น้ำหวานเกร็งคอจนแทบเป็นตะคริว ทว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มก็ไม่ซุกไซ้ซอกคออย่างที่หวังไว้สักที เสียงหัวเราะหึๆ ดังขึ้นที่ข้างหู รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนบนผิวข้างลำคอ เธอปรือตาขึ้นมอง ลมหายใจของเธอสะดุดเล็กน้อย
เมื่อสองตาประสานเข้ากับดวงตาสีสนิมลุ่มลึก อาบไล้ด้วยประกายขบขันบางเบา มันวาววับกระจ่างใส ไม่ได้เยิ้มฉ่ำก่ำระเรื่อด้วยฤทธิ์สุรา...อย่างที่ควรจะเป็น หรืออย่างที่เธอนึกเดา
ความจริงสว่างวาบขึ้นในใจ
“คุณไม่ได้เมา?”
เขายังยึดข้อมือเธอไว้ ร่างสูงใหญ่ทาบทับอยู่ข้างบน ร่างทั้งสองเบียดชิดติดกันตั้งแต่ต้นขาลงไป ความประหม่าขัดเขินผุดขึ้นมาบนผิวเนื้อของเธอทันใด น้ำหวานออกแรงผลักอกคนตัวใหญ่กว่าออก
ร่างแบบบางตะเกียกตะกายไปยังอีกฝั่งของเตียงนอนให้อยู่ไกลจากเขามากที่สุด ปัดปอยผมที่หลุดลุ่ยจากหางม้าออกจากปาก ก่อนถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“คุณหลอกฉัน”
ชัชยักไหล่ บอกหน้าตาย...“เธอคิดไปเองต่างหาก”
ให้มันได้อย่างนี้ เมื่อกี้เธอก็อุตส่าห์ลุ้นระทึก เกร็งเสียจนคอแทบจะเป็นตะคริว ใจก็หวิวๆ ว่าวันนี้จะเสียตัวให้ โค...ไม่สิ...กระทิงเฒ่าเจ้าเล่ห์เสียแล้ว ถึงเขาจะเพิ่งสามสิบหก และยังหนุ่มแน่นก็เหอะ
“จะรีบร้อนไปไหนเหรอคุณหนูน้ำหวาน” พ่อเลี้ยงหนุ่มยกแขนกอดอก พิงเสาเตียง
ฮึ่ม...เกลียดนัก พวกรู้ทัน
“ฉันเปล่า” น้ำหวานลอยหน้าลอยตา มองหาหยากไย่ที่ไม่มีที่มุมเพดาน ยังไม่จนตรอก เรื่องอะไรจะยอมบอกเขาง่ายๆ
คนฟังเลิกคิ้ว มุมปากได้รูปงามยกขึ้นเหมือนจะเย้ยหยัน
“เมียคนเก่าเขาหอบผ้าหนีตามฉันมา ไม่ยักรู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมของคุณหนูตระกูลผู้ดีที่ต้องปีนเรือนหนีเจ้าบ่าวในวันเข้าหอ”
ปีนเรือนหนี...วลีนี้สะดุดหูเข้าจังๆ
“คุณนั่นเอง คุณใช่มั้ยที่ตัดกิ่งมะยมหลังห้องนอนฉันจนเหี้ยนเตียน ไม่มีเหลือ”
“ถ้าเป็นฉันแล้วทำไมหรือ” ร่างสูงใหญ่หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงนอน เหยียดขายาวๆ ในโจงกระเบนสีเข้มออกไปบนไม้กระดาน เขาเอี้ยวคอมองมาทำตาใส
“เห็นว่ามันรก กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะเลื้อยเข้าบ้าน ฉันก็เลยขออนุญาตคุณหญิงแม่ยายให้อำนวยจัดการหั่นมันทิ้ง”
น้ำหวานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือกำหมัดแน่นเข้า
“เอาละ...บอกฉันมาได้รึยัง ถ้าไม่รีบไปฮันนีมูนแล้วเธอจะไปไหน”
เธอเหลือบมองบานหน้าต่างที่ยังเปิดกว้าง ช่างแสนเจ็บปวดใจ อิสรภาพอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับไปไม่ถึง
“หรือมีใครรออยู่”
ก็เออสิ...เลื่อมเพชรจะรู้บ้างไหม ว่าแผนบีของเธอล้มเหลวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อนสาวรุ่นพี่จะซุ่มรออยู่ใต้ต้นมะขามทั้งคืนรึเปล่าก็ไม่รู้
“ช่างมันเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร” คนถามเปลี่ยนใจไม่อยากรู้เอาง่ายๆ เสียอย่างนั้น ชัชหัวเราะในลำคอ หรี่ตามองมาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ เขาเขยิบข้ามฟูกเข้ามาใกล้ “ยังไงเราสองคนก็ต้องร่วมห้องกันทั้งคืน และอีกหลายๆ คืนต่อจากนี้”
ยิ่งได้ฟัง ใจของเจ้าสาวมือใหม่ก็ยิ่งหวั่น น้ำหวานขยับตัวหนี
“ไหนคุณบอกว่า คุณจะเอาฉันไว้ควงออกงาน เพื่อหน้าตาในสังคม เราก็แค่แต่งงานกันหลอกๆ เท่านั้นเอง”
สามีหมาดๆ เอามือถูข้างแก้มที่เห็นปื้นขียวรำไร ทำหน้าครุ่นคิด
“ฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าฉันเอาคุณหนูเป็นเมียจริงๆ ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร”
