ห้องอาหารหรูหราที่ชายหนุ่มพูดถึงนั้นอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมระดับห้าดาว ซึ่งโซนที่เขาพาเธอมานั่งกินข้าวเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลที่จัดไว้เพื่อรองรับแขกคนสำคัญโดยจำเพาะเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนรวยหรือดาราเซเลบ ยิ่งเป็นคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำต๊อกต๋อยอย่างเธอน่ะหรือ...อย่าได้ฝันแม้แต่จะเหยียบย่างเข้ามา! ถ้าแค่เดินผ่านหน้ารั้วโรงแรมน่ะพอได้
มุมที่ชายหนุ่มเลือกนั่งรับประทานอาหารมื้อค่ำและสนทนาเรื่องงานกับลูกจ้างสาวอย่างเธอก็เป็นมุมที่ดีที่สุด ไม่พลุกพล่าน อยู่ด้านในติดริมกระจก มองเห็นวิวทิวทัศน์ในตัวเมืองเศรษฐกิจยามค่ำคืนได้ร้อยแปดสิบองศา บรรดาแขกเหรื่อจากโต๊ะอื่นๆ ไม่สามารถสอดส่ายสายตาเข้ามารบกวนบรรยากาศระหว่างเขากับเธอได้ เพราะมีสวนหย่อมที่ปลูกไว้ในกระถางซีเมนต์แบบปูนเปลือย ลำต้นสูงเทียมหัวที่ทำเป็นระแนงยาว ตัดแต่งเป็นพุ่มสวยงาม เป็นปราการบังตาช่วยพรางเขากับเธอจากสายตาทุกคู่ที่อยู่ในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี
“คุณจ่ายค่าอาหารแพงๆ แบบนี้ทุกมื้อเลยเหรอคะ” สลักจันทร์เอ่ยค่อน รู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนรวยอย่างเขากับคนจนอย่างเธอขึ้นมานิดๆ
ธรรศส่ายหน้า “ปกติผมไม่กินข้าวนอกบ้าน ยกเว้นมื้อเที่ยง”
“หือ?”
พอเห็นเธอทำหน้าสงสัยคล้ายไม่เชื่อ ชายหนุ่มเลยขยายความให้เข้าใจ
“ผมมักทานข้าวกับคุณแม่ที่บ้านเป็นประจำ ยกเว้นมีงานด่วนหรือติดธุระสำคัญจริงๆ เหมือนวันนี้ ผมจะโทร. ไปบอกท่านก่อนว่ากลับดึก ท่านจะได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอทานข้าวพร้อมผม”
หญิงสาวประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นมุมอ่อนโยนเล็กๆ จากนายจ้างหน้าเลือด จึงเผลอพลั้งปากเอ่ยถามไปตามประสา
“แล้วถ้าวันไหนคุณมีนัดดินเนอร์กับแฟนล่ะคะ”
พอรู้ตัวสลักจันทร์ก็พลันหน้าเจื่อน เดาว่าเขาต้องถลึงตามองหน้าเธออย่างไม่สบอารมณ์แน่ๆ โทษฐานที่บังอาจละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเขาเข้า แต่ชายหนุ่มกลับยักไหล่ ตอบเรียบราวกับไม่ใส่ใจว่า
“นั่นไม่ใช่ธุระสำคัญ”
คนฟังอยากจะบอกเขานักว่า ‘ใครเป็นแฟนคุณนี่น่าสงสารชะมัด’ แต่ก็ยังยั้งปากได้ทัน!
อีกใจก็นึกดีใจแทนแม่กับน้องของเขา ที่ลูกและพี่ชายให้ความสำคัญแก่ครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งพบไม่มากนักในยุคนี้ เพราะผู้คนต่างก็ใช้ชีวิตตามวิถีของตนเองมากขึ้น ความรักและความผูกพันระหว่างกันในครอบครัวจึงเริ่มห่างเหิน ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง กลายเป็นสังคมเดี่ยว ‘เวลา’ กลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากและมักถูกหยิบยกเป็นข้ออ้างในการเยี่ยมเยือน ดังนั้นภาพของพ่อแม่ที่ได้พบหน้าลูกๆ ได้พูดคุยโอบกอดทักทายกันและกันจึงแทบไม่มีให้เห็นในปัจจุบัน
“นี่ดิฉันกำลังคุยอยู่กับคุณธรรศ ธุวานนท์ ตัวจริงใช่ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยแซ็ว มองเขายิ้มๆ
คนถูกถามตวัดหางตามองเธอ บ่งบอกถึงความขุ่นมัวที่เริ่มคุกรุ่นข้างใน
“อย่าทำให้ผมอารมณ์เสียจะดีกว่านะสลักจันทร์”
สถาปนิกสาวหมดอารมณ์ อยากกระแทกเสียงตอบกลับไปนักว่า ‘ค่ะ!’ แต่ก็ไม่อยากให้ความบาดหมางอันน้อยนิดเป็นชนวนเหตุให้ตัวเองทำงานลำบาก จึงเลือกที่จะนิ่งเฉยเสีย
เมื่อเธอไม่ต่อความยาว เขาจึงเลือกที่จะไม่ใส่ใจ พลางยื่นเมนูอาหารที่บริกรเพิ่งเอามาวางให้เธอหนึ่งชุด
“เลือกสิว่าคุณจะทานอะไร”
“ดิฉันไม่หิวค่ะ เชิญคุณตามสบาย” สลักจันทร์บอกอย่างเกรงใจ
ธรรศตวัดสายตาดุๆ มองเธออีกครั้ง
“ผมไม่ชอบให้ผู้หญิงมานั่งมองปาก!”
