7

ศึกครั้งใหม่ใหญ่กว่าครั้งก่อน


 

ปึง…เสียงประตูห้องแต่งตัวปิดลง

ร่างแบบบางจ้องหน้าเขาเขม็ง ย่างสามขุมเข้ามาหา ดวงตาคมหวานส่องแสงเรืองๆ เหมือนมีกองเพลิงลุกโชนอยู่ข้างใน สีหน้าสีตาดูดุร้าย...

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ชัชถอยหลัง หลังของเขาแตะประตูตู้เสื้อผ้า

“ทำ-ไม-คุณ-ไม่-บอก-ฉัน” แม่คุณหนูโลกโสภา ที่ตอนนี้คงถูกวิญญาณแมวป่าเข้าสิงเค้นเสียงถาม

“เธอหมายถึงเรื่องอะไร”

ปึง...แขนขาวเรียวงามตบฝาตู้ ข้างศีรษะของเขา “ทำไมคุณไม่บอกฉันว่าคุณมีลูกแฝด”

“เป็นแฝดหรือไม่ แล้วยังไง” ในเมื่อลูกของเขาก็มีจำนวนไม่มากไม่น้อยไปกว่าที่มี

“แล้วยังไงงั้นเหรอคะ” เสียงของลูกสาวคุณหญิงลำหยวกแหลมปรี๊ดไปถึงสรวงสวรรค์…

“นอกจากลูกคุณจะเป็นฝาแฝด ยังมีตั้งสามคน คุณโกหกฉัน”

“ฉันไม่เคยโกหกเธอเรื่องนี้” ชัชบอกอย่างใจเย็น

“ลองนึกดูดีๆ สิ สิ่งที่ฉันบอกไปคือความจริงทุกประการ”

“ใครๆ ก็บอกว่าคุณมีลูกแค่สองคน”

“พวกนั้นคงเข้าใจผิด”

“แต่ใครๆ...”

“ใครคนนั้นชื่อนายชัช ชำนาญพาณิชย์ หรือยังไง” เขาเลิกคิ้วมอง

น้ำหวานเม้มปากเข้าหากัน อึดใจหนึ่งถึงโพล่งออกมา “แต่คุณก็จงใจอมพะนำ ปิดบังซ่อนเร้นความจริง ทำให้วิจารณญาณของฉันไขว้เขว” นิ้วเรียวงามจิ้มลงบนอกของเขา “ฉันเข้าใจมาตลอดว่าคุณมีลูกแค่สองคน”

เขาไม่เคยบอกว่ามีลูกแค่สองคนเสียหน่อย

“ก็เธอไม่ได้ถาม นั่นต้องเป็นความผิดฉันด้วยหรือคุณหนูคนสวย”

“เอ๊ะ….” แม่คุณหนูคนงามทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ ถลึงตามองเขา มือทั้งสองยกขึ้นมาขยุ้มคอเสื้อเขาไว้ “คุณขำอะไรของคุณ” เธอจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

เพิ่งรู้แฮะ...ว่ามีเมียเป็นนักเลงโต   

มุมปากของชัชแย้มออกเล็กน้อย มันไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะรู้สึกขบขันจริงไหม แต่ทำไมเวลาที่สองแก้มเนียนใสแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความโมโหโกรธา ถึงทำให้เขารู้สึกอยากจะ...ยิ้ม   

“เปล่า” ชัชบอกเรียบๆ เขาเหลือบตามองสองมือที่ยังกำสาบเสื้อของเขาแน่นเข้า

ร่างแบบบางอยู่ในชุดเสื้อยืดคอย้วยและกางเกงลายดอกสีซีดๆ บ่งบอกอายุการใช้งานอันยาวนานของมัน ยามนี้น้ำหวานไม่ได้ดูเพริศพริ้งสวยงามเหมือนนางฟ้าในชุดกระโปรงบานพลิ้ว เรียบร้อยดีงามทุกกระเบียดนิ้ว

เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิง…

แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านม่านบังตาเข้ามาอาบไล้ใบหน้ารูปไข่ นวลเนียนเกลี้ยงเกลา แม้ปราศจากเครื่องสำอาง ดูแล้วก็สบายตาสบายใจดี

‘...ฉันไม่ชอบผู้ชาย’

ประโยคนั้น แวบผ่านเข้ามาในหัว รอยยิ้มของเขาจืดจางลงเล็กน้อย...

ชัชไม่ได้มุ่งหมายจะให้ลูกสาวของคุณหญิงลำหยวกทำหน้าที่ทุกอย่างของภรรยา แต่ความรู้สึกเสียดายก็ยังบังเกิดขึ้นในใจ

ใช่เขาจะเป็นพวกอยากเอาชนะคะคาน เหมือนคนบางคนที่พยายามจะเปลี่ยนทอมให้เป็นเธอ แต่เธอคนนี้ก็เป็นเธออยู่แล้ว เพียงแต่ไม่พิศวาสเพศตรงข้าม...

