‘จันทร์...เพื่อนสนิทพี่ที่เคยเรียนรุ่นเดียวกันกำลังต้องการสถาปนิกออกแบบบ้าน ถ้าจันทร์ว่างก็ลองไปคุยกับเขาดูหน่อยแล้วกัน ที่บริษัทธุวานนท์พรอพเพอร์ตี อยู่แถวถนนวิทยุ ไม่ไกลจากบริษัทเราเท่าไร พี่เคยเกริ่นเรื่องจันทร์กับเขาไว้แล้ว ไปสักบ่ายวันศุกร์ เพื่อนพี่จะได้มีเวลาว่างคุยกับจันทร์ยาวๆ หน่อย’
สถาปนิกสาวนึกถึงคำพูดของปวีร์ ที่เป็นคนแนะนำงานนี้ให้ ขณะลอบชำเลืองมอง ‘ว่าที่นายจ้าง’ อย่าง ‘อึดอัด’ แล้วรีบหลุบตาลง เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับเธอ พลางนึกถึงสิ่งที่รุ่นพี่หนุ่มบอกกับเธอต่อว่า
‘ธรรศมันเป็นพวกบ้างาน ตั้งแต่พ่อเสีย ทิ้งกิจการไว้ให้มันดูแลต่อตั้งแต่ตอนเรียนปีหนึ่ง หมอนี่ก็เลยต้องเบนเข็มจากที่เรียนวิศวกรอยู่ดีๆ ต้องย้ายไปเรียนคณะบริหารธุรกิจ เพื่อพยุงกิจการครอบครัวที่เพิ่งเสียเสาหลักไป มันเลยไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก ไหนจะต้องดูแลแม่ดูแลน้อง แถมยังต้องบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์และพัฒนาที่ดินอีก เรียกว่าทั้งงานราษฎร์งานหลวง มันเหมาเละคนเดียว
‘บางครั้งอาจพูดจาแข็งๆ ไปบ้าง เพราะเคยชินกับการชี้นิ้วสั่งให้ลูกน้องทำโน่นทำนี่ตามใจ เลยเป็นคนรออะไรไม่ค่อยเป็น ทุกอย่างต้องออกมาเนี้ยบ รวดเร็วทันใจ ถ้ามันพูดอะไรไม่เข้าหู จันทร์ก็อย่าไปถือสาเลยนะ คิดซะว่าเอางานของเราดีกว่า เพราะเวลาที่หมอนี่ถูกใจอะไรขึ้นมา มันเพย์ไม่อั้นเหมือนกัน พี่การันตีได้เลยว่างานนี้เงินดี ไม่มีเบี้ยวแน่นอน จันทร์เตรียมเก็บเงินไว้สร้างเนื้อสร้างตัวปลูกเรือนหอรอรักได้เลย’
‘อย่าเพิ่งคิดเรื่องจะเก็บเงินเลย จันทร์กลัวจะตีกับว่าที่เจ้านายตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มงานเลยน่ะสิคะพี่วีร์’
สลักจันทร์แอบบ่นกับคนที่ไม่ได้มาด้วยกัน แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย รักษามารยาทเอาไว้อย่างดีเยี่ยม
หลายนาทีผ่านไป ภายใต้สถานการณ์อึมครึมชวนให้กระอักกระอ่วนใจระหว่างกัน หญิงสาวเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมานิดๆ เพราะคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเล่นจ้องหน้ากันอย่างไม่เกรงใจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน สองมือเรียวถูกันไปมา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร...
โมโห?
ประหม่า?
หรือ...ไม่มั่นใจ?
หญิงสาวรู้แต่ว่าหงุดหงิดทุกครั้งที่ถูกสายตาคมกริบมองอย่างพินิจพิจารณา ถ้าเขามองเธอแบบธรรมดาๆ ตามประสานายจ้างทั่วไปที่ต้องการตรวจสอบบุคลิกลักษณะของลูกจ้างว่าน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน สลักจันทร์ยังพอจะเข้าใจ เพราะงานเขียนแบบบ้านไม่ได้ใช้เงินแค่หลักสิบหลักร้อยเสียเมื่อไร เขาต้องจ่ายให้สถาปนิกและวิศวกรเป็นหลักหมื่นหลักแสนขึ้นไป แต่มันต้องไม่ใช่การใช้หางตามองเหยียดกันตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเหมือนกับเธอเป็นตัวเชื้อโรคที่น่ารังเกียจแบบนี้
‘ท่าทางเพื่อนพี่วีร์คงไม่ใช่แค่จอมเผด็จการอย่างเดียวแล้วละค่ะ แต่ยังเป็นคนนิสัยไม่ดีที่ชอบดูถูกคนอื่นอีกด้วย’
สลักจันทร์แอบค่อนแคะเจ้าตัว สีหน้าดูลำบากใจอย่างเด่นชัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นร้อนเห่อสลับกับรู้สึกชาๆ เมื่อเขาเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่งเรียบ เจือแววหยันนิดๆ ด้วยรอยยิ้มที่กดลงบนมุมปากข้างหนึ่ง
“คุณน่ะหรือที่นายวีร์แนะนำมา”
แววตาและน้ำเสียงของเขายังไม่ร้ายกาจเท่าคำถามที่เหมือนกับจะเป็นการป่าวประกาศบอกเธอกลายๆ ว่า
‘ผมไม่มั่นใจว่าคุณจะออกแบบบ้านผมได้ดี’
นี่คงเป็นมารยาทอันดีที่สุภาพบุรุษอย่างเขาพึงให้เกียรติลูกจ้างต้อยต่ำอย่างเธอสินะ...
เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงจะพูดออกมาตรงๆ แล้วละว่า...
‘คุณไม่มีปัญญาออกแบบบ้านให้ผมได้หรอก’
ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง เธอเองก็อยากจะถามเขากลับเหมือนกันว่า...
‘ใครเป็นคนบัญญัติไว้ไม่ทราบว่าสถาปนิกกับวิศวกรต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น!’
สลักจันทร์พยายามข่มใจ ไม่เผลอตอบโต้อีกฝ่ายกลับไป เพราะเธอจำต้องเห็นแก่หน้าปวีร์ให้มากๆ เขาไม่เพียงมีบุญคุณช่วยแนะนำงานนี้มาให้ แต่ยังเป็นพี่ชายที่เธอให้ความเคารพรักและเกรงใจอย่างที่สุด
สำหรับสลักจันทร์แล้ว...ปวีร์เปรียบเสมือนพ่อพระของเธอก็ไม่ปาน เขาเป็นคนมอบโอกาสที่ทำให้ครอบครัวของเธอมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ชายหนุ่มเป็นคนสัมภาษณ์และรับเธอเข้าทำงานที่บริษัทแอล. เอช. เดโคเรต แอนด์ ดีไซน์ กรุ๊ป ตั้งแต่สมัยที่เธอเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ตอนนี้เขาเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและรั้งตำแหน่งหัวหน้า คอยเป็นพี่เลี้ยงกำกับดูแลสลักจันทร์และคนในทีม คอยให้คำปรึกษาเรื่องงานและเรื่องต่างๆ แก่เธออยู่เสมอ เขาพร้อมช่วยเหลือเธอโดยไม่เคยเบื่อหรือปริปากบ่นเลยสักครั้ง แม้ว่าบางคราวเธอจะยัดเยียดปัญหาส่วนตัวด้วยการพร่ำบ่นให้เขายิ่งรกสมองมากขึ้นก็ตาม
ในเมื่อปวีร์แสนดีและคอยช่วยเหลือเธอขนาดนี้ แล้วเธอจะทำให้คนที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ คลานตามกันออกมาจากท้องแม่ต้องขายหน้า โดนเพื่อนต่อว่าเรื่องที่ไม่รู้จักเลือกคนมาทำงานให้ดีได้อย่างไรกัน...
สลักจันทร์จึงพยักหน้า บอกเพียงสั้นๆ
“ค่ะ”
“คุณมีผลงานมาให้ผมดูไหม”
แทนคำตอบ สลักจันทร์ยื่นแฟ้มในมือให้ผู้ชายตรงหน้า เขารับไปเปิดดูคร่าวๆ ก่อนกล่าวเสียงเรียบดุจเดิม
“อืม...ก็ดี สมเป็นสถาปนิกรุ่นใหม่ ออกแบบบ้านเรียบๆ ง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อนเท่าไหร่”
ประโยคแรก คนฟังยังพอทำเนา ถึงเขาไม่ชม แต่ก็ไม่ได้วิจารณ์ฝีมือของเธอจนหน้าม้าน แต่พอประโยคหลังหลุดออกจากปากเขาเท่านั้นละ สลักจันทร์ก็คอแข็งขึ้นมาทันที
“ว่าแต่...ทำได้แค่นี้เองหรือ”
“ดิฉันออกแบบบ้านได้หลายแบบค่ะ” หญิงสาวกระแทกเสียงตอบนิดๆ
ธรรศยักไหล่ “แต่ที่เอามาโชว์ให้ดูนี่ ผมเห็นมีแต่แบบบ้านๆ”
“ดิฉันไม่ทราบมาก่อนว่าคุณต้องการคนออกแบบ ‘คฤหาสน์!’ ไม่ใช่บ้าน”
ยังดีที่เธอยั้งคำว่า ‘วัง’ เอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะหาว่าเธอพูดกระทบกระเทียบถึงรสนิยมของเขาอีก เพราะสลักจันทร์มั่นใจว่าผลงานที่คัดมาโชว์นั้น เป็นแบบบ้านที่ดูดีมีสไตล์ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยจริง ที่เธอเคยออกแบบให้ และเรียกเสียงตอบรับถึงความ ‘พึงพอใจ’ จากลูกค้าได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยความที่เธอเน้นการออกแบบอย่างเรียบหรู ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นหลัก ทุกครั้งที่สลักจันทร์ทำการออกแบบบ้าน เธอเลือกการตกแต่งแบบคลาสสิกด้วยเครื่องประดับน้อยชิ้นให้เหล่าเศรษฐี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและคงทนของ ‘ตัวบ้าน’ มากกว่าจะประโคมข้าวของราคาแพง เพื่ออวดฐานะความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว
ฉะนั้นสิ่งที่เธอใส่ใจสร้างจึงแตกต่างจากคำที่เขาสบประมาทว่า ‘ดูบ้านๆ’ อย่างสิ้นเชิง!