“แต่ดิฉันทานตอนเย็นมาบ้างแล้วค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องสั่งมากินเป็นเพื่อนผม” แล้วคนใจร้อนก็หันไปสั่งบริกรทันทีโดยไม่ถามความเห็นเธอเลยสักนิด “ของคุณผู้หญิง ผมขอเป็น ริมปิง ร็อกเกต สลัด ส่วนของผมขอ แซมอน วิธ ราตาตุย ส่วนเครื่องดื่ม...ขอน้ำส้มคั้นให้คุณผู้หญิง ของผมเป็น ชาโต ลาตูร์ ปี ๑๙๖๑ ก็แล้วกัน ของหวานเอาไว้ทีหลัง”
เสร็จแล้วก็ปิดเมนูส่งคืนให้บริกร รอให้อีกฝ่ายเดินจากไปเสียก่อน จึงหันมาพูดกับหญิงสาวว่า
“อยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม”
“คุณสนใจฟังเสียงของดิฉันด้วยเหรอคะ” สลักจันทร์ประชดกลับ
“ผมบอกแล้วไงว่าเลี้ยง”
เจ้าตัวยักไหล่บอกอย่างไม่สนใจเลยว่าคนฟังจะรู้สึกเช่นไร ยิ่งทำให้สลักจันทร์หมั่นไส้ เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ดิฉันก็บอกคุณแล้วเช่นกันค่ะว่าทานมาบ้างแล้ว”
“ก็แค่สลัด...คงไม่ทำให้คุณหุ่นเสียหรอกน่า”
เขายิ้มพราย จงใจกวาดตามองเรือนร่างของเธอราวกับจะให้ทะลุเนื้อผ้าเข้าไปถึงข้างใน ทำเอาคนถูกมองถึงกับหน้าชา
“คุณธรรศ!” สลักจันทร์แหวเสียงดัง หน้าแดงก่ำ โกรธจัดจนอยากจะลุกพรวดจากเก้าอี้ออกไปเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายตัดบทกล่าวเข้าเรื่องงานเสียก่อน
“เชิญคุณสัมภาษณ์ผมได้ อยากรู้อะไรก็รีบถามมาก่อนที่อาหารจะเสิร์ฟ ผมไม่ชอบคุยไปกินไป”
หญิงสาวเม้มปากแน่น สาบานเลยว่าเธอไม่อยากจะรักษามารยาทหรือสนใจหน้าที่ความรับผิดชอบอีกต่อไปแล้ว เพราะเธอไม่เห็นว่าผู้ชายตรงหน้าจะมีสิ่งเหล่านี้กลับคืนให้แก่เธอเช่นกัน จนบางครั้งเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...
เขาไม่รู้จักมารยาทขั้นพื้นฐานหรืออย่างไร
หรือว่า...พวกผู้ดีอย่างเขารู้จักแต่การให้เกียรติคนระดับเดียวกัน แต่กับคนที่เพิ่งรู้จักกันอย่างเธอ แค่มารยาทง่ายๆ เขากลับทำหล่นหายเสียนี่
สลักจันทร์แอบแบะปาก อยากตะโกนให้เจ้าตัวรู้นักว่า...
‘เขาเป็นเจ้านายจอมเรื่องมากที่มารยาทยอดแย่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาเลย!’
แต่ในความเป็นจริงลูกจ้างอย่างเธอต้องเพียรข่มความไม่พอใจเอาไว้อย่างสุดกำลัง พยายามนับหนึ่งถึงล้านในใจ แล้วหยิบสมุดบันทึกคู่กายกับปากกาขึ้นมาเตรียมจดรายละเอียดบ้านหลังใหม่ ตามที่นายจ้างหน้าเลือดอยากเนรมิตให้เป็น...
