8

โคตรเหง้าที่แท้ทรู


 

สำนักงานใหญ่ของชำนาญกรุ๊ปไม่ใช่ตึกระฟ้าหรูหรา ทว่าเป็นอาคารโมเดิร์นสีเทา แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ในอาณาบริเวณกว้างขวางของหนึ่งในท่าเรือส่วนตัวขนาดใหญ่แห่งเมืองภูเก็ต

                ชัช ชำนาญพาณิชย์ จอดรถที่หน้าบันได ส่งกุญแจให้พนักงานที่วิ่งลงมารอรับเอารถไปเก็บที่โรงจอดรถด้านหลัง ส่วนตัวเองเดินเข้าไปในบริษัท อาคารหลังนี้ไม่ทาสี เพราะทั้งหลังเป็นปูนเปลือย มีผนังสองชั้น ให้ความรู้สึกเย็นแม้ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศตามแนวทาง ‘อีโคเฟรนด์ลี’ ที่สถาปนิกหนุ่ม เพื่อนของชัชเป็นคนออกแบบให้เมื่อเกือบสิบปีก่อน

                แม้กระทั่งใจกลางของตึกยังปล่อยเป็นพื้นที่โล่งสำหรับสวนหย่อมขนาดใหญ่ มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ

                พ่อเลี้ยงหนุ่มยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายยามเฝ้าประตู แม่บ้าน และพนักงานชายหญิงไปตลอดทาง ร่างสูงใหญ่เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสามแทนที่จะใช้ลิฟต์

                “นัดของนายรออยู่ในห้องประชุมเล็กแล้วค่ะ” ชไมพร...เลขาฯ สาวรุ่นใหญ่รายงานทันทีที่เจอหน้า พลางพยักพเยิดไปยังห้องประชุมที่ว่า

                พอชัชก้าวขาเข้าไปในห้อง นาฬิกาที่แขวนบนผนังก็บอกเวลา 10.00 น. พอดิบพอดี

                “ตรงเวลาเหมือนเดิมเลยนะครับคุณชัช” หนุ่มตะวันตกผมดำนัยน์ตาสีเข้มลุกขึ้นจากเก้าอี้ทักทายเขาด้วยภาษาไทย นิ้วเรียวยาวติดกระดุมเสื้อนอกให้เข้าที่เข้าทาง แม้อากาศข้างนอกจะร้อนฉิบหาย ทว่าผู้ชายคนนี้ยังคงสวมสูทผูกไท นั่งสบายๆ บนเก้าอี้ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน เช่นเดียวกับชายหนุ่มผมดำ ผิวคล้ำเข้มอีกคนที่ยืนนิ่งไกลออกไปตรงมุมห้อง

                ห้องประชุมเล็กไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ มีแต่หน้าต่างบานสูงจากพื้นจดเพดานเรียงราย เปิดกว้างออกไปสู่วิวท้องทะเลเบื้องล่าง มีแต่พัดลมเพดานที่ให้ความเย็นเท่านั้น แต่ด้วยเพดานสูงทำให้อากาศถ่ายเทสดชื่นตลอดทั้งวัน

                “คุณเองก็มาก่อนเวลาทุกทีไป” ชัชเดินเข้าไปในห้องรับรอง

                ทั้งสองนั่งลงโต๊ะประชุมที่กึ่งกลางห้อง...

                “จริงๆ แล้วคุณเมฆไม่น่าต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเองก็ได้”

                ไม่นานชไมพรก็ยกกาแฟดำเข้ามาวางไว้ให้ แล้วรีบกลับออกไปอย่างรู้หน้าที่

                “ผมถือโอกาสมาเยี่ยมคุณย่าพอดี เลยเอาแปลนมาให้คุณดูด้วยเลย” ภาษาไทยของหนุ่มฝรั่งค่อนข้างชัด แม้ปลายเสียงจะแปร่งปร่าอยู่บ้าง

                จากเบ้าหน้าคงแทบดูไม่ออกว่า เมฆา อเมดาส มีเศษเสี้ยวหนึ่งในตัวที่เป็นไทย แถมยังสืบเชื้อสายตระกูลเก่าแก่ย้อนกลับไปถึง เฮ้อ...สมัยอะไรเขาก็จำไม่ได้ ชัชไม่ค่อยใส่ใจชาติตระกูลเชื้อสายอะไรนัก

                ต้นตระกูลของเขาเอง ใช่จะสูงส่งมาจากไหน ที่ธุรกิจงอกงามขยายกิจการออกไปได้ตั้งมากมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากรุ่นปู่ย่าตาทวดที่ทำมาหารับประทานด้วยลำแข้งของตัวเอง ทิ้งมรดกที่ทางไว้ให้คนรุ่นหลังได้สานต่อ

