2

ลูกเขยสายฟ้าฟาด


 

ร่างอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงบานพลิ้วเดินกลับไปกลับมา สองสามอึดใจก็ชะเง้อหน้ามองไปยังบ้านเรือนไทยสักที ในอกในใจมันร้อนมันรุ่ม ยิ่งกว่าอากาศในเดือนเมษา

“โอ๊ย...แกเลิกซ้อมสวนสนามสักทีได้มั้ย ฉันเวียนหัวจนจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว”

น้ำหวานหันขวับกลับมามองคนที่กำลังนั่งโซ้ยขนมหวานอยู่ที่โต๊ะกลางศาลา “ถ้าเจ๊กลัวว่าตัวเองจะอ้วก ก็หยุดกินสักทีสิ นี่ชามที่เท่าไหร่แล้ว เดี๋ยวก็ท้องแตกหรอก”

ทว่าคนถูกค่อนยักไหล่ “ก็ของหวานฝีมือคุณสายมันอร่อยเด็ดเจ็ดแสนดาว ต้องกินให้คุ้มสิ อุตส่าห์ขับรถมาจากกรุงเทพฯ ทั้งที” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ตักทับทิมกรอบเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ยิ่งเห็นคนอื่นมีความสุข เธอยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่

โอ...สวรรค์ไม่ยุติธรรม

คนบางคนไม่เคยหรอกที่จะทุกข์ร้อนอะไร อย่างเพื่อนสาวรุ่นพี่ของเธอคนนี้

เลื่อมเพชร เก็จนพคุณ มีชีวิตอินดี แฮปปีสามร้อยหกสิบห้าวัน จันทร์ถึงอาทิตย์อยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยมีใครขัดขวางห้ามปราม ตรงกันข้ามกับเธอ

จะทำอะไรแต่ละอย่าง ต้องมีอุปสรรคร่ำไป

“หายตัวไปไหนก็ไม่รู้” น้ำหวานกระแทกตัวลงนั่ง ยกขาขึ้นมาพับเพียบบนเก้าอี้ ไม่ลืมจัดแจงดึงชายกระโปรงให้มิดชิด คิดถึงหน้าคล้ามคมของคนที่รอคอย

‘แล้วฉันจะติดต่อกลับไปภายในสามวัน’

ประโยคก่อนจากลากันในวันนั้นทำให้คนฟังใจชื้นขึ้นมา ทว่าในตอนนี้น้ำหวานเริ่มกังวล นี่ก็บ่ายสามโมงของวันที่สามเข้าไปแล้ว ยังไม่มีข่าวคราวจากคุณพ่อเลี้ยง

“แกแน่ใจนะว่าข้อตกลงระหว่างแกกับคุณพ่อเลี้ยงอะไรนั่นมันจะเวิร์ก” คนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ยังมีหน้ามาถาม

ก็ตัวเองไม่ใช่หรือ ที่เป็นตัวตั้งตัวตี ให้เธอลุกขึ้นมาปลดแอกชีวิต...

เลื่อมเพชรอายุมากกว่าสองปี เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่รั้วบ้านเคยติดกันมาก่อน ถึงเธอจะย้ายมาอยู่ปากช่องอย่างเป็นทางการ ทั้งสองก็ยังติดต่อกันเสมอ แม้กระทั่งช่วงที่ฝ่ายนั้นถูกส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนา

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ว่าแล้วก็ถอนใจ

เธอจะมีทางเลือกที่ไหนกันเล่า ขืนชักช้าไป ตัวเองนี่แหละที่จะซวย   

‘ต้นเดือนหน้า พลตรีวิชิตกับพ่อสนเงินลูกชายที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษจะมาเยี่ยมแม่ น้ำหวานยังจำครอบครัวพิชิตทรชนได้มั้ยลูก’ เสียงสดใสของแม่ยังอื้ออึงอยู่ในหัว

‘พ่อสนเงินเขาไม่ได้เป็นทะหงทหารหรอกนะลูก แต่เขาไปเรียนบริหารกลับมารับช่วงกิจการน้ำพริกแม่เนื้ออร่ามตำรับชาววัง กิจการของครอบครัวน่ะจ้ะ การศึกษา ฐานะ ชาติตระกูลก็ดีงามเพียบพร้อม หนูว่ามั้ยน้ำหวาน’