“ไม่เสียหายได้ยังไง!” น้ำหวานเผลอโพล่งออกมาดังๆ
ถ้าเขาเอาเธอทำเมียจริงๆ กระบวนการได้และเสียต้องเกิดขึ้นแน่นอน ที่เขาพุ่งใส่เธอเหมือนกระทิงเปลี่ยวเมื่อครู่ยังติดตรึงอยู่ในหัว
ชัชยิ้มน้อยๆ แล้วเริ่มไล่เลียง
“อย่างน้อยคุณหนูน้ำหวาน ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็เป็นกุลสตรีแสนสวย ว่านอนสอนง่าย แถมการบ้านการเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้านายชัชคนนี้ได้คุณหนูน้ำหวานเป็นเมียคงโชคดีเป็นบ้าหรือไม่จริง” เขาหัวเราะในลำคอ เหลือบตามองเธอ
สุ้มเสียงของเขาเหมือนจะยั่วเย้าและเสียดสีในเวลาเดียวกัน
“โธ่เอ๊ย” น้ำหวานกลอกตามองเพดาน พอกันทีกับความเสแสร้ง
“คุณถูกการตลาดของแม่ฉันแหกตาแล้วละ” ร่างแบบบางชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น...“จะบอกอะไรให้นะ แต่ไหนแต่ไรมา งานบ้านงานเรือนฉันไม่กระดิกหรอกค่ะ” น้ำหวานยกมือขึ้นนับนิ้วก่อนจะสาธยาย “งานฝีมือ เย็บ ปัก ถัก ร้อย สอยชายผ้า ข้าวปลาอาหาร ของคาวของหวานพวกนั้นฝีมือคุณสายกับแจ๋วทั้งนั้นแหละ”
เธอก็แค่ฝึกฝนท่วงท่าให้แลดูชำนาญ หลอกตาผู้คนเวลาออกงานสังคมก็เท่านั้น ก็บอกแล้วไง ว่าเมื่อยามเยาว์เธอฝันจะเป็นนักแสดง
ในเมื่อไม่ได้ใช้ความสามารถไปกับบทบาทในจอทีวี เธอเลยมาเอาดีในการแหกตาประชาชีแทน
“หมาข้างบ้านมันยังไม่ยอมกินอาหารฝีมือฉันเลย ไม่เชื่อไปถามเจ้าของมันก็ได้” เธอท้าให้เขาลอง ก่อนจะรีบเสริมแข็งขัน
ดวงตาสีสนิมจับตามองมาที่เธอนิ่งๆ สีหน้าท่าทางของเขาอ่านไม่ออก
“ที่พูดเนี่ย ไม่ใช่จะพูดซี้ซั้วให้รอดตัวหรอกนะคะ แต่ในเมื่อเราตกลงปลงใจจะทำธุรกิจร่วมกัน ฉันเลยต้องบอกไว้ มันจะได้แฟร์ๆ”
“งั้นชื่อเสียงดีงาม รางวัลปลายจวักทองคำสามปีซ้อน ถ้วยรางวัลและใบประกาศงานฝีมือดีเด่นประจำจังหวัดที่ติดอยู่บนฝาบ้าน?”
“มันก็เป็นแค่การสร้างภาพเท่านั้นละค่ะคุณพ่อเลี้ยง” น้ำหวานยิ้มหวานใส่ตาเขา
สารภาพไปแล้ว สองแก้มก็ร้อนขึ้นมา มันเป็นเรื่องน่าอับอายน้อยเสียที่ไหนเล่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยอมรับเรื่องโกหกของตัวเองกับใครสักคน
ชื่อเสียงและหน้าตาของคุณหญิงลำหยวกเป็นเรื่องสำคัญ เธอก็ต้องทำอย่างนั้น ในเมื่อพวกเธอไม่ใช่ฤาษีปลีกวิเวกในป่าใหญ่ ไม่สนใจโลกภายนอก แต่ยังต้องใช้ชีวิตในสังคม
การโกหกจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“รวมถึงเรื่องตำแหน่ง สาวมารยาทงามตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัยปีสี่ แถมยังเป็นอาสาสมัครฝึกสอนมารยาทไทยและการเข้าสังคม ให้แก่สมาคมมารยาทไทยและสากลประจำจังหวัด”
เขาดึงรูปถ่ายสองสามใบออกมาจากกระเป๋าโจงกระเบน สวรรค์ไม่ยุติธรรม ทีชุดของเธอยังไม่เห็นมีช่องให้ใส่ของเหมือนอย่างของเขาเลย
“อย่าบอกนะว่าเด็กนักเรียนคนนี้ไม่ใช่เธอ”
ในภาพเก่าๆ เด็กสาวตัวผอมๆ ไว้ผมทรงกะลาครอบกำลังยอบตัวลง ก้มหน้าพนมมือไหว้ ยิ้มแป้นแล้นอยู่บนเวที
“คุณไปเอารูปนี้มาจากไหน” เธอเอื้อมมือออกไปจะคว้ารูปสีซีดของตัวเองกลับมา
ทว่าชัชรีบชักมือหนี “เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” นั่นมันรูปสมัยมัธยมที่เธออยากจะเอาดินกลบมันไว้ให้มิดธรณี มันเป็นความผิดพลาดทางแฟชั่นในวัยเยาว์ของเธอ
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่”
“อย่าบอกนะว่าตอนประกวดมารยาท ยังต้องใช้สแตนด์อิน”
“จะบ้าเหรอคะ จะมาหาคนหน้าเหมือนกันยังกับแกะได้ยังไง ก็ต้องเป็นฉันสิ” ใบหน้าของคนพูดบึ้งตึง “สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุด ก็คือทำตัวมีมารยาทนั่นแหละค่ะ” เพราะมัวแต่ลอยหน้าลอยตา เลยไม่ทันเห็นรอยยิ้มสมใจของคนฟัง
“ถนัดเรื่องสร้างภาพ?”
