“เอาจริงเหรอครับ”
“ขนาดนี้แล้วฉันยังดูเหมือนเอาเล่นๆ หรือไง” พ่อเลี้ยงหนุ่มปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออกจากเสื้อคอกลมสีกลีบบัวที่สวมใส่
คนที่เดินเคียงข้างยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด หลายปีดีดักที่ นายอำนวย อวยโชค ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ต่างคนต่างรู้นิสัยกันดี
ถึงจะรู้นิสัยกันดีแค่ไหน เจ้าตัวก็ยังไม่วายตั้งคำถาม
ไม่เอาจริงได้หรือ ขันหมากก็ยกมาแล้วเมื่อเช้า ค่าสินสอดก็จ่ายไปแล้ว ตอนสายที่ผ่านมาเขากับ ‘แม่เมียเด็ก’ ก็เดินทางไปที่อำเภอจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อย
‘หมั้นเช้าแต่งเย็นไปเลยแล้วกันครับ’
ยื่นคำขาดกับคุณแม่ยาย หลังจากที่การเจรจาอันยาวนานยุติลงด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย
ชัชขอให้อ่ำ นายก อบต. ลุงของพุดซ้อน อดีตนายหน้าค้าที่ดินของเขามาเป็นผู้ใหญ่สู่ขอแม่คุณหนูคนสวย เชิญท่านผู้ว่ามาเป็นประธานในงานมงคลคืนนี้
งานแต่งถูกจัดขึ้นที่บ้านเรือนไทย ทั้งที่เป็นงานแต่งสายฟ้าฟาด แต่น่าประหลาดใจที่ อบต.อ่ำ กลับเกณฑ์ไพร่พล...อา...ไม่ใช่สิ...แขกเหรื่อมาร่วมงานได้มากมายขนาดนี้
‘เหยียบห้าร้อยครับนาย’ อำนวยแอบกระซิบเมื่อเห็นรายชื่อทั้งหมด
หึ...คนเรามีเงินเสียอย่างจะเนรมิตอะไรก็ได้ จริงไหม
ธีมเร่งด่วนของงาน คือ ชุดชาวบ้านอนุรักษ์ไทยเอาใจท่านผู้ว่าที่อุตส่าห์ลัดคิวงานบวชมาเป็นประธานในพิธี เพราะเป็นงานเร่งรัดเลยอยากให้ทุกคนแต่งตัวเรียบง่าย ทว่าคุณหญิงคุณนาย และคุณผู้ชายทั้งหลาย
กว่าครึ่งที่เขาไม่รู้จักแต่งองค์ทรงเครื่องใหญ่ อย่างกับจะไปเล่นลิเก
“ถอนตัวก็ยังไม่สายนะครับนาย”
“ฉันกับเมียยังไม่ทันได้ร่วมห้อง แกก็จะยุแยงให้แยกทางกันแล้วเรอะ” เขาตอบพลางยิ้มให้คุณลุงผมขาวที่ชูแก้วไวน์ในมือให้
จำไม่ได้เลย ว่าเคยรู้จักแกตั้งแต่เมื่อไร
“โถ...มันไม่ใช่อย่างนั้นคร้าบคุณชัช แต่คุณน้ำหวานเพิ่งผ่านพ้นสถานะผู้เยาว์มาได้ไม่กี่ปี แน่ใจหรือครับว่าคนนี้น่ะเหมาะสมแล้ว เผื่อมีแคนดิเดตคนอื่นเข้ามา เดี๋ยวจะเสียใจทีหลัง”
ยังไงซะเขาก็ไม่เปลี่ยนใจ หลายวันที่ผ่านมาเขาคิดทบทวนดีแล้ว ว่าการลงทุนครั้งนี้คุ้มค่า แม่คุณหนูโลกสวยไม่ใช่คนโง่ สิ่งที่เธอทำเหมือนการอุทิศตัวให้ครอบครัว
ทว่าลางสังหรณ์ของเขาบอก...มันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้นที่ทำให้แม่คุณหนูคนงามเสี่ยงเดิมพันในเกมนี้ นั่นคืออะไร คือ สิ่งที่เขาต้องหาคำตอบต่อไป
“คนนี้นี่ละเหมาะ” ชัชยืนยันคำเดิม ไม่มีเพิ่มเติมไปมากกว่านี้
“อย่าบอกว่านายตกหลุมรักคุณหนูน้ำหวานคนนั้นเข้าให้”
ประโยคที่ได้ยินทำให้มุมปากคนฟังโค้งขึ้นน้อยๆ ร่างสูงใหญ่ออกเดินไปเรื่อยๆ ไม่หืออือ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ลดละความพยายาม
“ผมก็รู้ๆ อยู่นะครับคุณนายว่าผู้ชายเราก็ชอบของสวยๆ งามๆ แต่ก็ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่...แม่เจ้าโว้ย!” สองตาของคนพูดเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง มองข้ามไหล่เขาไป