แต่จริงหรือ

สัญชาตญาณของเขามันยังกังขา...อยากจะลองพิสูจน์ดูให้รู้แน่...

ชัชจับมือทั้งสองของคนตรงหน้าไว้ คุณหนูคนสวยเตรียมจะชักมือหนี แต่เขากระชับมือนุ่มนิ่มแน่นเข้า ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“แล้วการที่ฉันเกิดมีลูกแฝดสามคนขึ้นมา จะทำให้เงื่อนไขของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นหรือ เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งจะเป็นอะไรไปจริงไหม ในเมื่อเธอเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงภาพลักษณ์อยู่แล้วนี่”

เพียงแค่คำกล่าวอ้างของเธอ ไม่ได้ทำให้เขาคิดว่า น้ำหวานจะเป็นคนอบรมมารยาทอันดีงามให้แก่ลูกสาวทั้งสาม แน่นอนว่าการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง เราต้องศึกษาให้ดีก่อนจะที่ทำอะไรลงไป

‘น้ำหวานเขาคล่องค่ะคุณ’ มณทา...หนึ่งในคณะกรรมผู้ทรงเกียรติของสมาคมมารยาทงามฯ บอกกับเขา ไม่ต้องให้เซ้าซี้มากมาย แกก็ยินดีที่จะขยายความ

‘ลูกศิษย์ของเราหลายต่อหลายรุ่น รางวัลที่คุณเห็นประดับข้างฝา เบื้องหลังก็มาจากเขาทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อถามทุกคนที่นี่ดูได้’

ว่าแล้วหล่อนก็หยิบจับเอาอัลบัมรูปทั้งหลายออกมาเปิดกางให้เขาดู...ในฐานะผู้สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมรายใหม่

‘มาฝึกกับเราไม่นาน รับรองว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะเด็กๆ ไม้อ่อนยังดัดง่าย พอแก่ไปแล้วจะยิ่งดัดยากค่ะคุณ ไม่กี่เดือนเท่านั้น ฉันรับประกัน’

ชัชเชื่อว่า ลูกๆ ของเขาไม่ได้มีนิสัยร้ายกาจดื้อรั้นจนยากจะสั่งสอน และไม่ได้ขาดในสิ่งที่เด็กต้องได้รับจากผู้ปกครอง แม้ไม่มีแม่ที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูมา แต่ก็ต้องประคับประคอง ต้องดัดต้องแต่งอีกมากมายกว่าจะเข้ารูปเข้ารอย

ตัวเขาก็อาจไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำงานละเอียดอ่อนอย่างนั้นด้วยตนเอง เลือกคนให้เหมาะกับงานเป็นหนึ่งข้อสำคัญของการจัดการจริงไหม

ไหนๆ เขาอุตส่าห์ได้ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นเมียทั้งที เขาย่อมต้องใช้ประโยชน์จากเวลาที่ทั้งสองมีร่วมกัน

“หรือนั่นจะเป็นแค่เรื่องคุยโม้โอ้อวดอีกเรื่องของเธอฮึคุณหนู”

ใบหน้าขาวนวลเชิดคางมองเขา ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มท้าทาย

“คนอย่างฉัน ถ้าต้องทำงาน ฉันต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้วละค่ะคุณพ่อเลี้ยง” น้ำหวานบิดมือออกจากเขา ดวงตาของเธอวับวาวขึ้นมาด้วยความเย่อหยิ่งถือดี

ใบหน้าสะสวยแลดูมีชีวิตชีวา...มากขึ้นกว่าเดิม

“แต่ที่ฉันไม่พอใจ เพราะฉันต้องการตระเตรียมแผนการ...เอ๊ย...แผนงานเพื่อที่จะอบรมลูกๆ ของคุณ การที่คุณไม่ยอมพูดทุกอย่างให้เคลียร์ ไม่ให้ความร่วมมือ ก็อาจจะทำให้ฉันทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร”

น้ำหวานลอยหน้าลอยตา ใช้มือปัดผมไปข้างหลัง

สายตาของเขาเลื่อนจากใบหน้าลงไปยังลาดไหล่นวลเนียน คอเสื้อย้วยตกห้อยลงจากหัวไหล่ เห็นเนินเนื้อขาวผ่องรำไรที่โผล่พ้นขอบย้วยๆ ของเสื้อนอน

“ได้ยินอย่างนั้น ฉันก็ชื่นใจ” ชัชยื่นมือออกไป ค่อยๆ ดึงขอบคอเสื้อของเธอขึ้น...ด้วยความหวังดี

ร่างอรชรชะงัก “อุ๊ย...” แค่นิ้วของเขาสัมผัสเนื้ออ่อนที่ต้นแขน เจ้าตัวก็ทำตัวแข็ง แตกตื่น..