แค่ได้ยินคำบอกเล่าของคุณหญิงลำหยวก น้ำหวานก็ร้อนๆ หนาวๆ ยังไงชอบกล

สองคนนั้นไม่ได้มาเยี่ยมเยียนหรอกเธอรู้ แต่จะมาดูตัวเธอต่างหาก

“ใจเย็นๆ สิแก เงินตั้งสี่ซ้าห้าสิบล้านกับการแต่งงานอีกงานนึง ถึงเขาจะเป็นอภิมหึมามหาเศรษฐี ก็ต้องคิดเยอะคิดแยะหน่อยซี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ”

แล้วใครว่าเธอทำเล่นๆ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงจัง ถึงเสี่ยงเอามาเดิมพัน

น้ำหวานรู้ดี ดีพอกับอีกฝ่าย แต่ทำยังไงได้ คนมันร้อนใจ

“อีกอย่างกว่าที่ว่าที่ลูกเขยในฝันของแม่แกจะเสด็จมาถึงก็ตั้งเดือนหน้า ยังมีเวลาให้หายใจหายคอ”

แต่เธอไม่ใช่ Queen of Procrastination1 เหมือนใครบางคนแถวนี้

น้ำหวานไม่ใช่คนที่จะรอจนถึงวินาทีสุดท้ายค่อยทำอะไรสักอย่าง

ชีวิตของเธอ ‘หมกมุ่น’ อยู่กับการวางแผน กะเกณฑ์สถานการณ์ไว้ล่วงหน้าเสมอ คนอย่าง นางสาวน้ำหวาน เครือผู้ดี ต้องมีแผนบีซีดีอี

ยิ่งตอนนี้หนทางแห่งอิสรภาพเริ่มริบหรี่ ยิ่งต้องเร่งรี่ดำเนินการ

“คุณน้ำหวานคะ”

น้ำหวานรีบวางเท้ากลับลงไปที่พื้นเมื่อเห็นแป๋วแหวว...เด็กในบ้านเดินหยีตาฝ่าแดดตรงมายังศาลาริมสวนกล้วยที่พวกเธอ ‘กบดาน’ อยู่

“คุณหญิงให้มาตามค่ะ”

“มีอะไรเหรอจ๊ะแป๋ว”

“มีแขกมาหาค่ะ”

คำว่าแขกทำให้น้ำหวานหัวใจพองโตขึ้นมา หันไปสบตาคนที่กำลังจะซดน้ำกะทิเข้าปาก

หรือจะเป็นเขา คนที่เธอจดจ่อรอคอย

“เดี๋ยวฉันจะตามไปจ้ะ” รอลับร่างเด็กรับใช้ น้ำหวานก็หันมามองยิ้มกว้างขวางกับเพื่อนสาวรุ่นพี่ จัดแจงผมเผ้าให้เข้าที่ ผู้ชายจะมาขอทั้งที ควรจะต้องดูดีในระดับหนึ่งจริงไหม

“ฉันดูเรียบร้อยดีแล้วใช่มั้ย”

เลื่อมเพชรเลิกคิ้ว ทว่าน้ำหวานไม่รอคำตอบ “ไปกันเถอะ” คว้ามือคนที่นั่งอยู่ไปด้วย

“ฉันยังกินไม่หมด”

“ไม่ต้องกงต้องกินแล้วเจ๊ ไว้ฉันจะให้คุณสายต้มให้กินอีกสามหม้อ ตอนนี้ไปกับฉันก่อน ฉันต้องการกำลังใจ” สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า ในหัวทบทวนสคริปต์ที่ตกลงกันไว้กับชัชเป็นครั้งสุดท้าย

 

ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงเรือนไทย

เบนซ์สีดำมันปลาบจอดหราดูอู้ฟู่สมฐานะพ่อเลี้ยงโคตรเศรษฐี น้ำหวานกระหยิ่มยิ้มย่อง ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนที่จะลากเลื่อมเพชรขึ้นเรือน

เท้าชะงัก เมื่อได้ยินเสียงคนเป็นแม่หัวเราะคิกคักลอดมาจากห้องเขียว อันเป็นห้องที่ใช้รับรองแขกของคุณหญิงลำหยวก

“ไหนแกบอกว่าคุณชัชอะไรนั่นไม่ถูกกับแม่แกไง” คนที่เดินตามหลังยืดคอมากระซิบ

นั่นสิ…

น้ำหวานนิ่วหน้า สาวเท้าเข้าไปข้างหน้า รู้สึกตงิดๆ ในหัวใจ

“อุ๊ยนั่นไง น้องน้ำหวานมาแล้ว” สิ้นเสียงคนเป็นแม่ แขกทั้งสองที่นั่งอยู่บนตั่งก็หันมาทางเธอพร้อมเพรียงกัน

นั่นไม่ใช่ชัช...รอยยิ้มที่ปั้นแต่งไว้รอท่าว่าที่สามี แข็งค้างอยู่บนหน้า

“เข้ามาสิลูก มากราบสวัสดีคุณอากับพี่เขาเร้ว...”