                “อีกอย่างมันคงจะดีกว่าถ้าผมเดินทางมาดูแลลูกค้ารายใหญ่ของเราด้วยตัวเอง” เมฆายิ้มให้เขา ทว่ารอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตาสีครามของคนพูด

                “อยู่ในช่วงทำพีอาร์เดินสายพบปะลูกค้าสินะ”

                “ทำนองนั้นแหละครับ” คนอ่อนวัยกว่าว่ากลั้วหัวเราะ

                ใบหน้าขาวๆ เกลี้ยงเกลาของเมฆาล้อมกรอบด้วยผมหยักศกตัดสั้นเนี้ยบกริบ รอยยิ้มละไมที่มุมปากเนืองนิตย์คล้ายจะเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น มันไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของชายหนุ่มวัยต้นสามสิบคนนี้

                มองเผินๆ หนุ่มลูกเสี้ยวคงไม่ต่างจากหนุ่มฝรั่งรูปหล่อเจ้าสำอางที่เห็นเกลื่อนกลาดดาษดื่นทั่วไป หากว่าไม่ได้ทำธุรกิจด้วยกันมานานปีตั้งแต่รุ่นปู่ตาทวด เขาคงไม่คิดที่จะ...ไว้วางใจ

                สามสิบปีมาแล้ว ที่ ‘ชำนาญพาณิชย์’ ใช้บริการ ‘อู่ต่อเรือ’ ของบริษัทอเมดาส เพิ่งจะสิบปีหลังนี่เองที่เมฆาเข้ามารับช่วงกิจการต่อจากรุ่นพ่อ ร่วมกับบรรดาพี่น้องของหนุ่มลูกเสี้ยวเป็นทั้งวิศวกรและหนึ่งในกรรมการบริหาร ทำให้ทั้งสองต้องติดต่อประสานงานกันบ่อยกว่าคนอื่น

                “คุณจะอยู่ที่เมืองไทยนานเท่าไหร่”

                แม้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อถึงขั้นกอดคอกินเหล้า เมาหัวหกก้นขวิด แต่ทั้งสองครอบครัวรู้จักใกล้ชิดมาเนิ่นนาน จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นมากกว่า ‘เพื่อนทางธุรกิจ’ การไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบย่อมสำคัญ

                “ก็คงจะสักสองเดือน”

                “ทำไมคราวนี้คุณถึงอยู่ที่นี่นานนักล่ะ” ชัชเลิกคิ้ว แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

                “หรือว่าลูกค้าที่นี่มีมากมายไม่หวาดไม่ไหว”

                เวลาของเขาเป็นเงินเป็นทองมากเท่าไร เวลาของอีกฝ่ายก็คงไม่ต่างกัน

                “คุณยายของผมท่านไม่ค่อยสบายน่ะครับ ผมถึงแพลนจะอยู่ที่นี่นานสักหน่อย” เมฆาบอกแค่สั้นๆ ไม่ต่อความยาวสาวความยืด ส่งสัญญาณให้คนของตัวเองที่ยืนรอรับใช้

                “มิเกล” ชายหนุ่มผิวคล้ามนามว่ามิเกลเดินมายังแลปทอปที่เชื่อมกับเครื่องฉายโพรเจกเตอร์เอาไว้แล้ว เขาพรมนิ้วไปบนคีย์บอร์ดอย่างคล่องแคล่ว

                เมื่อโครงสร้างของเรือลำใหม่ปรากฏบนจอโพรเจกเตอร์ เมฆาก็หันมาบอกเขา...

                “เรามาเริ่มกันดีกว่า ยังมีรายละเอียดอีกมากที่เราต้องคุยกัน”

                เรือขนส่งสินค้าหลายลำก่อนหน้าที่คลอดจากอู่ของอเมดาสไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ทว่าชัชก็ไม่ได้ลังเลที่จะตรวจสอบทุกขั้นตอนการผลิตอย่างละเอียดลออ การลงทุนแต่ละครั้งไม่ใช่บาทสองบาท แม้จะบาทสองบาทก็นับเป็นเงิน

                เขา ‘คุ้นเคย’ กับการที่จะต้องได้ประโยชน์ในทุก ‘สตางค์’ ที่เสียไป

                ไม่ว่ามูลค่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

                ร่างใหญ่หนาเอนหลังเท้าศอกลงกับขอบโต๊ะ ตามองที่หน้าจอโพรเจกเตอร์ กลิ่นหอมอ่อนหวานจากมือนุ่มๆ ที่เขาได้สัมผัสแตะต้องยังเหลืออยู่บนปลายนิ้วลอยเข้ามาในโพรงจมูก พ่อเลี้ยงหนุ่มสูดหายใจลึก

                หอมเหมือนดอกไม้แรกแย้ม….

