6

สโนว์หวานกับลูกแกะน้อย


ชัชเคาะนิ้วเรียวยาวลงบนพวงมาลัย นิ่งงันไปหลายอึดใจจนคนรอคิดว่าเขาจะทำมึนไม่ยอมตอบคำถาม ทว่า…

“พวกเขาน่ารัก” เสียงห้าวๆ ดังชัดถ้อยชัดคำ

น่ารัก? ในสายตาของพ่อแม่ ลูกคนไหนก็น่ารักทั้งนั้นหรือไม่จริง น้ำหวานคลางแคลงใจ

“แล้ว?” เธอจ้องมองเขา กดดัน คาดคั้น ต้องการคำอธิบายนิยามของคำว่าน่ารัก

พ่อเลี้ยงคนเถื่อนยกมือข้างหนึ่งลูบท้ายทอยแล้วว่าต่อ...

“พวกเขาอาจจะไม่ได้น่าเอ็นดูสำหรับทุกคน” คำตอบของเขาตรงไปตรงมาพอสมควร แต่เจ้าตัวก็ไม่วายเสริมท้าย “อาจจะมีดื้อบ้างซนบ้างตามประสาเด็กวัยกำลังกินกำลังเล่น แต่ก็ไม่ได้เกเรร้ายแรงอะไร”

ขอโทษเถอะนะ ร้ายแรงนี่วัดจากบรรทัดฐานไหนมิทราบ

แล้วจำนวนคนที่เห็นว่าลูกๆ ของเขาน่ารักกับจำนวนที่เห็นตรงกันข้าม ฝั่งไหนมากกว่ากัน

ช่างมันเหอะ...นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะตัดสินได้จากข้อมูลจากปากของคนเป็นพ่อที่ยังไงๆ ก็มีความลำเอียง

“ตอนนี้ลูกๆ ฉันเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสอง ไม่กี่เดือนจะขึ้น ป.หนึ่ง” ชัชให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขามีลูกชายหญิงอย่างละคน น้ำหวานจดข้อมูลลงไปแล้วคืบคลานไปยังคำถามที่สอง

“แล้วอีกคนล่ะคะ”

“ก็กำลังจะขึ้น ป.หนึ่ง เหมือนกัน”

“อายุห่างกันไม่มาก?” เธอเลิกคิ้วถาม

“ก็ทำนองนั้น” คำตอบเจือเสียงหัวเราะ อาจจะเกิดหัวปีท้ายปี...

“อายุน่าจะหกเจ็ดขวบ” น้ำหวานสรุปเอาเอง คนเป็นพ่อไม่ได้โต้แย้งอะไร

“ลูกคนแรกของคุณชื่อ?”

“ละมุน” อ้อ...คนนี้เป็นผู้หญิงสินะ

“คนที่สอง”

“ละไม” คนนี้น่าจะเป็นผู้ชาย…ถึงชื่อจะละม้ายผู้หญิงหน่อยๆ

“นิสัยใจคอ?”

“ลูกคนแรกของฉันออกจะห้าวๆ หน่อย ไม่ค่อยเล่นอะไรอย่างที่เด็กผู้หญิงชอบทำ” จากเสี้ยวหน้าด้านข้าง เธอเห็นมุมปากของเขาบิดโค้งขึ้น น้ำเสียงของชัชอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อว่าต่อ

“ส่วนละไมก็จะเรียบร้อยกว่า”

ทั้งที่เป็นเด็กผู้ชายอย่างนั้นหรือ...

น้ำหวานถามเกี่ยวกับอาหารและขนมที่ลูกๆ ของเขาชอบกิน หนังสือ การ์ตูน หรือเกมที่ชอบเล่น รวมถึง

เธอถามคำ เขาตอบกลับมาแค่สองสามคำ และบางคำตอบก็กว้างขวางคลุมไปทั้งเครือ เขาไม่ใช่คนช่างเปิดเผยเรื่องส่วนตัวนักเธอพอรู้ แม้เมื่อกี้จะทำใจกว้าง ทว่าเขามีขอบเขตของเขา

พอเธอถามละเอียดเข้า...

“ละเมียดน่าจะให้ข้อมูลพวกนี้กับเธอได้ดีกว่าที่ฉันให้” ในที่สุดชัชก็พูดออกมา

แล้วละเมียดเป็นใคร ยังไม่ทันจะอ้าปาก ก็เหมือนว่าอีกฝ่ายอ่านใจได้

“แกเป็นคนช่วยเลี้ยงเด็กๆ กันมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้ก็ยังดูแลกันอยู่”

เขาบอกกับเธอว่า แม้เธอจะไม่คุ้นเคยกับการมีลูกก็ไม่ต้องกังวลกับการเลี้ยงดู เรื่องกินอยู่ หลับนอน ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องคำนึง

“อาบน้ำ ป้อนข้าว ฉันมีคนคอยทำให้หมดแล้ว อย่างเดียวที่เธอต้องทำคืออบรมมารยาทสังคมให้ลูกๆ ของฉัน”

แต่ถึงอย่างนั้น น้ำหวานก็อดข้องใจไม่ได้

“แต่อย่างน้อยคุณเป็นพ่อ ก็น่าจะรู้ว่าวันวันหนึ่งลูกของตัวเองทำอะไรบ้าง”

เธอรอให้เขาแก้ตัว ทว่า...

“ฉันเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน และไม่ค่อยมีเวลาดูแลพวกเขาเท่าที่ควร” ชัชยอมรับตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม

คดีพลิกสิงานนี้ กลายเป็นเธอที่รู้สึกผิดแทนที่โพล่งถามออกไป จริงๆ มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอที่จะวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นพ่อของเขา

“ฉันขอโทษนะคะ”

ชัชยักไหล่ “เธอจะขอโทษทำไม ในเมื่อฉันอนุญาตให้เธอถาม”

เขาไม่ถือสาหาความเหมือนท่าทางที่แสดงออกหรือเปล่าก็สุดรู้ เพราะเธอมองไม่เห็นแววตาที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์สีชาของแว่นกันแดดที่เขาสวม

“มันเป็นข้อบกพร่องที่ฉันควรจะแก้ไขมานานแล้ว”

“หลังแยกทางจากภรรยา คุณก็เป็นซิงเกิลแดดดี้มาโดยตลอด?” น้ำหวานเท้าศอกลงกับขอบหน้าต่างรถ ใช้นิ้วมือม้วนผมตัวเองเล่น

“ใช่”

“ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยคิดหาใครสักคนมาช่วยดูแลลูกๆ เลยเหรอ ฉันไม่ได้หมายถึงแค่ป้อนข้าวอาบน้ำ หรือแค่เล่นเป็นเพื่อน ใครสักคนที่จะควบคุมดูแลความเรียบร้อยในบ้าน ดูแลเรื่องส่วนตัวอื่นๆ ของคุณ” 

ถึงชัชจะมีคุณป้าเอียดคนนั้นช่วยก็เถอะ

ตั้งแต่เล็กจนโตมา ตอนที่พ่อยังอยู่ แม่ของเธอต้องคอยบริหารจัดการกิจกรรมภายในบ้าน ขนาดพวกเธอไม่ใช่เซเลบเมืองไทย ก็ยังต้องมีงานสังคมมากมายที่จะเข้าร่วม

แล้วนักธุรกิจหมื่นล้านอย่างเขา...

“เพราะฉันไม่มีเวลา และยังไม่เคยเจอคนที่ถูกใจ” คนพูดเบือนหน้ามาทางเธอเล็กน้อย

คำว่าคนที่ถูกใจ...ทำให้คนฟังหายใจไม่ทั่วท้องยังไงชอบกล น้ำหวานขยับตัว ทำทีก้มหน้าจัดชายกระโปรงให้เรียบร้อยทั้งที่ไม่จำเป็น

ทำไมต้องรู้สึกประหม่าด้วยนะ

ถ้าไม่ใช่เพราะที่ดินล้ำค่าของแม่เธอ เขาก็คงไม่คว้าเอาเธอมาเป็นเมียหรอก อีกอย่างเธอไม่คิดจะเข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของเขาแม้แต่น้อย

บางทีที่เขาอยู่เป็นโสดมานานนม อาจเพราะว่าชีวิตรักก่อนหน้านี้จบไม่สวยก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นมารยาทที่ไม่ควรซักไซ้กัน

เธอยังมีโอกาสที่จะเสาะหาข้อมูลนี้ได้โดยที่ไม่ต้องถามจากปากเขา น้ำหวานครุ่นคิด จับตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างเงียบๆ แทบหันหน้าหนีไม่ทันเมื่อเขาหันมองมา

“เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้างสิ”

ชัชเอ่ยออกมาง่ายๆ ท่าทางของเขาดูสบายๆ ถึงอย่างนั้นน้ำหวานก็เริ่มระวังระไว มารยาเขามีกี่เล่มเกวียนเธอไม่อาจรู้

“ชีวิตฉันทั้งอดีตและปัจจุบันไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่หรอกค่ะ” 

“งั้นพูดเรื่องในอนาคตของเธอ อย่างเช่นชีวิตหลังหกเดือนข้างหน้า”

นั่นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่ง มันเรื่องอะไรกันที่เธอต้องบอกเล่า...

“ทำไมคุณต้องสนใจใคร่รู้เรื่องชีวิตในอนาคตของฉันนักคะ”

“เพราะฉันกำลังรู้สึกเสียเปรียบที่มีแต่ฉันที่บอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง โดยที่ไม่ได้รับการแลกเปลี่ยนอะไรจากเธอ”

คนอะไร ก็เมื่อกี้เขาเองไม่ใช่หรือที่บอกให้เธอถามอะไรก็ได้

“เรื่องราวในอนาคตของฉันไม่มีอะไรน่าสนใจ” น้ำหวานย้ำคำเดิม

“บอกฉันเกี่ยวกับคนที่รอเธออยู่สิ”

น้ำหวานเลิกคิ้ว...กำลังจะโพล่งออกมาว่าเธอไม่มีใครรออยู่ทั้งนั้น มีแต่คำว่าอิสรภาพ แต่แล้วแผนการบางอย่างก็แวบผ่านเข้ามาในใจ ถึงได้ยั้งปากไว้...