“จากที่คุยค้างกันเมื่อกี้ คุณบอกว่าบ้านหลังนี้ปลูกเพื่อผู้หญิงสองคนที่คุณรัก”
“ถูกต้อง” ธรรศพยักหน้ารับ “ผมต้องการให้บ้านหลังนี้เป็นของขวัญสำหรับคุณแม่กับน้องสาวผม ผมอยากให้คุณออกแบบบ้านโดยคำนึงถึงความต้องการของคนสูงวัยเป็นหลัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะลักไก่ออกแบบมาพื้นๆ บ้านๆ ได้นะ คุณแม่ของผมท่านแข็งแรง ยังเดินไหว คุณจะปลูกสวนไว้บนดาดฟ้า ทำหลังคากระจกครอบแบบรูฟทอปก็ได้ ซึ่งผมต้องการให้เป็นแบบนั้น”
“ฉันไม่มีนิสัยเสียแบบที่คุณว่าค่ะ” เธอแขวะเขากลับ ก่อนจะถามต่อ “แล้วในส่วนของน้องสาวคุณล่ะคะ อยากให้ฉันออกแบบยังไง”
“ตอนนี้น้องสาวผมเรียนปริญญาโทอยู่ที่อังกฤษ อีกปีกว่าๆ ถึงจะกลับ ยายด้าเป็นสาวทันสมัย ชอบอะไรที่ดูสดใส คุณควรออกแบบห้องของยายด้าให้แตกต่างจากคุณแม่ผมหน่อย แต่ต้องดูผสมกลมกลืนกัน ไม่ใช่ต่างกันไปคนละโยชน์เลย”
“ค่ะ” หญิงสาวกระแทกเสียงนิดๆ อดหมั่นไส้ไม่ได้ที่คนเผด็จการเอาแต่สั่งๆๆ
“อ้อ...อีกเรื่องที่คุณควรรู้ ผมตั้งชื่อบ้านหลังนี้ไว้ว่า ‘บ้านจันทร์ทอแสง’ ผมเลยอยากให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวบ้านมีแสงจันทร์สาดส่องตกกระทบให้ครอบครัวผมได้สัมผัสถึงพลังความอบอุ่น เวลาที่แสงถักทอลงมา เพราะคุณแม่ผมท่านชอบนั่งมองท้องฟ้าตอนกลางคืน”
“รวมถึงตัวคุณด้วยรึเปล่าคะ”
อะไรบางอย่างในแววตาเศร้าสร้อยที่เธอมองเห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้สลักจันทร์หลุดปากถามออกไป ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่ปรายตามองมายังเธอเช่นกัน แล้วพลันดวงตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนไป ทำให้เธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขารู้สึกเช่นไร เธออ่านสายตาของเขายามที่มองเธอตอนนี้ไม่ออกจริงๆ
“คำถามนี้รวมอยู่ในลิสต์ที่คุณต้องคิดแบบให้ผมด้วยรึเปล่า”
“ไม่เชิงค่ะ”
“งั้นผมขอไม่ตอบ”
ให้ตายสิ...เธออยากกัดลิ้นตัวเองนัก!
เธอไปถามเขาทำไม จะอยากรู้เรื่องราวของคนตรงหน้าให้ได้อะไร น่าจะรู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าคนอย่าง ธรรศ ธุวานนท์ ไม่มีทางและไม่มีวันตอบเธอแน่!
ถ้าเขาจะพูด...สิ่งเดียวที่คนปากร้ายจะทำคือ คอยจิกกัดหรือไม่ก็กดดันให้เธอรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า เมื่อกี้ตอนที่สายตาคมดุตวัดมองมา ทำเอาเธอหนาวๆ ร้อนๆ แทบจะคิดคำถามสัมภาษณ์ต่อไม่ออกเลยทีเดียว ต่อไปหากจะพูดอะไร เธอคงต้องตริตรองให้หนักๆ เสียแล้ว
ทว่าถึงอย่างนั้น สลักจันทร์ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกคล้ายกำลังผิดหวัง นี่เธออยากรู้เรื่องราวของเขาขนาดนั้นเลยรึไง...
เพราะร่องรอยความเจ็บช้ำในดวงตาคมกริบที่ปกติจะมองเธออย่างหยิ่งเหยียดรึเปล่า
หรือว่า...อะไรบางอย่างในตัวเขามากระตุ้นความรู้สึกลึกๆ ข้างในใจเธอเข้า
สลักจันทร์ถึงได้สงสัย...หญิงสาวเก็บความอยากรู้ไว้ในใจ แล้วพยายามโฟกัสไปที่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว
“นอกจากคุณ น้องสาว และคุณแม่คุณแล้ว ยังมีสมาชิกคนอื่นอีกไหมคะ อย่างเช่นคุณพ่อ คนสนิท พี่เลี้ยงหรือว่าคนรับใช้”
“คุณพ่อผมเพิ่งเสียไป...” น้ำเสียงเขาขาดหาย ก่อนจะถูกเติมเต็มด้วยคำพูดของคนที่โพล่งขึ้น
“เสียใจด้วยนะคะ”
ธรรศมองหล่อนเต็มตา ไม่อยากเชื่อว่าแค่คำพูดสั้นๆ เรียบง่ายจะทำให้เขารู้สึกดีได้ แต่เขารับรู้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยของคนพูดได้อย่างชัดเจน สัมผัสถึงความจริงใจอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครในแวดวงธุรกิจที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าหน้าไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ ไม่มีหรอกที่จะมาใจดีเห็นอกเห็นใจกัน ใครล้ม ซ้ำได้เป็นซ้ำ เหยียบได้เป็นเหยียบ ย่ำได้เป็นย่ำ ยิ่งกระทืบซ้ำให้จมธรณีชนิดที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดด้วยแล้ว...ยิ่งไม่รีรอ!