“ผมอยากได้แบบที่มันดูแพงกว่านี้”
“ดิฉันจะเนรมิตให้ค่ะ ขึ้นอยู่กับงบประมาณว่าคุณตั้งไว้เท่าไหร่”
สลักจันทร์หมั่นไส้จนอดแขวะเขากลับเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ เกิดมาเธอยังไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนเรื่องมาก พูดจาดูถูกดูแคลนคนอื่นอย่างร้ายกาจได้เท่าเขาเลยสักคน
“สิบสองล้าน! เฉพาะโครงสร้างของตัวบ้าน ยังไม่นับรวมค่าตกแต่งภายใน คุณคิดว่าจะรับผิดชอบไหวไหม” เขาเลิกคิ้วถามราวกับอยากจะให้ตัวเองมั่นใจ
“ถ้าคุณคิดว่าดิฉันทำไม่ไหว ทำไมถึงได้เรียกดิฉันมาคุยล่ะคะ” สลักจันทร์ถามกลับ
“คงเพราะนายวีร์อวดสรรพคุณของคุณเอาไว้เยอะละมั้ง เลยทำให้ผมอยากพิสูจน์ว่าคุณจะเก่งจริงอย่างที่หมอนั่นมันพูดไว้หรือเปล่า”
‘โดยการเอาเงินสิบสองล้านมาเสี่ยงเหรอคะ’
หญิงสาวอยากจะย้อนเขากลับไปแบบนี้นัก แต่ที่ทำได้ดีกว่าการประชดประชันแบบเด็กๆ ก็คือยืดอกยอมรับในสรรพคุณที่เชื่อว่าตัวเองมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“ดิฉันคงไม่กล้าทึกทัก พูดโอ้อวดว่าตัวเองเก่ง แต่ดิฉันไม่เคยทำให้ลูกค้าเสียเวลาและเสียดายเงินที่ต้องควักจ่ายดิฉันค่ะ”
คนฟังเลิกคิ้วสูง กระตุกยิ้มอย่างชอบใจ
“ดี! จำคำคำนี้ของคุณเอาไว้ด้วยล่ะ เพราะถ้าคุณทิ้งงานหรือทำให้ผมเกิดเสียดายเงินขึ้นมาเมื่อไหร่ รับรอง คุณได้จ่ายค่าเสียหายชนิดที่ชดใช้คืนผมทั้งชาติก็ไม่มีวันหมดแน่!”
หญิงสาวแอบเบ้ปาก
“พูดเหมือนกับว่าคุณตกลงใจจะจ้างดิฉันแน่นอนแล้วอย่างนั้นละค่ะ”
แทนคำตอบ ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหันไปกดอินเตอร์คอมที่ต่อสายตรงถึงเลขาฯ หน้าห้อง กรอกเสียงลงไปในเครื่องรับสัญญาณ
“คุณสิรี ช่วยร่างสัญญา ‘ว่าจ้าง’ ออกแบบบ้านให้ผมด่วน ผมต้องการวันพรุ่งนี้ รบกวนตรวจสอบเนื้อหาอย่างละเอียดด้วยนะครับ ผมไม่อยากเปิดช่องให้คนรับงานเอาเปรียบผมได้ อ้อ...แล้วก็มีบางข้อที่ผมต้องการให้เพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวผมจะจดโน้ตออกไปให้”
“เดี๋ยวสิรีจะรีบจัดการให้ค่ะ” หญิงวัยกลางคนที่รู้จักนิสัยของเจ้านายตนเป็นอย่างดีตอบรับทันที
“ขอบคุณครับ” พูดจบแล้วก็วางสาย หันกลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง “ก่อนทำงานร่วมกัน ผมจะให้โอกาสคุณเลือก ถ้าคุณคิดว่าไม่มีฝีมือหรือไม่มั่นใจละก็ ผมอนุญาตให้ถอนตัวตอนนี้ได้เลย และผมจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ที่คุณทำให้ผมเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย เพราะผมจะถือว่าคุณได้ชดใช้ให้ผมแล้วด้วยการทำให้ผมได้มีโอกาสหัวเราะเยาะดังๆ ใส่หน้าไอ้คนที่แนะนำคุณมาแทนว่า สถาปนิกเบอร์หนึ่งที่มันกล้าเอาหัวเป็นประกัน ไม่เห็นจะได้ความอย่างที่มันโม้ไว้เลยสักนิด!”