                ใบหน้าเนียนนวลเปล่งปลั่งของคุณหนูคนสวยก็ไม่ต่างจากดอกไม้แรกแย้ม ผิวขาวผุดผ่องขึ้นสีง่าย ไม่ว่าเจ้าตัวจะเคืองขุ่นงุ่นง่าน หรือขัดเขินสะเทิ้นอาย หล่อนคงดูบอบบางน่าทะนุถนอมอยู่หรอก หากนัยน์ตาหวานหยดย้อยคู่นั้นจะไม่วาววับราวกับนังแมวป่าเวลาที่จะเอาเรื่องกันขึ้นมา

                ‘คุณไม่เห็นหรือไง ว่าน้าสมรของคุณจะฆ่าฉันอยู่แล้ว’

                ชัชยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทางตรงกันข้ามกับความอ่อนหวานที่เคลือบฉาบอยู่บนเรือนร่างอ้อนแอ้น ไม่ต้องกลัวไปหรอกคุณหนูคนดี

                ‘มีฉันอยู่ทั้งคน เธอจะกลัวอะไร ฉันไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายเมียฉันได้หรอกน่ะ’

                เขาพูดจริงทุกคำ

                จะปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปได้หรือ ลงทุนลงแรงไปแล้ว เธอยังทำงานไม่คุ้มค่า อีกอย่างอะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของเขา จะจริงจะหลอกก็ถือเป็นสมบัติของเขา คนอย่าง ชัช ชำนาญพาณิชย์ ดูแลสมบัติของตัวเองเป็นอย่างดีเสมอ

                ดังนั้นแม้แต่ขี้เล็บของเมียเขา ใครหน้าไหนก็แตะต้องไม่ได้ ถ้าเขาไม่อนุญาต

 

                “ว้าว! คุณน้ำหวานนี่เป็นแม่บ้านแม่เรือนตัวจริงเลยนะคะ มาแค่วันแรกก็จัดแจงบ้านช่องห้องหับเสียน่าอยู่” กระถิน...สาวใช้ที่ป้าละเมียดส่งมาคอยช่วยเหลือมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมด้วยประกายชื่นชมโสมนัส

                น้ำหวานแย้มยิ้มในหน้า ยังคงรักษากิริยาท่าทีตามแบบฉบับหญิงสาวสกุลเครือผู้ดีที่ฝึกฝนหน้ากระจกมานมนาน

                โธ่เอ๊ย...แม่กระถินริมรั้ว ตัวหล่อนเข้าใจผิดเสียแล้ว

                เธอไม่ได้ตั้งใจทำห้องนอนของชัชให้ดูหรูอยู่สบายแต่อย่างใด แต่ที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพื่อตัวเองล้วนๆ แมวหมาฉี่ใส่เสาไฟฟ้าเพื่อประกาศอาณาเขตฉันใด แต่เธอปล่อยฟีโรโมนไปตามมุมบ้านของเขาไม่ได้ น้ำหวานจึงต้องหาทางประกาศอาณาเขตของตัวเองฉันนั้น

                นั่นเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เอาชนะศัตรู จากหนังสือจิตวิทยาฮาวทูที่เธอบูชา

                น้ำหวานใช้เวลาหลายชั่วโมงจัดการห้องหับเสียใหม่ อะไรที่ดูมีความเป็น ชัช ชำนาญพาณิชย์ เธอก็เร่งรัดกำจัดทิ้งไปให้หมด เปลี่ยนสีผ้าปูที่นอนจากน้ำเงินหม่นหมอง เป็นสีชมพูพาสเทล ยกแจกันดอกไม้ทองเหลืองมาตั้งวางไว้หลังตู้ลิ้นชักแทนรูปปั้นวัวกระทิงกับมาทาดอร์ ฉีดน้ำหอม Miss Dior Blooming Bouquet ให้กลิ่นฟุ้งตลบอบอวล กลบกลิ่นดิบๆ ของเจ้าของห้องเดิมให้มิด

                ‘อ้อ...แล้วถ้าเธออยากจะจัดห้อง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอะไรก็ทำได้เลย’

                ช่วยไม่ได้ ในเมื่อนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนอนุญาตเธอเองนี่นา

                “น้ำค่ะ” กระถินส่งแก้วน้ำแดงโซดาให้ คุณหนูน้ำหวานหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้

                “ขอบใจจ้ะ” เธอดูดน้ำแดงเข้าไปแค่สองอึกก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา “คุณชัชคงมาแล้ว” น้ำหวานบรรจงวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ค่อยๆ นวยนาดลงบันไดบ้านไป ทันเห็นร่างสูงใหญ่เดินดุ่มๆ เข้ามาพอดี พอเห็นหน้าเธอชัชก็ยิ้มกว้าง แต่น้ำหวานยังมองเขาตาขวาง ยังไม่หายเคืองเรื่องเมื่อเช้า...

