3

นอกบท ถ้าสดชื่น


 

ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงจะไม่กล้าทนอยู่รบกวนเวลาส่วนตัวของคุณหญิงกับว่าที่ลูกเขยอีกต่อไปแล้ว พ่อสนเงินกลับ!” พลตรีวิชิตประกาศกร้าว ทำคอแข็ง รีบก้าวปึงปังข้ามธรณีประตูบ้านไป

ส่วนพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยังอุตส่าห์ไหว้ลา ก่อนที่จะตามติดคนเป็นพ่อไปอย่างว่องไว

ให้ตายเถอะ…ตามแผนที่เธอวางไว้ นายพ่อเลี้ยงคนนั้นไม่ควรที่จะเล่นใหญ่เล่นโตถึงขนาดนี้

“โอย...ฉันจะเป็นลม” ร่างอวบท้วมของคนเป็นแม่หงายเงิบลงมา พอดีกับที่เธอและเลื่อมเพชรอ้าแขนรอรับอยู่ก่อนแล้ว

ส่วนคุณสายต้นห้องพุ่งไปหายาดมส้มโอมือมาให้คนเป็นนายสูดดม

“หัวใจฉันจะวาย ฉันกำลังจะตายเพราะความดันขึ้น”

ตั้งแต่เกิดมา เธอยังไม่เคยเห็นแม่เป็นลมจริงๆ เลยสักครั้งเดียว มีแต่ ‘จะ’ เป็นลม

ความดัน เบาหวาน น้ำตาล ไตรกลีเซอไลด์ก็ปกติ ตับ ม้าม ลำไส้ หัวใจ ปอด ไขข้อแข็งแรงดี มีปวดเมื่อยบ้างตามประสาหญิงสูงวัย

“ฉันฝันไปใช่มั้ย” มือขาวอวบประดับด้วยทับทิมเม็ดเป้งเอื้อมออกไปกำแขนผอมเกร็งของคุณสายแน่นเข้า

“โถ...คุณหญิงของอิฉัน” คนเป็นบ่าวทำเสียงร้าวรานใจ

เข้ากันดียิ่งกว่าปี่ขลุ่ย สมกับที่อยู่เคียงข้างกันมาตั้งแต่สมัยแตกเนื้อสาวเลยดีเดียว

“เธอทำของใส่ลูกสาวฉันแน่ๆ” แม่เธอชี้หน้าชัช ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง

“ผมเปล่านะครับ”

“แม่คะ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากความรักอันบริสุทธิ์ของพวกเรา ไม่มีอะไรมาเจือปนเลยจริงๆ ค่ะ”

หือ...ขนาดพูดเอง ได้ยินเสียงตัวเอง เธอยังรู้สึกเลี่ยนจนอยากจะขย้อนของเก่าออกมา แต่ต้องคำนึงว่า ตอนนี้บทบาทของเธอคือนางเอกที่ลุกขึ้นมาปกป้องความรักที่ถูกขัดขวาง สองแก้มของน้ำหวานร้อนฉ่า เมื่อเห็นคนรักสดใหม่จากเตามองมาแล้วเลิกคิ้ว ดวงตาสีสนิมทอประกายเจิดจ้า แวบหนึ่งมองเห็นแววขบขัน

น้ำหวานทำตาวาวใส่เขาแล้วหันมาโฟกัสกับบทบาทของตัวเอง ไหนๆ ก็ไม่ได้เล่นละครออนแอร์ เดินตามทางฝันในวัยเยาว์ เธอก็ขอทุ่มเทพลังการแสดงกับนาทีนี้หน่อยแล้วกัน

“ถึงเราสองคนจะรู้จักกันไม่นาน แต่น้ำหวานก็มั่นใจว่าคุณชัชเป็นรักแรกที่แท้จริงของน้ำหวานค่ะ”

“รักแรกบ้าบออะไร ตลอดเวลาที่่ผ่านมา แกแอบลักลอบคบหากับผู้ชายคนนี้ลับหลังฉันมาตลอดสินะ”

“หนูไม่ได้...”