สลักจันทร์ทำให้เขาอดซึ้งใจขึ้นมานิดๆ ไม่ได้
“ขอบใจ” ธรรศเอ่ยเสียงเรียบพร้อมปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม เหมือนจะซ่อนความรู้สึกแท้จริงไว้ข้างใน แล้วกล่าวต่อ “ส่วนใหญ่คุณแม่ผมท่านจะอยู่กับคนรับใช้และคนเก่าคนแก่ มีผู้ชายสองคนเป็นคนขับรถกับคนสวน นอกนั้นก็เป็นแม่ครัวกับแม่บ้าน ผมอยากให้คุณออกแบบที่พักแยกต่างหากเป็นสัดส่วนด้านหลังตึกใหญ่ด้วย เพื่อเป็นห้องพักให้พวกเขา จะสร้างพอดีหรือเกินจำนวนคนนิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าให้ขาด เผื่ออนาคตน้องสาวผมกลับมา ผมอาจต้องจ้างคนเพิ่ม”
“ค่ะ” สถาปนิกสาวรับคำสั้นๆ แล้วตัดสินใจถามในสิ่งที่เธอควรทราบ แม้ว่าเขาจะยืนยันเจตนารมณ์ให้เธอฟังมาตั้งแต่ต้นแล้วก็ตาม แต่มันเป็นจรรยาบรรณในสาขาวิชาชีพที่เธอต้องถามย้ำ เพื่อความมั่นใจ หลังออกแบบและลงมือสร้างบ้านไปแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งแก้ทีหลัง
“คุณไม่คิดจะขยายครอบครัวเพิ่มไปมากกว่านี้แล้วใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ถามทำไม”
“ดิฉันถามเผื่อไว้สำหรับอนาคตหลังจากคุณแต่งงานแล้วน่ะค่ะ ดิฉันจะได้ออกแบบห้องเด็ก...”
“ไม่ต้อง!”
ธรรศตวาดเสียงกร้าวสวนกลับ ทำให้คนถามงุนงง ตั้งรับอารมณ์แปรปรวนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเขาไม่ทัน หน้าพลันถอดสี
นี่เธอพูดอะไรผิดงั้นหรือ
“ผมไม่เคยคิดจะแต่งงาน! ข้ามคำถามไร้สาระพวกนี้ไปได้เลย”
อ้อ...เพราะเธอไม่รู้ เลยเผลอพูดไม่เข้าหูคนฟังนี่เอง เขาถึงได้ทำตาขวาง ตะคอกเธอเสียงดังให้อับอายขายหน้าคนอื่นแบบนี้ นี่คงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นายจ้างอย่างเขาใช้เหยียดหยามลูกจ้างอย่างเธอสินะ
สลักจันทร์พยายามนับหนึ่งถึงร้อยถึงล้านในใจ แต่กลับทำได้ยากเย็นเหลือเกิน สงสัยนอตเธอจะหลุดซะละมั้งงานนี้
“บางครั้งดิฉันก็สงสัยนะคะว่า แฟนคุณยังทนคบกับผู้ชายที่ไม่เคยนึกถึงอนาคตร่วมกันของเธอกับเขาเลยสักนิดได้ยังไง นอกจากคุณจะพูดกับเธออีกอย่าง แต่ทำอีกอย่าง”
“สลักจันทร์!”
เสียงของเขาดังลั่นยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า แต่เมินเสียเถอะ เธอไม่กลัวเขาหรอก ยามนี้เธอโกรธมากกว่ากลัว เธอเองก็เป็นคน มีขีดความอดทนเหมือนกัน
สลักจันทร์เชิดหน้าท้าทายเจ้านายหนุ่ม ไม่หวั่นเกรงคนหน้าบึ้งที่ใกล้จะแยกเขี้ยวเต็มที โชคดีที่บริกรหนุ่มเดินเข้ามาขัดตาทัพเสิร์ฟอาหารในมือวางลงตรงหน้าเขาและเธอเสียก่อน สลักจันทร์กับธรรศจึงต้องพยายามเก็บความกรุ่นโกรธไว้ข้างใน เลือกรักษากิริยาต่อหน้าบุคคลที่สาม แต่ก็ไม่วายนั่งจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้าแทนอาหารในจาน!
“อย่าทดสอบความอดทนผมด้วยวิธีนี้”
“ดิฉันถามเพราะความสงสัยค่ะ ไม่ได้จะกวนประสาทอย่างที่คุณเข้าใจ” หญิงสาวยักไหล่ เลียนแบบท่าทางเขาเวลาไม่แยแสสิ่งใด
“ขอเตือนเอาไว้ว่า...คุณกำลังจะทำให้ผมหมดความอดทน!” ธรรศกัดฟันกรอดๆ ดวงตาวาววับราวกับพญาเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่ออยู่ตลอดเวลา
หญิงสาวรู้สึกเกรงๆ ท่าทีดุดันของเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกลัวหัวหด
“ดิฉันเองก็มีเรื่องที่อยากแจ้งให้คุณทราบ เผื่อจะช่วยปรับทัศนคติในการทำงานของเราให้ตรงกัน ดิฉันชอบให้เกียรติผู้อื่นก่อนเสมอด้วยการพูดจาดีๆ ไม่มีการส่อเสียดหรือขึ้นเสียง เพราะฉะนั้นดิฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่สนทนาของดิฉันจะรู้จักมารยาทอันดีอย่างที่ดิฉันรู้จัก” หญิงสาวเว้นวรรค เงยหน้าสบตาเขาตรงๆ แล้วกล่าวต่อ “แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้จักหรือไม่คิดที่จะรักษามารยาทกับดิฉันเลยสักนิด ดิฉันก็จะปฏิบัติกับคนคนนั้นเหมือนกับที่เขาปฏิบัติกับดิฉัน”
“รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังท้าทายผม”
“ดิฉันกำลังชี้ให้คุณเห็นในสิ่งที่คุณเป็น ไม่ได้ลองดีหรือท้าทาย”
ทั้งๆ ที่เขาพยายามสะกดกลั้นโทสะเอาไว้อย่างยิ่งยวดไม่ให้ระเบิดออกมาในที่สาธารณะ แต่ดูเหมือนคนที่ถูกเขาเตือนจะไม่รับรู้ถึงอันตรายเลยว่า หากทำให้เขาโกรธจนขาดสติเกินจะควบคุมตนเองได้ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร...