“เรียกว่าเชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงภาพลักษณ์จะดีกว่า” เธอแก้ไขเสียใหม่ให้รื่นหู
“แล้วคุณต้องการอะไร” น้ำหวานหันมาจ้องหน้าอีกฝ่าย ย้ำคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ
ชัชเก็บรูปถ่ายใบนั้นของเธอกลับคืนที่เดิม แล้วบอกง่ายๆ “ฉันต้องการให้เธอช่วยอบรมมารยาทให้ลูกๆ ของฉัน”
“อะไรนะ!” น้ำหวานเกือบตะโกนออกมา
“ชู่...” พ่อเลี้ยงหนุ่มเอานิ้วจ่อปาก “เดี๋ยวคนข้างล่างแห่กันขึ้นมาบนบ้านหรอก”
“ทำไมต้องเป็นฉัน คุณจะไปจ้างคุณครูที่ไหนมาสอนลูกๆ ของตัวเองก็ได้”
ชัชเป็นพ่อม่ายลูกติด ข้อมูลนี้เธอรู้ แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะไม่ใช่ปัจจัยที่เธอต้องคำนึงถึง เพราะทั้งเขากับเธอไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตร่วมกัน
แต่ตอนนี้เหมือนสถานการณ์จะพลิกผันเสียแล้ว
“โถ...คุณหนู ฉันอุตส่าห์จ่ายค่าสินสอดไปตั้งห้าสิบล้าน จะไปจ้างคนอื่นทำไมให้สิ้นเปลือง เธอนี่แหละเหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด ในเมื่อเธอก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องการปรับปรุงภาพลักษณ์”
หรือ...สร้างภาพให้คนอื่นเห็นว่าเธอเป็นคนมารยาทงดงาม ไร้ที่ติ คิดแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเอง
เธอมาถึงจุดนี้ได้ยังไง เธอไม่ได้เตรียมแผนสำรองไว้สำหรับเรื่องนี้
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องลงใต้ไปกับคุณงั้นเหรอ”
“ก็เป็นส่วนหนึ่ง”
ฮึ่ม...เขายังจะมีแผนชั่วอะไรซ่อนอยู่อีก
“คุณคงไม่คิดที่จะทำมิดีมิร้ายฉันด้วยใช่มั้ย” น้ำหวานหรี่ตามอง เขาปรือตามองตอบกลับมา บอกเรื่อยเฉื่อย
“ฉันไม่ใช่คนเลวที่ชอบหักหาญน้ำใจผู้หญิงหรอกนะคุณหนู แล้วฉันก็แก่แล้ว ไม่ใช่หนุ่มกลัดมันที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ” แล้วที่เขาพุ่งเข้าใส่เธอเหมือนกระทิงเปลี่ยวเมื่อกี้ล่ะ แค่คิดถึงโมเมนต์นั้น ช่องท้องเธอก็หดเกร็ง ลำคอและใบหน้าก็ร้อนวูบวาบขึ้นมา
“ฉันต้องไปอยู่บ้านคุณนานเท่าไหร่”
“หกเดือน”
ตั้งครึ่งปีเชียวหรือ โอ๊ย...อิสรภาพที่เธอใฝ่ฝันหา
แล้วเธอจะรับมือยังไง เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกๆ ของเขาเลย รู้แค่ว่าเขามีลูกสองคน หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง
“แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะเวิร์ก ฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องอบรมสั่งสอนเด็กๆ”
“เธอจะอยู่นี่ก็ได้” เขาค่อยๆ ดึงเอาซองสีน้ำตาลที่พับครึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วคลี่มันออกให้เธอเห็น
“แต่ก่อนฉันจะไป ฉันคงต้องทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้ให้คุณหญิงแม่ยาย”
น้ำหวานอ้าปากค้าง เมื่อเห็นตัวหนังสือหน้าซองที่เขียนด้วยลายมือของตัวเอง
...ถึง คุณหญิงแม่ที่เคารพ...
“ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ”
“คุณหนูยังมีทางเลือกอื่นอยู่นะ อย่าลืมสิ” ชัชยิ้มกริ่ม
ทางเลือกกะผีน่ะสิ นี่เป็นการมัดมือชกกันชัดๆ เขี้ยวลากดินเป็นยังไง เธอเพิ่งเห็นชัดๆ ก็วันนี้นี่ละ
ผู้ชายใจร้ายคนนั้นให้เวลาเธอทำใจแค่สามวัน...
‘แล้วผมจะกลับมารับเมียกลับบ้านของเรา’ นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนประกาศกลางโต๊ะอาหารเช้าหลังคืนวันเข้าหอ ค่ำคืนหายนะของชีวิตเธอ หลังจากที่เขามัดมือชกด้วยจดหมายฉบับนั้น คำตอบของเธอจะเป็นอะไรได้นอกจาก
‘ตกลง ฉันจะอบรมมารยาทให้ลูกๆ ของคุณ’
ทั้งสองต้องย่องกลับลงไปข้างล่าง เพื่อที่จะให้ท่านผู้ว่าและคุณหญิงลำหยวก พาพวกเธอกลับขึ้นมาส่งตัวเข้าหอ ตามฤกษ์ยามที่หลวงพ่อท่านให้
คุณหญิงแม่และคุณสายน้ำตาไหล ขณะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นสักขีพยานต่างมองตรงมาที่ทั้งสองด้วยสีหน้าแช่มชื่น
คงจะมีแต่เธอ...นางน้ำหวาน ชำนาญพาณิชย์ คนนี้ ที่หน้าชื่นอกตรมขมขื่นใจกับชะตาชีวิต ที่ ‘ยัง’ ไม่ได้ลิขิตเอง
‘อะไรกัน นี่เพิ่งจะแต่งงานกัน เธอก็จะพรากลูกสาวไปจากอกฉันแล้วรึคุณชัช’ คุณหญิงลำหยวกแย้งขึ้นมาทันควันเมื่อได้ยินลูกเขยแจ้งให้ทราบ
‘โถ...คุณหญิงแม่ยายครับ ผมไม่ได้จะพรากน้ำหวานไปไหน’ ชัชยิ้มในหน้าแล้วว่าต่อเรียบเรื่อย
‘แค่อยากจะรีบพาเขาไปทำความรู้จักกับลูกๆ ของผมก็เท่านั้น พวกแกคงอยากจะเจอหน้าคุณแม่คนใหม่’ คำว่าคุณแม่คนใหม่เกือบทำเอาเธอสำลักไส้กรอกตาย
ดวงตาสีสนิมเหลือบมองมา
‘น้ำหวานเขาตื่นเต้นดีใจ อยากจะเจอลูกๆ ของเราจะแย่แล้ว ใช่มั้ยน้ำหวาน’
สิ้นคำตลบตะแลง เธอก็อยากจะเอาส้อมที่จิ้มไส้กรอกในมือแทงลูกตาของเขาแทน เรื่องอะไรมาด้นบทสดๆ ให้ตรงหน้า ไม่เตี๊ยมกันสักคำ
คงเป็นบาปกรรมมาตั้งแต่ก่อนเก่าสินะ...
เปลี่ยนจากนางสาวมาใช้นางก็ว่าแย่แล้ว แต่ไม่แคล้วยังต้องเผชิญหน้ากับลูกๆ ของเขา ต้นยังจะขนาดนี้ แล้วลูกไม้ใต้ต้นจะขนาดไหน
เธอทำการกุศลไม่ได้ขาด ส่วนหนึ่งก็เพื่อมารยาทหน้าตาทางสังคม ไม่ได้เป็นผู้หญิงใจดี นิยมจิตอาสา รักสัตว์ รักเด็ก เหมือนนางสาวไทย แต่ที่ทำคือเล่นไปตามเกม
‘ค่ะ คุณหญิงแม่ แค่ได้ฟังเรื่องที่คุณชัชเล่า น้ำหวานก็อยากจะเจอพวกแกตัวเป็นๆ แล้วค่ะ อย่างที่รู้น้ำหวานชอบเล่นกับเด็กๆ’
‘เล่นกับเลี้ยงมันไม่เหมือนกันหรอกนะลูก’ คุณหญิงแม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า สีหน้าสีตาบอกความกังวล
‘หนูตัดสินใจแล้วค่ะ’ บอกคนเป็นแม่ไปด้วยความมั่นใจ อย่างน้อยคุณหญิงลำหยวกจะได้คลายวิตก ถึงยังไงเธอก็ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากกว่าที่เป็นอยู่
‘หนูรักคุณชัช และหนูก็พร้อมที่จะรักครอบครัวของเขาด้วย’ เธอหันไปสบตาพ่อเลี้ยงหนุ่ม แม้จะรู้สึกกระดากปากแค่ไหน ก็ต้องแสร้งก้มหน้ายิ้มเอียงอาย
จบสวยเสียไม่มี...