                “กระถิน ไปหยิบหมวกกับแว่นกันแดดมาให้เมียฉันที” ฝ่ายนั้นหันไปบอกสาวใช้ที่เดินตามหลังเธอลงมา

                “นั่งรถไปไกลมั้ยคะ”

                “นั่งรถไปคงไกล แต่เราจะไม่นั่งรถไป”

                อย่าบอกนะว่าที่ให้กระถินไปหยิบหมวกกับแว่นให้เพราะว่าต้องเดินเท้าไป พอสาวใช้กลับลงมาพร้อมของที่ว่า นายพ่อเลี้ยงคนเถื่อนก็พาเธอเดินผ่านแปลงผักสวนครัวหลังบ้าน หลังสุมทุมพุ่มไม้ใหญ่สุดสายตา มองออกไปเห็นเวิ้งน้ำกว้าง อาฮ้า...หลังเคหสถานอันโอ่อ่าของเขา คือปากอ่าวสู่ทะเล

                “เราจะนั่งเรือ” 

                ท่าน้ำหลังบ้านมีสปีดโบตเงาวับจอดอยู่สองสามลำ

                “เรือพร้อมแล้วครับคุณชัช” คนสวนที่ป้าละเมียดแนะนำว่าชื่อลุงผิน คนที่ขึ้นมาช่วยเธอยกรูปปั้นกระทิงกับมาทาดอร์ออกจากห้องเงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัยเรือสีขาวคาดน้ำเงินแล้วยิ้มกว้าง ฟันขาวๆ ตัดกับใบหน้าคล้ามเข้มของแก 

                ชัชก้าวลงไปในเรืออย่างคล่องแคล่ว น้ำหวานยังยืนละล้าละลัง “ลงมาสิคุณหนู” ชายร่างใหญ่หนาเหมือนกำแพงเมืองจีนหันมากวักมือเรียก

                “หรือว่ายน้ำไม่เป็น กลัวจะตกน้ำป๋อมแป๋ม?”

                “ฉันว่ายน้ำเป็นค่ะ” ไม่อยากจะโม้ว่าเธอน่ะเคยเป็นถึงแชมป์ฟรีสไตล์เหรียญทองตอน ป.2

                ชัชยื่นมือมา แต่คนบนท่าเชิดหน้าไม่รับไมตรี

                เธอคว้าเสาที่ใช้ผูกเชือกเอาไว้แทน ก้าวขาซ้ายผ่านกราบเรือลงไป เรือลำย่อมพลันโคลงไปมาเพราะแรงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง ขณะที่กำลังเล็งซ้ายเล็งขวาว่าขาอีกข้างจะเหยียบลงตรงไหนของเรือ มือใหญ่แข็งแรงก็รวบเอวเธอไว้ แล้วยกตัวเธอลอยหวือลงในลำเรือด้วยกัน

                “อุ๊บส์” หน้าชนเข้ากับแผงอกหนั่นแน่นเข้าจังๆ ไม่มีส่วนใดในร่างกายของเขาที่อ่อนนุ่มเลยสักอย่าง จมูกถูลงกับอกเสื้อเขาอย่างช่วยไม่ได้

                ฮึ่ม...กลิ่นบ้านั่นอีกแล้ว กลิ่นดิบเถื่อนของเขา

                ถ้ากลิ่นของชัชเหม็นเปรี้ยวเหมือนผ้าที่ไม่ได้ซักสักสามปี มันคงจะดีกว่านี้ ทว่ากลิ่นของเขาเป็นกลิ่นสะอาดราวกับกลิ่นทุ่งหญ้าที่ชะด้วยน้ำฝนหมาดๆ บางทีก็ประหลาดเหมือนผ้าปูที่นอนที่เพิ่งผ่านแสงแดดในตอนบ่าย กลิ่นที่ทำให้เธอคล้ายๆ จะวิงเวียนเมื่อสูดดมเข้าไป

                “คุณไม่จำเป็นต้องอุ้มฉันลงมาก็ได้นะคะ” เธอขืนตัวออกห่างจากเขา ขึงตาใส่คนตัวใหญ่ กลบเกลื่อนความประหม่าที่จู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมา

                ชัชปล่อยมือแต่โดยดี ทว่าร่างใหญ่หนาของเขายังยืนอยู่ใกล้ ใกล้ในระยะที่ทำให้หญิงสาวใจคอไม่ค่อยดี ผิวเนื้อตรงเอวส่วนที่มือของเขาเพิ่งสัมผัสยังร้อนวูบวาบเหมือนเพิ่งถูกนาบด้วยไอร้อน

                “ก็เธอมัวแต่ยืนกางขายักแย่ยักยันอยู่นั่น ฉันก็กลัวน่ะสิว่ากุ้ง หอย ปูปลา ข้างล่างจะหัวใจวายไปกันหมด”