“เขาไม่ใช่หนุ่มตระกูลสูง ร่ำรวยทรัพย์ศฤงคารที่คุณหญิงลำหยวกจะพอใจหรือไร คุณหนูถึงได้เลือกที่จะแต่งงานกับฉัน” เรื่องยั่วเย้าถากถางกัน ขอให้บอก

“ถึงเขาไม่ได้มาจากตระกูลสูงส่ง ร่ำรวยเงินทอง แต่เขาก็เป็นคนนิสัยดี สุภาพเรียบร้อย คอยดูแลห่วงใยฉันมาตลอด และที่สำคัญเขาเป็นคนดี” ใส่สีตีไข่เข้าไปเล็กน้อยเพื่อความสมจริง...

“คนดีของเธอคงใจกว้างน่าดู ถึงยอมให้เธออยู่กินกับผู้ชายคนอื่นอีกตั้งครึ่งปี” เขาพูดเรียบๆ จะเสียดสีก็ไม่ใช่ จะพูดขำๆ ก็ไม่เชิง

“โบราณเขาว่าใจคนนั้นเปลี่ยนง่ายยิ่งกว่าลมเปลี่ยนทิศ ไม่กลัวหรือว่าหกเดือนต่อจากนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง”

นอกจากจะเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย เขายังเป็นผู้ชายช่างเสี้ยมอีกด้วย น่ากลัวจริงๆ น้ำหวานซ่อนยิ้มไว้ในหน้า ในเมื่อเขาเข้าใจไปอย่างงี้ก็นับว่าเข้าทางเธอเห็นๆ

“ฉันมั่นใจว่าต่อให้อีกกี่สิบปี ความรู้สึกที่เขามีให้ฉันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแน่นอนค่ะคุณพ่อเลี้ยง”     

“ฉันหมายถึงความรู้สึกของเธอต่างหาก” เขาว่าต่อเนิบๆ

“หมายความว่ายังไงคะ”

“เธอไม่เคยได้ยินหรือคนโบราณเขาว่า ชายหญิงแต่งงานอยู่กินกันฉันเมียผัว ตอนแรกไม่มีจิตรักใคร่ผูกพัน แต่พออยู่กันไปนานวันเข้า ก็เกิดความพิศวาสกันขึ้นมาเอง”

“ฉันไม่มีทางหวั่นไหวหรอกค่ะ” เธอลอยหน้าลอยตาบอกออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ทำไมถึงมั่นใจนักคุณหนูคนสวย” เขาหัวเราะในลำคอ

“ฉันไม่มีวันเกิดจิตพิศวาสคุณ เพราะ ฉัน-ไม่-ชอบ-ผู้-ชาย...” เธอเน้นห้าพยางค์หลังชัดๆ

ชัชเบือนหน้ามามอง คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “หมายความว่ายังไง”

“คนที่รอฉันอยู่เป็นผู้หญิง” น้ำหวานหัวเราะออกมาเบาๆ เธอไม่ได้โกหกเขาสักนิด “คุณคงเข้าใจฉันนะคะ ถ้าคุณหญิงแม่ของฉันรู้ ท่านคงหัวใจวายตาย”

คนฟังคล้ายสตันต์ไปชั่วอึดใจ แม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาที ทว่ามันถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของเธอ

“เราค่อยมาคุยกันต่อแล้วกัน ฉันของีบสักหน่อย เมื่อคืนมัวแต่จัดของเลยไม่ค่อยได้นอน” น้ำหวานแสร้งปิดปากหาว “ถ้าคุณพ่อเลี้ยงเหงาๆ เปิดเพลงมโหรีปี่พาทย์ฟังไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะคะ” ร่างอรชรก้มลงดึงหมอนรูปสตรอว์เบอร์รีสีชมพูออกจากกระเป๋าขึ้นมากอด พริ้มตาหลับ กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

หึๆ ยกนี้เป็นของเธอ...

 

บึ้ม!

“ระเบิด!” น้ำหวานสะดุ้งโหยง ลืมตาโพลง ต้องใช้เวลาเกือบสามสิบวินาทีถึงตระหนักได้ว่า เสียงกัมปนาทเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงระเบิดจากหนังสงครามที่เธอดูก่อนนอน…

แสงฟ้าแลบแปลบปลาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าคำรามจากเบื้องบน ก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะกลายเป็นความมืดมน เจ้าของร่างแบบบางเหลียวมองไปรอบๆ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย

“ฉันอยู่ที่ไหน” เธอยังอยู่ในรถแน่ๆ แต่ไม่เห็นเพื่อนร่วมทาง

สองมือเปะปะควานหาโทรศัพท์มือถือไปทั่วเบาะนั่ง เกิดอะไรขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่เธอหลับไป หลังจากการสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องส่วนตัวกับนายพ่อเลี้ยงจอมเถื่อนจบลง ทั้งสองก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกัน เธอหันหน้าเข้าหาหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ฟังเพลง ดูหนังวนไป ส่วนเขา คุยโทรศัพท์กับใครก็ไม่รู้ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเขาก็กำลังยุ่ง