ชัชล่ำลาแม่ยายแล้วเดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ทิ้งไว้แต่นายอำนวย อวยโชค ที่ทำหน้าที่พัศดีนอกเรือนจำ คอยจับตาดูเธอไม่ห่าง
‘สามวันคงพอสำหรับการเก็บข้าวของนะคุณหนู’
สามวันเพียงพอกับการเก็บข้าวของ นอกจากเสื้อผ้าแล้วเธอก็ไม่ได้ขนข้าวของเครื่องเรือนติดตัวไป แทนที่จะนั่งสังเวชใจในชะตากรรม สู้เอาเวลามารวมหัวกับเพื่อนซี้คิดแผนซีดีกว่า
ถึงเจ้าตัวไม่ได้เสนอหน้ามา เพราะบอกใครๆ ไปแล้วว่าติดธุระด่วน ทว่าเลื่อมเพชรกับเธอยังคงติดต่อกันตลอดเวลา
แหล่งข่าวในพื้นที่ของฝ่ายนั้นรายงานมาว่า...
‘ชัช ชำนาญพาณิชย์ ไม่ใช่นายหัวสวนยาง หรือนายเหมืองเจ้าของเกาะ’ อย่างลุคดิบเถื่อนที่เห็น
‘เขาเป็นเจ้าพ่อท่าเรือ ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก มีเรือเป็นของตัวเองเป็นกองทัพ’ นอกจากนั้นยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากมายหลายสิ่งในจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่ภาคใต้
งานอดิเรกไม่ใช่ออกรอบตีกอล์ฟ หรือเดินสายตัดริบบิ้นเปิดงาน เหมือนแม่เธอ แต่...
‘เขาสะสมที่ดิน ที่ดินผืนไหนสวย ผืนไหนดี เขากว้านซื้อหมดทั้งนอกทั้งในประเทศ จะเรียกว่าเสพติดคลั่งไคล้ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าพระเครื่องเลยละแก’ เพื่อนสาวรุ่นพี่บอกกลั้วหัวเราะ
เสพติดคลั่งไคล้...ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม เขาถึงทุ่มเงินมหาศาลซื้อที่ดินกับบ้านของคุณหญิงลำหยวก แถมยังยอมแต่งงานกับเธอ ส่วนชีวิตส่วนตัว...
‘โสดแต่คงไม่สดเท่าไหร่มาหลายปีดีดักแล้ว เป็นพ่อม่ายลูกติด เมียตายหรือหย่าข้อมูลไม่เปิดเผย เขาแทบจะไม่บอกอะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว’
เท่าที่ฟังมา เธอยังไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ยังไง
บางทีอาจจะต้องลงพื้นที่ เยือนถิ่นกระทิงเถื่อนดูสักที แผนซีที่พวกเธอร่างเอาไว้จะได้เสร็จสมบูรณ์ ทันทีที่น้ำหวานหยิบของชิ้นสุดท้ายใส่กระเป๋าเดินทางก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาอย่างกับนัดแนะเวลากันไว้
“คุณน้ำหวานขา คุณชัชเธอมาถึงแล้วค่ะ” แจ๋วเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องนอน
น้ำหวานกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่เคยอยู่แต่เล็กแต่น้อย ใจก็หายแวบ ทั้งที่ตัวเองกำลังจะก้าวออกไปเพื่อขยับเข้าใกล้อิสรภาพที่ใฝ่หาแท้ๆ
“ไม่เอาน่ะ” เธอรูดซิปกระเป๋า
ก้าวออกไปเผชิญหน้ากับความจริง...
พ่อเลี้ยงหนุ่มนั่งหน้าระรื่นอยู่ในห้องเขียว ส่วนคุณหญิงลำหยวกนั่งคอแข็ง สองคนนั้นไม่ได้คุยกันตอนที่เธอก้าวเข้าไป
“พร้อมรึยังน้ำหวาน” ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน
เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอวี กับยีนสีเข้มที่แนบไปกับช่วงขาเพรียวยาว เธอเพิ่งสังเกตเห็น ชัชเป็นคนตัวใหญ่แต่ไม่ได้เทอะทะ
ภายในเสื้อที่สวมใส่ เห็นรูปรอยของกล้ามเนื้อแข็งแรง ท่าทางสบายๆ ของเขาบ่งบอกความมั่นใจอยู่ในที ต้องอาศัยตบะบารมีกี่พันปีถึงจะดูข่มขวัญผู้คนแบบนี้ได้ โดยแค่ยืนหายใจเข้าออก...