“แล้วรู้รึเปล่าว่าคนที่ชอบอวดดีอย่างคุณมักมีจุดจบยังไง” ธรรศถามเสียงเย็น
เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ไม่รั้งรอให้หญิงสาวตั้งตัว ก็ลุกขึ้นเอื้อมมือกระชากแขนหล่อนให้ลุกขึ้นตามเขา มืออีกข้างควักธนบัตรปึกหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อสูทด้านในวางกระแทกลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาจัดการผู้หญิงอวดดี
“ผมไม่มีอารมณ์จะทานแล้ว” พูดพร้อมกับออกแรงกระชากร่างบางจนตัวปลิวตามเขาไป
เคราะห์ดีที่สลักจันทร์พอจะมีสติเตรียมตั้งรับสถานการณ์ความเอาแต่ใจของคนขี้โมโหอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงพอจะขืนตัวต้านทานแรงของเขาได้บ้าง ไม่ถึงกับถูกฉุดกระชากลากถูจนล้มหัวทิ่มหัวตำให้ยิ่งขายขี้หน้าประชาชี ปากอิ่มบอกเขาเสียงห้วน
“ปล่อยดิฉันเดี๋ยวนี้นะคุณธรรศ!”
“ผมเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วไงว่า...ผู้หญิงอย่างคุณไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่ง!”
“ดิฉันไม่ใช่ ‘ช้างเท้าหลัง’ ของคุณค่ะ!”
“แต่ก็เป็นแค่ลูกจ้าง!”
น้ำเสียงและแววตาของเขาช่างหยามเหยียดเสียจนเกินกว่าที่สลักจันทร์จะอดทนไหว หญิงสาวจึงเริ่มดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงฉุดกระชากของผู้ชายตัวสูงใหญ่ร่างกายกำยำกว่าเธอมากโขได้ เลยจำต้องเร่งสาวเท้าก้าวตามเขาไป ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่าบริกรและแขกเหรื่อภายในร้านที่หันมามองเป็นตาเดียว
แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับเสียงทุ้มคุ้นหูที่เธอได้ยินจากทางด้านหลัง
“จันทร์!”
หญิงสาวหันขวับ ดวงตาเบิกกว้าง รีบกระชากมือตัวเองออกจากการเกาะกุมอย่างแน่นหนาของเจ้านายหนุ่มทันที
“ภพ!”
สายตาขวางๆ ของแฟนหนุ่มที่ตวัดมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำให้สลักจันทร์หวั่นใจว่าเอกภพคงกำลังเข้าใจเธอผิดอยู่เป็นแน่
“นี่ใคร แล้วจันทร์มาทำอะไร” เอกภพกระชากเสียงถาม เกิดความหึงหวงจนเลือดขึ้นหน้า แทบหลงลืมไปว่าเขาเองก็ไม่ได้มากินข้าวที่นี่ตามลำพัง แต่ยังมีแขกคนสำคัญที่คอยหยิบยื่นงานดีเงินงามแก่เขามาด้วยอีกคน และเอกภพควรจะให้ความเกรงใจมากกว่านี้
“จันทร์มาคุยงาน” น้ำเสียงคนตอบร้อนรนพอๆ กับท่าทาง
“คุยงาน...แล้วต้องจับมือถือแขนกันด้วยเหรอ” แฟนหนุ่มเลิกคิ้วถาม สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดของแฟนสาวเลยสักนิด
สลักจันทร์กลัวว่าเหตุความเข้าใจผิดจะยิ่งบานปลายใหญ่โต เมื่อเหลือบเห็นสายตาสอดรู้ของนายจ้างหนุ่มที่มองมาอย่างเปิดเผย หนำซ้ำเอกภพเองก็ดูเหมือนจะมาพูดคุยเรื่องงานเช่นกัน สังเกตจากอีกฝ่ายเป็นชายที่มีวัยวุฒิสูงกว่าและลักษณะการแต่งกายที่ดูภูมิฐาน เธอเดาว่าคงเป็นหัวหน้าหรือไม่ก็เป็นผู้ว่าจ้าง จึงไม่เหมาะที่พวกเธอจะยืนโต้เถียงสาวไส้กันอยู่ตรงนี้ให้คนนอกรับรู้
“เราไปคุยกันตรงด้านโน้นดีกว่านะภพ คุยตรงนี้คงไม่เหมาะ” หญิงสาวกล่าวเตือนสติพลางพยักพเยิดให้แฟนหนุ่มรู้ตัว ก่อนจะหันไปบอกนายจ้างฝ่ายตัวเองว่า “ดิฉันขอตัวสักครู่นะคะ”
พูดจบก็รีบคว้าแขนเอกภพ ดึงตัวพาเดินไปอีกทางอย่างเร็วจี๋
“นี่ใช่ไหมเหตุผลที่จันทร์ไม่ยอมไปกินข้าวกับภพ ถ้ามีเป้าหมายใหม่แล้วก็บอกภพดีๆ สิจันทร์”
เอกภพระเบิดอารมณ์ใส่แฟนสาวทันทีด้วยความเดือดดาลพร้อมทั้งสะบัดมือออก หลังหล่อนพาเขามายังมุมลับตาคนตรงบันไดหนีไฟ ด้านหลังลิฟต์โดยสาร
“หยุดดูถูกจันทร์ซะทีนะภพ” หญิงสาวเตือนเสียงเรียบ
“ภพพูดความจริง จันทร์รับไม่ได้รึไง”
“ถ้าภพไม่คิดจะพูดกับจันทร์ดีๆ ด้วยเหตุผล จันทร์คิดว่าเราควรหยุดคุยกันเลยดีกว่าไหม เพราะพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อภพไม่คิดจะเข้าใจ!”