“คนหรือนางอัปสรสวรรค์จากชั้นฟ้า!” เสียงอุทานดังลั่น เรียกให้แขกเหรื่อบริเวณนั้นหันมองไปยังกระไดเรือนไทยเป็นตาเดียว
“เจ้าสาวมาแล้วค่ะ”
พ่อเลี้ยงหนุ่มหันกลับไปมองยังต้นเสียงช้าๆ คนแรกที่เห็นคือคุณสายต้นห้องของคุณหญิง แกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายจะภูมิอกภูมิใจนักหนา
สายตาของเขาเลื่อนจากคุณแม่บ้านไปยังคนที่เพิ่งได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ร่างอ้อนแอ้นอรชรค่อยๆ ย่างเยื้องลงกระได ห่มสไบสีกลีบบัวเข้าชุดกับผ้าถุงสีใบตอง ผุดผ่องเหมือนดอกบัวแรกแย้ม แช่มช้อยงดงามเหมือนนางในวรรณคดี
เกือบจะจับต้องไม่ได้
แต่เขาชอบอะไรที่ ‘จับต้อง’ ได้มากกว่า
มุมปากของชัชบิดเป็นรอยยิ้ม เขาเฝ้ารอ...รอว่าเมื่อไรนางอัปสรสวรรค์จะย่างเยื้องลงกระไดมาถึงดินเสียที
หนึ่ง สอง สาม สี่...นับได้ยังไม่ถึงสิบ คนที่ไม่ค่อยจะมีน้ำอดน้ำทนในบางเรื่อง ก็สาวเท้าไปข้างหน้า
“นายจะไปไหนครับ” กว่าอำนวยที่มัวแต่ยืนชมโฉมนางอัปสรจะได้สติ ร่างสูงใหญ่ของคนเป็นนายก็เดินขึ้นไปถึงกลางบันไดเรือน
ชัชยื่นมือออกไปจับแขนเรียวขาวเหมือนหยวกกล้วย คนที่กำลังก้าวเท้าลงบันไดชะงัก นัยน์ตาคมหวานยิ่งกว่าน้ำตาลเมืองเพชรวาววับเหมือนเกล็ดแก้ว ช้อนมองผ่านม่านขนตางอนเช้งขึ้นมองเขา
“ขอบคุณค่ะ” คุณหนูคนสวยพึมพำ
พ่อเลี้ยงหนุ่มจับมือเล็กนุ่มนิ่มของเมียคนใหม่วางลงบนท่อนแขนข้างซ้ายแล้วก้าวลงไปด้วยกัน
“จริงๆ แล้วฉันเดินเองได้”
มือหยาบกร้านกระชับมือเล็กนุ่มบอบบางที่วางอยู่บนแขนตัวเองแน่นเข้า
“กว่าจะรอให้เธอเลื่อนลอยลงมาจากฟ้าก็คงเลยเวลาเข้าหอของพวกเราพอดี” คุณหนูน้ำหวานทำตาพอง สีหน้าแปรเปลี่ยนจาก ‘นางฟ้า’ ไปเป็น ‘แมวป่า’ ในพริบตา ชัชซ่อนยิ้มในหน้า
นี่สิ...ถึงจะสมกับห้าสิบล้าน นางฟ้านางสวรรค์อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ
เขา-ตก-ลง-อะ-ไร-กับ-แม่-เธอ
คำถามนี้เวียนวนอยู่ในหัวของน้ำหวานตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา วันนั้นหลังเดินออกจากศาลา พ่อเลี้ยงหนุ่มก็ทิ้งท้ายไว้ว่า
‘เรื่องงานแต่งของเราฉันจะพูดกับแม่เธอเอง’
ไม่ทันที่เธอจะห้ามปราม เขาก็เดินดุ่มๆ ขึ้นเรือนไปเผชิญหน้ากับ ‘นักหวดมือวางอันดับหนึ่ง’ เธอถึงกับสั่งแจ๋วให้เตรียมต้มน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในเอาไว้ พร้อมทั้งยาหม่องตาเสืออีกหนึ่งโหล เผื่อคุณหญิงลำหยวกอยากโชว์วงสวิงอีกสักหนสองหน แต่กลับผิดคาดเมื่อชัชเดินกลับมาอย่างสวัสดิภาพ
‘ผมจะทำตามที่ตกลงกันไว้’
ร่างสูงใหญ่ยกมือไหว้แม่เธอแล้วขึ้นรถกลับบ้าน สามวันต่อมาลุงอ่ำก็พาชัชยกบายศรีมากราบเท้าขอขมา อีกสี่วันต่อมาเขาก็ยกขันหมากมาขอเธอ หลังจากผ่านสมรภูมิน้ำตาและดรามากันมาหลายยก
แม้จะปั้นปึ่งอยู่บ้าง แต่ในที่สุดคุณหญิงลำหยวกก็กลับมายิ้มย่องผ่องใสทันต้อนรับแขกเหรื่อในวันนี้
ตั้งแต่เช้ามาเธอกับเจ้าบ่าว...ไม่สิ...สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ทั้งคู่พูดกันแทบนับคำได้ เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะไขข้อข้องใจ
“คุณตกลงอะ...”
