8

อดีตของคนไร้หัวใจ


 

เดิมทีวันนี้สลักจันทร์ตั้งใจจะโดดร่มหนีหน้าธรรศไปเสียดื้อๆ เพราะยังคงประหวั่นเรื่องที่เจ้านายจอมแปรปรวนเกิดบ้า ลุกขึ้นมาข่มเหงรังแกเธอเมื่อวานไม่หาย แต่พอนึกถึงสัญญาทาสที่ระบุความผิดต้องชดใช้ หากเธอขาดงานโดยไม่มีเหตุผลอันควร ผนวกกับหน้าที่ความรับผิดชอบ รวมถึงจรรยาบรรณที่มี ทำให้สลักจันทร์ต้องมาทนนั่งหวาดผวาทุกครั้งที่เสียงประตูห้องถูกเปิดออก

“คุณสลักจันทร์ครับ”

 “คะ!” สถาปนิกสาวสะดุ้งเฮือก หันขวับ แต่พอเห็นว่าไม่ใช่คนที่นึกกลัว สลักจันทร์ก็เป่าปาก “ลุงมั่นนั่นเอง มีอะไรเหรอคะ”

 “คุณธรรศเพิ่งโทร. มาบอกให้ผมแจ้งคุณสลักจันทร์ว่าวันนี้ไม่เข้า ไม่ต้องนั่งเกร็ง คอยเหลียวหลังจนตะคริวจะกินแบบนี้ก็ได้ครับ”

สลักจันทร์ยิ่งหันรีหันขวาง ดวงตาเบิกโต เหลียวมองรอบๆ ห้องอย่างหวาดระแวง นี่เขาแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งของห้องรึเปล่า ถึงได้ฝากลุงมั่นมาบอกเธอแม่นยังกะตาเห็น!

หลังสอดส่ายสายตาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่ภายในห้องนี้ตามที่สงสัย หญิงสาวจึงลอบถอนหายใจ นึกอยากจะต่อว่าต่อขานเจ้านายของลุงมั่นนัก แต่คงไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ ซ้ำลุงแกก็ไม่ใช่คนผิดด้วย สลักจันทร์จึงเพียงเอ่ยถามกลับไปว่า

“เจ้านายลุง...เอ่อ...คุณธรรศติดธุระเหรอคะ”

“ครับ เห็นว่าเป็นงานด่วนที่สำคัญมากๆ น่ะครับ ต้องรีบจัดการ บางทีอาจจะไม่ได้เข้ามานั่งคุยเป็นเพื่อนคุณทั้งอาทิตย์เลยครับ”

แบบที่เจ้านายลุงทำ เขาไม่ได้เรียกว่าเข้ามานั่งคุยเป็นเพื่อนหรอกนะคะ เขาเรียกว่ามา ‘นั่งจับผิด’ ต่างหาก กรุณาพูดให้ถูกด้วยค่ะคุณลุง!

สลักจันทร์อดแขวะคนที่ฝากลุงมั่นมาส่งสารถึงเธอไม่ได้ ในใจนึกยินดีระคนโล่งอกไปพร้อมๆ กันที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาให้ยิ่งกระอักกระอ่วนใจต่อกัน เพราะขืนให้เจอกันตอนนี้ เธอคงไม่รู้จะปั้นหน้าวางตัวกับเขาอย่างไร...

เขาไม่มาน่ะสิ...ดี! เธอจะได้มีสมาธิทำงานอย่างเต็มที่

ทว่าทำไมหนอ...ทำไมหัวใจมันกลับรู้สึกโหวงๆ อย่างไรชอบกล

สลักจันทร์มองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำดูสะอาดสะอ้าน แล้วบอกตัวเองว่าอาจเป็นเพราะห้องนี้กว้างมากเกินไป พอต้องอยู่คนเดียว ก็เลยอดรู้สึกเหงาขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ละมั้ง

หญิงสาวสลัดความคิดที่ตัวเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจทิ้งไป ก่อนจะชวนชายชราที่คอยขับรถรับ-ส่งเธอทุกเย็นคุยเรื่องอื่นทั่วๆ ไป ไม่อยากใส่ใจและไม่คิดจะให้ ‘ค่า’ ความสำคัญกับเจ้านายของลุงมั่นมากไปกว่า

คนจ่ายเงิน!

“ทำไมคุณธรรศถึงคิดจะสร้างบ้านหลังใหม่ล่ะคะ ในเมื่อเท่าที่จันทร์ทราบมาบ้านหลังปัจจุบันก็ใหญ่โตโอ่อ่า มีพื้นที่ใช้สอยกว่าสองพันตารางเมตร ไม่ต้องพูดถึงราคา ระดับร้อยล้านอยู่แล้ว แถมสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกสบาย จันทร์ไม่เห็นความจำเป็นที่คุณธรรศจะต้องสร้างบ้านหลังที่สองให้อยู่ห่างไกลความเจริญแบบนี้เลยนะคะ ถ้าบอกว่าปลูกบ้านให้คุณแม่ได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ จันทร์ก็ยิ่งสงสัยค่ะ”