ยังไม่ทันได้เอ่ยไดอะล็อกที่ตระเตรียมไว้

คนที่ปากบอกว่าจะเป็นลมอยู่แท้ๆ ขึงขังขึ้นมา คุณหญิงลำหยวกผู้หยิ่งยโสทำจมูกบาน น้ำหวานแทบจะมองเห็นควันออกจากหูของคนเป็นแม่

“ฉันทนไม่ได้หรอกนะ” ร่างอวบท้วมผุดลุกขึ้น พุ่งไปที่หน้าต่าง

คุณพระ...หรือว่าแม่เธอจะคิดสั้น ทันใดนั้นคนเป็นแม่ก็คว้าเอาก้านมะยมติดมือมา แป๊บเดียวใบเบยหายเกลี้ยง

ซวยแล้ว...สัญชาตญาณในทางร้ายของเธอกรีดร้อง

“คุณหญิงจะตีคุณหนูน้ำหวานเหรอคะ” คุณสายร้องเสียงหลง

“แหงสิ”

ฟับ ฟับ

แม่เธอควงอาวุธในมือไปมาน่าหวาดเสียว น้ำหวานย่นคอเข้าหากัน นานปีดีดักที่ก้นนิ่มๆ ของเธอไม่ได้ลิ้มรสก้านมะยม แต่ก็ยังจำได้ขึ้นใจ ใครจะลืมได้เล่า

“แต่คุณหนูน้ำหวานโตแล้วนะคะ” คุณสายไม่วายแย้ง

“โตแล้วยังไง มันก็เป็นลูกฉันวันยังค่ำ ถ้าวันนี้ฉันไม่สั่งสอนให้หลาบจำ อย่ามาเรียกฉันว่าคุณหญิงลำหยวก”

เฮ้ย...ก้านมะยมนี่ก็ไม่ได้อยู่ในแผน น้ำหวานรีบเผ่นหนีจากรัศมีวงสวิงของคนเป็นแม่ ทว่าคุณหญิงลำหยวกเหมือนจะกลายร่างเป็นวันเดอร์วูแมน พริบตาก้านมะยมก็ตวัดมาถึงตัว

“อ๊าย” หนแรกหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว

“คุณหญิงป้าคะ” เลื่อมเพชรส่งเสียงสอดแทรกขึ้นมา ยังไม่กล้าเข้ามาในวิถีของไม้เรียว

“เดี๋ยวหวดไปหวดมา ผิวพรรณน้ำหวานก็จะด่างพร้อย เป็นริ้วรอยพลอยจะขายไม่ออกนะคะ”

คนที่เงื้อง่าก้านมะยมชะงัก หันกลับไปแยกเขี้ยวใส่คนพูด “นี่ยังมาคิดเรื่องขงเรื่องขายอีกเหรอ คนที่จะมาซื้อ เขาเผ่นแน่บไปโน่นแล้ว มานี่เดี๋ยวนี้เลยนะน้ำหวาน”

น้ำหวานกลอกตามองเพดานอย่างสิ้นหวัง ถ้อยคำของสาวรุ่นพี่ที่หวังดีจะช่วยเหลือ ดันกลายเป็นการกระตุ้นต่อมโทโสของแม่เธอให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก

คุณหญิงลำหยวกขยับมาทางซ้าย เธอก็ย้ายมาทางขวา น้ำหวานงัดสกิลในยามเยาว์เอามาใช้ หลบไม้เรียวพัลวัน พอถูกรุกรานหนักเข้า ร่างแบบบางก็กระโจนไปหลบหลังร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่กลายเป็นรักแรกของเธอ

“แม่อย่าตีหนูเลย หนูกลัวแล้วจริงๆ” แม่น่ะเธอไม่ค่อยกลัว แต่กลัวไอ้ที่อยู่ในมือแม่ต่างหาก ก้านมะยมน่ะแสบจะตาย เวลาที่ฟาดฉับๆ ลงบนเนื้อหนัง ไม่ให้หวั่นเกรงได้ยังไง

“ถ้ากลัวจริง ไม่ทำอย่างนี้ตั้งแต่แรกหรอก”