“อุ๊ยต๊าย...คู่บ่าวสาวอยู่ตรงนี้นี่เอง”
ถ้อยคำของเธอลอยคว้างอยู่ในอากาศ เมื่อคนเป็นแม่และแก๊งกะบังตรงรี่เข้ามาหาทั้งสองด้วยความเร็วสามร้อยแรงม้า
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวสวยหล่อสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยกเลยนะคะคุณพี่ลำหยวก”
คุณหญิงลำหยวกปรายตามองเขยขวัญก่อนจะปั้นยิ้มเฉียบพลันให้แก่คุณนายสำอาง เพื่อนร่วมก๊วน
“ลงมาแล้วเหรอน้ำหวาน ทานอะไรรึยังจ๊ะลูก” คนเป็นแม่ออกปากถาม ถึงตอนอยู่กันเพียงลำพัง แม่จะตึงๆ กับเธออยู่บ้าง แต่อยู่ต่อหน้าธารกำนัลจะมาทำคอแข็งใส่กันก็กระไร
“น้ำหวานทานของว่างที่คุณสายเตรียมไว้ให้แล้วค่ะคุณหญิงแม่”
“ตายจริง...แค่ของว่างเอง เกิดเจ้าสาวเป็นล้มเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไงจ๊ะ” คุณนายสายสมรสอดแทรกขึ้นมา
“น้ำหวานทานอะไรไม่ค่อยลงหรอกค่ะ มันรู้สึกพะอืดพะอม” กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะหัวจิตหัวใจมันจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังจะ ‘เกิดขึ้น’ ในคืนนี้
“พะอืดพะอม?” ใครคนหนึ่งทำเสียงสูง
สองคุณนายเหลือบตามองกัน รวมถึงผู้คนที่รายล้อม
“วันนี้ลูกสาวฉันตื่นเต้นกินอะไรไม่ค่อยลง คนเป็นเจ้าสาวก็ยังงี้แหละ” แม่ของเธอรีบแก้ไข ก่อนที่ใครจะนึกคิดไปไกล
“ว่าแต่ทำไมรีบร้อนแต่งงานจังเลยคะคุณพี่ พวกเราแทบจะเตรียมเนื้อเตรียมตัวกันไม่ทัน” คุณนายสำอางโบกพัดจีบในมือ สองตาลุกวาวด้วยความอยากรู้อยากเย็น
“ขนาดเตรียมตัวไม่ทันนะ พวกเธอยังกับร้านจิวเอลรีเคลื่อนที่ ถ้าเตรียมตัวทัน เหมืองเพชรเหมืองทองคงมาเอง” คุณหญิงลำหยวกว่ากลั้วหัวเราะ ทั้งจิกทั้งหยอกผสมกันไป
“แหม...คุณพี่ก็” คุณนายสายสมรหัวเราะแก้เก้อ
“พวกเราก็เอ็นดูหนูน้ำหวานเหมือนลูกหลาน งานแต่งลูกสาวคุณพี่ทั้งที ด่วนแค่ไหนก็ต้องเต็มที่กันหน่อยจริงมั้ยคะ พวกเราตั้งใจจะมาแสดงความยินดีด้วยน้ำใสใจจริง”
“แต่คุณพี่รู้มั้ยคะ” คุณนายสำอางแทรกขึ้นมา
“น้องได้ยินพวกปากหอยปากปูบางคนพูดกัน เลยพานไม่สบายใจน่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ” สามีแกะกล่องของเธอที่ยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเห็นเขายืนนิ่งเป็นต้นเสา
เดาไม่ออก บอกไม่ถูก ว่าเขากำลังนึกคิดอะไรในใจ
“แหม...ดิฉันก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะคะ” คนพูดจีบปากจีบคอรอให้คนฟังอยากรู้
“แต่คนเขาลือให้แซ่ดว่าที่รีบร้อนแต่งงานกันก็เพราะน้องน้ำหวาน….”