“คุณสลักจันทร์สงสัยอะไรหรือครับ”

“ก็พื้นที่กว้างออกขนาดนั้น อย่าว่าแต่ปลูกต้นไม้เลยค่ะ จะสร้างฟาร์มสร้างสวนหรือเนรมิตบ้านตัวเองให้กลายเป็นทุ่งดอกไม้เลยก็ยังได้ คนรวยๆ อย่างเจ้านายลุงมั่นขนหน้าแข้งไม่ร่วงอยู่แล้ว แบบนี้จะเสียเวลาเดินทางไกลตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะกลับถึงบ้านทำไมล่ะคะ คุณธรรศต้องกินข้าวกับคุณแม่ทุกเย็นไม่ใช่เหรอคะ”

“ครับ” ลุงมั่นพยักหน้ารับ ก่อนขยายความ “เหตุผลที่คุณธรรศปลูกบ้านใหม่ เพราะตั้งใจจะให้คุณผู้หญิงได้คลายความโศกเศร้าจากการที่เพิ่งสูญเสียคุณท่านไปน่ะครับ”

สถาปนิกสาวพยักหน้า เธอเคยรับรู้ข้อมูลนี้จากปากของชายหนุ่มโดยตรง จึงพอจะเข้าใจเหตุผลของเขาได้ลางๆ ถึงแม้ว่าธรรศจะไม่ได้เล่าโดยละเอียดมากนัก แต่ถึงตอนนี้เธอคิดว่าตัวเองเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเขาแล้วละ

“คุณธรรศคงจะรักคุณแม่มาก ถึงไม่อยากให้ท่านต้องเจ็บปวด เพราะติดอยู่กับความทรงจำในบ้านที่เคยมีคุณพ่ออาศัยอยู่ด้วยกัน เลยตัดสินใจสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาทดแทน”

“ครับ คุณธรรศรักคุณผู้หญิงมาก แต่มันไม่ใช่เหตุผลเท่านี้หรอกครับ ความจริงมีมากกว่านั้น”

สีหน้าเศร้าสลดและน้ำเสียงห่อเหี่ยวของชายชราที่อยู่รับใช้ครอบครัวธุวานนท์มาช้านาน ทำให้คนฟังคิดไม่ออกเลยว่าเขาต้องผ่านเรื่องเลวร้ายอย่างแสนสาหัสมามากขนาดไหนกันหนอ

ด้วยความสนใจใคร่รู้ จึงผลักดันให้หญิงสาวเอ่ยปากถามออกไป

“ยังมี...เอ่อ...เหตุผลที่น่าเศร้ามากกว่านี้อีกหรือคะ” สลักจันทร์ถามเสียงแผ่ว พยายามระวังคำพูด รู้ดีว่าเธอกำลังละลาบละล้วงเรื่องของลูกค้าหนุ่ม

ลุงมั่นยิ้มบางๆ รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวอย่างประหลาด อาจเป็นเพราะใบหน้าที่แสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจก็เป็นได้ ทำให้แกอยากจะอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเจ้านายตนให้อีกฝ่ายรับรู้มากขึ้นสักนิดก็ยังดี

“คุณธรรศรับรู้และเห็นด้วยตาตัวเองมาตลอดว่า คุณผู้หญิงต้องดูแลประคับประคองครอบครัวด้วยความเหน็ดเหนื่อยมากขนาดไหน ไหนจะเรื่องการกินอยู่ของลูกๆ คอยดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านควบคู่กับการพยาบาลอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของคุณท่านที่นอนกระเสาะกระแสะ มีหลายโรครุมเร้าเรื้อรังมานานนับสิบปี

“คุณธรรศสงสารคุณผู้หญิงที่ต้องทนเก็บความทุกข์เอาไว้ในใจ ถึงคนเป็นแม่จะไม่เคยร้องไห้ให้เห็น ไม่เคยบ่น ไม่เคยแสดงสีหน้าอมทุกข์ แต่คนเป็นลูกก็ทราบดีว่าความรู้สึกลึกๆ แท้จริงของหัวอกคนเป็นแม่ เป็นภรรยา รู้สึกอย่างไร คุณธรรศรู้ดีว่าในหัวใจของท่านนั้นกลั่นน้ำตาออกมาเป็นสาย น้ำตาของท่านไม่เคยเหือดแห้งเลยสักวัน มีแต่จะเอ่อล้นมากขึ้นทุกวันๆ จะหาทางระบายออกก็ทำไม่ได้ เพราะคิดถึงความรู้สึกของลูกๆ และสามี”

“คุณพ่อคุณแม่ของคุณธรรศคงจะรักกันมากใช่ไหมคะ”

“ครับ คุณท่านทั้งสองรักกันมาก ท่านอยู่ด้วยกันมาสามสิบกว่าปี ถ้าจะให้พูดว่าพวกท่านเป็นเหมือนเงาของกันและกันก็คงจะไม่เกินจริงนัก ตอนที่คุณท่านจากไปใหม่ๆ คุณผู้หญิงแทบจะตรอมใจตายตามเลยทีเดียว คุณธรรศถึงได้เลือกที่จะทิ้งบ้านหลังนี้ให้เป็นเพียงแค่ความทรงจำที่สวยงาม คุณธรรศอยากให้คุณผู้หญิงทิ้งความทุกข์ ความเสียใจ ความเศร้าหมองในใจเอาไว้ข้างหลัง แล้วเดินหน้าสร้างความทรงจำที่ดีๆ กับบ้านหลังใหม่แทน”