ดวงตากลมสวยพลันกร้าวขึ้น แทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา สลักจันทร์พยักหน้ารับเป็นคำตอบทันที เธอไม่ดีใจที่ได้งานจากเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าที่ตัดสินใจตกลงรับ เพราะรู้สึกหมั่นไส้คนที่ชอบพูดจาดูถูกถากถางเธอสารพัด เธอจะทำให้เขาหน้าหงายและพึงระลึกเสียใหม่ว่า...ผู้หญิงอย่างเธอก็แกร่ง แถมยังมีดีมากกว่าพวกผู้ชายบ้าอำนาจอย่างเขาหลายเท่านัก
สลักจันทร์จะเอาชนะเขาให้ดู!
“พรุ่งนี้เจอกันค่ะ ดิฉันจะเตรียมเอกสารมาให้พร้อม รับรองว่าไม่ทำให้คุณเสียเวลาแน่นอน อ้อ...แล้วที่อยู่ในเอกสารใช้ติดต่อได้จริงนะคะ เผื่อดิฉันทนความเรื่องมากของนายจ้างอย่างคุณไม่ไหว เกิดทิ้งงานไปเสียดื้อๆ คุณจะได้มั่นใจว่าสามารถตามตัวดิฉันกลับมาใช้หนี้ก้อนโตที่ใช้ทั้งชาติก็ยังไม่หมดของคุณได้ที่ไหน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวเลยนะคะ จะรีบกลับไปเตรียมความพร้อมสำหรับงานวันพรุ่งนี้ สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทอย่างเสียไม่ได้ แล้วเก็บข้าวของ รีบเดินออกจากห้องทำงานของเขา เพราะกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะห้ามใจไม่ไหว กระโจนเข้าไปตะกุยหน้าหล่อๆ ที่นั่งวางมาด ทั้งที่เพิ่งฟังเธอพูดจาส่อเสียดตัวเองไปหยกๆ ให้มันมือเล่น
ผู้ชายอะไร...ปากร้าย ไร้มารยาท ซ้ำยังชอบดูถูกคนอย่างร้ายกาจ!
ชาตินี้...เธอขอเจอเจ้านายแบบเขาแค่คนเดียวพอ!
หลังเดินออกมาจากอาคารธุวานนท์พรอพเพอร์ตีด้วยสีหน้าบึ้งตึง สลักจันทร์ก็มีเรื่องให้ขบคิดต่อทันทีว่า เธอควรจะรับสายแฟนหนุ่มที่คบหากันมายาวนานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยดีหรือไม่ ฟังดูอาจจะแปลกๆ แต่เธอรู้สึกจริงๆ ว่าเหมือนตัวเองกำลังคบอยู่กับใครอื่น ไม่ใช่แฟนหนุ่มคนเก่าที่เธอเคยรู้จักมาหกเจ็ดปี เพราะช่วงหลังๆ เวลาคุยกันแต่ละที เธอต้องคอยหยิบยกเหตุผลมาหักล้างตรรกะที่ไม่เข้าท่าของเขาอยู่ร่ำไป
ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนชอบเอาชนะ
แต่...เอกภพไม่เคยฟังความคิดเห็นเธอเลยต่างหาก!