“ท้องก่อนแต่ง” สามพยางค์จากปากเจ้าบ่าวขโมยโมเมนต์แห่งปีของคุณนายสำอาง ที่พลาดโอกาสประกาศ ข่าวลือสำคัญ ให้ผู้คนรับทราบ...
คุณหญิงลำหยวกเกือบผงะ แทบจะถลึงตาใส่ลูกเขย พร้อมกับที่คนรอบข้างหูผึ่งขึ้นอีกสามเท่า น้ำหวานจับตามองพ่อเลี้ยงหนุ่ม
กิตติศัพท์ความห่าม ทำอะไรตามใจของนายชัช เธอเคยเห็นมาแล้ว จะฉีกหน้าแม่เธอหรือไร หรือครั้งนี้เขาจะมาไม้ไหน
ชัชหัวเราะออกมาเบาๆ
“ผมไม่คิดว่าจะมีคนเชื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้น ความจริงที่พวกเรารีบร้อนแต่งงาน เพราะฤกษ์หลวงพ่อท่านให้”
คนเราต้องน่ากลัวเบอร์ไหน ถึงโกหกได้ตาไม่กะพริบ…
“ถ้าไม่แต่งวันนี้ จะต้องรออีกสิบปี ถึงเวลานั้นผมคงรอไม่ไหว” ว่าแล้วเจ้าตัวก็โอบแขนรอบเอว ดึงตัวเธอเข้าไปใกล้ “กลัวเจ้าสาวจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ใช่ไหมครับน้ำหวาน”
เธอได้แต่ยิ้มเอียงอาย พยายามทำตัวตามสบายต่อหน้าสายตาที่จับจ้องมองมา แม้วงแขนแข็งแรงนั้นจะรัดรึงเกินความจำเป็นไปสักหน่อยก็ตาม
“แหม...คุณชัชต้องมีดีไม่แพ้ใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ผ่านด่านคุณพี่ลำหยวกมาง่ายๆ สินะคะ” คุณนายสายสมรเปลี่ยนท่าทีจากสอดรู้สอดเห็นเป็นยกยอปอปั้น
ส่วนแม่เธอก็ไวพอกัน รับลูกต่อทันใด..
“ถึงเขาจะไม่ได้สืบเชื้อสายขุนนางเก่าแก่มาจากไหน แต่พ่อชัชเขาก็เป็นคนดี ตรงนี้แหละที่เอาชนะใจฉันได้” คุณหญิงลำหยวกหันไปสบตากับลูกเขย บอกเลยว่าไร้ความเสน่หา แม้ว่าปากจะยิ้มแย้มเจรจา
ฝ่ายนั้นก็ทำแค่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ดวงตาสีสนิมวับวาว เธอไม่แน่ใจว่าเขากำลังขบขัน หรือกำลังนึกหยันท่าทีของคนที่กำลังพูด...
“อีกอย่างสองคนเขาก็รักชอบกัน ลูกฉันรักใคร ฉันก็พร้อมที่จะรักคนคนนั้นทั้งนั้นแหละจ้ะ”
ได้ยินอย่างนั้น น้ำหวานถึงกับอยากจะปีนขึ้นไปบนโต๊ะแล้วปรบมือให้แม่ดังๆ ตอนนี้เธอไม่แปลกใจเลยว่า พลังการแสดงของตัวเองมาจากไหน เรื่องอะไรคนอย่างคุณหญิงลำหยวกจะสาวไส้ให้กากิน
ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า
หน้าของแม่ใหญ่เท่าภูเขา ถ้าแตกร้าวไปคงลำบากคนเก็บกวาดแย่ แม้จะหลงใหลในสมบัติลาภยศ ทว่าในการเข้าสังคม ไหวพริบและประสบการณ์ของคุณหญิงลำหยวกก็ไม่เป็นสองรองใคร
“พวกเธอไปหาอะไรกินกันดีกว่า ปากจะได้ไม่ว่าง” แม่เธอพยักพเยิดมา พร้อมดุนดันเพื่อนๆ ให้ออกเดิน “ให้บ่าวสาวเขาได้ไปพบปะทักทายคนอื่นบ้างเถอะจ้ะ”
“ขอตัวก่อนนะคะ” น้ำหวานสบโอกาสพาตัวเองและพ่อเลี้ยงหนุ่มออกจากวงสนทนามา ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง เธอก็วกกลับมายังข้อข้องใจ...