“ในเมื่อพวกท่านรักกันมากขนาดนี้ แล้วคุณแม่ของคุณธรรศจะยอมทิ้งบ้านที่มีความทรงจำของสามีท่านมาง่ายๆ หรือคะ”

หญิงสาวไม่กล้าบอกความเห็นส่วนตัวของเธอว่า บางทีการสร้างบ้านใหม่อาจจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก็ได้ จึงเลือกที่จะเงียบเสีย แต่ดูเหมือนชายชราพอจะเข้าใจความนัยของเธอ แกจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองว่า

“คุณธรรศไม่ได้ต้องการให้คุณผู้หญิงลืมหรอกครับ เพราะรู้ซึ้งและเข้าใจดีว่าคุณพ่อกับคุณแม่รักกันมากแค่ไหน คุณธรรศอยากให้ท่านเลือกเก็บเฉพาะความสุขและรอยยิ้มมากกว่า แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าท่านจะขังตัวเองอยู่ในความทรงจำเดิมๆ ในบรรยากาศเดิมๆ ความรู้สึกเดิมๆ สถานที่เดิมๆ เหมือนเมื่อครั้งที่คุณท่านยังอยู่ คุณธรรศกลัวคุณแม่จะยิ่งเจ็บปวดเพราะความคิดถึง เท่าที่ผ่านมาคุณผู้หญิงก็ทุกข์มากพอแล้ว คุณธรรศอยากเห็นคุณผู้หญิงยิ้มได้ ยิ้มออกมาจากใจ”

ไม่รู้ว่าเพราะเกิดซาบซึ้งในความรักที่เขามีต่อครอบครัวหรือรู้สึกสงสารเขาจับใจกันแน่ อคติที่เคยมีจึงค่อยๆ เบาบางลงบ้าง ไม่ขึ้งโกรธเหมือนที่แล้วๆ มา แต่ที่มั่นใจก็คือเธออยากจะสร้างบ้านหลังนี้อย่างสุดความสามารถ ให้ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยออกแบบมา อาจเป็นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าเขามีความคิดบางอย่างคล้ายๆ กับเธอในเรื่องนี้ก็เป็นได้

ธรรศสร้างบ้านเพราะอยากให้แม่มีความสุข ลืมความทุกข์ที่ต้องสูญเสียสามีผู้เป็นที่รัก ส่วนเธอก็มุ่งหวังเก็บหอมรอมริบสร้างบ้าน เพื่อสานฝันของพ่อและครอบครัวให้เป็นจริง

’บ้าน’ ของเขาและเธอจึงมีปณิธานเดียวกัน คือ มุ่งหวังให้มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง...เป็นสถานที่อันสุขสงบของทุกคนในครอบครัว เป็นที่พึ่งพิงให้ความอบอุ่น เป็นหลุมหลบภัยชั้นยอดจากภยันตรายใดๆ ทั้งปวง เป็นขุมพลังที่คอยมอบกำลังใจในวันที่ท้อ…เป็น ‘บ้าน’ ที่ทุกคนรักใคร่ปรองดอง พร้อมจะเข้าใจและให้อภัยกันเสมอ

หญิงสาวเจียมตนอยู่เสมอว่าขนาดบ้านในฝันของเธอกับเขาคงจะแตกต่างกันอย่างลิบลับ แต่เธอไม่เคยนึกอิจฉาหรือน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างไร ‘บ้าน’ ก็คือ ‘บ้าน’ ต่อให้มันใหญ่โตมโหฬาร แต่ถ้าสมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ร่วมกันปราศจากความสุข หาความอบอุ่นมิได้ ‘บ้าน’ ที่อาศัยอยู่จะแตกต่างอะไรกับโรงแรมที่เอาไว้แค่ค้างคืนเพียงเท่านั้น!

“จันทร์จะออกแบบบ้านหลังนี้ให้ดีที่สุดค่ะลุงมั่น”

เธอให้คำมั่นสัญญากับชายชราด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับซักถามถึงผู้คนรอบข้างที่เกี่ยวข้องกับเจ้านายของเขา เพื่อนำข้อมูลตรงนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเธอต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัย ความชอบหรือไม่ชอบอะไร อยากให้สมาชิกในครอบครัวมีกิจวัตรร่วมกันแบบไหน หญิงสาวต้องดีไซน์งานให้ตอบโจทย์คนเอาใจยาก ซึ่งเธอเชื่อเหลือเกินว่าคนจ่ายเงินหลักสิบล้านขึ้นไปอย่างธรรศคงไม่ยอมเซย์เยสให้เธอผ่านง่ายๆ ด้วยความเมตตาแน่ เขาจะต้องยอกย้อนคำที่เธอเคยพูดว่า...