                กุ้ง หอย ปู ปลา หรือใครกันแน่...คำพูดแฝงความนัยของเขาทำเอาคนฟังหน้าแดงแปร๊ด

                โอ๊ย...ก็ใครจะไปรู้ว่าเจ้าประคุณจะพาลงเรือมากันเล่า ไม่อย่างนั้นเธอก็คงกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ไม่ใช่สวมเดรสบานพลิ้วปลิวลมอย่างที่เป็น

                เขาไม่รอให้เธอคิดอ่าน หาคำสวนกลับที่สมน้ำสมเนื้อ สามีหมาดๆ ของเธอเดินไปพูดกับลุงผินสองสามคำ ก่อนที่แกจะปีนกลับขึ้นไปบนฝั่ง ปล่อยทั้งสองไว้ตามลำพัง

                น้ำหวานนั่งลงตรงเบาะนั่งห่างจากเขา ลอบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนที่ยืนอยู่หลังพวงมาลัย จัดหมวกกับแว่นตากันแดดให้เข้าที่ มองวิวสองข้างทางแทนแผ่นหลังกว้างในเสื้อยืดย้วยๆ ของใครบางคน

                แม้แสงแดดในยามบ่ายแก่ๆ ยังเจิดจ้า ทว่าลมเย็นที่พุ่งปะทะใบหน้าในเวลาที่เรือแล่นไม่ได้ทำให้ผิวของเธอระคายเคือง อากาศสะอาดสดชื่นที่ปนกลิ่นเกลือนิดๆ ทำให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ก้มมองฟองคลื่นกระทบกราบเรือ ปากและหน้ารับไอโอดีนจากน้ำทะเลที่กระเซ็นขึ้นมา ไม่นานกลิ่นเกลือและคาวปลาก็หนักข้อขึ้น

                “คุณจะพาฉันไปกินข้าวที่ไหนคะ”

                “บ้านแม่นายแช่ม”

                จะพาเธอมาหาแม่ของนายแช่มทำไม แล้วแม่นายแช่มเป็นใคร น้ำหวานเก็บความสงสัยเอาไว้ได้ไม่นานก็เอ่ยปากถาม

                “แล้วแม่นายแช่มนี่คือใคร”

                “ไปถึงก็รู้เองนั่นแหละคุณหนู”

                เมื่อชัชบังคับเรือเลี้ยวเข้ามาในเวิ้งน้ำ สองข้างทางเห็นบ้านช่องผู้คนและแนวโป๊ะปลาเรียงราย เขาพาเรือแล่นผ่านแพปลาเข้าไปยังท่าน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในเวิ้งน้ำ ท่าเรือนั้นค่อนข้างใหญ่ สร้างด้วยไม้ ดูหรูหรา มีระดับกว่าท่าเรือที่เห็นผ่านตา

                พ่อเลี้ยงหนุ่มผ่อนความเร็วเรือลงแล้วเทียบท่าอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มผิวคล้ำที่ยืนรออยู่แล้วยกมือไหว้ “วันนี้มาเร็วนะครับคุณชัช” สองตาเมียงมองเธออย่างสนใจ ส่งยิ้มซื่อใส แล้วรีบกระโดดผลุงลงจากขั้นบันได ดึงเชือกที่พ่อเลี้ยงหนุ่มส่งให้ไปผูกที่เสาไม้ต้นใหญ่อย่างว่องไว

                “พอบอกว่าคุณชัชจะมา นายก็บอกให้ผมมารอตั้งแต่เที่ยง”

                “ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น” ชัชพูดกับฝ่ายนั้นขำๆ ก่อนจะแนะนำเธอและหนุ่มผิวคล้ำให้รู้จักกัน

                “นี่แดง ส่วนนี่เมียฉัน”

                นายแดงเบิกตากว้าง ยกมือไหว้เธอ “สวัสดีครับคุณนาย”

                อุ๊ยตาย...ถ้าคุณหญิงแม่ของเธอมาได้ยินคงจะมีเคือง แต่สำหรับน้ำหวานไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เธอควรจะต้องทำให้ชินเอาไว้ เพราะคงไม่ใช่แค่นายแดงคนนี้เท่านั้นที่จะเรียกขานเธอว่าคุณนาย

                “สวัสดีจ้ะ” เธอรีบคว้าเสาดึงตัวเองขึ้นจากเรือ ก่อนที่ใครบางคนจะถือวิสาสะคว้าเอวหมับจับเธอโยนขึ้นไปบนท่าน้ำเหมือนกับถุงปุ๋ย

                พวกเธอเดินตามแดงไปบนทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปยังฝั่ง มองไปที่แนวฝั่งเห็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง บางส่วนของเรือนและนอกชานยื่นออกมาในน้ำเหมือนบ้านริมคลองสมัยเก่า ผิดแค่นี่คือบ้านริมอ่าวเท่านั้น

                ชัชก้มลงถอดรองเท้าก่อนก้าวขึ้นบันได เธอทำตามเขาเร็วไว ไม่กี่อึดใจทั้งสองก็เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในตัวเรือน เลี้ยวซ้ายขวาสองสามหนก็โผล่มายังนอกชานที่เห็นเมื่อกี้

                มุมฝั่งนี้แดดร่มลมตกแล้ว พัดลมเพดานพัดไล่ความอบอ้าวออกไป เหลือแต่ความเย็นสบาย

                “หายหน้าไปเลยนะหมู่นี้” หญิงสูงวัยที่นั่งเอนอยู่บนโซฟาไม้ฝังมุกเอ่ยปากทัก

                นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนยิ้มกว้าง นั่งลงบนโซฟาข้างๆ “ก็มีธุระปะปังต้องสะสางน่ะแม่นาย” เขาไม่ได้พูดคำลงท้าย แต่ปลายเสียงทอดอ่อนลง

                ‘นาย’ ที่แดงพูดถึงคือ ผู้หญิงผมสีดอกเลาคนนี้น่ะหรือ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นผู้ชายเสียอีก

                “ย่ะ พ่อคนธุระเยอะแยะทำไม่หวาดไม่ไหว อยู่ใกล้ๆ กันแค่นี้ กว่าจะโผล่มาก็เดือนละนับครั้งได้ แล้วแม่เด็กหน้าตาสะสวยนี่ใคร”

                “คนนี้ชื่อน้ำหวาน เป็นเมีย น้ำหวานนี่แม่นายแช่ม แม่เลี้ยงฉันเอง”

                แม่เลี้ยง? ในวิกิพีเดียไม่ได้พูดถึงพ่อแม่ของพ่อเลี้ยงคนเถื่อนมาก่อน

                “เมีย?” แม่นายแช่มเลิกคิ้วขาว หยีตาผ่านแว่นกรอบทองมองลงมา

                “เมียจริงๆ เลย หรือเมียแบบสองสามอาทิตย์ก็เปลี่ยนหน้าล่ะ” ประโยคง่ายๆ ของคนพูด ทำเอา เมียจริงๆ เลิกคิ้ว อดเหลือบตามองสามีตัวเองไม่ได้

                สองสามอาทิตย์...

                แหม...น่ายินดีเหลือเกินที่เขาไม่ได้เปลี่ยนสาวๆ บ่อยเหมือนเปลี่ยนกางเกงใน ชัชยิ้มเรื่อยเฉื่อย ยังดูสบายๆ แล้วอธิบายขยายความ

                “เมียจริงๆ มินาย”

                นายหญิงมองเธอขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกำลังพิจารณาปลาสดในตลาด “คนนี้สวยดี” วิพากษ์วิจารณ์กันต่อหน้าต่อตา “หน้าตาดูเรียบร้อย ไม่แรดเหมือนคนก่อน”

                ชัชยิ้มอ่อนให้คนสูงวัย ส่วนคนที่ดูไม่แรดเหมือนคนก่อนเกือบจะอ้าปากหวอให้แก่ปากคอเราะรายของคนที่นี่ คนก่อนของเขาต้องแรดเบอร์ไหน

                อยากจะเตือนสองคนนั้นเอาไว้เสียก่อน ความแรดในตัวเธอยังไม่ค้นพบ เพราะยังไม่เคยมีใครอยากให้แรดด้วย

                แต่ความเรียบร้อยนั้นเป็นสิ่งที่เธอแน่ใจว่าไม่ใช่ความจริงแท้ในตัวตนของเธอ แค่สามนาทีที่เจอหน้า ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็รู้สึกแล้วว่าเจ้าที่ที่นี่น่าจะแรงไม่เบา อาจจะไม่ใช่แค่ชัช แก๊งลูกแกะ และน้าสมร ญาติของเขาที่เธอต้องสู้รบตบมือ

                “วันนี้ได้จะละเม็ดขาวกับแดงมาตัวใหญ่ เอาไปทำจะละเม็ดหม้อไฟ หรือข้าวต้มทรงเครื่องคงอร่อยดี”

                “ปลาอยู่ที่ไหน...” ชัชไม่ได้พูดคำลงท้ายกับแม่นายทุกคำ แต่สุ้มเสียงของเขาทอดอ่อนลง

                “โป๊ะปลาบ้านไอ้แดงโน่นละมั้ง”