“คุณตกลงอะไรกับแม่ฉันไว้”
ชัชยักไหล่ “ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ก็แค่การตระเตรียมงานแต่ง”
คนฟังหรี่ตามอง มันไม่ใช่คำตอบที่เธออยากรู้ และเธอก็ไม่เชื่อที่เขาพูด...ทั้งหมด “แน่ใจนะ”
“คุณหนูคนสวย เธอไม่คิดหรอกหรือว่าแม่เธอเป็นคนมีเหตุผล พอพูดจากันดีๆ คุณหญิงแกก็เข้าใจ” นั่นฟังไม่เหมือนคุณหญิงลำหยวกที่เธอรู้จักมาตลอดชีวิตเท่าไรนัก
“แล้วเธอตื่นเต้นจริงๆ รึเปล่าที่ได้เป็นเจ้าสาวของฉันในวันนี้” ชัชถามทีเล่นทีจริง เหมือนจะหยอกเย้ากันอยู่ในที
“คงงั้นมั้งคะ” ประโยคแรกเธอไม่ได้พูดปด
“ไม่ใช่ทุกวันที่ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ” ประโยคหลังเธอพูดไม่จริง สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่างหากที่ทำให้เธออยู่ไม่เป็นสุข
การสนทนาของทั้งสองสะดุดลงโดยปริยาย เมื่อคุณปลัดอำเภอกับภรรยาถือกล่องของขวัญสีทองมาให้
“ขอให้ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะครับ”
พวกเธอรับของ ฝากนายอำนวยเอาไปเก็บไว้ แล้วออกเดินทักทายแขกที่มาร่วมงานตามหน้าที่ ย้ายจากอีกโต๊ะไปอีกโต๊ะ เกือบสองชั่วโมงต่อมา ก็ได้เวลาที่ท่านผู้ว่าจะขึ้นมากล่าวคำอวยพร
“...เนื่องในโอกาสพิเศษนี้ ผมก็อยากจะปิดท้ายคำอวยพรนี้ด้วยเพลงรักสำหรับบ่าวสาว...”
แถ่น แถ่น แท้นนน...อินโทรดนตรีเพลงลูกกรุงเริ่มบรรเลง ครืดๆ โทรศัพท์มือถือที่เหน็บอยู่ที่ขอบด้านในผ้านุ่งของเธอสั่น อีกหนึ่งชั่วโมงจะได้ฤกษ์เข้าหอ
ตอนนี้ละได้เวลาเริ่มแผนบี!
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ” น้ำหวานสะกิดแขนสามีหมาดๆ ยืนบิดไปมาเพื่อความสมจริงสมจัง
“ก็ไปสิ” ทว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มยังคงยึดมือเธอที่คล้องแขนเขาเอาไว้
“ถ้าคุณไม่ปล่อยมือ แล้วฉันจะไปเข้าห้องน้ำได้ยังไง”
“ห้องน้ำอยู่ทางไหน” เขากลับชะเง้อชะแง้แลหา
“คุณไม่ต้องพาฉันไปหรอก เดี๋ยวเดียวฉันก็มา”
“ได้ยังไงล่ะคุณหนูคนสวย”
หือ...เธอเกลียดสรรพนามนี้ของเขาเสียจริงๆ
“เกิดเมียฉันสะดุดชายผ้าถุงหัวฟาดพื้นไป ใครจะช่วยเหลือ”
“ฉันไม่ใช่คนซุ่มซ่ามเซอะซะอะไรขนาดนั้นหรอกนะ” เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพัง น้ำหวานก็ลอยหน้าลอยตา ไม่จำเป็นต้องเก๊กท่ากุลสตรีอีกต่อไป “อีกอย่างผ้านุ่งผ้าถุงแบบนี้คุณหญิงยายของฉันสอนให้นุ่งห่มตั้งแต่เริ่มหัดเดิน ไม่มีทางที่ฉันจะสะดุดล้มหัวทิ่มหัวตำ ให้อับอายขายขี้หน้าหรอกค่ะ” ว่าแล้วมือข้างที่เป็นอิสระก็แกะมือเขาออก
ทว่ามือหยาบกร้านยังคงยึดแขนเธอเอาไว้เหมือนกาวตราช้าง
“ฉันไปด้วยดีกว่า เธอหายไปนานเดี๋ยวฉันเหงา”
โอ๊ย...น้ำเน่าอะไรยังงี้ “ฉันก็แค่จะไปฉี่”
“ฉันไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว” เขาทำทีเหลียวมองรอบกาย
“แถวนี้ ฉันแทบไม่รู้จักใคร”
สุ้มเสียงใสซื่อของเขาบอกเลยว่าไม่จริงใจ
