โดนจุดสำคัญตรงไหนของเขาก็ได้สักจุด เพื่อที่เธอจะได้หลุดพ้นจากพันธนาการของผู้ชายที่น่าชิงชังทั้งตัวและหัวใจคนนี้ แต่ทุกอย่างที่เธอทำเหมือนสูญเปล่า เจ้าตัวไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด ยังคงยืนปักหลักเหมือนปราการอันแข็งแกร่ง จองจำเธอไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงเหมือนเดิม
“ปล่อยฉัน!”
“ดิ้นไปก็เท่านั้นละ”
“คุณมันก็ดีแต่ชอบรังแกผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้”
“ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบให้ทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ มันเร้าใจดีไหมล่ะ” ธรรศเลิกคิ้วเหมือนถาม แต่ความจริงแล้วเขากำลังตราหน้าหล่อน ตราหน้าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่เว้นแม้แต่คู่หมั้นสาวที่มักออดอ้อนให้เขาร่วมรักด้วยความเร่าร้อน
“คุณมันโรคจิต!” สลักจันทร์บริภาษเขาอย่างเดือดดาล ไม่สนแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นเจ้านายหรือคนจ่ายเงิน เธอสนเพียงแต่การปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวเองที่ถูกผู้ชายร้ายกาจย่ำยี
“โรคจิตตรงไหน เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ คุณเองก็คุ้นเคยดีนี่”
สาบานได้...ถ้าหากตอนนี้เขาปล่อยมือเธอละก็ เธอจะไม่ยอมพลาดโอกาสตบหน้าหล่อๆ สั่งสอนเขาอีกครั้งให้สาแก่ใจเป็นแน่ แค่เห็นสายตาโลมเลียมที่มองเธอทั่วทั้งเรือนร่าง หญิงสาวก็หน้าชาแล้วชาอีก อับอายจนอยากจะกลั้นใจตายเสียให้พ้นๆ ไม่ต้องเอ่ยถาม เธอก็รู้ว่าเขากำลังคิดถึงเธอในเรื่องใด
“ดิฉันไม่ใช่คนใจง่าย!”
“ตอนแรกผู้หญิงทุกคนก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น แต่พอขึ้นเตียงปุ๊บ ก็กลายร่างเป็นนางแมวยั่วสวาททุกราย...หึๆ”
“ถ้าคุณชอบแบบนั้น ทำไมไม่ไปหาคนที่เขาเต็มใจล่ะ”
“จะบอกว่าคุณไม่เต็มใจงั้นสิ” ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าประหลาดใจ
“ใช่! ฉันไม่เต็มใจ ฉันเกลียดคุณ คุณธรรศ ขอให้รู้เอาไว้ด้วย!”
หญิงสาวตะโกนใส่หน้าเขา นึกอยากจะประทุษร้ายคนปากเสียให้หายเจ็บใจ แต่ทำไม่ได้ดังที่หวัง ด้วยสรีระและสภาพร่างกายที่อ่อนแอบอบบางกว่า ไม่อย่างนั้นเธอจะขอสู้จนตัวตายเลย…คอยดู!
สลักจันทร์ละความคิด เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างรื่นรมย์ของอีกฝ่าย
“ปากไม่ตรงกับใจรึเปล่า”
“ฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง!”
“แต่ผมว่าคุณก็แค่อยากจะอัปค่าตัวมากกว่า อยากได้เท่าไรล่ะ ผมมันคนใจป้ำ จ่ายไม่อั้นอยู่แล้ว”
“เก็บเงินสกปรกของคุณเอาไว้เถอะค่ะ เพราะดิฉันไม่คิดจะขายตัวให้แก่คนที่น่าขยะแขยงแบบคุณ!”
ธรรศยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ยั่วยวนที่สุดเท่าที่เขาเคยยิ้มให้ผู้หญิง
“แต่แปลกนะ...ผมกลับเริ่มพิศวาสคุณขึ้นมานิดๆ ซะแล้วสิ สงสัยคงเป็นเพราะผมอยากพิสูจน์ว่า ไอ้ท่าทางที่คุณพยายามแสดงออกว่าไม่เคยน่ะ มันจริงหรือเก๊กันแน่”
สลักจันทร์โกรธจนเลือดขึ้นหน้า จึงสาดวาจาเผ็ดร้อนกลับไปอย่างไม่ยอมลดราวาศอก
“ฉันเองก็กำลังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคุณเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่รึไง ถึงได้ชอบดูถูกเพศแม่จัง”
“สลักจันทร์!” ธรรศตวาดก้อง ความสำราญพลันเหือดหายไปจากใบหน้า เป็นอีกครั้งที่เขาโกรธผู้หญิงตรงหน้าจนฟิวส์ขาด
หล่อนหาว่าแม่ของเขาเป็นกระบอกไม้ไผ่!