สลักจันทร์ตัดสินใจแตะหน้าจอ เลื่อนปลายนิ้วเพื่อรับสาย กรอกเสียงลงไปอย่างเซ็งๆ
“มีอะไรรึเปล่าภพ”
“นี่เป็นคำทักทายแฟนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานเกือบเดือนของจันทร์เหรอ” คนทางปลายสายประชดกลับ
“ช่วงนี้จันทร์เหนื่อยๆ น่ะ”
สลักจันทร์พยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง บวกกับคนฟังพยายามไม่ใส่ใจ คงเกรงว่าหากต่อความยาวสาวความยืด จะกลายเป็นการทะเลาะกันเหมือนทุกครั้งในช่วงสี่ห้าเดือนที่ผ่านมา เขาเลยรีบบอกความตั้งใจของตัวเองกลับมาว่า
“เย็นนี้เราไปดินเนอร์กันนะ ภพรวย เพิ่งได้เงินจากงานพิเศษมา”
“หวังว่าคงไม่ใช่ค่าเซ็นแบบที่ไม่ได้มาตรฐานหรอกนะ ถ้าเป็นเงินร้อนพวกนั้นละก็ จันทร์คงกินข้าวของภพไม่ลงแน่ และจันทร์ก็ไม่อยากให้ภพเอามาพูดทีหลังด้วยว่าเพราะเราจะแต่งงานกัน อนาคตภพต้องเลี้ยงจันทร์ ภพเลยต้องหาลำไพ่พิเศษด้วยงานผิดกฎหมายแบบนี้” สลักจันทร์ดักคออย่างรู้ทัน
“อย่าหาเรื่องภพได้ไหมจันทร์” เอกภพทำเสียงหงุดหงิดกลบเกลื่อนความผิด เพราะ ‘เงินพิเศษ’ ที่ว่าได้มาจากวิธีดังกล่าวจริง “จะมาจากไหน มันก็เป็นเงินที่ภพหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองนั่นละ ถ้าจันทร์ไม่อยากเจอภพ พูดมาคำเดียวสั้นๆ ภพขี้เกียจทะเลาะกับจันทร์”
“จันทร์เองก็ไม่อยากเถียงกับภพเรื่องนี้บ่อยๆ หรอกนะ แต่จันทร์เป็นห่วงภพ ทั้งในฐานะที่เป็นแฟนและเป็นเพื่อน สิ่งที่ภพกำลังทำมันผิด แถมยังส่งผลเสียในหลายๆ ด้านด้วย ถ้าวันหนึ่งตึกที่ภพเซ็นอนุมัติแบบให้ทั้งที่ไม่ได้มาตรฐานเกิดถล่มลงมา เพราะวัสดุอุปกรณ์ไม่ได้คุณภาพ ภพเคยคิดไหมว่าจะต้องมีคนบริสุทธิ์สังเวยชีวิตให้แก่ความมักง่ายของเจ้าของตึกหรือแม้แต่ความโลภของภพเองด้วยสักกี่ร้อยกี่พันชีวิต แล้วภพเคยนึกถึงอนาคตของภพหลังจากนั้นไหมว่าจะเป็นยังไง จะสู้หน้าใครได้ ภพจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าภพไม่เคยคิด จันทร์จะตอบแทนให้ คงไม่พ้นซังเตแน่ ภพเคยละอายหรือนึกกลัวเรื่องพวกนี้บ้างรึเปล่า”
แทนที่คนถูกเตือนจะคิดตาม เขากลับบอกเธออย่างไม่ยี่หระ
“กว่าจะถึงตอนนั้น ภพคงรวยเป็นเศรษฐีไปแล้ว คุกไม่ได้มีไว้ขังคนรวยนะจันทร์ มีเงินก็จ้างทนายไปสิ เดี๋ยวนี้คนดีๆ มีฝีมือออกเยอะแยะ จะกลับขาวให้เป็นดำยังไงก็ได้”
สลักจันทร์ถึงกับอึ้ง คิดไม่ถึงว่าแฟนหนุ่มจะพูดจามักง่ายแบบนี้ จึงต่อว่าเขา
“เราเพิ่งรู้ว่าภพเป็นคนเห็นแก่ตัว”
แม้น้ำเสียงที่พูดจะฟังดูราบเรียบ แต่ให้ความรู้สึกรุนแรงในความหมาย ทำเอาคนที่เกือบจะอารมณ์ดีชักยัวะขึ้นมาใหม่ สวนกลับอย่างรำคาญเต็มแก่
“จันทร์นั่นแหละเป็นอะไร เอาเรื่องนี้มาว่าภพอยู่ได้ เรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นสักหน่อย จันทร์จะตีโพยตีพายไปทำไม ชีวิตใคร ชีวิตมัน คนคนนั้นก็ต้องดูแลเอาเองสิ ไม่ใช่หน้าที่ภพที่จะต้องเที่ยวรับผิดชอบชีวิตใครต่อใครเสียหน่อย แค่ดูแลจันทร์คนเดียว ภพก็เหนื่อยจะแย่แล้ว”
“ขอโทษนะที่ทำให้ภพต้องลำบาก!”
นอกจากจะไม่ซาบซึ้งแล้ว สลักจันทร์กลับยิ่งฉุนหนักกว่าเดิมที่อีกฝ่ายกล่าวราวปัดความรับผิดชอบ เหมือนเห็นชีวิตคนเป็นแค่ผักปลา ไม่มีค่าควรแก่การใส่ใจใดๆ ทั้งๆ ที่ผลกระทบซึ่งอาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้า บางทีอาจจะเกิดขึ้นเพราะน้ำมือของเขาในวันนี้แท้ๆ แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีความรู้สึกรู้สาเลยแม้แต่น้อย
เธอเองก็ไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐนักหนา แต่ก็คิดว่าถ้าคนเราทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา ตั้งอยู่บนหลักของความถูกต้อง เธอเชื่อว่าชีวิตย่อมเป็นสุข ไม่ต้องอยู่อย่างอายใคร หญิงสาวจึงพยายามเตือนสติแฟนหนุ่มให้พึงตระหนักไว้ อย่างไร ‘กัน’ ย่อมดีกว่า ‘แก้’ เพราะถึงจะรู้สำนึกหลังจากนี้ แต่ก็อาจจะสายเกินไป
“จันทร์ไม่ได้ตีโพยตีพาย แต่จันทร์กำลังพูดถึงจรรยาบรรณของวิศวกรอย่างภพว่ายังพอจะมีเหลืออยู่บ้างไหม”
สลักจันทร์หวังให้แฟนหนุ่ม ‘เข้าใจ’ ในความ ‘หวังดี’ ของตน และ ‘ตาสว่าง’ เสียที...