“คุณหญิงครับ เราค่อยพูดค่อยจากันดีกว่ามั้ยครับ ใช้กำลังมันไม่ใช่วิถีทางของอารยชน” ถ้าคำพูดของเลื่อมเพชรเมื่อกี้เป็นสะเก็ดไฟ ถ้อยคำของพ่อเลี้ยงหนุ่มก็เหมือนน้ำมันเบนซินที่ราดรดบนกองไฟ

โทสะของคุณหญิงลำหยวกเดือดดาลขึ้นอีกเจ็ดล้านเท่า

“หน็อย...นี่ยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ไม่มีทางที่ลูกสาวของฉันจะใจแตกเองหรอกนะบอกเลย ฉันสอนของฉันมาดี ถ้าไม่ถูกล่อลวงชี้นำ นี่แน่ะเจ้าตัวการ”

“โอ๊ย!” ชัชสะดุ้งโหยง เมื่อก้านมะยมเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ตัวเขาแทน

“คนเลว ร้ายกาจ บังอาจมาล่อลวงลูกสาวฉัน”

“โอ๊ย….คุณแม่ยาย ผมเจ็บนะครับ”

ร่างสูงใหญ่ขยับหนีการโจมตี ยกมือขึ้นปัดป้อง

“เจ็บน่ะสิดี ฉันก็ตั้งใจจะตีให้เจ็บนี่แหละ และฉันไม่ใช่แม่ยงแม่ยายอะไรของเธอด้วย”

ตอนนี้แม่ของเธอกลายเป็นยอดกระบี่เย้ยยุทธจักรไปแล้ว ถ้าก้านมะยมเป็นคมมีด ป่านนี้แขนของชัชคงถูกเฉือนเป็นริ้วๆ ทั้งสามวิ่งวนไปรอบๆ ห้องเขียว หลายนาทีกว่าคนเป็นแม่จะเหนื่อยหอบ

คุณหญิงลำหยวกสูดหายใจฮึดฮัด ใช้มือยันเสาเรือน สองแก้มแดงก่ำ สุขภาพกำลังดี

“อย่าหนีเชียวนะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำท่าว่าจะถลาเข้ามา ทว่าเลื่อมเพชรที่สบโอกาสเหมาะรีบคว้าแขนอวบๆ ของคุณหญิงลำหยวกเอาไว้ได้ทัน

“คุณหญิงป้าใจเย็นๆ นะคะ เดี๋ยวหักโหมมากไปจะหน้ามืด ความดันขึ้น มึนหัว ตัวสั่น หายใจไม่ทันเอาได้นะคะ”

“นี่ปล่อยฉันนะ มาเกะกะอยู่ได้”

“คุณสายมาช่วยฉันปลดอาวุธคุณหญิงป้า เร็วสิจ๊ะ!”

น้ำหวานอาศัยจังหวะที่สองคนนั้นยื้อยุดกันไปมา หาทางหนีทีไล่ “ตามฉันมาทางนี้สิคุณ” เธอลากแขนร่างสูงใหญ่ออกไปจากห้องเขียว

“จะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ยัยเลื่อม นี่เธอจะมาเกาะเอว พันแข้งพันขาฉันทำไม! น้ำหวานหยุดเดี๋ยวนี้นะ กลับมาให้แม่ลงโทษซะดีๆ!”

 

มือหนึ่งถลกชายกระโปรง อีกมือลากแขนคนตัวใหญ่กว่าข้ามคูน้ำไปยังสวนกล้วย พอถึงฐานทัพ AKA ศาลาแปดเหลี่ยม น้ำหวานถึงได้ถอนอกถอนใจ

“โล่งอกไปที” ป่านนี้เลื่อมเพชรคงสกัดแม่ของเธอเอาไว้ได้แล้วสินะ

ยังไม่ทันยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ ก็นึกถึงผู้ร่วมชะตากรรมขึ้นมาได้