‘...ฉันไม่มีทางหวั่นไหว...’

เขาซ่อนยิ้มไว้ในหน้า หลุบตามองต่ำลงไป ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกรีบยกแขนขึ้นกอดอก เบี่ยงตัวหนี หรือใต้เสื้อตัวโคร่ง นอกจากเรือนร่างเปล่าเปลือยแล้วไม่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน สุภาพบุรุษไม่ควรมีความคิดพรรค์นี้สินะ

“ทานข้าวกันได้แล้วค่ะทุกคน” เสียงป้าเอียดลอยมาจากข้างนอก

“เรารีบออกไปกันดีกว่า” เขาก้มลงกระซิบที่ข้างใบหูแม่แมวป่าที่อยู่ดีๆ ก็ทำตัวงอเหมือนกุ้ง

สุภาพบุรุษควรจะถอยห่างออกไปอีกนิด สุภาพบุรุษไม่ควรทำให้สุภาพสตรีอึดอัดขัดเขิน ชัชก้มหน้าลงสูดกลิ่นโลชันอ่อนๆ ที่หลงเหลืออยู่บนซอกของคนตัวเล็กกว่า

“คนข้างนอกเขาคงสงสัยว่าเรากำลังทำอะไรกัน”  

แย่จริง...ที่คนอย่างเขาไม่ค่อยชอบเป็นสุภาพบุรุษสักเท่าไร

 

น้ำหวานอาบน้ำอาบท่า แต่งหน้าแต่งตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะก้าวลงบันไดไปยังห้องรับประทานอาหาร

คนอย่างเธอไม่มีทางที่จะหน้าสดหมดสวย ลงไปพบหน้าประชาชี เธอมีภาพลักษณ์กุลสตรีให้ต้องรักษา และครึ่งชั่วโมงในห้องแต่งตัวก็ช่วยให้เธอมีเวลาเตรียมตัว รับมือสิ่งไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น

จะออกรบทั้งที ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้ครบครัน

นรกแตกแล้วเจ้ พลกทถ (ย่อมาจากพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อน)

มีลูกแฝดสามมม ไม่ใช่แค่สองคน ฉันกำลังจะลงไปเจอพวกนั้น (อีกครั้ง)

เธอทิ้งข้อความไว้ในไลน์ของเลื่อมเพชร ก่อนที่จะระเห็จออกมาจากห้องนอน แม้ว่ากว่าที่อีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาอ่านข้อความเธอก็อีกสามสี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ เหมือนมีใครสักคนที่รับรู้เรื่องราวของเธอ

ร่างแบบบางเดินลงบันไดไม้ที่ทอดยาวลงไปยังชั้นล่าง...

ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าของยามสาย ทำให้เธอมองเห็นบรรยากาศของบ้านได้ชัดถนัดตา แม้ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมา ว่า ชัช ชำนาญพาณิชย์ สะสมรถหรู กว้านซื้อที่ดินเป็นงานอดิเรก

แต่บ้านของเขาดูเหมือนบ้านจริงๆ

แน่นอน...เท่าที่เห็นใหญ่โตกว้างขวาง แต่ก็ไม่ได้เว่อร์วังอลังการเหมือนเคหสถานของเหล่าอภิมหาเศรษฐี ดาราเซเลบที่เธอเห็นในโทรทัศน์

มันมีบรรยากาศของการอยู่อาศัย และมีกลิ่นหอมๆ เหมือน...เหมือนเบคอนและไข่ดาว

น้ำหวานเดินเลี้ยวขวาไปยังโถงทางเดินสั้นๆ ตามกลิ่นอาหารที่ว่าไปจนถึงห้องที่สุดโถง เสียงพูดคุยผสมเสียงหัวเราะคิกคัก และเสียงชิ้งชั้งของมีด ส้อมที่กระทบกันลอยมาให้ได้ยิน

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณน้ำหวาน”

คนที่เห็นเธอก่อนใครคือป้าละเมียด ที่กำลังยืนกำกับเด็กสาวคนหนึ่งให้ลำเลียงข้าวของออกไปที่ประตูด้านหลัง สรรพเสียงทั้งหลายเงียบลงพลัน

สายตาของเธอพุ่งไปยังคนตัวใหญ่สุดที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ชัชค่อยๆ วางถ้วยกาแฟลง “นั่งสิคุณหนู”

โต๊ะกินข้าวไม่ได้ใหญ่โต ดังนั้นจึงมีแค่ที่ว่างข้างๆ เขา ร่างแบบบางหย่อนตัวลงนั่ง ป้าละเมียดโฉบเข้ามาถาม สีหน้าสีตาแกยิ้มแย้มต้อนรับ