ทว่าตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่ร่วมทางกันมา ขนอ่อนๆ บนหลังคอเธอลุกชันเป็นพักๆ รู้สึกถึงสายตามาดร้ายของคนขับที่จับจ้องมองมาเป็นครั้งคราว

แม้มองไม่เห็นแววตาใต้เลนส์แว่นของชัช แต่ของแบบนี้ คนที่มีสัญชาตญาณแรงกล้าอย่างเธอสัมผัสได้ ครั้งสุดท้ายที่เธอพูดกับเขาเป็นเรื่องเป็นราวคือ ตอนที่ทั้งสองแวะปั๊มกินมื้อเย็น

‘เธอจะเอาอะไร’

‘มันไก่ เนื้อหนัง เอาเลือดเยอะๆ ค่ะ’

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอได้สนทนากับสามี มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหลับใหล จินตนาการในทางร้ายผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดในหน้าฝน คุณพระ...หรือว่าชัชจะเอาเธอมาทิ้งไว้กลางป่า เขาอาจจะใส่ยานอนหลับไว้ในต้มฟักที่เธอซดจนหมดชาม

หือ...ไม่น่าใช่

เขาจะเอารถทิ้งไว้ด้วยทำไม ราคาไม่ใช่บาทสองบาท

หรือว่า….ระหว่างที่เธอนอนหลับไม่รู้เรื่อง มีโจรดักปล้นรถแล้วเอาตัวพ่อเลี้ยงหนุ่มเศรษฐีหมื่นล้านไป ทิ้งนางน้ำหวานคนนี้เอาไว้ข้างไหล่ทางเปลี่ยว เพราะไร้ประโยชน์

“มือถือฉันอยู่ไหนเนี่ย” น้ำหวานก้มลงควานหาของที่พื้น พลันก็ได้ยินเสียง

ปั๊ก ปั๊ก ใครบางคนกำลังจะทุบกระจกรถ

“โอ๊ย” อารามตกใจ หัวถึงกระแทกเข้ากับเก๊ะหน้ารถ คนคนนั้นพยายามเปิดประตู คนคนนั้นที่เธอมองไม่เห็นหน้าเห็นตาเป็นเงาตะคุ่ม

โจร...โจรแน่แล้ว

พริบตาต่อมาประตูก็เด้งเปิดออก พร้อมกับแสงไฟเจิดจ้าที่สาดใส่ตา

“อย่าเข้ามานะ” ร่างแบบบางกรีดร้อง ตะกายจากเบาะนั่งตัวเองไปยังฝั่งที่นั่งคนขับ

“อย่าเข้ามานะไอ้บ้า”

ไอ้โจรพูดอะไรสักอย่างเธอฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นตกใจ น้ำหวานปาหมอนสตรอว์เบอร์รีออกไปก่อน หูพร่าตาลายด้วยแสงไฟที่สาดเข้ามา และอะดรีนาลินที่ฉีดพล่านในกระแสเลือด

“เธอทำอะไรของเธอ” เสียงห้าวๆ แทงทะลุโสตประสาทของเธอเข้ามา ร่างแบบบางชะงัก...

“คุณเองเหรอ”

หน้ายังมองไม่เห็น แต่เสียงนั่น เธอเริ่มคุ้น..

“ใช่สิ” เขาตบกระบอกไฟฉายในมือลง ชะโงกหน้าเข้ามา

“เธอจำสามีตัวเองไม่ได้เหรอ”

น้ำหวานสะบัดผมไปข้างหลัง ทั้งโมโหทั้งอับอาย ท่ามกลางแสงสลัวรางในห้องโดยสาร เธอเห็นประกายขบขันในแววตาของเขา

“ก็คุณเล่นโผล่มาแบบนี้ ใครจะไม่ตกใจกันล่ะคะ”

“ฉันก็ตกใจเสียงเธอเหมือนกันคุณหนูน้ำหวาน ร้องอย่างกับจะเป็นจะ...” เสียงของอีกฝ่ายเลือนหายไปพร้อมกับที่สายตาของเขาเลื่อนต่ำลงไปตรงตำแหน่งที่ลำแสงจากไฟฉายสาดส่องลงมาตรงส่วนที่ต่ำกว่าเอวของเธอ

น้ำหวานก้มหน้ามองตามสายตาของเขา อ้าปากค้าง...กระโปรงบานพลิ้วที่สวมร่นขึ้นมากองที่เอว อวดขาอ่อน โค้งสะโพก บั้นท้าย และที่ร้ายสุด...ขอบแพนตีลายลูกไม้สีชมพูตัวน้อยที่เธอสวมใส่

ชัชผิวปาก...

“รสนิยมใช้ได้เลยนะคุณหนู แต่จะดีกว่านี้ถ้าเป็นซีทรู ” เขาบอกหน้าตาย

“เชิญคุณไปซื้อซีทรูมาใส่คนเดียวเถอะ

                “อ้อได้ เดี๋ยวฉันซื้อมาให้”    

                น้ำหวานคำรามในลำคอ สองแก้มร้อนฉ่าขึ้นมา หยิบกล่องกระดาษทิชชูปาใส่แต่ก็พลาดเป้า

“หันหน้าไปเลยนะ ยืนจ้องอยู่ได้ หน้าไม่อายเลยจริงๆ” 

กระทิงเฒ่าลามก...