อะไรจะเกิดมาเป็นคนไร้ความมั่นใจขึ้นมาได้ เท่าที่เธอรู้ เขาอายุสามสิบหกเข้าไปแล้ว ไม่ใช่เด็กอมมือที่ต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ปกครองตลอดเวลา น้ำหวานข่มใจ ไม่ให้ขึงตาใส่เขา
ทั้งสองจ้องตากันนิ่งๆ เหมือนนักมวยบนสังเวียน เตรียมจะแลกหมัดเตะตัดขาคู่ต่อสู้ ดวงตาสีสนิมของเขาหรี่มองมา จ้องจับผิด
“หรือคุณหนูคิดจะทำเรื่องไม่ดีไม่งาม”
“ฉันแค่ปวดฉี่เท่านั้น” เธอไม่หลบตาเขา ภายนอกดูเยือกเย็นมั่นใจ แต่ภายในปูนในท้องมันร้อนวาบขึ้นมา
เอายังไงดีทีนี้...ถ้าเธอไม่มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง แผนบีที่ตระเตรียมไว้คงพังพินาศแน่นอน…
“โอ้นั่นไง เจ้าบ่าวอยู่ทางนั้น คุณชัช...คุณชัชครับ” เสียงเรียกของลุงอ่ำเหมือนระฆังช่วยชีวิตน้ำหวานแท้ๆ อึดใจต่อมา หัวหน้า นายก อบต. และพลพรรคนักดื่มก็ถือขวดแม่โขงเดินตัดข้ามลานดินสั้นๆ มาหา
“ใกล้จะถึงเวลาสำคัญแล้ว เชิญเจ้าบ่าวทางนี้สักครู่ได้มั้ยครับ มันเป็นธรรมเนียมของชาวบ้านแถวนี้ ก่อนเข้าหอทั้งทีต้องมีพิธีย้อมใจ”
“ผมไม่ค่อยดื่ม” พ่อเลี้ยงหนุ่มตั้งท่าจะปฏิเสธ ทว่า
“ไฮ้...คุณชัช” อบต.อ่ำ ที่ย้อมใจล่วงหน้ามาไม่ใช่น้อย ยกแขนโอบบ่าร่างสูงใหญ่เหมือนสนิทสนมกันมาห้าสิบปี
“ต้องกรึบสักหน่อยเป็นการอุ่นเครื่องใช่มั้ยพวกเรา” เสียงโห่ฮิ้วฮ้าวรับลูกดังเกรียวกราว “ขอยืมตัวเจ้าบ่าวประเดี๋ยวนะหนูน้ำหวาน”
“ตามสบายเลยค่ะ”
พ่อเลี้ยงหนุ่มถูกนายก อบต. ลากตัวไป ดวงตาคมกริบยังไม่วายจับจ้องมองเธอจนลับตา น้ำหวานโบกมือให้เขา มองซ้ายมองขวา คุณหญิงลำหยวกพูดคุยติดพันกับผู้ว่า คุณสายก็ไม่อยู่ในสายตา
ดีละ...ร่างแบบบางถึงได้วาระ ‘เผ่น’ ขึ้นกระไดเรือน เข้าห้องนอนตัวเองที่ถูกเปลี่ยนเป็นห้องหอได้ น้ำหวานก็ดึงโทรศัพท์มือถือที่เหน็บอยู่กับขอบผ้าถุงออกมา โทร. หาเพื่อนซี้
“เจ๊อยู่ที่ไหนแล้ว”
“ฉันจอดรถรออยู่ที่ต้นยางใหญ่หน้าปากซอย”
คนฟังพ่นลมออกมาจากปาก เมื่อได้ยินคำยืนยันจากเลื่อมเพชร
‘อากงบอกให้หนูกลับกรุงเทพฯ ด่วน ไม่รู้ว่าเรื่องรีบร้อนอะไรค่ะคุณหญิงป้า’
เพื่อนสาวรุ่นพี่ของเธอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันเมื่อสองวันก่อนว่าหล่อนจะไม่อยู่ ตามแผนการที่วางเอาไว้
เจ็ดวันที่ผ่านมา แม้เธอกับชัชจะไม่ค่อยเห็นหน้า หรือส่งภาษาทักทาย แต่พ่อเลี้ยงตัวร้ายก็ยังอุตส่าห์ส่งสายสืบเข้ามา
‘นี่เธอมาป้วนเปี้ยนอะไรแถวนี้ได้ทุกวี่ทุกวัน’
พอแม่ของเธอออกปากถามนายอำนวย อวยโชค ไส้สึกคนนั้นก็หัวเราะร่าเริง ตอบน้ำไหลไฟดับ
‘นายให้ผมมาคอยช่วยงาน ตระเตรียมประสานงาน คอยรับใช้อำนวยความสะดวกให้ว่าที่คุณนายคนใหม่ กับคุณหญิงลำยอง...เอ๊ย...คุณหญิงลำหยวกน่ะครับ’
‘ดี...ฉันจะให้เธอได้อำนวยความสะดวกเสียจนหนำใจ’
นายอำนวยกลายเป็นเจเนอรัลเบ๊ให้คุณหญิงลำหยวกมาตั้งแต่ตอนนั้น งานสากกะเบือยันเรือรบเป็นต้องจบที่อำนวย น้ำหวานรู้สึกถึงสายตาสอดส่องของหนุ่มใต้ ผิวคล้ำตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“แกหลบออกมาได้แล้ว?”