“วันนี้มีทั้งอเมริกันเบรกฟาสต์กับข้าวต้มกุ้งทรงเครื่อง ไม่ทราบว่าคุณน้ำหวานอยากทานอะไรคะ”

“ข้าวต้มก็แล้วกันค่ะ” เธอหันไปบอกคุณป้าแม่บ้าน ก่อนที่จะหันมาประจันหน้ากับสามีและแก๊งแกะน้อยๆ ของเขา ลูกตากลมแป๋วสามคู่จ้องเป๋งมาที่เธอราวกับเธอเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

“น้ำหวาน นี่ลูกๆ ของฉัน” ชัชบุ้ยใบ้ไปยังสามแฝด แล้วเริ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“คนโน้นชื่อละมุน” แกะน้อยในชุดเอี๊ยมกำลังจิ้มไส้กรอกใส่ปาก สองตาจ้องมองเธออย่างสนใจใคร่รู้

“คนนั้นชื่อละไม” แกะน้อยในชุดเดรสเจ้าหญิงสีชมพูที่นั่งถัดไป กำลังดูดน้ำส้มจากแก้วลายโพนี่ แต่ลูกตากลมโตจ้องมองมาไม่กะพริบ

“ส่วนคนนี้...” แกะน้องตัวสุดท้ายซ่อนหน้ากับขอบแก้วนมที่ตัวเองถืออยู่

“ชื่อละมุด”

น้ำหวานเลิกคิ้ว...

“ละมุดที่เป็นผลไม้น่ะเหรอคะ”

“ตอบสิลูกว่าใช่รึเปล่า” ชัชหันไปถามคนเป็นลูก สุ้มเสียงอ่อนลง

สาวน้อยละมุดพยักหน้า ก้มหน้างุดๆ ทว่าดวงตาใสแจ๋วลอบชำเลืองมองผ่านขอบแก้มมา พ่อเลี้ยงหนุ่มยีผมลูกสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู

สวรรค์...โลกเรานี้ช่างไม่ยุติธรรม

เธอคงรับไม่ได้ถ้าตัวเองถูกเรียกว่าละมุด ทั้งที่พี่น้องคนอื่นๆ ได้ชื่อที่ฟังดูโอเคมากกว่านั้น...น้ำหวานรู้สึกเห็นใจขึ้นมาหน่อยๆ

ในบรรดาแฝดสาม หนูน้อยคนนี้น่าจะดูขี้อายที่สุด แม้ใบหน้าแทบจะโขกมาจากพิมพ์เดียวกัน ยังไงซะก็มีความแตกต่างกันอยู่ในที

“พี่...” เธอควรเรียกแทนตัวเองว่าอะไร

จะเรียกตัวเองว่าแม่ แหม...มันก็กระดากปาก จะให้เรียกว่าพี่ตอนนี้ก็ประหลาดเกินไปละ ในเมื่อสถานะตอนนี้ เธอกลายมาเป็นภรรยาป๊ะป๋าของพวกเขา    

เธอควรจะสวมบทบาทไหน แม่เลี้ยงใจร้าย หรือนางฟ้าแสนดี ในห้องนอนเมื่อกี้นี่ เธอก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้ว บางทีเป็นนางฟ้าแสนดีในบางครั้งอาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี

“ฉันชื่อน้ำหวานนะจ๊ะ ต่อไปนี้ฉันจะมาอยู่ที่นี่กับพวกหนูๆ” น้ำหวานส่งยิ้มกว้างขวางให้เด็กน้อย

ก่า ก่า ก่า...ก่า ก่า ก่า

ทว่าไม่มีแกะตัวไหนหืออือ ตอบรับคำทักทายแสนดีจากนางฟ้าเลยสักคน

“ทำไมพี่เขาต้องมาอยู่กะพวกเราคะป๊ะป๋า” ละไมนั่งค้ำคาง หันไปถามคนที่นั่งหัวโต๊ะ นิ้วป้อมๆ ม้วนผมหยักศกของตัวเองเล่น หรี่ตามองเธอ

เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลูกของตัวเอง?

วินาทีต่อมาแกะน้อยในชุดเอี๊ยมก็ยิงคำถามที่สองตามมา

“หรือว่าพี่เขาจะมาเป็นลูกของป๊ะป๋าอีกคน”

ชัชชะงัก เขาอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา ทว่า...