ให้ตายเถอะว่ะ...นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิด

“น้ำหวาน” เลื่อมเพชรรุนหลังเธอให้ก้าวไปในห้องเขียว เธอเสียวแวบขึ้นมา ขออย่าให้สองคนนี้ เป็น...

“นี่พลตรีวิชิต กับพ่อสนเงิน คนที่แม่พูดให้หนูฟังไงลูก”

“ไม่ได้มาเดือนหน้าหรอกเหรอคะ” น้ำหวานโพล่งออกมา ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีเมื่อเพื่อนซี้สะกิดแขน

คุณหญิงลำหยวกที่กำลังมีความสุขออกหน้าออกตา ไม่ทันมองเห็นสีหน้าของเธอ หัวเราะคิกคัก

“พอดีพ่อสนกับคุณพ่อมีธุระลงมาที่กรุงเทพฯ ก็เลยมาเยี่ยมเยือนเราเร็วกว่ากำหนด กะว่าจะมาเซอร์ไพรส์”

โคตรเซอร์ไพรส์เลยจริงๆ

“นี่หนูน้ำหวาน ลูกสาวฉัน ส่วนนั่นหนูเลื่อมเพชร เพื่อนสนิทของลูกสาวฉันเอง” น้ำหวานพนมมือไหว้ อยากจะลงไปดิ้นตายที่พื้น

พัง พัง พังหมดแล้วที่วาดหวังเอาไว้

“แหม...จริงๆ คุณพี่น่าจะบอกกันล่วงหน้าก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเราจะได้เตรียมตัวต้อนรับขับสู้ให้ดีกว่านี้”

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ลำหยวก ฝ่ายคนของฉันก็ร้อนใจอยากที่จะเจอ...” คุณอาพลตรีชำเลืองมองลูกชาย ก่อนที่จะย้ายมามองเธอ น้ำหวานหลุบตามองตัก ลอบสำรวจตรวจตราคนมาเยือน

พลตรีวิชิตอวบท้วมสมบูรณ์ เนื้อหนังพอกพูนด้วยไขมัน แตกต่างจากลูกชายเหมือนฟ้ากับเหว

“แขนเขามัดรวมกันยังเล็กกว่าแขนฉันอีกแน่ะ” เลื่อมเพชรกระซิบกระซาบ

“แหม...ถ้าสนิทกันกว่านี้ ฉันคงขอเคล็ดลับกำจัดไขมันที่ต้นแขน”

นี่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน มันใช่เวลามาหาเคล็ดความงามไหม เธอปรายตามองคนพูด ทว่าสาวรุ่นพี่ไม่สะทกสะท้าน ยังคงจดจ้องลำแขนอันเรียวงามของสนเงินด้วยความตั้งใจ

“ไหนๆ ก็ได้โอกาสลงมาแล้ว จะได้สานต่อเรื่องที่คุยๆ กับแม่ลำหยวกไว้”

“แหม จริงๆ เรื่องแบบนี้ดิฉันก็ไม่ได้อยากจะรีบร้อนหรอกนะคะคุณพี่ อย่างน้อยก็น่าจะเปิดโอกาสให้เด็กๆ เขาคุยกัน”

“ปีนี้พ่อสนเงินของฉันก็สามสิบแล้ว ถือว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ใช้ได้ ลูกสาวแม่ลำหยวกก็เรียนหนังสือหนังหาจบแล้วใช่มั้ย”

เฮอะ...เธอเพิ่งเรียนจบมา ยังไม่ได้ใช้ความรู้ที่ศึกษาทำมาหารับประทานเสียด้วยซ้ำ

“พ่อสนเงินของฉันมีแต่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ยังไม่มีสาวๆ ที่ไหนมาติดพัน แล้วลูกสาวของแม่ลำหยวกล่ะ”

“โอ๊ย...น้ำหวานวันๆ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เรื่องผู้ชายพายเรือก็ไม่มีเข้ามายุ่มย่ามหรอกค่ะคุณพี่ ฉันสอนสั่งเสมอ ไม่มีทางที่ลูกสาวของดิฉันจะชิงสุกก่อนห่าม”

แม่เธอกับพลตรีวิชิตเหมือนจะแต่งงานกันเสียเอง

คุณอาพลตรีพยักหน้าหงึกๆ ขณะที่ลูกชายเหลือบตามองเธอก่อนจะก้มหน้างุดๆ แทบจะขุดฝากระดานเรือนแล้วมุดหายลงไป

เฮ้อ...แล้วเธอจะฝากผีฝากไข้กับผู้ชายแบบนี้ได้หรือไร

อายุอานามก็ไม่น้อย ยังคอยหลบอยู่ข้างหลังพ่อตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้น เราก็...”