“แหงสิ อีกสิบนาทีเจอกัน”
“เยสเซอร์”
เธอรีบวางสาย ถอดชุดไทยที่สวมออกอย่างคล่องแคล่ว ก้มลงรื้อเอาเป้ลายพรางที่ซุกอยู่ใต้เตียงออกมา ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเสื้อดำกางเกงวอร์ม ชุดพลทหารพร้อมรบ รวบผมยาวๆ เป็นมวยกลางหัว
เธอบอกกับเขาว่าจะลงใต้ไปด้วยกัน แต่ใช่ว่าเธอต้องทำจริงๆ
ทุกสิ่งที่พวกเธอพูดคุยกันที่ศาลา ล้วนเป็นการเจรจาปากเปล่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ แค่เห็นกันไม่นาน ก็พอรู้ว่า ชัช ชำนาญพาณิชย์ เป็นพวกเหลี่ยมจัดชัดเจนขนาดไหน หลังจากที่เขาทำการ ‘เจรจา’ กับแม่เธอไปในตอนนั้นทำให้ท่าทีของคุณหญิงลำหยวกเปลี่ยนแปลงไป สองคนนั้นยังไม่ถูกกัน แต่ก็ไม่ได้ประจันหน้าเตรียมเข้าห้ำหั่นกันเหมือนศัตรู ในเมื่อเธอไม่รู้แน่ว่าชัชตกลงอะไรกับแม่เธอไว้
น้ำหวานถึงต้องเตรียมการไว้ก่อน ตอนนี้ในเมื่อเธอเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาเองก็ได้ที่ดินสมใจปรารถนา ก็คงไม่กระไรนักหนาหากว่าเธอจะ ชิ่ง หนีไปก่อน ขืนรอให้ลงใต้เหยียบเข้าไปในถิ่นเขา อาจจะเอาตัวรอดออกมาลำบากยากเย็น
พรุ่งนี้คุณหญิงลำหยวกจะได้รับจดหมายสารภาพบาปจากเธอ
พรุ่งนี้จะเป็นเช้าวันแรกแห่งอิสรภาพ!
“เอาละ” หัวใจดวงน้อยในอกซ้ายฮึกเหิมขึ้นมา ร่างแบบบางเปิดบานหน้าต่าง ก้าวขาข้างหนึ่งปีนข้ามไปเหยียบ…
“เอ๊ะ!...หายไปไหน”
น้ำหวานดึงขากลับมาแล้วชะโงกหน้าออกไปมอง แต่กลับไม่เห็นมะยมกิ่งใหญ่ที่ยื่นออกจากต้น ตอนลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมเมื่อเช้าเธอยังเห็นกิ่งอวบหนาของมันเต็มๆ ตา หลายปีที่ผ่านมา เธอใช้มันเป็นช่องทางหนีออกไปข้างนอก
“บ้าชะมัดเลย”
พลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึงตังจากข้างนอก เหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงฤกษ์เข้าหอ
คนข้างในหันรีหันขวาง แล้วเธอจะปีนลงจากเรือนยังไง ขืนกระโดดลงไป แข้งขาก็หักตายพอดี เหงื่อเย็นเริ่มซึมๆ ลงมาตามแผ่นหลัง พัง พัง พัง เสียงในหัวกรีดร้อง
“มีเมียเดก...ต้องหม่านตรวจเซก รรร่างกาย” เสียงห้าวครวญเพลงลอดผ่านประตูเข้ามา เสียงพูดของฝ่ายนั้นอ้อแอ้ เหมือนคนลิ้นไก่อ่อนแรง
“คุณหนู...คนสะหรวยยย...อยู่นายส้วมรึ...เปล่าาา”
จะทำยังไงดี น้ำหวานยกมือขึ้นมากัดเล็บ มองซ้ายขวาล่อกแล่ก หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร. หาเพื่อนร่วมทีม ไม่นานอีกฝั่งก็รับสาย
“เจ๊ ฉันยังไปตอนนี้ไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้น” สุ้มเสียงของเลื่อมเพชรตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“นายพ่อเลี้ยงนั่นอยู่นอกประตูห้อง แล้วฉันก็ยังลงไปจากเรือนไม่ได้”
“ทำไมเล่า”
“ไอ้มือบอนที่ไหนไม่รู้มันมาตัดต้นมะยมของฉันจนเหี้ยนไปหมดน่ะสิ”
“คุณ-พระ-ช่วย”
โธ่...คุณพระที่ไหนก็ช่วยไม่ทันแล้ว มีแต่นางสาวน้ำหวาน...อ้อ...ไม่สิ นางน้ำหวาน ชำนาญพาณิชย์ คนเดียวที่จะต้องช่วยเหลือตัวเอง มันต้องมีทางออกสักทางสิน่ะ
“ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็เข้ามาในห้องไม่...”