“เค้าอยาก...” เสียงเล็กๆ โพล่งออกมาจากลูกแกะที่ท่าทางขี้อายที่สุดก่อนจะเบาลง เมื่ออีกสองแฝดหันขวับไปมองหน้า “มีพี่สาว”

“ตัวเองก็มีเค้าเป็นพี่สาวอยู่แล้วยังไง” ละไมหันมาทำหน้ายุ่งใส่ น้องสาว

“ใครบอกเธอยัยบ๊อง เค้าเป็นพี่สาวต่างหาก เขาเกิดก่อน” ละมุนส่งเสียงข้ามโต๊ะมา ทว่าละไมก็ไม่ยอมแพ้

“ลุงหมอบอกว่าเค้าเกิดคนแรก”

“ป้าเอียดบอกว่าเค้าเป็นพี่ เพราะเขาถีบพวกตัวเองออกมาต่างหาก”

“แต่เค้าไม่อยากได้พวกตัวเองเป็นพี่สาวนี่นา”

“เอาละๆ” พ่อเลี้ยงหนุ่มพูดออกมาอย่างละเหี่ยใจ “หยุดเถียงกันได้แล้วทุกคน” พอเจอเสียงดุๆ เข้าไป บรรดาแกะน้อยก็หน้าจ๋อย “น้ำหวานไม่ได้จะมาเป็นพี่สาวของใครทั้งนั้น แต่เขาเป็นแฟนของป๊ะป๋า”

“แฟน?” ทั้งสามชะโงกหน้า สามัคคีกันจ้องมองมาเป็นตาเดียว

น้ำหวานรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจุลินทรีย์ในห้องทดลองยังไงยังงั้น ทั้งสามเพ่งพิศใบหน้าเธอก่อนที่จะเลื่อนสายตาต่ำลงไปที่ทรวงอก

“ถ้าเป็นแฟนป๊ะป๋า แล้วทำไมตรงนั้นไม่ตู้มๆ เหมือนแฟนคนก่อนๆ ของป๊ะป๋าเลยล่ะ” แม่หนูน้อยในชุดเอี๊ยมไม่ว่าเปล่า แต่ยังทำท่าทางประกอบคำว่า ตู้มๆของตัวเอง

สองแก้มของน้ำหวานร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

อ๋อ...ต้องตู้มๆ สินะ ถึงจะถูกสเปก

เธอตวัดตามองพ่อเลี้ยงหนุ่มที่จู่ๆ ก็เกิดอาการไอขลุกขลักในลำคอขึ้นมาเฉยๆ เขาเฉไฉหันมองไปทางอื่น ไม่สบสายตากับเธอ   

“ต๊ายตาย...คุยอะไรกันจ๊ะ น่าสนุก ป้าได้ยินเสียงดังออกไปถึงนอกรั้วบ้านแน่ะ” เสียงแหลมๆ ลอยลมมาก่อนที่เจ้าของเสียงจะโผล่เข้ามาในห้องกินข้าว...

ดวงตาของคนมาใหม่ลุกวาวด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อมองปราดมายังเธอ ผู้หญิงคนนั้นกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจดเท้า

แค่เห็นเบ้าหน้า ก็บอกได้เลยว่าไม่ถูกชะตาเอาเสียเล้ย

               

แม้ริมฝีปากเคลือบสีบานเย็น เห็นไกลตั้งแต่หน้าปากซอยจะฉีกกว้างจนแทบจะเห็นฟันกรามซี่ในสุด แต่ก็ไม่มีความจริงใจหลุดออกมาจากรอยยิ้มของป้าแกแม้แต่กระผีกริ้น อย่างไรก็ตาม น้ำหวานต้องพลอยยิ้มอ่อนให้ ก็ทำไงได้ ในเมื่อตอนนี้เธอสวมบทบาทสาวน้อยไร้เดียงสา จะกลอกตาแบะปากใส่จะได้หรือ

อีกอย่างมันคงไม่โอเค ถ้าเธอจะเผยธาตุแท้ให้ใครเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ

“อรุณสวัสดิ์ครับน้าสมร แอร์ที่บ้านเสียหรือวันนี้ถึงได้มาแต่เช้า” พ่อเลี้ยงหนุ่มทักทายคนมาใหม่อย่างอารมณ์ดี

“แหม...คุณชัชลืมไปแล้วเหรอคะ ว่านี่วันสิ้นเดือนพอดี น้ากับหลานสาวเลยเอาบัญชีรายรับรายจ่ายในบ้านมาให้” คนมาใหม่หันไปบอกคนที่นั่งประจำอยู่หัวโต๊ะ พร้อมกับอัญเชิญตัวเองนั่งลงตรงที่นั่งที่ยังเหลือ

หลานสาวคงจะเป็นหญิงสาวหน้าตาแฉล้ม ท่าทางแช่มช้อยที่เพิ่งหอบเอาสมุดปกสีน้ำเงินเดินตามเข้ามา หล่อนยกมือไหว้ชัช และส่งยิ้มทักทายให้เธอ

แลดูเรียบร้อย ใสซื่อ

สมองของเธอประเมินผลอย่างรวดเร็ว ต่างจากญาติผู้ใหญ่ของหล่อนลิบลับ...