สลักจันทร์ประชดอย่างเหลืออด คนฟังเลยตะคอกกลับมาเสียงดังยิ่งกว่าที่เธอขึ้นเสียงกับเขาหลายเท่า
“จันทร์จะให้ภพเข้าใจอะไรอีกล่ะ ในเมื่อภพเห็นอยู่ตำตาว่าแฟนตัวเองจับมือถือแขนกับผู้ชายอื่น!”
“เขาเป็นเจ้านายจันทร์ จะต้องให้จันทร์ย้ำอีกกี่รอบ ภพถึงจะเชื่อ”
“จะให้ภพเชื่องั้นเหรอ...ฮึ!” เอกภพทำน้ำเสียงขึ้นจมูก มองคนรักด้วยสายตาดูแคลน ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ “ทีภพ...กว่าจะได้จับมือจันทร์สักครั้ง ไม่รู้จะหวงเนื้อหวงตัวไปถึงไหน จันทร์ทำยังกับว่ารังเกียจภพ เหมือนเราไม่ได้เป็นแฟนกันยังงั้นแหละ แต่ทีไอ้หมอนั่น...จันทร์กลับยอมให้มันถูกเนื้อต้องตัวง่ายๆ แล้วจันทร์จะให้ภพเชื่ออะไรจันทร์อีกล่ะ”
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ภพฟังจันทร์หน่อยได้ไหม” คนถูกกล่าวหามีสีหน้าลำบากใจ
“ภพคิดว่าภพเข้าใจทุกอย่างถูกต้องแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้วละจันทร์”
“จันทร์ไม่ชอบที่ภพเอาแต่ใจร้อน ชอบด่วนตัดสินอะไรไปก่อน โดยที่ภพไม่เคยถามไม่เคยฟังจันทร์เลย”
“ภพก็ไม่ชอบ!” คนถูกต่อว่าสวนกลับทันควัน ยิ่งหัวเสียหนักขึ้น “ภพไม่ชอบที่จันทร์ทำให้ภพดูเป็นไอ้โง่ในสายตาของคนอื่น รู้ไหม...เพื่อนภพมันตอกใส่หน้าภพว่ายังไง มันด่าภพว่าเป็นไอ้เซ่อที่เก็บแฟนเอาไว้บนหิ้ง อีกหน่อยก็คงมีใครคาบจันทร์ไปต่อหน้าต่อตาภพหรอก”
“ภพ!” สลักจันทร์ตวาดลั่น โกรธจนตัวสั่น “ภพจะเชื่อเพื่อนหรือเชื่อจันทร์!”
“บางครั้งภพก็อยากเชื่อคนอื่นมากกว่า ทีจันทร์ยังเห็นคนนอกดีกว่าภพเสมอเลยนี่ อย่างไอ้พี่วีร์นั่นไงล่ะ จันทร์ก็เข้าข้างมัน มันพูดอะไรจันทร์ก็เชื่อ ยอมทำตามมันทุกอย่าง เฮอะ!...ปกติสถาปนิกน่ะกินเส้นกับวิศวกรซะที่ไหน พวกสถาปนิกอย่างจันทร์ก็ดีแต่บ้าศิลปะ เน้นแต่ความสวยงาม แต่เคยคำนึงถึงความแข็งแรงคงทนเหมือนวิศวกรอย่างพวกภพบ้างไหม”
“ไปกันใหญ่แล้วภพ ไม่ใช่ว่าสถาปนิกทุกคนจะต้องไม่ถูกกับวิศวกรสักหน่อย ใครดีมีฝีมือ จันทร์ก็ชื่นชม”
“แล้วภพล่ะ ภพต่างจากไอ้ปวีร์ตรงไหน ภพก็เป็นวิศวกรเหมือนมัน ทำงานไม่ต่างกันเลยแท้ๆ แต่จันทร์กลับชื่นชมมัน เห็นดีเห็นงามกับมัน จันทร์เคยว่ามันสักคำไหม มีแค่ภพนี่แหละที่จันทร์เอาแต่ติเอาแต่ว่า แล้วแบบนี้จันทร์จะให้ภพคิดยังไง จะให้ภพโลกสวยคิดว่าความรักของเรายังมั่นคงดีอยู่ ไม่ได้มีใครมาทำให้ใจจันทร์หวั่นไหวอย่างนั้นเหรอ”
โอ๊ย!...เธออยากจะบ้าตาย ลำพังแค่ต้องอธิบายเรื่องเจ้านายหนุ่ม ทั้งที่จริงๆ มันไม่มีอะไรเลยแท้ๆ เธอก็เหนื่อยหน่ายจะแย่อยู่แล้ว นี่เอกภพยังจะพาลลากคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ามายุ่งอีกทำไมนะ
“จันทร์คิดกับพี่วีร์แบบพี่ชาย!”