                พ่อเลี้ยงหนุ่มพยักหน้า หันมามองเธอแล้วบอก...“นั่งเล่นอยู่ที่นี่แล้วกันเดี๋ยวมา ฉันจะไปดูปลาจะละเม็ด ข้างนอกมันร้อน ออกไปตัวจะไหม้จะเกรียมเสียเปล่าๆ” ไม่รอให้เธอตัดสินใจ ว่าอยากจะนั่งเล่นอยู่ตรงนี้หรือจะออกไปเดินท้าแดดลมกับเขา ร่างใหญ่หนาเหมือนเขาไกรลาสก็ลุกขึ้น เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องนั่งเล่น

                เฮ้ย...ทิ้งเธอไว้ง่ายๆ อย่างนี้ก็ได้หรือ

                “อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” แม่นายแช่มถาม ปิดโอกาสให้เธอจะวิ่งตามสามีออกไป

                “ยี่สิบสี่แล้วค่ะ”

                “ก็ไม่ได้เด็กมากอย่างที่เห็นตอนแรก” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เงียบไป หันไปวุ่นวายกับกับนิตติงที่ถักค้างอยู่ในมือ

                “ลูกเต้าเหล่าใคร”

                จะให้เธออธิบายยังไง เลยบอกนางง่ายๆ ไปว่า “ลูกคุณหญิงลำหยวกค่ะ”

                “ฉันไม่เคยได้ยิน” แม่นายว่าเฉยๆ พูดเรื่อยๆ น้ำเสียงไม่ได้เจือความกระแนะกระแหนแต่อย่างใด “เป็นผู้ลากมากดีสินะ”

                ว่าแล้วอีกฝ่ายก็เงียบไป คล้ายจะจดจ่อสนใจอยู่กับงานฝีมือที่ทำ น้ำหวานนั่งมองซ้ายมองขวา บรรยากาศเริ่มจะเงียบเหงา เพื่อบรรเทาความอึดอัดเธอจึงเริ่มบทสนทนาเสียเอง

                “แม่นายขายอาหารทะเลเหรอคะ ตอนนั่งเรือผ่านมาเห็นแพปลาอยู่เต็มไปหมด”

                “ตอนนี้ฉันก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง แล้วแต่จะจับได้ไม่ได้” ภาษากลางของแม่นายชัดแจ๋ว ไม่มีเค้าสำเนียงทองแดงอย่างที่ได้ยินจากคุณป้าแม่บ้าน หรือเด็กรับใช้ในบ้าน ท่าทางแช่มช้อยและผิวพรรณขาวผ่อง ดูแตกต่างจากคนในท้องที่

                “แต่หนูเห็นแพปลากับคนงานทำงานขันแข็ง คงจะขายดีเทน้ำเทท่าเลยนะคะ” น้ำหวานยิ้มหวาน ชวนสนทนา

                “ที่จริงฉันทำมาค้าขาย มีอะไรก็ขายอันนั้น ทรัพย์สมบัติที่มีก็คงต้องขอบคุณโคตรเหง้าของผัวฉัน ที่พอจะให้ลูกหลานในปัจจุบันตั้งตัวค้าขาย ลืมตาอ้าปากกันมาได้” เจ้าตัวพยักพเยิดไปยังรูปภาพที่น่าจะเป็นรูป ‘โคตรเหง้า’ ที่ติดอยู่บนฝาบ้าน

                รูปขาวดำของชายหญิงทั้งหลายให้ความรู้สึกน่าครั่นคร้ามอย่างไรชอบกล ทั้งผู้หญิงผู้ชายแลดูเหี้ยมหาญดุดันอย่างกับนักรบบางระจันที่เห็นกันในหนังในละคร มองเห็นเค้าโครงหน้าแบบเดียวกันในใบหน้าคล้ามคมของ ชัช ชำนาญพาณิชย์

                “แม่นายเหมือนจะไม่ใช่คนที่นี่”

                “พื้นเพฉันเป็นคนแม่สาย บ้านฉันที่โน่นก็ทำอาชีพค้าขาย”

                มิน่าเล่า...น้ำหวานยังนั่งพิจารณาภาพถ่ายพวกนั้น ปากก็เจื้อยแจ้วต่อไป

                “เพราะต้นตระกูลของคุณชัชทำมาค้าขายมาตลอดเลยนี่เอง คุณชัชถึงได้มีหัวการค้า ธุรกิจถึงขยายใหญ่โตเหมือนทุกวันนี้” 

                วู้...โล่งอกโล่งใจไปที หลายครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ที่ ชัช ชำนาญพาณิชย์ ร่ำรวยอู้ฟู่ เพราะค้าของอาวุธเถื่อน ทำเรื่องผิดกฎหมายสไตล์มาเฟียท้องถิ่น เธอไม่อยากพาชีวิตตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย ติดหลังแหไปด้วยให้เสียประวัติลูกสาวคุณหญิงลำหยวก