“วันนี้เด็กๆ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะจ๊ะ ไม่เจอกันตั้งหลายวัน อ้วนท้วนสมบูรณ์น่ารักน่าชังขึ้นเป็นกอง” 

ลูกแกะทั้งสามเหล่ตามองคนพูดก่อนที่จะหันไปสนใจอาหารตรงหน้า เมื่อบรรดาแกะน้อยไม่รับมุก แกถึงเหลียวมองกลับมาที่เธอ กระแอมกระไอ...

“แล้วแม่หนูคนนี้ใครกันจ๊ะ”

“คนนี้น้ำหวานเมียผมเองครับ”

“อู้ต๊าย เมียสวยน่ารักจิ้มลิ้ม ว้าย...เมีย!?” ท้ายประโยคเหมือนป้า...เอ๊ย...น้าสมรกลับร้องเสียงหลง

“ป้าเอียดช่วยพาเด็กๆ ออกไปเตรียมตัวที ใกล้เวลาเรียนดนตรีแล้ว” พ่อเลี้ยงหนุ่มหันไปบอกป้าแม่บ้าน รอให้ป้าละเมียดต้อนลูกแกะทั้งสามออกจากห้องกินข้าวเขาจึงว่าต่ออีกครั้ง

“ครับ น้ำหวานเป็นเมียผม”

เมีย...ถึงรู้ว่าจะต้องได้ยินคำนี้อีกยี่สิบแปดล้านครั้ง แต่หูของเธอยังไม่ยักชิน

สิ้นคำยืนยันของพ่อเลี้ยง น้าสมรก็หันขวับกลับไปสบสายตากับหนูบัว ก่อนที่จะหันมามองสามีเธออีกครั้ง

“คุณชัชไปมีเมียใหม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นบอก”

“ก็เพิ่งมีเมียใหม่ได้ไม่กี่วันนี่แหละครับ น้าสมรมาพอดี จะได้ถือโอกาสบอกไปเลย”

แสดงว่าที่เธอกับเขาตบแต่งกัน คนที่บ้านของของเขาไม่รู้เรื่องราวเลยเชียวหรือ น้ำหวานจับตามองสถานการณ์อย่างครุ่นคิด

“น้ำหวานนี่น้าสมร ส่วนคนนั้น” ชัชพยักพเยิดไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“บัว หลานน้าสมร”

น้าสมรรับไหว้เธอ แต่ยังไม่แน่ใจ “เมียจริงๆ เลยเหรอจ๊ะ” ยื่นหน้าข้ามโต๊ะมาถามอย่างสอดรู้สอดเห็น หนูบัวถึงกับต้องสะกิดแขนคนพูดยิกๆ

“เมียตีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย?”

“หรือน้าสมรอยากจะดูทะเบียนสมรส” ชัชบอกยิ้มๆ ทว่าสายตาและถ้อยคำถากถางอยู่ในทันที คนที่รู้ตัวว่าชักสาระแนออกหน้าออกตารีบถอยทัพกลับแทบไม่ทัน…

“โถคุณชัช ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ น้าแค่ตกอกตกใจ เห็นหายหน้าหายตาไปไม่กี่วัน จู่ๆ ก็กลับมาพร้อมกับสาวสวยแปลกหน้า ตอนแรกก็นึกว่าหนูน้ำหวานคนนี้จะเป็นแค่...”

ไม่ปล่อยให้ฝ่ายนั้นพูดจบ พ่อเลี้ยงหนุ่มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน

“ว่าแต่น้าสมรมีอะไรเหรอครับถึงได้มาหาผมแต่เช้า ถ้าแค่จะเอาสมุดบัญชีมาให้ ไม่น่าต้องลำบากมาเลย ให้บัวถือมาให้ก็ได้ เห็นบ่นๆ ว่าพักนี้ไม่ค่อยสบาย”

สีหน้าระรื่นชื่นบานของน้าสมรเงื่องหงอยลงทันตาราวว่าแกป่วยไข้อมทุกข์มาเนิ่นนาน

“ใช่ น้าไม่ค่อยสบายเลยคุณชัช แข้งขาไขข้อน่ะไม่ค่อยดี หูตาก็ฝ้าฟาง เดี๋ยวก็ปวดไหล่ปวดหลังไม่รู้ว่าจะเป็นโรคตับโรคไตรึเปล่า เบาหวาน ความดันก็เริ่มมีอาการ วันก่อนก็นั่งตรวจบัญชีจนหลังขดหลังแข็ง ถึงกับหน้ามืดเกือบล้มทั้งยืน วันนี้ก็เลยต้องมารบกวนคุณชัชจะขอเงินไปตรวจสุขภาพสักหน่อย”

“เท่าไหร่ล่ะครับ”

น้าสมรชูสามนิ้ว

สามพัน ตรวจสุขภาพอะไรจะแพงขนาดนั้น

“สักสามแสนก็พอ”