หล่อนกล้าดียังไง…ถึงได้บังอาจล่วงเกินผู้หญิงคนนี้ คนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘แม่’ ผู้หญิงที่เขารักและเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใด!
จะด่าจะว่าอะไร เขายังพอทำเนา แต่…ห้ามแตะต้องแม่ของเขาเด็ดขาด!
ธรรศไม่หลงเหลือสติอีกต่อไป เขาจะต้องจัดการสั่งสอนแม่สาวปากกล้าให้สาสม ใบหน้าคมคายฉกวูบลงมาหมายจะบดขยี้ริมฝีปากช่างยอกย้อนคู่นี้ เพื่อลงทัณฑ์ให้มันเข็ดขยาดไปอีกนาน
สลักจันทร์สะบัดหน้าหนี เม้มปากแน่น พยายามขืนตัวต่อต้านเขาสุดกำลัง แม้จะรู้ดีว่าแทบไม่มีหวังเลยก็ตาม...
คนมองยิ้มเยาะ สีหน้าเย็นชา คิดหรือว่าใช้มุกเดิมๆ แบบนี้กับเขาแล้วจะได้ผลอีก แค่เขาออกแรงกดตัวหล่อนเพิ่มอีกนิด หล่อนก็กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มตั้งใจสอนเชิงรักที่เจนจัดกว่ามากด้วยการเปลี่ยนเป้าหมายจากริมฝีปากมายังซอกคอขาวผ่อง ค่อยๆ ปล่อยให้ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดผิวสาวอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะอ้าปากขบงับผิวสวยๆ อย่างไม่เบานักจนเป็นรอยแดง ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว
“อ๊ะ!...”
เขารอเวลาที่หล่อนร้องครางอยู่แล้ว จึงเคลื่อนริมฝีปากหมายจะทาบทับปิดปากอิ่มด้วยความรวดเร็ว
“โทรศัพท์จากคุณสันติครับคุณธรรศ”
ริมฝีปากบางหยักที่อยู่ห่างจากกลีบปากอิ่มไม่ถึงคืบพลันชะงัก เมื่อมีเสียงระฆังช่วยชีวิตสลักจันทร์ดังมาจากประตูหน้า ธรรศยืดกายหันมองคนขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ขณะปล่อยมือหญิงสาวออกจากการเกาะกุม แล้วหันไปรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดจิ๋วมาแนบหู กรอกเสียงลงไปอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับคุณสันติ”
สลักจันทร์ดีใจจนแทบร้องไห้ นึกขอบคุณลุงมั่นเป็นล้านครั้งที่เข้ามาช่วยเธอได้ทันเวลา เธอรีบอาศัยจังหวะนี้ยันกายลุกขึ้น เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นแล้ววิ่งออกจากห้องโดยไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ ขนาดกระเป๋าเครื่องเขียนกับแบบบ้านที่สเกตช์ค้างอยู่ก็ยังลืมทิ้งเอาไว้ รู้เพียงไม่อาจสู้หน้าทนต่อสายตาที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นของชายสูงวัยได้
เธอไม่ได้หน้าด้านเหมือนเจ้านายลุงมั่นนี่ ที่ใครจะเปิดประตูมาเห็นตัวเองในสภาพล่อแหลมน่าบัดสีขนาดไหนก็ยังยืนเก๊กอยู่ได้ สลักจันทร์ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เจ้านายของเขาเคยเจอมา เธอไม่ใช่สาวหัวสมัยใหม่ เห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติของคู่รัก ยิ่งให้แสดงความรักประเจิดประเจ้อแบบเขาเธอยิ่งไม่ทำ
เธอไม่ได้หน้าหนาเหมือนเขา...
เธอยังมีความละอายอยู่มาก ฉะนั้นเธอจึงไม่กล้าแม้แต่จะเสียเวลา ‘ตบหน้า’ เขาเป็นการเอาคืน ก่อนวิ่งหนีจากมาเสียด้วยซ้ำ เพราะอับอายกับสภาพของตัวเองที่ลุงคนขับรถได้เห็นเกินกว่าจะหยุดยั้งสองขาได้!
ความคิดเห็น |
---|