พ่อเลี้ยงคนเถื่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ ร่างสูงใหญ่หันหลังกลับไปในที่สุด ทว่าก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ น้ำหวานดึงชายกระโปรงลง จัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย

นึกอยากจะควักลูกตาวับๆ นั่นออกมาเหลือเกิน

 

ชัชไม่ได้เอาเธอมาทิ้งไว้กลางป่า ถูกโจรปล้น หรือรถมีปัญหาอะไรทั้งนั้น...

“ทำไมบ้านคุณถึงอยู่กันมืดๆ แบบนี้ล่ะคะ” น้ำหวานเอ่ยปากถาม ก้าวออกมายืนข้างแลนด์โรเวอร์ หรือว่าเขากำลังดำเนินนโยบายประหยัดไฟช่วยชาติ

“ไฟดับ” พ่อเลี้ยงหนุ่มบอกง่ายๆ

ร่างสูงใหญ่ออกเดินนำ เธอกระชับกระเป๋าสะพายใบโตแน่นเข้า แล้วออกเดินตามแสงไฟฉายในมือของเขาไป

“อยู่ใกล้ๆ ฉันเอาไว้ ถ้าไม่อยากเดินสะดุดนี่นั่น พื้นมันไม่เท่ากัน”

น้ำหวานกลอกตามองเพดาน เธอไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะซุ่มซ่ามเซอะซะ ไม่รู้จักระมัดระวัง

“ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอ” พอได้ยินคำว่างู เธอก็รีบแล่นปรู๊ดเข้าไปประชิดหลังคนพูดทันทีทันใด

“แถวนี้ชุกชุมเหรอคะ” น้ำหวานมองซ้ายขวาล่อกแล่ก

“ฉันก็แค่บอกให้ระวังไว้”

เธอส่งค้อนให้แผ่นหลังกว้างของคนนำหน้า นึกถึงสายตาลามกของเขาเมื่อครู่ บางทีอาจจะมีอยู่แถวนี้ตัวหนึ่ง

ตัวใหญ่ด้วย...

สัมภาระของเธอถูกยกขึ้นไปไว้บนเรือนล่วงหน้าแล้ว เหลือแต่ตัวเธอเท่านั้นที่ต้องเดินขึ้นเนินตามไป ไม่นานชัชก็พาเธอปีนเนินขึ้นมาถึงบ้านของเขา

นอกชานมองเห็นตะเกียงตามไฟแขวนอยู่ข้างเสา บ้านหลังใหญ่เห็นเป็นเงาทะมึนท่ามกลางแสงสลัว

“ประเดี๋ยวไฟก็มาแล้วค่ะนาย” ผู้หญิงกลางคนที่ยืนอยู่ที่ตีนบันไดบอกกับสามีของเธอเมื่อทั้งสองไปถึง “ฟ้ามันผ่าหม้อแปลงเมื่อสองชั่วโมงก่อน ไฟฟ้าเขากำลังซ่อม”

“นี่ป้าละเมียด แม่บ้านของฉัน ที่เล่าให้ฟัง” พ่อเลี้ยงหนุ่มแนะนำ

“แล้วนี่เมียฉัน น้ำหวาน” เธอยกมือไหว้อย่างคนมารยาทงาม คำว่าเมียที่เขาพูดออกมาง่ายๆ ยังระคายหู กระดากอกกระดากใจอย่างไรชอบกล

แม้ว่าเธอจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อเป็นเมียของเขาจริงๆ ก็ตาม

“เรียกป้าว่าป้าเอียดเฉยๆ ก็ได้จ้ะ นายกับคุณนายกินข้าวมารึยัง ถ้ายังเดี๋ยวป้าจะให้พะยอมไปอุ่นอาหารมาให้ ป้าแกงเหลืองไว้หม้อใหญ่ เดี๋ยวเจียวไข่เข้าก็ได้กิน”

“หนูอิ่มมาแล้วค่ะป้า” น้ำหวานรีบบอก เกรงอกเกรงใจ

ดึกดื่นค่อนคืนไปแล้ว ไม่อยากลำบากให้ใครหาข้าวปลาอาหารให้กิน

“เมียฉันคงอยากพักผ่อนอาบน้ำอาบท่ามากกว่า”

“ยังงั้นเข้าบ้านกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวยุงจะกัดเอา ไสวมันขนข้าวของคุณนายขึ้นไปไว้ในห้องแล้ว” ทั้งสามก้าวเข้าไปในบ้าน   

จากแสงสว่างที่มี เธอมองเห็นอะไรไม่มากนัก 

กระเป๋าสองใบใหญ่ของเธอถูกขนมาที่ห้องนอนใหญ่ที่อยู่บนชั้นสองของบ้าน ขึ้นมาข้างบนได้ ป้าละเมียดก็ขอตัว

“ขาดเหลืออะไรก็บอกป้า หรือเด็กในบ้านเลยนะคะคุณนาย”

คลิก...ประตูปิดลง

คุณแม่บ้านทิ้งพวกเธอไว้ตามลำพัง น้ำหวานกวาดตามองไปรอบๆ เท่าที่แสงสว่างจากตะเกียงที่ป้าเอียดจุดทิ้งไว้ให้จะอำนวย