‘จะไม่ให้เสียดายเงินที่จ้างเธอมาแม้แต่บาทเดียว!’

เชื่อเถอะ...ถ้าเธอทำพลาดแม้เพียงครั้งเดียว ไม่สามารถออกแบบบ้านให้โดนใจเขาได้ คนที่ชอบทับถมคนอื่นอย่างเขาคงไม่รีรอตอกหน้าเธอกลับมาว่า

‘ไหน...ใครคุยโม้เอาไว้ซะดิบดี แต่พอเอาเข้าจริง ทำงานไม่เห็นจะได้เรื่องเลย!’

เพียงแค่คิด ยังไม่ทันได้เห็นสีหน้าสีตาที่ชอบเย้ยหยันกัน สลักจันทร์ก็ร่ำๆ จะของขึ้น เจ็บจี๊ดไปถึงกระดองใจเสียแล้ว ถ้าถึงวันนั้นจริงละก็ ต่อให้หลับตา เธอยังเดาออกว่าพ่อคนยโสจะลอยหน้ากวนประสาทได้น่าโมโหและน่าหมั่นไส้ปานใด...และเธอจะไม่มีวันยอมให้ถึงวันนั้นเด็ดขาด!

 “คุณแม่ของคุณธรรศเป็นคนที่เข้มแข็ง น่ายกย่องมากเลยนะคะ”

“ครับ คุณธรรศเธอยกย่องเทิดทูนคุณผู้หญิงมาก เธอว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะประเสริฐและแสนดีเท่าคุณแม่อีกแล้ว เธอถึงไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ใคร ยกเว้นแม่กับน้องสาว”

‘ต้องบอกว่าคุณธรรศของคุณลุงไม่เคยรักหรือคิดจะให้เกียรติผู้หญิงคนไหนเลยต่างหากล่ะคะ’

สลักจันทร์ค้านในใจ แต่ก็ไม่ได้แย้งออกไป เพราะเห็นถึงแววรักใคร่ชื่นชมในดวงตาของคนขับรถสูงวัยที่มีต่อเจ้านายหนุ่มของตน ก่อนจะเอ่ยถามต่อไป

“ลุงมั่นช่วยเล่าเรื่องในครอบครัวของคุณธรรศให้จันทร์ฟังบ้างได้ไหมคะ จันทร์จะเอามาใช้เป็นไอเดียในการออกแบบบ้านให้ถูกใจคุณธรรศ เรื่องไหนที่เป็นเรื่องส่วนตัว ลุงมั่นข้ามหรือเว้นไปก็ได้ค่ะ ขอแค่ข้อมูลคร่าวๆ ให้จันทร์รู้ถึงนิสัยใจคอและความชอบของเขาสักนิดก็พอ”

“ได้สิครับ”

ชายสูงวัยยิ้มรับด้วยความเต็มใจ ก่อนจะลากเก้าอี้มาหย่อนกายลงนั่งสนทนาข้างๆ เธอ ทุกเรื่องของเจ้านายหนุ่มที่เขารู้ เขาเล่าโดยไม่มีการปิดบัง

 

สลักจันทร์ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังรู้สึกเช่นไร...

โกรธ...เกลียด...เขาไหม

บอกตามตรง หลังจากรับรู้เรื่องราวและเหตุผลที่ผลักดันให้เขาแสดงออกในทางที่ไม่ดีต่อเธอแบบนั้น สลักจันทร์คิดว่าตัวเองเริ่มจะเข้าใจในตัวนายจ้างหนุ่มนิดๆ แถมยังเพิ่มความเห็นอกเห็นใจให้อีกด้วย

จากคำบอกเล่าของลุงมั่น...ธรรศต้องผจญกับมนุษย์ผู้โลภโมโทสัน เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวทุกรูปแบบมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ไม่แปลกเลยที่เขาจะกลายเป็นคนแข็งกระด้างเย็นชา มองทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่คนรอบตัวติดลบ!

เธอเชื่อว่าสิ่งที่หล่อหลอมให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนไร้หัวใจ เกิดจากประสบการณ์อันเลวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้พบ ทำให้เขาก่อกำแพงสูงตระหง่านขึ้นในใจ คอยปกป้องระแวดระวังภัย ไม่ไว้ใจใคร ไม่ยอมเผยจุดอ่อนให้ใครเห็น เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาทำร้ายแทงข้างหลังเอาได้ ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น เพราะบุคคลจำพวกนี้มักเข้าข่ายปากปราศรัย แต่น้ำใจเชือดคอ สิ่งที่คนพวกนี้มุ่งหวังก็คือจ้องจะฮุบกิจการที่เพิ่งขาดเสาหลักไปเพียงอย่างเดียว

เขาผ่านช่วงวิกฤตเลวร้ายขนาดนั้นมาได้อย่างไร

สิ่งที่ได้ฟังในวันก่อนทำให้สลักจันทร์นึกสงสัยระคนทึ่งและชื่นชมชายหนุ่ม เธอยกย่องเขาด้วยใจ เขาเก่งที่พาทุกชีวิตในธุวานนท์พรอพเพอร์ตีรอดมาได้ ทั้งๆ ที่ในช่วงนั้นเขายังอายุไม่ถึงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากชายหนุ่มไม่กระทำการหยาบหยามเธอละก็ เชื่อเถอะว่าสลักจันทร์คงจะรู้สึกดีกับเขามากกว่านี้!