แต่คงเป็นได้แค่ ‘ความหวัง’ ที่ไม่สามารถมีวันเป็นจริง เมื่อเอกภพตอกกลับอย่างไม่พอใจ
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของภพ จันทร์ไม่ต้องมายุ่ง!”
“งั้นต่อไปจันทร์จะไม่พูดเรื่องนี้กับภพอีก ภพอยากทำอะไรก็เรื่องของภพ ตัวภพ ตามสบาย จันทร์จะไม่ก้าวก่าย แต่จันทร์จะขอเว้นระยะห่างระหว่างเราไว้ เพราะจันทร์ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ผ่านมา...ภพที่จันทร์รู้จักกับภพในตอนนี้ คนไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริง” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพอๆ กับน้ำเสียง
“จันทร์พูดแบบนี้หมายความว่าไง...จะเลิกกับภพใช่ไหม!” คนถามกระชากเสียงจนเกือบเป็นตะคอก
“จันทร์บอกว่า ‘ห่าง’ ไม่ใช่ ‘เลิก’ นะภพ”
“ความหมายมันก็คือๆ กันนั่นแหละ”
สลักจันทร์ถอนใจ ไม่อยากให้เรื่องเล็กกลายเป็นชนวนเหตุบานปลายให้เขาหาเรื่องชวนทะเลาะ จึงตัดสินใจบอกความต้องการของตัวเองออกไปตามตรง
“จันทร์อยากให้ภพปรับเปลี่ยนทัศนคติและนิสัยบางอย่าง ก่อนที่เราจะตกลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน”
“ทีภพยังไม่เคยเปลี่ยนความคิดจันทร์ได้เลย” อีกฝ่ายสวนกลับทันควัน
“ถ้าเรื่องที่ภพหมายถึงคือ...การให้จันทร์ลาออกจากงาน แล้วมานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน คอยเลี้ยงลูกให้ภพอย่างเดียวละก็ จันทร์ยอมรับ จันทร์ไม่เห็นด้วย เราควรช่วยกันทำมาหากินมากกว่า”
“ภพบอกแล้วไงว่าเลี้ยงจันทร์ไหว”
“ด้วยการหาลำไพ่พิเศษแบบนี้น่ะเหรอ” หญิงสาวถามอย่างอ่อนใจ “ลงท้ายเราก็วนกลับมาพูดเรื่องเดิมทุกที เมื่อไหร่ภพจะยอมเข้าใจว่าทำแบบนี้มันผิด! ผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งจริยธรรมที่อาจารย์เคยสอนไว้”
“จันทร์นั่นแหละเรื่องมาก ไม่รู้จะหาเรื่องลำบากไปทำไม”
“จันทร์ผิดเหรอที่หวังดีอยากให้ภพทำในสิ่งที่ถูกที่ควร”
หญิงสาวถามเสียงเครือ กระทั่งคนปลายสายจับกระแสแห่งความน้อยใจได้ เอกภพจึงยอมอ่อนลง แต่ไม่วายโยนความผิดให้แฟนสาวอยู่ดี
“ภพอยากให้จันทร์หยุดหาเรื่อง แล้วคิดถึงสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเราให้มากๆ เงินทองทั้งนั้นนะจันทร์ จันทร์จะโยนทิ้งเพียงเพราะความคิดล้าหลังไม่ทันยุคของจันทร์หรือไง ภพไม่เอาด้วยหรอกนะ บอกเลยที่เรายังทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะจันทร์นั่นแหละไม่ยอมเข้าใจภพเสียที”
“เราไม่มีวันเข้าใจกันได้ ตราบใดที่ภพยังยึดติดอยู่กับความต้องการของตัวเองแบบนี้” สลักจันทร์ยืนกราน
“จันทร์ก็เป็นซะอย่างนี้ทุกที ขนาดภพยอมลงให้แล้ว จันทร์ยังจะเอาอะไรอีก แบบนี้ใครกันแน่ที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่!” คนพูดพลันหัวเสียขึ้นมาอีก
“เรื่องที่จันทร์คิด เรื่องที่จันทร์ทำ มีแต่ความถูกต้อง ไม่เหมือนภพ!”