“แน่ใจเหรอจันทร์” เอกภพเลิกคิ้วถาม “เป็นแค่พี่ แล้วทำไมถึงได้ออกรับแทนมันทุกอย่างล่ะ”
“เพราะพี่วีร์เป็นวิศวกรที่ดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อจรรยาบรรณหรือศีลธรรมเลยสักครั้ง”
“ของแบบนี้ใครเขามาทำให้เห็นกันโต้งๆ ล่ะจันทร์ มันอาจจะแอบรับซองใต้โต๊ะอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้”
“จันทร์เชื่อว่าพี่วีร์ไม่ใช่คนแบบนั้น!”
“เชื่อมันมากกว่าแฟนตัวเองเลยรึไง!” เอกภพแผดเสียงถาม ยิ่งฉุนจัดที่แฟนสาวออกโรงปกป้องคนอื่นมากกว่าเขาที่เป็น ‘คนรัก’
“ใช่!” สลักจันทร์ตอบกลับอย่างหนักแน่น ยืนยันในความคิดของตน
“งั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ในเมื่อคำตอบของจันทร์มันชัดเจนอยู่แล้วนี่”
“ต่อให้จันทร์พยายามพูดหรืออธิบายจนปากเปียกปากแฉะยังไง ภพก็ไม่ฟังอยู่ดี เพราะภพเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เชื่อ...ความคิดอกุศลของภพเอง”
“จันทร์!” มือหนากระชากแขนแฟนสาวให้เข้ามาประจันหน้ากันตรงๆ มองเธอตาขุ่นจัด “อย่าทำให้ภพหมดความอดทนนะ ภพทะนุถนอมจันทร์มานานแล้ว ต่อไปนี้ภพจะไม่ยอมเป็นไอ้งั่งอีก”
“ถ้าภพกล้าทำรุ่มร่ามกับจันทร์ละก็ เราขาดกัน!” หญิงสาวเตือนเสียงเฉียบ จ้องตาเขาไม่ยอมหลบ
“ภพไม่สนหรอก ภพต้องได้ในสิ่งที่ภพควรได้”
“ภพพูดเหมือนไม่เคยรักจันทร์”
“แล้วจันทร์ล่ะ...เคยรักภพไหม”
สลักจันทร์มองคนตรงหน้าเต็มๆ ตา มองให้ชัดๆ ให้แน่ใจว่าเขาเป็นคนคนเดียวกับคนที่เธอรักใช่หรือไม่
วูบหนึ่ง...เธอเศร้าจับใจ เพราะยิ่งมองเท่าไรก็เห็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อนเลยในชีวิต
แต่แล้วเพียงชั่วเสี้ยววินาที หญิงสาวก็เรียกสติและความเข้มแข็งกลับคืนมาใหม่ เธอเหยียดปากออก รู้ซึ้งแล้วว่าเวลาคนเราเผยธาตุแท้และความเห็นแก่ตัวออกมา มันช่างดูน่าเกลียดแบบนี้นี่เอง
“จันทร์ผิดเองที่ตั้งความหวังกับภพมากเกินไป”
“จันทร์ผิดที่เข้าข้างคนอื่นต่างหาก”
ใช่! ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหล่อนมองโลกในอุดมคติมากเกินไปจนไม่ยอมมองความเป็นจริง หล่อนถึงชอบหาเรื่องทะเลาะกับเขา คอยเปรียบเทียบเขากับคนอื่น หาว่าเขาเห็นแก่ตัวบ้างละ ไม่มีจรรยาบรรณบ้างละ ซ้ำร้ายยังมีคนอื่นเข้ามาทำให้จิตใจของหล่อนหวั่นไหว สลักจันทร์จึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เอกภพรับรู้ถึงสิ่งที่คอยสั่นคลอนจิตใจเขามาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็พยายามประคับประคองความรักมาตลอด แม้หลายครั้งเขาจะไม่พอใจแฟนสาวมากๆ แต่ก็ยอมเป็นฝ่ายโอนอ่อนให้ พยายามปรับตัวเข้าหา เพียรทำในสิ่งที่เธอบอกว่าถูกบอกว่าดี
แล้วสลักจันทร์ล่ะ...เคยเห็นความดีของเขาบ้างไหม
หล่อนยังคิดว่าเขาเป็น ‘แฟน’ อยู่รึเปล่า
ตั้งแต่คบกันมา สลักจันทร์ไม่ยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัวหรือแสดงความรักตีตราจองเป็นเจ้าของหล่อนในที่สาธารณะเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่อยู่กันสองต่อก็ไม่มี
มันผิดด้วยรึไง...เขาก็แค่อยากสัมผัสคนที่เขารัก อยากกอด อยากจูบ อยากให้หล่อนรู้ถึงหัวใจของเขาบ้าง
ทำไมหล่อนถึงไม่เข้าใจหัวอกผู้ชายเลยนะ
เขารักหล่อน อยากครอบครองหล่อน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่แฟนคู่ไหนเขาก็ทำกันทั้งนั้น แต่สลักจันทร์มักคิดตรงข้ามกับเขาเสมอ หล่อนยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีที่แสนจะล้าหลัง เอาแต่อ้างเหตุผลเรื่องความเหมาะสมมาเป็นกำแพงกั้นกลางระหว่างกัน จนเขาเริ่มจะท้อ
“จันทร์ไม่เคยรักภพ” เอกภพตัดพ้อ
“ผิดแล้ว” หญิงสาวส่ายหน้า “เราไม่เคยรักกันต่างหาก”
“ภพรักจันทร์!”