ขณะที่หญิงสาวนั่งคิดเพลินๆ สายตาก็เหลือบเห็นปวีร์เดินผ่านหน้าโต๊ะทำงาน จึงพลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องที่อยากรู้มากๆ เธอจึงเอ่ยปากทักทาย หวังให้เขาไขข้อข้องใจ เพราะเพื่อนสนิทอย่างปวีร์ต้องรู้ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างดีแน่นอน

“พี่วีร์คะ”

“หืม...” คนถูกทักหยุดเท้า หันมองใบหน้ามน “อะไรหรือจันทร์”

“พอจะมีเวลาสักนิดไหมคะ จันทร์มีเรื่องอยากถามหน่อย”

“เอาสิ ถามมาเลย วันนี้งานพี่ไม่ยุ่ง” ปวีร์ยิ้มกว้างอย่างจริงใจ พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้างๆ เธอ

“คุณธรรศเนี่ย...เคยอกหักมาก่อนใช่ไหมคะ”

“จันทร์ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน”

คนถูกถามนิ่วหน้านิดๆ ไม่ค่อยมีใครทราบเรื่องนิศานาถอดีตคนรักคนแรกของธรรศสักเท่าไรนัก แม้แต่เพื่อนสนิทในกลุ่มก็ตาม เพราะเจ้าตัวไม่อยากประจานความโง่เง่าให้ผู้คนพากันหัวเราะเยาะ ธรรศเลยลงกลอนปิดผนึกความลับนี้เอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ และกดมันให้อยู่ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ ราวกับจะให้ตายไปพร้อมตัวเอง คนปากหนักอย่างเพื่อนรักจึงไม่มีทางยอมเล่าเรื่องนี้ให้หญิงสาวฟังแน่

“ลุงมั่นเล่าให้ฟังค่ะ”

“แกเล่าอะไรบ้างล่ะ”

“ก็ไม่มากนักหรอกค่ะ แค่บอกว่าคุณธรรศเคยมีแฟนที่รักกันมากอยู่คนหนึ่ง แต่เลิกกันไปแล้ว...”

‘จันทร์ก็เลยอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น’

โชคดีที่หญิงสาวกลืนถ้อยคำสุดท้ายลงคอได้ทันการณ์ ไม่อย่างนั้นปวีร์จะคิดว่าเธอเป็นพวกสอดรู้สอดเห็น พลางปฏิเสธว่า

ไม่! เธอไม่ได้สนใจเขา!

ทุกเรื่องที่เธอถามเป็นเรื่องงานล้วนๆ สถาปนิกอย่างเธอควรทราบทุกรายละเอียดในชีวิตของเขา เพื่อนำสิ่งที่รู้ไปใช้ประโยชน์ในการทำงานให้สอดคล้องตรงใจลูกค้า หาใช่ความสนใจใคร่รู้ส่วนตัวเสียเมื่อไร เพราะเธอต้องออกแบบบ้านจากไลฟ์สไตล์ของเขาและคนในครอบครัวเขา หญิงสาวต้องออกแบบ ‘ชีวิต’ ให้ทุกคนในครอบครัวเขา ไม่ใช่เพียงการร่างสเกตช์เพื่อให้บ้านของเขาออกมาสวยงาม แต่มันเป็นการ ‘คิด’ เพื่อเติมฟังก์ชัน ทำให้บ้านคือบ้าน...เป็นสถานที่ที่ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย

เธอออกแบบบ้านจากความชอบเพียงอย่างเดียวไม่ได้...

สลักจันทร์ต้องนำความรู้ที่เคยเรียนมาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยไม่ลืมความปรารถนาของผู้เป็นเจ้าของบ้าน แล้วแปล ‘ความรู้สึก’ ให้ออกมาเป็น ‘รูปธรรม’

“พี่วีร์คงไม่คิดว่าจันทร์ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเพื่อนพี่มากเกินไปนะคะ” ถึงจะให้เหตุผลตัวเองอย่างนั้นแต่หญิงสาวก็อดละอายไม่ได้อยู่ดี จึงหยั่งเชิงถามหัวหน้าหนุ่ม

“ไม่หรอก ก็นี่มันอาชีพเรานี่นา ที่พี่ถาม เพราะพี่รู้ว่าไอ้ธรรศไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับเราเด็ดขาด มันไม่เคยบอกใคร แม้แต่กับพี่มันยังไม่พูดเลยสักคำ”

“ทำไมล่ะคะ...เขาไม่ไว้ใจพี่วีร์เหรอ”

รุ่นพี่หนุ่มถอนหายใจ เหมือนเรื่องที่เธอถามทำให้เขากลุ้มใจอยู่พอดี

“รักมากก็ยิ่งเจ็บมากน่ะ จันทร์เคยได้ยินไหม”