“คุณเป็นยังไงบ้าง” น้ำหวานจับท่อนแขนแข็งแรงพลิกไปพลิกมา เหมือนจับปลาย่างเสียบไม้ ริ้วแดงพาดเป็นทางเห็นชัดตัดกับผิวสีน้ำผึ้งของพ่อเลี้ยงหนุ่ม เธอลองแตะนิ้วลงบนรอยนูนแดงนั่นเบาๆ

“แค่นี้ยังไกลหัวใจ”

“แน่นะคุณ” เมื่อกี้เพราะอารามตกใจเลยคว้าตัวเขาเอามาเป็นโล่

ก็เขาดูตัวโตน่า ‘พึ่งพา’ ได้ แต่เห็นชัดแล้วตอนนี้ หนังคนหาใช่อิฐปูนถึงจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือต่อให้ไกลหัวใจแค่ไหน ก็คงเจ็บพอดู

“แล้วเธอล่ะ”

“ฉันไม่เป็นไรหรอก” พลันน้ำหวานก็รู้สึกผิดขึ้นมา เธอหลบอยู่หลังเขา จะให้เอาส่วนไหนมาโดนไม้เรียวล่ะ

“เดี๋ยวฉันจะเอายาหม่องตาเสือมาทาให้”

ชัชดูเหมือนไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขามองไปรอบๆ ประหนึ่งต้นกล้วยที่รายล้อมน่ามองกว่าคนร่วมศาลา พ่อเลี้ยงหนุ่มทำท่าครุ่นคิดก่อนพูดออกมา

“แม่เธอเป็นนักเทนนิสทีมชาติเก่ารึเปล่า แรงดีใช้ได้เลยนะ ถ้าสาวกว่านี้ ฉันคงต้องเป็นสปอนเซอร์ส่งลงยูเอสโอเพน แข่งกับ เซเรนา วิลเลียมส์” ดวงตาสีสนิมพราวระยับคู่นั้นหันกลับมาจ้องมองกันตรงๆ

อารมณ์ที่รู้สึกผิดเมื่อกี้หายวับ เธอไม่ขำไปกับเขาด้วยหรอกนะ แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าประโยคต่อมา

“ฉันสงสัยจริงๆ เธอโตขนาดนี้แล้วยังถูกแม่ตีอีกเหรอ” ชัชมองเธอขึ้นๆ ลงๆ

สองแก้มของน้ำหวานร้อนผ่าวให้แก่คำยั่วเย้าของเขา   

“ก็ไม่ใช่เพราะคุณหรอกหรือไงที่เล่นใหญ่เล่นโต จนอะไรต่อมิอะไรมันผิดแผนไปหมด” เธอคาดการณ์ไว้แล้วว่าคุณหญิงลำหยวกจะต้องโมโหสุดๆ แต่ใครจะไปคิดว่าแม่เธอจะขุดวิธีลงโทษสมัยดึกดำบรรพ์มาใช้

ทั้งที่ตอนนี้เธออายุยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่ ไม่ใช่เด็กหญิงน้ำหวาน

“เรื่องอะไรไปบอกแม่ฉันว่าฉันท้องไส้กับคุณ” น้ำหวานกอดอก จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง

ชัชกลับยักไหล่ ไม่แยแส “แต่ฉันว่ามันได้ผลเกินคาดต่างหากล่ะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มหันมองออกไปนอกศาลา เท้าแขนลงกับราวระแนง มุมปากของเขาโค้งขึ้น “เธอคิดดูสิว่า จะมีคู่รักบนโลกนี้สักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ต้องรีบร้อนจัดงานวิวาห์สายฟ้าแลบ ถ้าไม่เกิด Accident ขึ้นมา”

ฮึ่ม...แม้สิ่งที่พูดมาจะมีเหตุผล แต่คนฟังก็ยังไม่อยากยอมรับ

“อย่างน้อยๆ คุณก็น่าจะเตี๊ยมกันก่อน เล่นโพล่งขึ้นมากลางวงแบบนี้ ใครจะไปตั้งตัวทัน”

หางตาของเขาย่นลง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีก

ชัชจะได้ที่ดินมาหลังจากแต่งงานจดทะเบียนกับเธอ แต่เงื่อนไขที่ทั้งสองตกลงกันไว้ยังมีมากกว่านั้น ที่ดินผืนนี้จะแปรสภาพเป็นธุรกิจอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากปลูกที่อยู่อาศัยเท่านั้น