“จะรีบร้อนไปไหนกันฮะพ่อคู้ณ” คุณหญิงลำหยวกกระแนะกระแหน “ไหนๆ ลูกสาวฉันก็ตบแต่งกับเธอไปแล้ว คงไม่หลบลี้หนีหายไปไหน”
ประโยคเรื่อยเปื่อยของคนเป็นแม่ ทำเอาคนสันหลังหวะเสียวแวบ มุมปากของชัชกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ
“เราต้องขับรถไปไกล ผมกลัวว่าถ้าสายแล้วจะมืดค่ำ อีกอย่าง...” ดวงตาสีสนิมพริบพราว ลดทอนความเคร่งขรึมบนใบหน้าลง
“ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งสามวัน ผมคิดถึงเมีย” เขาเดินเข้ามาคว้ามือเธอไปกุมไว้หน้าตาเฉย
แม่เธอส่งค้อนวงใหญ่ให้ลูกเขย ก่อนจะสะบัดหน้าหนี
น้ำหวานเหลือบตามองสามีอย่างไม่ไว้ใจ
วันนี้เธอต้องร่วมทางไปกับเขาจริงๆ หรือ ชัชยืนจับมือเธออยู่อย่างนั้น ทั้งสองจ้องตากันจริงจัง...ราวกับว่าใครหลบตาก่อคนนั้นคือผู้ปราชัย ทว่าการแข่งขันก็ต้องยุติลง เมื่อได้ยินเสียงกระฟัดกระเฟียดของคนสูงวัยที่สุด
“ไหนว่ารีบนักไม่ใช่เรอะ ยืนจ้องตากันเป็นปลากัดอยู่ได้ จะเจ็ดโมงเช้าอยู่แล้ว”
สิ้นคำคุณหญิงลำหยวกก็สะบัดพัด เดินปึงปังออกจากห้องเขียว น้ำหวานแยกเขี้ยวให้คนตัวใหญ่กว่า
“ปล่อยมือฉันสิคุณ” ยังอีก...เธอแกะมือเขาออก แล้วรีบเดินลงไปข้างล่าง
สัมภาระข้าวของถูกลำเลียงขึ้นไปยังแลนด์โรเวอร์ที่จอดรออยู่ที่ลานหน้าบ้านเรียบร้อย พอจะออกเดินทางจริงๆ คุณหญิงลำหยวกก็ทำท่าจะดรามาขึ้นมา ส่วนคุณสายน้ำตาคลอเบ้า
มือขาวอวบอูมของคนเป็นแม่จับมือเธอไว้แน่น “หนูแน่ใจหรือที่จะไปกับเขา” แม่เธอพยักพเยิดไปยังชัช ไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะได้ยินรึเปล่า
“ที่นั่นจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ให้แจ๋วมันไปด้วยไม่ดีกว่าเหรอ”
“ให้แจ๋วอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงแม่กับคุณสายดีกว่าค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ” เธอยิ้ม บอกแม่อย่างมั่นใจ เธอไม่ต้องการให้คุณหญิงลำหยวกไม่สบายใจมากกว่าที่เป็น แม้สิ่งที่พูดจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม
“น้ำหวานเชื่อว่าคุณชัชจะดูแลหนูเป็นอย่างดีค่ะ แล้วอีกอย่างหนูก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
“จะยังไงในสายตาของแม่ หนูก็เป็นเด็กวันยังค่ำนั่นแหละน่ะ”
“ใช่ค่ะ...คุณหนูของสาย สายเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหะ...หอย...” คุณสายปล่อยโฮออกมา หันไปซบไหล่แจ๋วที่ถือยาดมรออยู่ด้านหลัง
“ภูเก็ตปากช่อง ไม่ได้ไกลกันเท่าไรเลยนะคะ ขับรถปรู๊ดเดียวก็ถึงแล้ว หนูจะกลับมาเยี่ยมคุณแม่บ่อยๆ”
ตามโรดแมปสู่อิสรภาพของเธอ ใช่ว่าเธอจะไปแล้วไปลับเสียเมื่อไร ยังไงก็ต้องแวะเวียนกลับมาดูแลสารทุกข์สุกดิบของคนเป็นแม่แน่นอน
เพียงแต่ต่อไปนี้ เธอจะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง
“อีกอย่างถ้าคิดถึงกัน โทร. มาหา หรือเฟซไทม์มาก็ได้”
คุณหญิงลำหยวกแตะผ้าเช็ดหน้าลงที่หัวตา สูดน้ำมูกฟุดฟิด น้ำหวานกอดคนเป็นแม่และคุณสายที่ร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งว่าเธอกำลังจะลงแดนประหาร ไม่ใช่เดินทางล่องใต้ไปกับสามี
“หนูไปก่อนนะคะคุณหญิงแม่ คุณสาย แจ๋วฝากดูแม่ของน้ำหวานด้วยนะ”
ร่างแบบบางผละออกจากอ้อมกอดของคนในครอบครัว แล้วก้าวขึ้นรถที่นั่งตอนหลัง ทั้งที่เธอควรจะเบิกบานยินดี แต่หัวใจมันหน่วงหนักยังไงชอบกล ลำคอมันตีบตันเหมือนมีก้อนแข็งๆ ขึ้นมาจุกอยู่ข้างใน
ขอบตาร้อนผ่าวๆ
เธอหันหน้าหนีจากแม่ คุณสาย และเด็กรับใช้ หันหน้าหนีจากครอบครัวเดียวที่ตัวเองมี...สู่สงครามเพื่ออิสรภาพครั้งใหม่
“พร้อมรึยังคุณหนูคนสวย”
น้ำหวานหันขวับกลับไปมองคนที่ก้าวเข้ามานั่งในรถ สลัดน้ำตาที่กำลังจะไหลทิ้งไป อย่าให้คู่ต่อสู้เห็นด้านที่ ‘แพ้’ ในตัวเรา
“ฉันพร้อมตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วค่ะ”
อ้าว...ทำไมเขาไปนั่งที่คนขับ
“แล้วอำนวยล่ะคะ” ชัชกวาดตามองไปรอบๆ หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม รอยยิ้มชั่วร้ายคลี่แย้มที่มุมปาก
“มีแค่เราสองคน”
เป๊ง...ยกที่หนึ่งเริ่ม!