สลักจันทร์พยักหน้ารับ “ยิ่งเป็นรักแรกด้วยก็ยิ่งฝังใจ”

“ยิ่งกว่านั้นน่ะสิ”

คนฟังขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของคนพูด ยิ่งฟัง เธอยิ่งรู้สึกว่านายจ้างหนุ่มมีอารมณ์สลับซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ โชคดีที่ปวีร์รีบขยายความ สลักจันทร์จึงไม่ต้องคิดคำพูดขึ้นมาถามใหม่

“มันเป็นทั้งความรักและความหลง ไอ้ธรรศเลยสับสนจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร”

“คุณธรรศคงจะเสียใจมาก”

“ก็มากกว่าที่จันทร์จะนึกออกนั่นแหละว่าคนอกหักเขาเป็นกันยังไง”

“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

หญิงสาวอดฉงนใจไม่ได้ ไม่ใช่ไม่เชื่อ เธอเองก็มีแฟนและเพิ่งเลิกรากันไปหมาดๆ แน่นอนว่าย่อมเจ็บปวดเสียใจเป็นธรรมดา บางเสี้ยวเธอยังคงคิดถึงเอกภพ คิดถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน เคยไปไหนมาไหนด้วย คิดถึงความผูกพันที่มี คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เคยทำร่วมกัน มาตอนนี้กลับเหลือเธอเพียงลำพัง ก็อดใจหายไม่ได้ มันรู้สึกโหวงเหวง เจ็บหน่วงๆ อยู่ไม่หาย

แต่ถึงแม้จะเสียใจ สลักจันทร์ก็ยังมีสติ ยังยืนไหว เดินต่อไปได้...

หญิงสาวไม่ได้เจ็บปวดรวดร้าวทุรนทุรายเจียนตายจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้เมื่อขาดเอกภพ กลับกัน...ความผิดหวังยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เธอมุ่งมั่นสร้างฝันของครอบครัวให้สำเร็จ

ขนาดเธอยังข้ามผ่านความเจ็บปวดมาได้...เธอจึงไม่เข้าใจว่าผู้ชายที่เย่อหยิ่ง ทระนงและด้านชาอย่างเขา ทำไมจึง ‘เสียศูนย์’ ได้ถึงขั้นนั้น

“ธรรศไม่ได้คบกับแฟนอย่างที่จันทร์คบกับภพหรอกนะ” ปวีร์อธิบาย เมื่อเห็นรุ่นน้องสาวตีหน้ายุ่งคล้ายกับคนคิดไม่ตก

คนฟังยิ่งขมวดคิ้วมุ่น สงสัยอยู่ดี จนปวีร์ต้องพูดตรงๆ ชัดๆ ไม่อ้อมค้อม

“มันมีอะไรลึกซึ้งกับแฟนตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัยแล้ว”

หญิงสาวตาโต “นี่เพื่อนพี่ไม่ให้เกียรติผู้หญิงตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอคะ”

คนเป็นเพื่อนรู้สึกไม่ดี เลยรีบแก้ต่างแทนเพื่อนที่กำลังโดนเข้าใจผิด

“มันไม่ใช่อย่างที่จันทร์คิด”

“ไม่ใช่แบบนี้แล้วเป็นแบบไหนล่ะคะ”

“ความรักมันมีตัวแปรอื่นมากระตุ้นมากกว่าที่จันทร์เข้าใจ”

“แต่จันทร์คิดว่ามันคือตัณหา ราคะ และความใคร่ของคนเรานี่แหละค่ะ”

“ถ้าคนคนหนึ่งจะมีความรู้สึกแบบนั้นเวลารักใคร ก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่”

“พี่วีร์เป็นเพื่อน ก็ต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว” คนไม่เห็นด้วยพูดอย่างพาลๆ

คนถูกค่อนกลับยิ้ม ไม่โกรธ ยังคงเดินหน้าอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

“มนุษย์เรามีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง นั่นละจันทร์ มันเป็นอารมณ์พื้นฐาน ไม่มีใครห้ามความรู้สึกของตัวเองได้หรอก”

“ทำไมจะไม่ได้คะ ถ้าเรารู้จักยับยั้งชั่งใจให้มากๆ เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น อย่างจันทร์คบกับภพ ยังไม่เห็นต้องมีอะไรกันเลย”

“ภพไม่เคยขอจันทร์เลยรึไง”

“เอ่อ...” สลักจันทร์ถึงกลับตอบไม่ถูก เมื่อถูกผู้ชายถามตรงๆ ถึงจะเป็นรุ่นพี่ที่เธอสนิทสนมกันดี แต่ก็อดกระดากปากที่จะตอบไม่ได้

ปวีร์รู้ดีว่าหญิงสาวอายและไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องอย่างว่า จึงถามเลี่ยงๆ แทน

“คำถามนี้คงยากไป งั้นพี่ถามใหม่ จันทร์เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่าว่าที่คบกัน จันทร์รักภพจริงๆ ใช่ไหม”

คราวนี้หญิงสาวนิ่งเหมือนโดนหมัดน็อก!