และพวกเธอยังต้องคงสถานะสามีภรรยาไปอีกสักพัก ก่อนที่จะ ‘หย่าร้าง’ กันจริงๆ

น้ำหวานจับตามองเสี้ยวด้านข้างของสามีในอนาคต

เธอรู้จากโลกโซเชียลและปากคำของ อลิณ...หนุ่มคนขับรถในตอนแรกที่กลายเป็นคุณชาย สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์หมิงคนนั้น ว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มร่ำรวยมหาศาล ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า คนแบบไหนกันที่จะยอมลงทุนกับทรัพย์สินความเสี่ยงสูงแบบนี้

ช่างเถอะน่ะ ในเมื่อเขายังดูไม่เดือดร้อนกับเงินทองที่จะต้องเสียไป แล้วเธอจะแคร์ทำไม

“ถึงฉันกับคุณต้องเป็นสามีภรรยาตามกฎหมายไปสักพัก แต่วางใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์ ว่าหลังจากที่เราจดทะเบียนกันแล้ว ฉันจะรีบไปจากคุณ ไม่อยู่เกะกะกวนใจ”

เธอจะได้เดินตามความฝัน ทำสิ่งที่ใจปรารถนา หัวใจของเธอพองโตขึ้นมาเมื่อคิดถึงสิ่งที่วางแผนกันเอาไว้กับเพื่อนซี้

“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น” ฟองฝันของเธอแตกโพละเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากอีกครั้ง

“คุณหมายความว่ายังไง”

มุมปากได้รูปงามของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็นที่เธอไม่ชอบใจเอาเสียเลย รอยยิ้มของเขาทำให้ใบหน้าคล้ามคมอ่อนวัยลง แต่กลับทำให้ดวงตาสีสนิมดูชั่วร้าย เจ้าเล่ห์

“เพื่อความสมจริง ผัวเมียที่เพิ่งแต่งงานใหม่ไม่ควรแยกกันอยู่ ฉันจะบอกกับแม่ของเธอว่า เธอจะเดินทางลงใต้ไปกับฉัน”

“โอเคร้” น้ำหวานพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม “คุณจะบอกกับใครยังไงก็ได้ ฉันไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”

“จุ๊ๆ คุณหนู” ชัชกระดิกนิ้วไปมา “ฉันไม่ได้หมายถึงแค่พูด แต่หลังจากแต่งงาน เธอจะต้องเดินทางไปภูเก็ตด้วยกันในฐานะเมียคนใหม่ของฉัน”

เดี๋ยวก่อน...

“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ที่เราตกลงกันไม่ใช่แบบนี้” น้ำหวานเชิดคาง อ้าปากแย้งทันควัน “ไหนว่าฉันไม่ใช่สเปกเมียในฝันที่คุณอยากได้ไง หรือว่าไม่เจอกันสามวัน คุณเกิดพิศวาสฉันขึ้นมากะทันหัน”

“ยังไงเธอก็ยังไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉันอยากได้เป็นเมียอยู่ดี” ชัชบอกออกมาง่ายๆ “การแต่งงานใช่จะมีแค่คนสองคน ฉันยังมีญาติพี่น้อง และหน้าตาในสังคมที่ต้องรักษา ยังไงเธอกับฉันต้องร่วมเรียงเคียงหมอนกันสักพัก”

น้ำหวานเม้มปากเข้าหากัน เธอเกลียดที่สุดเวลาที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนแรก

“ถ้าเธอไม่ตกลง การแต่งงานก็เป็นโมฆะ” ท่าทีไม่ยี่หระของคนพูดทำคนฟังเดือดดาล

“ได้ยังไงกัน” ร่างแบบบางก้าวเข้าไปประชิด อยากยื่นมือออกไปกระชากสาบเสื้อเชิ้ตของเขาขึ้นมา แต่ความเป็นกุลสตรีที่ใช้เป็นฉากหน้าฉุดรั้งแขนขาเอาไว้