แม่คุณหนูโลกโสภา เมียใหม่แกะกล่องของเขานิ่งงัน ดวงตาคมหวานหยาดเยิ้มจ้องหน้าเขาตาปริบๆ ชัชส่งยิ้มเรื่อยเฉื่อยให้ ก่อนที่จะเปรยออกมา...
“เธอคงไม่ใจร้ายให้ฉันนั่งเหงาเฝ้าพวงมาลัยคนเดียวหรอกใช่มั้ย”
น้ำหวานเม้มปากเข้าหากัน ส่งค้อนวงเล็กๆ ให้เขา ก่อนจะเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นมานั่งข้างคนขับ พอมือคว้าสายเข็มขัดคาดตัวเรียบร้อยก็ออกปากถาม
“ทำไมอำนวยไม่มาด้วยกันล่ะคะ”
“เขาจะขึ้นเครื่องบินล่วงหน้าไปก่อน” ชัชสตาร์ตรถ เข้าเกียร์ หมุนพวงมาลัย พารถแล่นออกไปจากลานหน้าบ้านเรือนไทย ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคนฟังกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ถ้าอย่างนั้น เราจะเสียเวลาตั้งหลายชั่วโมงขับรถไปทำไม” แม้สุ้มเสียงจะยังอ่อนหวานเพราะพริ้ง ทว่าเจือปนด้วยกังวานขุ่นมัวจางๆ “สิ้นเปลืองเวลาและลำบากลำบนร่างกายของคุณเปล่าๆ”
จากหางตา แม่เมียหน้าใสของเขามองผ่านปลายจมูกเชิดๆ มา สีหน้าท่าทาง หึ...น่าเอ็นดูเสียนี่กระไร
การขับรถนั้นใช้เวลายาวนานหลายชั่วโมงแน่นอน แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ...
เป็นความเต็มใจที่จะลำบากลำบนร่างกายของเขาเอง
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรอกนะคุณหนู” เขาพารถแล่นออกสู่ถนนใหญ่ เอื้อมมือออกไปเซตหน้าจอจีพีเอสที่ติดอยู่ข้างๆ หน้าปัดรถ
“ไม่ดีหรือที่เราจะได้ใช้เวลาสองต่อสอง ทำความรู้จักมักคุ้นซึ่งกันและกัน”
น้ำหวานเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ…
ชัชหัวเราะในลำคอ...
อาศัยช่วงเวลาที่รถติดไฟแดงลอบสำรวจตรวจตรา วันนี้แม่คุณหนูโลกโสภายังคงคอนเซปต์หวานใส สวมใส่เดรสลายดอกไม้บานพลิ้ว สีส้มแซมเขียวขับผิวพรรณให้สดใส ผมสีน้ำตาลเข้มรวบขึ้นเป็นหางม้า อวดลำคอระหงขาวผ่องเป็นยองใย ผิวเนื้ออ่อนๆ นวลเนียนเหมือนเนื้อครีม...
“เราสองคนไม่จำเป็นต้องรู้จักมักคุ้นกันมากขนาดนั้นหรอกมั้งคะ” คนพูดลอยหน้าลอยตา ไม่เหลือท่าทางสงบเสงี่ยมเอียงอายเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น...
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น เราสองคนควรจะรู้จักกันให้มากขึ้นถึงจะถูก ในเมื่อเธอต้องใช้ชีวิตในฐานะเมียของฉันอีกตั้งหกเดือน”
180 วัน...4,320 ชั่วโมง นับว่าเป็นเวลาแสนยาวนานที่จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยากจะใช้เวลาจากปากช่องไปถึงภูเก็ตซักซ้อมความเป็นผัวเมียกับคนร่วมทางสักหน่อย
เขารู้ว่าเวลาอันน้อยนิดคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกอย่าง ‘สมบูรณ์แบบ’
แต่เขาเชื่อในสัญชาตญาณนักลงทุน และความสามารถทางการแสดงของลูกสาวคุณหญิงลำหยวก ว่าจะพอตบตาผู้คนที่มองมาอย่างผิวเผินได้
ส่วนเรื่องความสมบูรณ์แบบนั้น พวกเขายังมีเวลาที่จะพัฒนา
สามวันก่อนเขาจำต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อสะสางปัญหาเร่งด่วนที่ค้างคาอยู่แล้วถึงกลับมารับภรรยา หลายชั่วโมงต่อจากนี้ จึงควรที่จะรีบเร่งชดเชยเวลาที่สูญเสีย
‘ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งสามวัน ผมคิดถึงเมีย...’
น่าขัน...ที่เขาไม่ได้โกหกเมื่อพูดคำนั้นไป เขา คิด ถึง เมีย จริงๆ
คิด ระแวงอยู่ทุกขณะจิตว่าเธอจะกำลังคิดหาหนทางหลีกหนีหรือไม่ หรือกำลังวางแผนร้ายอะไรเอาไว้ระหว่างที่เขาไม่อยู่...