ไม่ใช่ไม่มีคำตอบ... แต่ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องระหองระแหงกัน จนสลักจันทร์เองก็ชักไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเองเสียแล้ว

“จันทร์เป็นห่วงภพ หวังดีกับภพ”

“ถ้าคิดแค่นั้นเขาไม่เรียกว่าความรักหรอกนะจันทร์”

เจ้าตัวพูดยังกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทำเอาคนฟังอย่างเธอชักจะหมั่นไส้นิดๆ จนอดเถียงกลับไม่ได้

“พี่วีร์รู้ได้ยังไงคะว่าไม่ใช่ความรัก จันทร์ไม่เคยเห็นพี่วีร์มองผู้หญิงคนไหนเลย”

“ไม่มอง...ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่เคยมี ‘ความรัก’ นะ”

สลักจันทร์มองอีกฝ่ายตาโต “สาวผู้โชคดีคนนั้นเป็นใครคะ”

“อาจจะโชคร้ายมากกว่าก็ได้”

แววตาปวีร์หม่นลงเพียงวูบเดียว ก่อนจะกลับเป็นปกติดังเดิมจนคู่สนทนาไม่ทันสังเกตเห็น

“ไม่จริงหรอกค่ะ ตั้งแต่ได้รู้จักผู้ชายมาจนถึงป่านนี้ จันทร์กล้าพูดเต็มปากเลยว่าไม่มีใครดีไปกว่าพี่ชายคนนี้ของจันทร์อีกแล้ว”

“จันทร์แค่ไม่เคยเห็นพี่ในมุมมืดต่างหาก”

“พี่วีร์พูดเหมือนตัวเองเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นแหละค่ะ”

“คนเราทุกคนเกิดมาล้วนมีทั้งด้านดีและร้าย ไม่มีใครเพอร์เฟกต์ไปหมดทั้งร้อยหรอกจันทร์ เหมือนกัน...ถ้าจันทร์ได้รู้จักไอ้ธรรศให้มากกว่านี้ จันทร์ก็จะเห็นว่ามันมีข้อดี เผลอๆ อาจจะมีมากกว่าพี่ซะอีก”

“แต่ตอนนี้จันทร์ยังไม่เห็น ‘ข้อดี’ ที่ว่าสักข้อเลยนะคะ”

“นั่นก็เป็นเพราะจันทร์ยังไม่ยอมเปิดใจน่ะสิ”

“จันทร์ไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้นสักหน่อย พี่วีร์ก็รู้ดีนี่คะ”

เจ้าหล่อนทำหน้ามุ่ยจนปวีร์ขำด้วยความเอ็นดู เลยต้องช่วยขยายความเสียหน่อย เดี๋ยวจะงอนไม่เลิก

“พี่รู้ว่าจันทร์เป็นคนใจกว้าง แต่คนอย่างไอ้ธรรศน่ะ จันทร์ต้องยิ่งเปิดใจให้กว้างๆ เหมือนมหาสมุทรเลยละ”

“โห! นี่จันทร์ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“ก็งั้นสิ”

รุ่นพี่หนุ่มเล่นพูดง่ายๆ แถมยังเข้าข้างเพื่อนรักอยู่ฝ่ายเดียว คนที่อยู่อีกฝ่ายอย่างเธอเลยน้อยใจขึ้นมาตงิดๆ

“เอะอะๆ พี่วีร์ก็จะให้จันทร์ยอมเพื่อนพี่คนนี้ทู้กที”

“มีแค่จันทร์คนเดียวซะที่ไหน พี่เองก็ยอมมันเหมือนกัน”

“จันทร์ไม่เห็นประโยชน์ที่เราจะต้องทำแบบนี้เลยนะคะ เพื่อนพี่เคยตัวกันพอดี เท่าที่เป็นอยู่นี่ก็เหลือจะรับแล้วนะคะ”

“เอาน่า...หยวนๆ จันทร์เองก็ได้ยินมาจากลุงมั่นแล้วนี่ว่า ไอ้ธรรศน่าสงสารมากแค่ไหน”

พอนึกถึงความโหดร้ายทุกข์ทรมานที่เขาเคยประสบ หญิงสาวก็พลันใจอ่อน จำต้องพยักหน้ารับอย่างพยายามจะเข้าใจ แต่ไม่วายบ่น

“แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่พี่วีร์จะต้องคอยปกป้องเขาในสิ่งที่เขาทำไม่เหมาะไม่ควรนี่คะ จันทร์เชื่อว่าถ้าหากเขาทำตัวดีๆ รู้จักให้เกียรติคนอื่นบ้าง ทุกคนก็อยากจะญาติดีกับเขาทั้งนั้นละค่ะ คงไม่มีใครเสแสร้งสวมหน้ากากใส่เขาเหมือนทุกวันนี้”

“คิดแบบนี้แปลว่าจันทร์ยังเด็กอยู่นะ”

รุ่นพี่หนุ่มผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้างานเตือนกลายๆ อดห่วงไม่ได้ที่เจ้าหล่อนช่างมองโลกในแง่ดีเหลือเกิน ไม่ระวังพิษภัยของมนุษย์ด้วยกันเสียบ้างเลย จึงให้ข้อคิดว่า