บรึ๊น บรึ๊น…

พลตรีวิชิตยังไม่ทันจบประโยค เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มก็ดังแทรกเข้ามา ทุกคนในห้องเขียวเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง พอเสียงรถเงียบไป คุณหญิงลำหยวกก็ร้องถาม

“เสียงอะไรน่ะ” ไม่นานแป๋วแหววก็วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง

“คุณหญิงคะคุณหญิง มีแขกมาหา”

“แขก? ฉันไม่ได้นัดใครไว้นี่นา ใครกัน”

ไม่ทันที่สาวใช้จะได้เอ่ยปาก แขกก็อัญเชิญตัวเองเข้ามาเสร็จสรรพ

“ผมเองครับคุณนายลำยอง” 

ร่างสูงใหญ่บึกบึนเหมือนภูผาปักหลักอยู่หน้าธรณีประตู รอยยิ้มของเขากว้างขวางยิ่งกว่ามหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติกรวมกัน ดวงตาดำขลับเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงแดดกลางทะเลทรายสะฮารา จ้องเขม็งมาที่เธอ

น้ำหวานจิกเท้าไว้กับพื้นกระดาน

กลัว...กลัวว่าตัวเองจะโผเข้าไปกอดรัดฟัดเขาด้วยความยินดีปรีดา

 

นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกบันเทิงเริงใจเหมือนตอนนี้ สามสิบหกปีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา ทำให้อะไรๆ ที่่เผชิญล้วนมีแต่คำว่า น่าเบื่อ...

มุมปากของชัชบิดเบ้เป็นรอยยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของคุณหญิงลำหยวก ก่อนที่สายตาจะเลื่อนลงไปยังลูกสาวของหล่อน คุณหนูโลกสวยนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่บนตั่ง

ผมดำขลับหยักศกรวบเป็นหางม้า เผยใบหน้ารูปไข่นวลลออ ลำคอระหงผุดผาด ปาก คิ้ว คางจิ้มลิ้ม ดูสวยใสผุดผ่อง เหมือนครั้งแรกที่ได้เจอะเจอ

ผิดแต่วันนี้ ท่าทีของคุณหนูโลกโสภาแปลกตาไป ไม่เหมือนสาวน้อยจอมวางแผนในวันก่อนลิบลับ

‘คุณหนูน้ำหวาน เครือผู้ดี ลูกสาวคนเดียวของคุณหญิงลำหยวก เป็นกุลสตรีตั้งแต่รากผมจนถึงเล็บหัวแม่เท้าเลยครับนาย’

นั่นคือสิ่งที่อำนวย...คนของเขายืนยัน แต่มันช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาเคยสัมผัส

‘แต่งงานกับฉัน’

นั่นคือสิ่งที่หญิงสาวกิริยามารยาทแช่มช้อย พูดน้อย เรียบร้อยเหมือนผ้าพับแล้ววางไว้บนหิ้ง เป็นจริงๆ อย่างนั้นหรอกหรือ ไม่น่าใช่

“เธอมาทำไม ฉันไม่ได้นัดหนูพุดซ้อนกับคุณชายอลิณให้มาวันนี้เสียหน่อย”

ชัชละสายตาจากแม่คุณหนูโลกสวย หันมาหาว่าที่แม่ยาย

ก่อนหน้านี้ เขาเคยอยากจะได้ที่ดินของคุณหญิงแกเอามาปลูกบ้าน พุดซ้อน...เพื่อนของเพื่อนที่เขารู้จักอุตส่าห์เข้ามาเป็นนายหน้าเจรจาให้ แต่ก็ยังไม่ได้ผล

“สวัสดีครับคุณนายลำยอง...เอ้อ...คุณหญิงลำยอง” เขายกมือไหว้ ไม่สนใจว่าฝ่ายโน้นอยากจะรับไหว้กันรึเปล่า