สามแสน! โอมายกอด นี่น้าแกจะไปตรวจสุขภาพหรือจะไปจ้างหมอทำคลอด ถึงต้องใช้เงินถึงสามแสน ทว่าคนที่ต้องจ่ายเงินยังยิ้มระรื่นอยู่ได้ ตอบอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ

“เดี๋ยวผมจะให้เลขาฯ จัดการโอนเงินเข้าบัญชีน้าสมรให้”

“ขอบใจนะจ๊ะ” คนที่ทำท่าเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะเริงร่าทันทีทันใดพร้อมอวยพรชุดใหญ่ไฟกะพริบ

“ขอให้เจริญๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป ทำมาค้าขายรุ่งเรืองเฟื่องฟู อู้ฟู่ทุกกิจการงาน”

นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนไม่ฟั่นเฟือนก็บ้าถึงยอมจ่ายเงินตั้งมากมายขนาดนั้น เพราะเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นสิ้นดี

แม้เงินที่จะกระเด็นออกไปจากกระเป๋าตุงๆ ของชัชจะไม่ใช่เงินเธอสักแดงเดียว แต่มันก็อดเสียดายไม่ได้ เธอนิ่วหน้าให้แก่ชามข้าวต้ม ตักเอากุ้งเข้าปาก

เชอะ...อยากจะอวดร่ำอวดรวยแค่ไหนก็เรื่องของเขาเถอะ

“น้าสมรมาก็ดีแล้วครับ ผมมีอีกเรื่องอยากจะบอก ต่อไปน้าสมรไม่ต้องดูแลบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้านของผมแล้ว”

“อ้าว...ทำไมล่ะคะ”

“น้ำหวานจะเป็นคนทำหน้าที่แทน”

อะไรนะ! กุ้งตัวใหญ่ที่เพิ่งจะยัดเข้าปากไปเกือบจะติดคอหอย เธอหันขวับไปมองคนหัวโต๊ะคอแทบพลิก

“น้ำหวานเขาเก่งเรื่องการดูแลบ้านช่อง ผมอยากให้เขามาดูแลบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้าน เห็นน้าสมรสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เลยไม่อยากจะรบกวน”

“ตะ...แต่น้ายังทำไหว” น้าสมรละล่ำละลัก

“โถ...ผมเกรงใจน้ามานานหลายปีแล้วน่ะครับ เอาตามที่ผมบอกดีกว่า น้ำหวานเขาคล่องเรื่องนี้ จริงมั้ยจ๊ะที่รัก” ชัชหันกลับมายิ้มหวานจ๋อยอ้อนจนเธออาย

ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกพูดอะไรไม่ออก

ที่รักกับผี ถ้าเขาตัวเท่ามด เธอจะบดขยี้เขาให้แหลกคามือก็ตอนนี้ละ ทำแบบนี้เท่ากับว่าเขาเพิ่งสร้างศัตรูให้เธอชัดๆ

“แต่หนูน้ำหวานยังใหม่ อาจจะยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว น้าว่ารอให้หนูน้ำหวานคุ้นเคยกับที่นี่ก่อน”

“ใช่ค่ะ น้ำหวานเพิ่งมาวันแรก มันอาจจะเร็วเกินไปที่จะเข้ามารับผิดชอบบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้านนะคะคุณชัช น้ำหวานกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีน่ะค่ะ”

“ถ้าไม่รู้อะไร ฉันเชื่อว่าเธอคงเรียนรู้จากน้าสมรกับบัวได้ไม่ยากเย็นหรอกครับ เมียผมเขาเป็นคนฉลาด หัวไว” เขาหันไปบอกคนเป็นน้ายิ้มๆ

น้ำหวานเตะหน้าแข้งเขาเต็มแรง ทว่านายพ่อเลี้ยงหนังหนาแค่นิ่วหน้าเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนฝากฝังเธอกับหนูบัว

“ฝากเมียฉันด้วยนะบัว เธอช่วยน้าสมรทำบัญชีมานาน น่าจะรู้รายละเอียดดี”

“นี่สมุดบัญชีค่ะคุณน้ำหวาน” หนูบัวรีบยื่นสมุดปกน้ำเงินที่กอดไว้ให้เธอ ราวกับว่ามันคือเผือกร้อนที่กำลังจะลวกมือเธอ...

“ติดขัดตรงไหนถามบัวได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”

พอได้ยินหนูบัวกล่าวดังนั้น น้าสมรก็ส่งค้อนให้ก่อนจะทำคอแข็ง หันมาจ้องเธอตาขวาง

เธออยากจะบอกแกใจจะขาด ว่าไม่ได้อยากยุ่งกับเรื่องนี้ หันไป ‘ขยี้’ นายพ่อเลี้ยงนั้นสิ!