“คนที่รักกัน เขาต้องให้เกียรติกัน เชื่อใจกัน คงไม่พูดหรือทำแบบที่ภพทำ”
“ก็ภพรัก! ภพหวงจันทร์!”
“มันเป็นความเห็นแก่ตัวของภพมากกว่า ยิ่งคบกันนานขึ้น จันทร์ก็ยิ่งรู้สึกว่าภพไม่เคยรักจันทร์”
“ภพไม่เคยพูดหรือทำแบบนั้น”
“แต่จันทร์รู้สึกได้”
“จันทร์แค่จะหาข้ออ้างเลิกกับภพเท่านั้นละ จันทร์ถึงบอกว่าภพไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง”
“เพราะภพเอาแต่คิดแง่ลบแบบนี้ไงล่ะ จันทร์ถึงเบื่อที่จะคุยด้วย”
“อ๋อ...ต้องเป็นไอ้ปวีร์หรือไอ้เจ้านายกระเป๋าหนักคนเมื่อกี้นี้เท่านั้นใช่ไหม จันทร์ถึงจะเต็มใจ”
เอกภพกระชากร่างบางเข้ามาปะทะอกอย่างแรง โดยไม่สนใจว่าหญิงสาวจะเจ็บจุกหรือไม่ เขารู้แต่ว่าเขาโดนหล่อนสวมเขา เขาเจ็บ! และหล่อนจะต้องเจ็บเหมือนกัน!
ชายหนุ่มกอดรัดเจ้าหล่อนแน่นตามแรงอารมณ์ พลางซุกไซ้ตะโบมจูบไปทั่วซอกคอและใบหน้าหวานเป็นพัลวันหวังจะครอบครองริมฝีปากที่เขาไม่เคยได้ลิ้มลอง แต่โชคร้ายที่หญิงสาวขัดขืน หล่อนเบี่ยงหน้าหลบทัน ซ้ำยังยกมือยันปลายคางเขาไว้อย่างสุดกำลัง ทำให้เอกภพไม่สามารถบดจูบอีกฝ่ายได้สมดังใจ
“จะหวงเนื้อหวงตัวกับภพไปถึงไหน” เขากัดฟันถาม
“ก็จนกว่าจันทร์จะแน่ใจว่าภพใช่คนที่จันทร์อยากจะแต่งงานด้วยรึเปล่านั่นละ”
คนฟังแสยะยิ้ม “โลกสวยไปไหมจันทร์ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขารอให้ถึงวันแต่งงานกันหรอก เขาอยู่กินกันก่อนแต่งทั้งนั้นแหละ”
“แต่ไม่ใช่จันทร์!” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง ยิ่งดิ้นรนสะบัดกายออกจากวงแขนของแฟนหนุ่มอย่างรุนแรง เพราะรังเกียจในความคิดของอีกฝ่าย “ภพอย่าเอาความคิดภพหรือของคนอื่นมาตัดสินจันทร์”
“ภพไม่ชอบให้แฟนตัวเองทำตัวคร่ำครึหัวโบราณ”
สลักจันทร์ถึงกับยืนคอแข็ง ทั้งจุกและเจ็บจนพูดอะไรไม่ออกที่แฟนหนุ่มไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเธอเลย การที่เธอสงวนกายใจไว้ให้คนที่จะร่วมชีวิตกันในคืนที่เข้าหอ มันผิดอย่างนั้นหรือ...
คำพูดของเขาบ่งบอกว่าเธอควรทำตัวเป็นสาวใจง่าย ยินยอมให้เขาเชยชมสมใจ นี่สิ...ถึงจะเรียกว่ารักกันจริง!
ถ้าเอกภพคิดอย่างนั้น เธอคงไม่มีอะไรจะพูด เธอไม่อยากคุยกับคนดื้อด้านที่ไม่สนใจใคร ไม่เคยคิดจะเข้าใจอะไร ซ้ำยังเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจเช่นเขาอีกแล้ว เพราะยิ่งพูด เธอก็ยิ่งเห็นความเลวร้ายของเขามากขึ้น เธอไม่อยากเกลียดแฟนหนุ่มมากกว่าที่เป็นอยู่
สลักจันทร์รวบรวมกำลังผลักอกเขาออกไปให้ห่างตัวอย่างเต็มแรง จนอีกฝ่ายซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะมองหน้าเขาด้วยแววตาผิดหวัง
“ขอโทษนะที่จันทร์ทำตัวไม่ถูกใจภพ ถ้าภพคบกับจันทร์เพราะหวังเรื่องอย่างว่าละก็ จันทร์ขอแนะนำให้ภพไปหาแฟนใหม่จะดีกว่า เพราะจันทร์คงไม่มีวันลดค่าตัวเองทำเรื่องอย่างว่าเพื่อภพหรอก”
พูดแล้วก็เร่งสาวเท้าจากไปทันที เพราะไม่อยากให้แก้วที่ปริร้าวเต็มทีต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เธอไม่อยากให้ความรู้สึกดีๆ ที่แทบไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำตอนนี้ถูกทำลาย เพียงเพราะคำพูดชุ่ยๆ ของเขาแค่ไม่กี่คำ
ความคิดเห็น |
---|