“วันนี้ผมไม่ได้มาคุยเรื่องที่ดิน แต่จะมาคุยเรื่องคน” เขาชำเลืองมองไปยังคนที่เขาจะมาคุยด้วยแวบหนึ่ง

“นายครับ จะให้พวกผมวางกระสอบพวกนี้ไว้ที่ไหน”

“เอามาวางตรงนี้” เขาพยักพเยิดให้อำนวยวางของไว้ที่ว่างตรงหน้า ก่อนที่จะประจันหน้ากับเจ้าของบ้านอีกครั้ง

“นี่อะไร” คุณลำหยวกมองกระสอบสองใบตรงหน้า เขยิบตัวหนี โถ...ทำอย่างกับว่าเป็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอ

“เงินห้าสิบล้าน”

“ฉันยังไม่ได้ตกลงปลงใจขายที่ให้เธอสักหน่อย”

“ผมบอกคุณหญิงแล้วว่า ผมไม่ได้มาธุระเรื่องที่ แต่มาธุระเรื่องคน” เขาบอกพลางยิ้มละไมอย่างใจเย็น

“เธอพูดจาเพ้อเจ้ออะไรกัน หรือว่ากินยาลืมเขย่าขวด เพิ่งก้าวออกมาจากศรีธัญญา”

“ผมไม่ได้ป่วยหรือบ้าครับคุณหญิง ที่มาวันนี้ ผมกะว่าจะมาขอลูกสาวของของคุณหญิงต่างหาก”

คนฟังมองหน้าเขาตาไม่กะพริบ ทว่าคนที่เอะอะโวยวาย หาใช่ว่าที่แม่ยายของเขาไม่

“หมายความว่ายังไง แล้วลูกสาวที่จะขอนี่หมายถึงใคร” คุณลุงพุงพลุ้ยผมขาวโพลนเกือบหมดหัวผุดลุกขึ้นจากตั่งเตี้ยไม่ใกล้ไม่ไกล

ชัชเหลือบตามอง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากคุณหญิงกับลูกสาวยังมีสักขีพยานอื่นๆ อีกตั้งสามคน…

คุณลุงคนนั้น เจ้าหนุ่มหน้าติ๋ม หุ่นเหมือนไม้เสียบลูกชิ้น แล้วก็สาวหน้าคม ผมสั้นในเดรสสีส้มแสบตา

อุ่นหนาฝาคั่งดีจัง… 

“ก็คุณหนูน้ำหวานคนนั้นไงคุณ”

“ใครจะไปยกลูกสาวให้เธอยะ” คุณหญิงลำหยวกที่เพิ่งได้สติร้องออกมาดังๆ

ชัชยิ้มในหน้า ชี้แจงแถลงความอย่างใจเย็น “ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อเราชอบพอกันนี่ครับ”

“พวกเธอไปรู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่ตอนไหน ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง” เจ้าของบ้านหันขวับกลับไปมองลูกสาวที่กำลังนั่งก้มหน้างุดๆ เห็นแต่หน้าผากเกลี้ยงเกลาและปลายจมูกเล็กๆ “น้ำหวานไปรู้จักกับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะ”

“น้ำหวาน...” ดวงตากลมโตช้อนมองขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะหลุบตาลง ท่าทีตื่นตระหนกเหมือนลูกนกหลงรัง ผิดกับผู้หญิงที่เขาเจอที่ร้านโกเหลียงคนละโยชน์

‘ฉันไม่ใช่คนโลกสวยเหมือนกัน’ ชัชอดยิ้มหยันไม่ได้

“เราสองคนเจอกันที่ร้านกาแฟที่ตลาด เมื่อเดือนก่อน...”

“แล้วทำไมไม่บอกแม่” ไหล่บอบบางสั่นเทา เสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นด้วย

วิญญาณนางเอกเจ้าน้ำตาท่าจะเข้าสิงกะทันหัน

“ก็...น้ำหวานกลัวว่า ถ้าน้ำหวานบอกคุณหญิงแม่ คุณหญิงแม่จะโกรธ จนไม่ยอมให้น้ำหวานออกไปเที่ยวในตลาดอีก” 

ไปเที่ยวในตลาดเรอะ...สวรรค์...นี่มัน พ.ศ.ไหนแล้ว กับอีแค่ขอออกไปตลาด ยังต้องรอคำอนุญาตจากคนเป็นแม่

“นี่นายชัช เธอถือโอกาสย่องเข้ามาล่อลวงลูกสาวฉันใช่มั้ย” คุณหญิงลำหยวกชี้ด้ามพัดมาหาเขาอย่างเอาเรื่อง