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคุณหนูคนสวย มันเป็นธรรมดาของการเจรจาธุรกิจ ในเมื่อเงื่อนไขสัญญาไม่ตรงกันก็ต่อรองจนกว่าจะพอใจ แต่ถ้าต่อรองกันไม่ได้ก็ยกเลิกมันไปซะ”

หือ...เขี้ยวลากดิน เธอรู้ว่าเขาเป็นพ่อค้า แต่ไม่คิดว่าจะหน้าเลือดเชือดกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้

“ฉันก็แค่หอบเงินกลับเข้าแบงก์ ส่วนคุณหนูก็แย่หน่อยนะที่จะต้องหาทางเคลียร์กับคุณหญิงลำยองเอาเอง ว่าทำไมถึงได้กุเรื่องขึ้นมา”

เขากำลังแบล็กเมล์เธอ

ขืนทำอย่างนั้น แผนการสุ่มเสี่ยงที่เธออุตส่าห์วางเอาไว้ก็พังพินาศน่ะสิ แถมชีวิตหลังจากนี้ของเธอต้องบัดซบอย่างไม่ต้องสงสัย

น้ำหวานนิ่งคิดใคร่ครวญก่อนกลับลำ...น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ โบราณท่านว่า

“จะว่าไปแล้ว ถ้าเรารีบร้อนแยกทางกันมันก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลอย่างที่คุณว่า” ท่าทีของเธออ่อนลง เหยียบโทสะในใจให้จมธรณี จะทำการใหญ่ทั้งที ใจต้องนิ่ง

“เอาเป็นว่าหลังงานแต่งแล้ว ฉันจะเดินทางไปภูเก็ตกับคุณ” น้ำหวานช้อนตามองเขา ส่งยิ้มหวานเจี๊ยบให้...“ดีล?” เธอยื่นมือออกไปให้อีกฝ่าย แสดงเครื่องหมายของความจริงใจ

ชัชหลุบตามองมือเธอ ก่อนที่มือใหญ่หยาบกร้านจะยื่นออกมากระชับมือเธอไว้มั่น “ดีล”

ทั้งสองจ้องตากันชั่วขณะหนึ่ง ขณะเดียวกันสมองของน้ำหวานก็แล่นพล่าน เธอยังมีแผนบีซีดีเอฟเตรียมเอาไว้ หึ...คนอย่างเธอไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ หรอก เพื่ออิสรภาพ น้ำหวานคนนี้สู้ตายค่ะ!   

 

 

ยัยน้ำหวานทำแบบนี้ได้ยังไง” ร่างอวบท้วมซวนซบลงกับหมอนอิง คุณหญิงลำหยวกอยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าร่างกายกลับไม่เป็นใจ   

ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่สู้อุตส่าห์ฟูมฟักกลับไปรักหลงคารมคนพรรค์นั้น

“ที่น้ำหวานทำไปก็คงเป็นความรักนั่นแหละค่ะ”

นางหันขวับไปมองสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาว “นี่ยัยเลื่อม เธอรู้เห็นเป็นใจกับสองคนนั้นใช่มั้ย”

“อุ๊ย...เปล่านะคะ คุณหญิงป้า อย่ามองหนูด้วยสายตาแบบนั้นสิคะ” คนพูดส่ายหน้าคอแทบจะหลุดจากบ่า “หนูเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมืองนา จะเอาเวลาที่ไหนไปรู้เห็นเป็นใจกับสองคนนั้นล่ะคะ”

“ให้มันแน่นะแม่คุณ”

“แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอีกค่ะ” เลื่อมเพชรยิ้มหวานมาให้

คนฟังค้อนประหลับประเหลือก จะไม่ให้แคลงใจได้ยังไง ก็แต่ไหนแต่ไรมา คนตรงหน้าคือเพื่อนสนิทหนึ่งเดียวของลูกสาว