“แน่ใจเหรอ” เอกภพถามเสียงสูง “จันทร์เป็นแบบนี้ตั้งแต่ภพได้เงินเดือนเยอะกว่า”
“จันทร์ไม่เคยอิจฉา!”
“ถ้าจันทร์ไม่คิด จันทร์จะเอาแต่พูดเรื่องเงินทำไม ทั้งที่ภพไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เลยแท้ๆ”
“แต่สำหรับจันทร์...ไม่! ภพกำลังดูถูกจันทร์!” เธอพูดเสียงกร้าว ยิ่งคุยกับเขา ยิ่งหมดความอดทน
“ภพยังไม่ได้พูดอะไรเลย จันทร์นั่นแหละที่คิดไปเอง แล้วก็โยนว่าเป็นความผิดของภพทั้งหมด”
จนขนาดนี้แล้ว เอกภพยังไม่คิดว่าเขาเป็นฝ่ายผิดอีกหรือ ซ้ำร้ายยังมองว่าปัญหาที่เกิดเป็นเพราะเธอเรื่องมากไปเองอีกต่างหาก สลักจันทร์เลยยิ่งโมโห
“แล้วเมื่อกี้ใครกันล่ะที่พูดว่าจันทร์เป็นแบบนี้เพราะได้เงินเดือนน้อยกว่า ไม่ใช่ภพหรือไงฮะ!”
ถ้าอารมณ์ของเธอยามนี้เปรียบเสมือนน้ำที่กำลังเดือดจัด เอกภพเองก็คงไม่ต่างอะไรกับไฟที่เจอกระแสลมโหมกระหน่ำให้เพลิงยิ่งลุกไหม้รุนแรงเสียยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
“อย่ามาขึ้นเสียงกับภพนะจันทร์!” เจ้าตัวตวาดลั่น พร้อมกับตัดบทห้วนสั้น “เมื่อไหร่จันทร์จะเลิกทำตัวงี่เง่าเสียที ตกลงยังอยากเจอภพไหมเย็นนี้”
หญิงสาวตอบแบบไม่ต้องคิด รวมถึงไม่อนาทรร้อนใจต่อคำขู่ของแฟนหนุ่มเลยสักนิด
“จันทร์บอกแล้วไงว่าไม่กล้าใช้ ‘เงิน’ ที่อาจจะก่อให้เกิดความทุกข์และความสูญเสียตามมาในอนาคตได้หรอก”
คนปลายสายหาได้สำนึก ซ้ำยังแดกดันเธอกลับมาตรงๆ
“ลดอีโก้อันสูงส่งของจันทร์ลงบ้างเถอะ เสาต้นหนึ่ง...แค่ขาดเหล็กดามเสาไปสักเส้นสองเส้น มันคงไม่ถล่มลงมาง่ายๆ ภายในวันสองวันนี้หรอกนะจันทร์ หยุดวิตกจริตเกินเหตุได้แล้ว”
สลักจันทร์ยิ่งอึ้ง นอกจากเขาจะเห็นแก่ตัวแล้วยังขาดจิตสำนึกอีกด้วย เธอเลยคร้านที่จะต่อปากต่อคำกับคนที่มีข้ออ้างให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกอยู่เสมอ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลงตก
“จันทร์ซึ้งแล้วว่าภพเป็นคนแบบไหน อย่างภพคงต้องรอให้เกิดความสูญเสียก่อนสินะ ภพถึงจะสำนึกได้ หรือบางที ภพอาจจะไม่เคยคิดเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปด้วยซ้ำ”
“ถ้าจันทร์ยังหาเรื่องภพอีกคำแค่เดียวละก็...เราไม่ต้องคุยกัน!”