‘ทุกอย่างปกติเรียบร้อยดีนะครับนาย’ อำนวยรายงานเขาทันทีที่เขาก้าวขาลงจากรถ
แต่ฝ่ายนั้นอาจจะรู้จักคุณนายคนใหม่น้อยไป…
ภายในห้องโดยสารเงียบเชียบ คนที่นั่งข้างๆ กันยังทำคอแข็ง มองออกไปนอกหน้าต่าง กลัวเหลือเกินว่าเมียตัวเองจะคอเคล็ดคอแพลง
“เธอชอบฟังเพลงแนวไหน” ชัชเอื้อมมือออกไปเปิดวิทยุ กดหาคลื่นเพลงไปเรื่อยๆ
“ฮิปฮอป ป็อป อาร์แอนด์บี ลูกทุ่ง เพื่อชีวิต?”
“ฉันฟังอะไรก็ได้”
อา...ในที่สุดก็เจอสิ่งที่น่าสนใจ
“งั้นฟังเพลงไทยเดิมแล้วกัน ปี่พาทย์เครื่องสาย น่าจะถูกใจกุลสตรีไทยน้ำใจงามอย่างเธอ”
เธอหันขวับมามองเขา นัยน์ตาคมหวานมองเห็นแสงเขียวๆ เรื่อเรือง
“หน้าคุณก็ไม่เห็นเหมือนจอบเหมือนเสียม แต่ทำไมถึงได้ช่างค่อนแคะ ช่างแซะเซาะ ช่างถากช่างถางจังเลยคะคุณพ่อเลี้ยง” คนพูดสะบัดหางม้าไปข้างหลัง ปรายตามองเขาผ่านแพขนตางอนยาว...
“คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ฉันไม่ใช่กุลสตรีน้ำใจงามอะไรทั้งนั้น”
“ไม่ชอบฟังเพลงไทยเดิมสินะ” เขาเลิกคิ้วถาม
ปึก…
นิ้วเรียวงามกระแทกปุ่มปิดบนหน้าจอทัชสกรีน สิ้นเสียงปี่พาทย์วงใหญ่ห้องโดยสารก็เงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์
“ตอนนี้ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นค่ะ”
ชัชหันกลับไปมองถนนลาดยางข้างหน้า มุมปากขยับขึ้นเล็กน้อย
เออหนอ...เขาเพิ่งรู้ คำถากถางพอเป็นเสียงหวานๆ ออกมาจากปากสวยๆ นี่มันก็ฟังเพลินดีเหมือนกัน ในที่สุดเขาก็มี...เพื่อนคุย
“เอาละๆ ฉันขอโทษด้วยที่เข้าใจรสนิยมของเธอผิดไป” ชัชยกมือข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ เพิ่มความขึงขังจริงจังในน้ำเสียงเมื่อว่าต่อ
“เราควรจะเริ่มพูดจากันดีๆ อย่างที่หุ้นส่วนพูดคุยกันดีกว่ามั้ย ฉันอนุญาตให้เธอถามอะไรก็ได้เกี่ยวกับตัวฉัน” เขาเสนออย่างใจกว้าง…
เท้าแตะคันเร่ง นำรถพุ่งไปข้างหน้าเมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นเขียว
“อะไรก็ได้เลยเหรอคะ” สุ้มเสียงอีกฝ่ายบอกความสนอกสนใจ ใบหน้านวลๆ เหลียวมองมา
“ใช่สิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ” ว่าแล้วคุณหนูแสนงามก็สลัดรองเท้าแตะส้นแก้วที่สวมออก รวบกระโปรงขึ้นแล้วยกขาขึ้นนั่งพับเพียบ ร่างแบบบางก้มลง คุ้ยหาของในกระเป๋าสะพายใบโตที่วางอยู่บนพื้น หยิบสมุดกับปากกาออกมาวางไว้บนตัก...
“ต้องจริงจังขนาดนั้นเลย” เขาเหล่ตามอง...
“แล้วคุณคิดว่าเรากำลังเล่นขายของกันอยู่เหรอคะ”
ไม่เบาๆ ปากคอเราะรายไม่เบา ถ้าเขาเป็นจอบเสียม เธอก็คงเป็นขวานเป็นสิ่ว
หึ...จอบเสียม สิ่วขวาน ก็เข้ากันดี
น้ำหวานพลิกหน้าว่างขึ้นมา ปากกาในมือพร้อม
“แล้วเธอต้องการรู้อะไรเป็นอย่างแรก”
“ลูกๆ ของคุณ”
ชัชเหลือบตามองคนที่เตรียมสัมภาษณ์เขา ส่งเสียงเจื้อยแจ้วจำนรรจา
“ในเมื่อฉันต้องเป็นคนอบรมมารยาทให้พวกเขา อย่างน้อยๆ ก็ต้องควรรู้จักพวกเขาก่อนจริงไหมคะ ไหนบอกฉันมาสิคะว่า พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง” ดวงตาคมหวานพริบพราวด้วยสนใจใคร่รู้
คนถูกถามเคาะนิ้วกับพวงมาลัย
เพราะไม่มีใครเคยถาม คำตอบนี้เลยต้องใช้เวลาคิด...
ความคิดเห็น |
---|