กลางห้องคือเตียงดับเบิลคิงไซซ์ขนาบข้างด้วยโคมไฟตั้งพื้น ในห้องของเจ้าของบ้านแทบจะไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลย นอกจากเตียงหลังมหึมาก็มีแค่ตู้ลิ้นชักฝั่งตรงข้ามเตียง ไม่มีทีวี โต๊ะเครื่องแป้ง หรือตู้เสื้อผ้า

น้ำหวานเหลือบตามองคนที่ยืนพิงผนัง รู้สึกถึงสายตาของชัชที่มองมาเช่นกัน

เธอเกลียดความเงียบแบบนี้จริงๆ ความเงียบที่ทำให้อึดอัด...

“ห้องนี้เอาไว้สำหรับนอนอย่างเดียวเลยสินะ”

เสียงของเธอกังวานอยู่ในอากาศ พลาดถนัด เผลอคิดดังไปหน่อย

“แล้วเธอคิดว่าเราควรใช้ห้องนี้ทำอะไรล่ะ”

ร่างแบบบางหันกลับมามองคนพูด คำถามของเขาไม่ต้องการคำตอบอยู่แล้ว

“แล้วเราจะนอนกันยังไง” มีแค่เตียงหลังเดียว

โอเคร้…เขากับเธออาจจะเคยร่วมห้องหอกันมาแล้วที่บ้านเรือนไทย แต่คืนนั้นเธอกับเขานั่งเจรจากันบนโซฟาตลอดทั้งคืน...

ใครจะไปหลับลง ถ้ามีผู้ชายแปลกหน้าอยู่ในห้องของเธอทั้งคน

ชัชวางกระบอกไฟฉายลงบนหลังตู้ลิ้นชัก ก้าวตรงเข้ามา หนึ่ง สอง สาม ร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาประชิด เท้าเธอก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว แผ่นหลังของน้ำหวานแตะกับผนังด้านหนึ่ง

พ่อเลี้ยงคนเถื่อนยันแขนกับผนังคล้ายจะขังเธอไม่ให้ขยับหนี ตอนนี้เธอไม่ต่างจากลูกแกะที่ถูกหมาป่าต้อน ไหล่กว้างของเขาบดบังแสงจากตะเกียงจนมิด ใบหน้าคล้ามเข้มโน้มลงมา

“ก็นอนแบบที่ผัวเมียทั่วไปนอน” เสียงห้าวต่ำลึกในลำคอกระซิบที่ข้างหู

ขนอ่อนๆ บนหลังคอเธอลุกซู่ขึ้นมา เธอใช้มือยันแผงอกเขาไว้ ก่อนที่่ร่างทั้งสองจะเบียดชิดกันเกินไปกว่านี้

หนีไม่ได้ก็ต้องสู้สินะ น้ำหวานเชิดคางขึ้นมอง

“แต่เราไม่ใช่สามีภรรยาทั่วๆ ไปนี่คะ นอกจากเงื่อนไขที่ตกลงกันแล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”

“แต่เราต้องทำให้คนอื่นๆ เข้าใจเป็นแบบนั้น หรือไม่ใช่ คุณหนูคนสวย” เขาหยิบปอยผมที่หล่นลงปรกหน้าผากทัดข้างใบหูให้เธอ ดวงตาสีสนิมอ่อนลง ทว่าส่องประกายในความมืด

“มันก็ใช่” นั่นเป็นสิ่งที่พวกเธอตกลงกันไว้

“แต่...”

ชัชหลุบตามองริมฝีปากที่เผยอเตรียมจะพูด

น้ำหวานชะงัก สายตาของเขาอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น เธอเม้มปากเข้าหากัน ทำไมอยู่ดีๆ คิดไม่ออกนะว่าจะพูดอะไร รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อริมฝีปากของเขาเอียงลงมาใกล้

“แต่อะไรฮึ”

ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดผิวแก้มเธอ...ชวนจักจี้ น้ำหวานเอียงแก้มหนี...ปลายจมูกโด่งๆ ปัดผ่านผิวเนื้อของเธอแผ่วเบา

“แต่ฉันต้องใช้เวลาทำใจ”

ชัชหยุดนิ่ง “ฉันให้เวลาแค่คืนนี้คุณหนู” เขาบอกเรียบๆ สีหน้าเรียบเฉย แววตาลุ่มลึกจริงจัง...