แทนคำตอบ มือเรียวกดตัดสายทันที
สลักจันทร์เองก็เบื่อที่จะคุยกับแฟนหนุ่มต่อไป เธอต้องการเวลาคิดทบทวนถึงอนาคตของทั้งคู่สักหน่อย อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ที่เธอยังสับสนอยู่ ไม่รู้ว่าจะคงความสัมพันธ์กับเอกภพหรือจะต่างคนต่างไปดี เอาไว้รอให้เธอคิดเรื่องนี้ตกเมื่อไร ค่อยเผชิญหน้าบอกการตัดสินใจของเธอให้เขารับรู้ ในฐานะที่เอกภพคือผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมเดินทางสร้างฝันด้วยกันมา
ถ้าเป็นไปได้...เธอก็อยากจะรักษาสัมพันธภาพฉันเพื่อนระหว่างกันเอาไว้
แต่คงต้องรอให้เธอจัดการกับงานใหม่ที่มีเจ้านายจอมเรื่องมากคอยยืนกำกับสั่งนู่นสั่งนี่เสียก่อน ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่มีสมาธิคิดตริตรองทุกอย่างได้รอบคอบเป็นแน่
สลักจันทร์คิดหนักพลางทอดถอนใจ ก่อนจะสาวเท้ามุ่งตรงไปข้างหน้า จุดหมายอยู่ที่ป้ายรถประจำทางหน้าบริษัทธุวานนท์พรอพเพอร์ตี เธออยากจะกลับไปพักผ่อน ล้างเนื้อล้างตัว หลีกหนีจากความวุ่นวายที่ประดังประเดเข้ามาเต็มแก่แล้ว ขอแค่คืนนี้ได้นอนหลับสนิทแบบเต็มตาสักคืน วันพรุ่งนี้สถาปนิกสาวจะลุกขึ้นมา ‘สู้!’ กับปัญหาต่างๆ ต่อไป
“เป็นไง...ลูกน้องที่ฉันแนะนำไปให้นาย ใช้ได้ไหม”
คล้อยหลังสถาปนิกสาวที่เพิ่งเดินออกจากห้องทำงานของเขาได้สักพัก ธรรศ ธุวานนท์ ก็กดหมายเลขโทรศัพท์ต่อสายถึงเพื่อนสนิททันที
“ยังตอบไม่ได้”
น้ำเสียงราบเรียบที่ตอบตามสไตล์พวกลัทธินิยมความสมบูรณ์แบบ ทำเอาปวีร์นึกหมั่นไส้ จึงเอ่ยแทนเจ้าตัวว่า
“ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องร่วมงาน ได้เห็นฝีมือกันก่อนใช่ไหม”
“ประมาณนั้น” ธรรศยักไหล่ แม้คนในสายจะไม่เห็นท่าทีของเขาตอนนี้ แต่ธรรศก็ยังทำประจำยามที่รู้สึกเมินเฉย ไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด อย่างที่ปวีร์ไม่คิดอยากให้เขาเป็น
“แกพูดเหมือนไม่เชื่อน้ำมนต์ฉันอย่างนั้นแหละ”
“ทุกอย่างมันต้องผ่านการพิสูจน์ก่อน ถึงจะมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“แล้วนี่แกโทร. มาหาฉันทำไม” ปวีร์เปลี่ยนเรื่อง เพราะขี้เกียจมานั่งถกประเด็นนี้กับคนหัวดื้อที่ชอบเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เชื่อเถอะ...ต่อให้เขาเพียรชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อม แต่คนที่ยึดมั่นถือมั่น จนบางครั้งก็ดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขาเสียเหลือเกินอย่างหมอนี่ ไม่มีทางฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไปแน่...ถ้านายธรรศไม่คิดจะเปิดใจ!
“ฉันจะโทร. มาบอกความคืบหน้าแกในฐานะคนแนะนำว่าฉันตกลงจ้างเด็กแกแล้ว แต่จะให้ทดลองงานดูก่อน ถ้าร่างแบบบ้านเสร็จสมบูรณ์จนฉันพอใจได้เมื่อไหร่ ฉันถึงจะเซ็นสัญญาให้คุมงานสร้างระยะยาวต่อไป หวังว่าแกจะเข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจและการทำงาน ถึงเพื่อนที่ฉันไว้มากใจที่สุดอย่างแกจะการันตีเด็กนี่มา แต่ฉันก็ต้องป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเอาไว้ก่อน กว่าฉันจะก้าวขึ้นมายืนบนจุดนี้ได้ ไม่ใช่ง่ายๆ แกก็รู้ว่าฉันต้องผ่านอะไรมาตั้งมากมาย เพราะฉะนั้นฉันไม่ยอมเหลือช่องโหว่หรือมีจุดอ่อนให้ถูกตลบหลังได้เป็นอันขาด ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม”
“ฉันเข้าใจ” ปวีร์รับคำง่ายๆ พลางกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในใจกับคนที่ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ว่า...
‘แต่บางครั้ง...ฉันก็อดเป็นห่วงแกไม่ได้ว่ะ!’
เขาอยากให้เพื่อนรักหัดไว้ใจคนอื่นนอกจากตัวเองดูบ้าง โลกนี้ยังมีสิ่งสวยงามอีกมากมายหลายอย่าง แตกต่างจากโลกสีเทาที่ธรรศสร้างขึ้นเพื่อปกปิดบาดแผลฝังลึก กำแพงอันสูงใหญ่ที่ปิดกั้นหัวใจอันมืดมนและด้านชาของเจ้าตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา ปวีร์หวังอยากจะเห็นใครสักคนทำลายมัน!
“ฉันมีงานด่วนต้องทำต่อ ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”
ธรรศบอกสั้นๆ ก่อนวางสาย ทิ้งให้ปวีร์อยู่กับความกลัดกลุ้มลึกๆ ต่อไปตามลำพัง
ความคิดเห็น |
---|