“เสร็จเรื่องแล้ว ผมขอตัวไปส่งลูกๆ ก่อนนะครับ” ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้น ยิ้มลาสองคนนั้น

“น้ำหวานขอตัวไปส่งคุณชัชก่อนนะคะ” ร่างแบบบางรีบถลันออกจากห้องกินข้าวตามพ่อเลี้ยงหนุ่มไปติดๆ ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงหน้าประตู เธอก็คว้าแขนเขาเอาไว้ ลากร่างบึกบึนเข้าไปในห้องนั่งเล่นทางซ้ายมือแล้วลดเสียงกระซิบกระซาบ

“นี่คุณจะบ้าเหรอ อยู่ดีๆ มาโยนงานนี้ให้ฉัน เราไม่ได้ตกลงกันไว้นี่”

“ทำไมจะไม่ใช่ เธอเป็นเมียฉัน ถ้าจะเล่นให้สมบทบาทก็ต้องทำหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ ก็สมควรแล้ว หรือแค่นี้ทำไม่ได้”

สองสามปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายในบ้านและสมบัติพัสถานที่หลงเหลือของครอบครัวก็เป็นเธอที่ดูแลเข้มงวด ป้องกันไม่ให้คุณหญิงลำหยวกกระทำการหน้าใหญ่ เอาเงินไปทำบุญจนเกินตัว แต่ก็นั่นละ...งานนี้เห็นชัดว่า ชัช ชำนาญพาณิชย์ กำลังใช้เธอเป็นเครื่องมือ…

“คุณไม่เห็นหรือไง ว่าน้าสมรของคุณจะฆ่าฉันอยู่แล้ว”

ถ้าลูกตาน้าแกเป็นบาซูก้า ป่านนี้มันคงยิงเธอ ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง! พุ่งไปตกที่แอฟริกาแล้ว

“มีฉันอยู่ทั้งคน เธอจะกลัวอะไร” ไม่ว่าเฉย มือหยาบกร้านยังวางแหมะลงบนมือเธอที่ยังจับอยู่บนแขนเขา มือใหญ่บีบกระชับมือเธอแน่นเข้าราวกับจะให้ความมั่นอกมั่นใจ “ฉันไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายเมียฉันได้หรอกน่ะ”

เขายิ้มในหน้า นัยน์ตาสีสนิมพริบพราวขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์แสนกล

มือของเขาไม่นิ่มนุ่ม แต่อบอุ่น อุ่นจนเกินไป...

น้ำหวานรีบดึงมือตัวเองออกจากอุ้งมือใหญ่ของอีกฝ่าย ก็เขายังไงเล่าที่จับเอาตัวเธอขึ้นแขวนบนตะแลงแกงเสียเอง หือ...เห็นแล้วแม่ละอยากตบเข่า ตีอกชกหัวด้วยความโมโหโกรธา แต่ที่เธอทำคือเชิดหน้ามองเขา

แม้ว่าอารมณ์จะคุกรุ่นร้อนเร่าขนาดไหน ก็ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเธอยังไหว เธอยังคูล…

“แต่งตัวสวยๆ ไว้ละ บ่ายๆ เย็นๆ ฉันจะพาเธอออกไปข้างนอก”

“ไปไหนคะ” จะเอาเธอไปต้มยำทำกะปิที่ไหนอีก ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเริ่มระแวงแคลงใจ เขม้นมองคนตัวใหญ่ไหล่กว้างเหมือนกำแพงเมืองจีน แล้วเดินตามหลังเขาออกไปยังหน้ามุข

“ฉันต้องเตรียมตัวไปรบพุ่งกับใคร หรือต้องสวมใส่เกราะกันกระสุนไว้ด้วยรึเปล่าคะ” เธออดกระแนะกระแหนไม่ได้

ชัชหัวเราะในลำคอ เอี้ยวคอมองกลับมา มุมปากของพ่อเลี้ยงหนุ่มกระตุกขึ้นน้อยๆ “แค่ไปกินข้าว”

กินข้าวอย่างนั้นหรือ ใต้คำว่า ‘แค่’ ของ ชัช ชำนาญพาณิชย์ ต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ

“อ้อ...แล้วถ้าเธออยากจะจัดห้อง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอะไรก็ทำได้เลย ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกป้าเอียดได้” เขาต้อนลูกแกะสามตัวที่ยืนเรียงแถวรอป๊ะป๋า ขึ้นเรนจ์โรเวอร์สีทองแดงมันวับที่จอดรออยู่หน้าบันได

“เอาละ เด็กๆ ขึ้นรถได้แล้ว เร็วๆ เข้า”

นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนประจำที่นั่งคนขับแล้วพารถแล่นออกไป สาวร่างแบบบางกอดอก มองตามเอสยูวีคันงามที่กำลังแล่นพ้นจากเขตรั้วบ้านออกไป

ฝากไว้ก่อนเถอะ...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น