เฮอะ...ยัยคุณหนูโลกโสภานั่นต่างหากที่เป็นคนเข้าหาเขาก่อน ชัชยักไหล่

เพื่อให้เป็นไปตามแผน เขาต้องเดินตามน้ำ

“อย่าเรียกว่าล่อลวงดีกว่าครับคุณแม่ยาย” เขาเปลี่ยนสรรพนามเสียใหม่ ไหนๆ อีกไม่นานก็ต้องเกี่ยวดองกันอยู่แล้ว จะได้ไม่กระดากปากเวลาเอาจริง

“เราก็แค่อยากเจอหน้าประสาคนที่มีใจให้กัน ในเมื่อเราสองคนรักชอบกัน มันคงไม่แปลกอะไรที่ผมจะมาขอน้ำหวานไปเป็นเมีย”

“จะบ้าเหรอ ลูกสาวฉันทั้งคนไม่ใช่สิ่งของที่จะหยิบยกไปให้ใครก็ได้ ลูกเขยของฉันต้องมีคุณสมบัติเพียบพร้อม คู่ควรกับยัยน้ำหวานเท่านั้น”

“แม้ว่าลูกคุณแม่ยายจะไม่ได้รักใคร่ชอบพอผู้ชายคนนั้นน่ะเหรอ”

“ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ จะมีใครรักลูกเท่าคนเป็นแม่อย่างฉัน และฉันไม่ได้เป็นแม่ยงแม่ยายอะไรของเธอด้วย”

แค่ ‘ยัง’ ไม่ใช่เท่านั้น

ชัชนึกระอา นี่คุณหญิงลำหยวกคงไม่เคยได้ยินสินะ บางครั้งพ่อแม่ก็ทำร้ายลูกของตัวเองด้วยความรัก แต่ยังไงเขาก็ดั้นด้นมาจนถึงที่นี่แล้ว ไม่มีทางที่คนอย่าง นายชัช ชำนาญพาณิชย์ จะกลับไปมือเปล่า

เขาเป็นพ่อค้า เมื่อเสียเวล่ำเวลา ลงทุนลงแรง ย่อมจะต้องหวังผล

“แต่ยังไง ผมก็ต้องรีบขอลูกสาวของคุณหญิงไปเป็นเมีย”

“เอ๊ะ...เธอนี่พูดไม่รู้เรื่อง” คุณหญิงลำหยวกสติหลุด ยกมือขึ้นเท้าสะเอว

ชัชยิ้ม บอกฝ่ายนั้นเนิบๆ “ขืนชักช้า ผมเกรงว่าหลานยายของคุณหญิงจะลืมตาขึ้นดูโลกเสียก่อน” เขาหย่อนระเบิดลูกใหญ่ลงไป

แม่คนสวยที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมหันขวับมามองเขา ดวงตาอ่อนเชื่อมเหมือนลูกแมวเชื่องๆ วาววับขึ้นมาทันที…

“หมายความว่ายังไง!”

คนที่ตกอกตกใจเกินเหตุก็ไม่ใช่คุณหญิงลำหยวกอีกนั่นละ แต่เป็นลุงพุงพลุ้ยเจ้าเก่า

“หลานยงหลานยายอะไรกัน หรือว่าน้ำหวานกับคุณ...” คนพูดชี้นิ้วมาที่เขา ดวงตายิบหยีเบิกกว้างออก จากเม็ดกวยจี๊เป็นเม็ดลำไย

เขายิ้มเยือกเย็น หันไปพนมมือไหว้ว่าที่แม่ยายของตัวเองอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะพูดเป็นการเป็นงาน

“ผมต้องกราบขอขมาคุณหญิงด้วย” สุ้มเสียงของเขาไม่มีท่าทีล้อเล่นแล้วคราวนี้ “ที่พวกเราชิงสุกก่อนห่าม วันนี้ผมถึงอยากจะแสดงความรับผิดชอบ โดยการสู่ขอน้ำหวานไปเป็นภรรยาของผมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตอนแรกผมตั้งใจจะมาคุยกับคุณหญิงเป็นการส่วนตัว” เขาปรายตามองสองหนุ่มต่างวัยที่กลายเป็นสักขีพยานการสู่ขอแบบไม่ตั้งใจ

แต่ไหนๆ พวกคุณก็อยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าว่างเชิญอยู่ร่วมงานมงคลของเราด้วยเลยแล้วกันนะครับ”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น