ยามที่ทั้งสองยังเยาว์ รั้วบ้านของพวกนางติดกัน ตระกูลของเลื่อมเพชรแม้ไม่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ก็สืบเชื้อสายผู้ดีเก่า เพิ่งมาห่างเหินกันระยะหลัง เมื่อครั้งที่พลตรีชีพชอบ สามีของเธอป่วยหนักจนต้องพักราชการ ย้ายนิวาสสถานมาอยู่บ้านเก่าของต้นตระกูล

                นางส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนกินนอน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีคนรับส่งไม่เคยปล่อยให้เถลไถล หมายมั่นปั้นมือให้น้ำหวานได้ออกเรือนไปเป็นคุณหญิงตราตั้งตามรอยเท้าของตน ซึ่งเป็นภรรยานายพล และขยันบากบั่นทำงานการกุศลจนผลงานเป็นที่ประจักษ์

แต่ไม่นึกว่าลูกสาวของเธอจะหน้ามืด หันไปคว้านายพ่อเลี้ยงคนป่า หน้าตาเหมือนโจรมาเป็นคนรัก!

“แล้วพวกเราจะทำยังไงดีคะ” คุณสาย...แม่บ้านคนสนิทที่กำลังบีบนวดแข้งขาออกปากถาม สีหน้าสีตาเป็นกังวล

“หรือคุณน้ำหวานจะต้องแต่งงานกับคุณชัชจริงๆ”

“ฉันไม่ยอมหรอก” คุณหญิงลำหยวกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันประกาศกร้าว

“แต่คุณชัชแกก็ไม่ได้ดูป่าเถื่อนเกินจะรับอะไรขนาดนั้นนี่คะ” เสียงอ้อมแอ้มจากคนข้างๆ ลอยมากระทบหู

“หือ...แม่เลื่อม เธอจะรู้อะไรล่ะ เธอไม่เคยเจอท่าทางและวาจาสามหาวของผู้ชายคนนั้น” คำพูดทิ่มแทงใจดำของนายพ่อเลี้ยงคนเถื่อนนั่นยังฝังอยู่ในใจ

‘ทรัพย์สมบัติของครอบครัวฉันมีมากมาย เรื่องเงินทองน่ะไม่ใช่สิ่งที่ฉันคำนึงนักหรอกนะคุณพ่อเลี้ยง ที่ดินของฉันมูลค่ามากมายขนาดไหนใครๆ ก็รู้ การที่ฉันจะขายทั้งทีต้องคัดกรองคนซื้อให้ดีว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมมั้ย ไม่ใช่แค่พวกเศรษฐีใหม่ที่อยากจะอวดร่ำอวดรวย’

‘ถ้าเงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น แล้วคุณหญิงเอาที่ดินมาขายกินทำไมล่ะครับ’

พอได้ฟังแล้วคุณหญิงลำหยวกก็แทบคลั่ง นางละเกลียดนัก พวกพูดจาขวานผ่าซาก ไร้มารยาท หยาบคาย ยิ่งนึกก็ยิ่งโมโห

“สู้พ่อสนคนดีของฉันไม่ได้สักอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา กิริยามารยาท การศึกษา ฐานะ ชาติตระกูลไม่เป็นสองรองใคร”

“ถึงคุณชัชแกไม่ใช่ลูกหลานนายพล แต่แกก็มีเงินถุงเงินถัง หนูคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินคนในแวดวงไฮโซเมาท์กันว่า บ้านแกใหญ่ยังกับวัง แถมสะสมรถฝรั่งตั้งหลายสิบคัน”

“นี่เธอคิดว่าฉันต้องการจะขายลูกกิน เห็นผู้ชายมีทรัพย์สินก็จะประเคนยัยน้ำหวานใส่พานถวายง่ายๆ งั้นหรือ”

“เปล่าค่ะคุณหญิงป้า” เลื่อมเพชรกล่าวแก้ฉะฉาน

“แค่ลองนึกดูว่า อย่างน้อยถ้าน้ำหวานได้ตบแต่งกับเขาไปจริงๆ คุณชัชแกคงมีปัญญาเลี้ยงดูปูเสื่อไม่ให้ลำบากตรากตรำ”