ไม่ทันขาดคำ บานประตูห้องนอนของเธอก็เปิดผางออกมาต่อหน้าต่อตา น้ำหวานอ้าปากค้าง ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้า ส่งยิ้มนัยน์ตาเยิ้มมาให้
“คะ...คุณเข้ามาได้ยังไง”
“ฉาน...มีคุณ...แจ” ชัชชูลูกกุญแจทองเหลืองเก่าให้เธอดู ส่งยิ้มยิงฟันเหมือนคนสติฟั่นเฟือนมาให้ ในมืออีกข้างถือขวดเหล้าขาว ย่างสามขุมเข้ามาตรงหน้า กลิ่นสุราโชยคลุ้งออกมาจากเนื้อตัว
น้ำหวานถอยกรูดไปข้างหลัง
“จาปายหนายหรา...” พ่อเลี้ยงหนุ่มเหล่ตามองกระเป๋าที่ยังพาดอยู่บนบ่า
“หรือจาปายฮันนีมูน”
เธอรีบทิ้งกระเป๋าลงพื้น เตะมันเข้าไปใต้เตียง
“ฉันไม่ได้ไปไหน”
“หือ?” เขายังคงเอียงคออยู่อย่างนั้นราวกับว่าที่เธอพูดเมื่อกี้เป็นภาษาต่างดาว
น้ำหวานไม่แน่ใจว่าระหว่างชัชตอนเมากับไม่เมา อันไหนจัดการยากกว่ากัน จะเมาหรือไม่เมา ก็คาดเดาอะไรจากเขาไม่ได้เลย
ตอนนี้นักกลยุทธ์ที่ดีก็ต้องเล่นไปตามน้ำ พลิกแพลงสถานการณ์เพื่อชิงความได้เปรียบ เขาตัวใหญ่กว่าเธอเยอะ ถ้าปะฉะดะกันตรงๆ เธอมีแต่จะเพลี่ยงพล้ำ
น้ำหวานยิ้มอ่อนหวานให้คนที่เพิ่งได้ชื่อว่าสามี
“ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวก่อนดีกว่ามั้ยคะคุณชัช” ร่างแบบบางตรงเข้าไปใกล้ จับจูงท่อนแขนล่ำสันดันให้เขาเดินไปยังห้องน้ำ
“ไม่!” ร่างสูงใหญ่เบี่ยงตัวหนี กึก...กระแทกขวดเหล้าลงบนโต๊ะใกล้ตัว หันกลับมาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเธอ
“อุ๊ย!”
“เสียเวลา...ข้าวหอของราววว” ไม่พูดพร่ำทำเพลงคนตัวใหญ่กว่าก็รวบตัวเธอขึ้นพาดบ่า พาไปที่เตียงนอน เขาโยนเธอลงบนฟูกแล้วคลานตามขึ้นมา จับแขนทั้งสองข้างตรึงกับที่นอน ดวงตาสีสนิมวาววับส่องประกายชั่วร้ายจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเธอ นี่มันเดจาวู...เหมือนละครจำเลยรักที่เธอชอบดูเมื่อยามเยาว์ไม่มีผิด
ใบหน้าคล้ามคมโน้มลงมาประชิด น้ำหวานหลับตาปี๋
อย่านะ...อย่าไซ้คอ เธอบ้าจี้!
ความคิดเห็น |
---|