“แค่คืนเดียวเท่านั้น ฉันต้องการให้แผนของเราสมบูรณ์แบบ” เขาเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟด้านหลัง พลันแสงเหลืองนวลของโคมแก้วเหนือเพดานก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา

“ไฟมาแล้ว” ร่างสูงใหญ่ผละออกห่าง

น้ำหวานลอบถอนหายใจ มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินไปที่ประตูห้อง

“ถ้าเธออยากจะอาบน้ำ ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” เขาหันกลับมาบอก พยักพเยิดไปที่ประตูทางซ้ายมือเธอ

“ฝันดีนะคุณหนู อย่าลืมล็อกประตูด้วยเพื่อความปลอดภัย”

ปลอดภัยจากอะไร จากโจรผู้ร้ายงั้นหรือ หรือจากตัวเขา แล้วเขาจะไปนอนที่ไหน เกือบถามออกไปแล้ว แต่ยั้งใจไว้ทัน

ลับร่างพ่อเลี้ยงคนเถื่อน น้ำหวานก็พุ่งไปที่ประตู กดล็อกเร็วไว หัวใจยังเต้นไม่เป็นส่ำ ร่างอรชรนั่งลงบนที่นอน ยกมือทาบอก

“เกือบไปแล้ว”

น่ากลัวเหลือเกิน เมื่อกี้เขาไม่ได้จะฆ่าจะแกงกันสักนิด แตะถูกเนื้อนิดหนังหน่อยเท่านั้น ทำไมเธอถึงได้รู้สึก...ครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงพิกล

น้ำหวานนั่งสงบสติอารมณ์อยู่หลายนาที ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแล้วคลานขึ้นเตียง แต่จนแล้วจนรอดก็นอนไม่หลับ นอนกระสับกระส่ายไปมา ในหัวคิดสะระตะถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น

กว่าจะหลับลงได้ก็เกือบตีสี่ แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น น้ำหวานก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมสำเหนียกว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนที่นอนเพียงลำพัง!

 

ใครอะ” เสียงที่หนึ่งดังอยู่เหนือหัวของเธอ

อะไรบางอย่างมีลักษณะคล้ายพู่ปัดไปมาที่ข้างแก้มและปลายจมูก ไม้กวาด? ขนนก? ไม่แน่ใจ

ฮึ่ม...กำลังนอนอยู่ดีๆ แท้ๆ ใครกันที่บังอาจมารบกวนเวลาพักผ่อนของเธอ

“จะไปรู้เหรอ” เสียงที่สองดังตามมา

“ขอเค้าดูมั่งสิ!” เสียงที่สามเริ่มโวยวาย

“ชู่...เบาๆ หน่อยสิ” คนที่บอกให้คนอื่นเบาเสียงดังกว่าเพื่อน

ตอนนี้คนที่นอนอยู่ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของใคร หรือผู้บุกรุกมีทั้งหมดกี่คน เพราะฟังไปฟังมา เสียงแจ้วๆ นั้น คล้ายคลึงกันไปหมด

“ก็เค้ามองไม่เห็นนี่ พวกตัวเองบังหมด”

“อย่าพูดมากน่ะ เดี๋ยวเค้าก็ตื่นหรอก”

คนที่นอนอยู่บนเตียงถอนหายใจ อยากจะกลอกตามองบน ติดแต่ยังแสร้งทำเป็นหลับอยู่...

ใช่ เธอตื่นมาได้สักพักแล้ว.

ตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ ตื่นตั้งแต่เตียงหลังใหญ่สั่นยวบยาบเพราะมีน้ำหนักของสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา แต่สิ่งที่เธอทำคือ นอนนิ่งๆ ประเมินท่าทีของผู้บุกรุก

“เป็นคนรึเปล่านะ”

วินาทีต่อมาหนึ่งในนั้นก็จิ้มแขนเบาๆ เหมือนต้องพิสูจน์ให้แน่ใจ

“ตัวอุ่นๆ เป็นคนไม่ใช่ผี” อีกคนยืนยัน ฟูกที่นอนยวบยาบอีกครั้ง แม้ยังหลับตาก็สัมผัสได้ว่าเหล่าผู้บุกรุกขยับใกล้เข้ามาอย่างย่ามใจ

“โธ่...ผีที่ไหนจะโผล่ออกมากลางวันแสกๆ...”

งั้นหรือ...ได้ยินดังนั้น คนที่ไม่ใช่ผีก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน

“แบร่!”

“อร๊ายยย!!!” เหล่าผู้บุกรุกร้องเสียงหลง พากันกลิ้งลงจากเตียงมหึมาที่เธอนอนหลับพักผ่อน วิ่งปรู๊ดไปหลบอยู่หลังประตูห้องแต่งตัว

“พวกเธอเป็นใครออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันเห็นหมดแล้ว” น้ำหวานประกาศ “จะให้ฉันเดินไปหา หรือจะออกมาเจอหน้ากันดีๆ” น้ำหวานกอดอก เคาะนิ้วลงกับท่อนแขน หูแว่วเสียงกระซิบกระซาบปรึกษาหารือที่ไม่เบานักเลย

“เค้าจะกินตับเรามั้ย”

“แต่เค้าสวยนะ คนสวยใจดี”

“แน่ใจได้ไงว่าไม่ใช่ผี”

“ฉันไม่ใช่ผี” น้ำหวานเปรยดังๆ “ผีที่ไหนจะโผล่ออกมาตอนกลางวันแสกๆ จริงมั้ย”

เสียงจากหลังประตูเงียบไป ไม่นานคนแรกก็โผล่หน้าออกมา เห็นลูกตากลมใหญ่กับหางเปียยาวเฟื้อย อ้อ...สิ่งนี้เองสินะที่แยงรูจมูกเธอเมื่อกี้

“ออกมาให้หมดเลย เมื่อกี้มีกี่คนฉันรู้นะ”

วินาทีต่อมา คนที่สองก็เยี่ยมหน้าออกมา

“หือ?” อะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าตอนที่คนสุดท้ายค่อยๆ เอียงหน้าออกมา ดูกล้าๆ กลัวๆ กว่าคนอื่น ทั้งสามล้วนเป็นเด็กผู้หญิง ทว่า...