คนฟังนิ่งขึง คอแข็งยังไม่ยอมรับ “ยังไงฉันก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้ยัยน้ำหวานออกเรือนไปกับนายชัช ใช่มั้ยแม่สาย”

ทว่าคราวนี้คุณแม่บ้านไม่ได้เออออห่อหมกไปด้วยเหมือนทุกครั้ง

“เอ่อ...แต่ถ้าคุณหญิงไม่ยอมยกคุณหนูน้ำหวานให้เขา แล้วจะเอายังไงกับหลานยายตัวน้อยๆ และหนี้สินที่กำลังจะถึงกำหนดจ่ายล่ะคะ ถ้าจ่ายไม่ทันงวดนี้ ดีไม่ดี แบงก์มันคงไล่ตะเพิดพวกเราออกจากเรือน”

สีหน้าแตกตื่นของคุณสายยิ่งทำให้คนเป็นนายร้อนอกร้อนใจยิ่งขึ้นเป็นอีกสิบเท่าละทีนี้ แล้วถ้าครอบครัวของนางถูกเตะโด่งออกไปจากบ้านเรือนไทยไม้สักทองหรูหรา นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

หนำซ้ำภาพลูกสาวท้องโตในชุดคลุมท้องสีชมพูยังแล่นวาบเข้ามาในหัว ต่อเติมจินตนาการให้ร้ายเข้าไปอีก

ตั้งแต่ผัวตาย ก็อยู่กินสมบัติเก่ามาตลอด เห็นว่ามีมาก เลยไม่ทันนึกว่าจะร่อยหรอรวดเร็ว…

“ถ้าเกิดว่าคุณหญิงไม่ยอมให้คุณหนูน้ำหวานตบแต่งกับคุณชัช แล้วสองคนนั้นเกิดนัดแนะหนีตามกันขึ้นมา ทีนี้...อุ๊ย!”

คุณหญิงลำหยวกตีด้ามพัดเข้ากับแขนของบ่าวคู่ใจ “นี่แน่ะแม่สาย พูดจาอะไรเลอะเทอะ” ปากเอ็ดอึงไป แต่ใจตระหนก...

ขนาดเรื่องที่ว่าไม่น่าจะเกิด ยังเกิดขึ้นแล้วสดๆ ร้อนๆ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้แล้วตอนนี้

“หนูว่ายังพอมีทางอื่นแก้ไขเรื่องปัญหาหนี้สินของคุณหญิงป้านะคะ” เลื่อมเพชรเสนอแนะ “คุณหญิงป้าน่าจะเอาสมบัติเก่าออกไปประมูล คงจะพอหารายได้ก้อนใหญ่ไปใช้หนี้ อย่างถ้วยเบญจรงค์ในตู้นั้น” หญิงสาวพยักพเยิด

พลันร่างอวบท้วมก็ลุกขึ้นจังก้า ยืนบังตู้โชว์เอาไว้ “ห้ามมาแตะต้องเครื่องลายครามของฉัน ของนี่ตระกูลฉันอุตส่าห์สะสมมาตั้งแต่สมัยเจ้าคุณชวด จะไปขายเขยให้คนอื่นได้ยังไงกันเล่า” 

“อย่างนั้นคุณหญิงป้าก็ต้องตัดสินใจแล้วละค่ะว่าจะทำยังไง”

สิ้นเสียงเจื้อยแจ้วของคนคราวลูก ก็ได้ยินเสียงไม้กระดานเรือนลั่น

ไม่นานใบหน้าคล้ามคมที่นึกชังก็โผล่เข้ามา ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวขากลับเข้ามาในห้องเขียว คุณหญิงลำหยวกปรายตามอง ท่าทีของพ่อเลี้ยงคนเถื่อนซึ่งไม่ได้สงบเสงี่ยมเจียมตน แต่ก็ไม่ได้ห่ามหาญเหมือนเมื่อครู่

“ผมอยากจะมาขอขมาคุณหญิง และปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นครับ” น้ำเสียงห้าวๆ ลดทอนความห้วนลงหลายส่วน ท่าทางของเขาสงบนิ่งจริงจัง

จนคนฟังต้องเหลียวกลับไปมอง...   


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น