“โลกเราทุกวันนี้ไม่ได้สวยหรูแบบที่จันทร์คิดหรอก ยิ่งในวงการก่อสร้างอย่างพวกเราด้วยแล้ว ยิ่งมีแต่พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด ทั้งนั้น ถ้าไอ้ธรรศไม่แกร่ง ไม่เด็ดขาด ป่านนี้บริษัทพ่อมันโดนเขมือบไปตั้งแต่วันแรกที่มันขึ้นแท่นผู้บริหารแล้วละ ที่มันต้องทำเหมือนเป็นคนเลือดเย็นไม่แยแสใคร นั่นก็เป็นเพราะว่ามันต้องซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ข้างใน มันกลัวคนจะรู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนตรงไหน แล้วหยิบจุดนั้นมาเล่นงานมันได้

“พี่แค่อยากจะบอกจันทร์ว่าจริงๆ แล้วธรรศไม่ใช่คนที่เลวร้าย แต่เพราะเนื้อแท้ที่เป็นคนอ่อนไหวอ่อนโยนนี่ละ ทำให้บาดแผลที่มันได้รับมาแต่ละครั้งสาหัสสากรรจ์และหล่อหลอมจนบางครั้งมันก็กลายเป็นคนที่ดูเย็นชาไม่เคยคิดถึงหัวอกใคร มันกลัวว่าถ้ายอมอ่อนข้อให้ สุดท้ายตัวมันเองนี่ละที่จะกลายเป็นคนเจ็บเสียเอง”

สลักจันทร์นิ่ง ไม่มีข้อโต้แย้งอันใด ได้แต่ฟังสิ่งที่ปวีร์เล่าต่อไปเงียบๆ พลางนึกเห็นใจนายจ้างหนุ่มไม่น้อย

“เรื่องความรักก็เหมือนกัน ไอ้ธรรศไม่ใช่ผู้ชายเห็นแก่ตัวมักมากในกาม เที่ยวหาเศษหาเลยกับใครต่อใครหรอกนะ จันทร์ลองไปถามผู้ชายวัยนั้นทุกคนดูสิ มีใครบ้างไหมที่ไม่อยากแตะต้อง ไม่อยากกอด ไม่อยากแสดงความรักกับแฟนตัวเองบ้าง

“ทุกคนอยากเป็นเจ้าของผู้หญิงที่ตัวเองชอบด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ความรักมักมาพร้อมกับความต้องการทางร่างกายเสมอ ไอ้ธรรศก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง จะแปลกอะไรถ้ามันอยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงที่รัก พี่ถึงบอกเราไงว่ามันเป็นทั้งความรักและความหลงชนิดที่แยกกันไม่ออก”

คำบอกเล่าของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวพอจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเจ้านายหนุ่มขึ้นมาบ้าง และช่วยลดอคติที่มีต่อเขาลงไปอีกมากโข

“จันทร์ก็พอทราบอยู่บ้างหรอกว่าผู้หญิงกับผู้ชายคิดต่างกัน แต่ยังไงจันทร์ก็ทำใจให้ชินกับเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้สักที”

“จันทร์รับไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าผิด แต่อย่าเหมารวมคนที่เขาทำหรือเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติว่าผิด เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ สมัยนั้นไอ้ธรรศยังมีหัวใจรักบริสุทธิ์แบบที่จันทร์นึกไม่ถึงเชียวละ”

“ยังไงคะ” คนถามทำตาโตราวกับไม่เชื่อ “เขาทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่ม ไปรับไปส่งผู้หญิงถึงบ้าน ให้ดอกไม้ทุกวัน นั่งเรียนข้างๆ กัน ติวหนังสือกัน ชวนดินเนอร์กันทุกเย็นอย่างนั้นหรือคะ บอกตรงๆ จันทร์คิดภาพคุณธรรศจีบผู้หญิงแบบใสๆ ไม่ออกเลยค่ะ”

“นั่นไงล่ะ เพราะตอนนี้มันทำตัวแย่กับเรามากใช่ไหม จันทร์ถึงได้ขยาดมันแบบนี้”

พอเห็นสลักจันทร์ผงกหัวหงึกๆ จนคอแทบหลุด เพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาพูด ปวีร์ก็ยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ยแนะ

“จันทร์ก็ลองคิดกลับด้านในสิ่งที่ไอ้คนหัวดื้อมันทำสิ...”

หญิงสาวนิ่วหน้า พยายามคิดตาม แต่ก็ไร้มโนภาพอย่างสิ้นเชิง

“จันทร์ว่ามันก็ยังยากอยู่ดี”

“งั้นเอางี้สิ จันทร์ลองเปิดใจให้กว้างๆ เอาให้กว้างที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยนะ แล้วลองศึกษาผู้ชายมีปัญหาทาง ‘จิต’ อย่างมันดู จันทร์ก็จะรู้ว่าสิ่งที่พี่พูดกับจันทร์ในวันนี้เป็นยังไง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น