คุณพระ....ทำไมทุกคนถึงหน้าเหมือนกันยังกับแกะ!

น้ำหวานขยี้ตาก่อนที่จะเพ่งพิศอีกครั้ง แฝดสามงั้นเหรอ ประหลาดใจได้ไม่นาน แกะน้อยตัวที่หนึ่งในชุดเอี๊ยมสีฟ้าก็ก้าวออกมาข้างหน้า ประหนึ่งหัวหมู่ทะลวงฟัน...

“พี่สาวเป็นใคร” สองตากลมใหญ่เหมือนนกเค้าแมวจ้องเขม็งมาที่เธอ

“เข้ามานอนในห้องนี้ได้ไงอะ”

เธอต้องถามมากกว่ามั้ย น้ำหวานหรี่ตามองร่างเล็กจ้อย

“แล้วพวกหนูเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง” เธอจำได้ว่าตัวเองล็อกประตู

“ก็พวกเค้ามีคุณแจ” แกะน้อยตัวที่สองในเดรสสีชมพูยิ้มร่า ยืดอกบอกภาคภูมิใจ

“ยัยบ๊อง...เขาเรียกกุญแจต่างหากเล่า” แกะน้อยเอี๊ยมฟ้าหันมาดุคนที่เพิ่งพูด

“เค้าไม่ใช่ยัยบ๊อง เค้าจะฟ้องป๊ะป๋า ว่าตัวเองเรียกเค้าว่ายัยบ๊อง”

“หาป๊ะป๋าให้เจอก่อนเหอะ ยัยบ๊อง”

“เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าเค้าไม่...”

“ป๊ะป๋า!” เสียงร้องด้วยความยินดีปรีดาของแกะน้อยตัวที่สาม ทำให้สองคนที่กำลังสร้างวิวาทะยุติลงกลางคัน ร่างเล็กในชุดกระโปรงลายจุดของ ‘แกะที่สาม’ โผเข้าหาร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตู

ชัชย่อตัวลงอุ้มฝ่ายนั้นขึ้นจากพื้นแล้วเดินตรงมาที่เตียงนอน แกะน้อยอีกสองตัวรีบพุ่งเข้าไปเกาะแข้งขาคนมาใหม่ทันใด

“เค้าคิดถึงป๊ะป๋าม้ากมาก” คนในเดรสชมพูออเซาะฉอเลาะ

“เค้าคิดถึงป๊ะป๋ามากกว่าม้ากมากสิบล้านเท่า” คนในชุดเอี๊ยมไม่ยอมแพ้

“เค้าก็คิดถึงป๊ะป๋านะ” ร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของป๊ะป๋าซบแก้มลงกับบ่ากว้างแล้วบอกอย่างเอียงอาย

พ่อเลี้ยงหนุ่มจูบกระหม่อมเด็กน้อยอย่างเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยปากถามกลั้วหัวเราะ

“แล้วเอะอะอะไรกันแต่เช้า ฮึสาวๆ” สุ้มเสียงและรอยยิ้มที่ส่งให้สาวๆ ตัวน้อยๆ ของเขาสะท้อนความรักใคร่ไม่ปิดบัง

ใบหน้าคร้ามเข้มอ่อนโยนลงเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีสนิมจะหยุดลงที่เธอ

“ฉันต้องขอโทษด้วยที่พวกเด็กๆ มารบกวนเธอแต่เช้า”

อ้อ...นั่นน่ะเรื่องเล็ก แต่ที่เธอต้องการจากเขามากกว่า คือ คำอธิบาย น้ำหวานก้าวลงจากเตียงนอน แหงนหน้ามองเขา   

“เด็กๆ มันหมายความว่ายังไงคะคุณพ่อเลี้ยง”

“หือ?” ชัชเลิกคิ้ว

“อย่าบอกนะว่าเด็กสามคนนี้คือ...”

ไม่ต้องรอให้เธอพูดจบ เขาก็สรุปสิ่งที่เธอคาดเดาออกมาง่ายๆ

“ลูกๆ ของฉันเอง”

น้ำหวานสตันต์ไปในวินาทีนั้น เท่าที่เธอรู้มา พ่อเลี้ยงคนเถื่อนมีลูกแค่สองคนไม่ใช่หรือ แต่นี่...เธอกวาดตามองแกะน้อยทั้งสามที่ยืนเรียงแถวกันสลอน เมียงมองมาที่เธอตาแป๋ว

เธอไม่เคยคิดว่าลูกของเขาจะเป็นฝาแฝด แถมยังเป็นแฝดสาม!

โอ๊ย...แค่เห็น ขมับของเธอก็ชักจะปวดตุบๆ ขึ้นมา ช่างเป็นการเริ่มต้นวันแรกที่แสนวิเศษจริงจริ๊ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น