                น้ำหวานเบือนหน้ามามองแม่นาย ไม่อยากมองสบกับโคตรเหง้าของนายพ่อเลี้ยงคนเถื่อนนานนัก เพราะขนบนหลังคอชักจะลุกยังไงชอบกล แม่นายแช่มยิ้มในหน้าแล้วเจรจาต่อ

                “เปล่าร้อก ต้นตระกูลที่แท้จริงของพ่อชัชไม่ได้ทำมาค้าขาย” 

                “อ้าว...แล้วทำอะไรล่ะคะ”

                “ปล้นเขามาน่ะ”

                น้ำหวานสตันไปในทันใดกับคำตอบและรอยยิ้มละไมของคนพูด

 

                “โจร! แกหมายถึงโจรจริงๆ เนี่ยนะ”

                “ก็เออน่ะสิเจ๊ เป็นมาตั้งแต่โคตรเหง้าศักราชเลยด้วย”

                พูดแล้วอยากเอาหัวโขกผนังเรือนกระจก หลุมหลบภัยชั่วคราวของตัวเองสักสองสามที จะมีสามีทั้งทีดันมาได้สามีมีโคตรเหง้าเป็นโจรป่าห้าร้อย

                ‘เสือช้อยปู่ทวดของผัวฉัน ปล้นมาหมดแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เอาสมบัติไปฝังในไหมากมาย พวกลูกหลานทั้งหลายขุดขึ้นมาขายกินเอาไปตั้งตัว ยึดอาชีพโจรมานาน มาหยุดลงได้เพราะเมียขู่ว่าจะทิ้งไปมีผัวใหม่ ถ้ายังทำตัวเลื่อนลอย ไร้หลักฐาน ไม่ทิ้งสันดานโจร’

                แม่นายแช่มเล่าให้ฟังแย้มยิ้มเหมือนกับเล่านิทานหรรษาให้เด็กน้อยฟัง ส่วนคนนั่งฟังตัวลีบลงๆ เรื่อยๆ หลังจากฟังหญิงสูงวัยเล่าความหลังครั้งก่อนเก่ามาเกือบครึ่งชั่วโมง

                เธอขอตัวออกไปสูดอากาศปลอดโปร่งให้สมองโล่งในทันที

                น้ำหวานไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ชัช ชำนาญพาณิชย์ ถึงให้ความรู้สึกเถื่อนนิดๆ ดิบหน่อยๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า วันนี้เธอรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์เท่านั้น แต่สามีของเธอเถื่อนยันดีเอ็นเอ

                “ฉันอยากจะบ้าตาย”

                “แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้เป็นโจรเจินอะไรนั่นแล้วไม่ใช่เหรอ” เสียงเลื่อมเพชรแย้งกลับมา

                น้ำหวานมองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นใครแล้วจึงสาธยายต่อ

                “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า” บางทีเธออาจจะจับพลัดจับผลูมาเป็นเมียมาเฟียไปแล้วก็ได้ ชัชอาจจะประกอบอาชีพค้าขายใหญ่โตเป็นฉากหน้า อาจจะค้าของก๊อป ลักลอบขนของเถื่อนเป็นอาชีพหลักก็ได้

                “จะยังไงก็ช่าง เจ๊รีบลงมาเสริมทัพฉันด่วนเลยนะ คนเดียวหัวหาย สองคนอย่างน้อยก็มีเพื่อนตายไปด้วยกัน”

                “ว้าย...จะบ้าเหรอยัยน้ำหวาน ฉันยังไม่มีสามี จะให้ซี้แหงแก๋ไปก่อนก็ไม่คุ้มค่ากับที่อุตส่าห์ประทินโฉมให้สวยพริ้งด้วยลาแมร์ ลาแพรี เข้าฟิตเนสเล่นพิลาทิสทั้งปีสิยะ”

                “มันก็แค่สุภาษิตเปรียบเปรย ตอนนี้ถึงฉันจะไม่ถูกนายกระทิงเฒ่านั่นต้มยำทำแกง ก็ยังมียัยน้าสมรศัตรูใหม่ ไหนจะแม่นายเลี้ยงของเขาอีก”

                ถึงแม้ว่าแม่นายแช่มจะบอกว่า ครอบครัวของนางล้างมือในอ่างทองคำฝังเพชรมานานนมแล้ว ทว่าใจน้ำหวานก็ยังอดตุ๊มๆ ต้อมๆ ไม่ได้ กลัวว่าความร้ายยังหลงเหลืออยู่ในรุ่นลูกหลาน

                “เอาน่ะๆ ฉันเคลียร์งานด่วนทางนี้ก่อนแล้วจะรีบลงไป”

                “งานด่วน?”

                ร้อยวันพันปี ไม่มีเสียละที่ เลื่อมเพชร เก็จนพเก้า จะวุ่นวายกับการทำงานเลี้ยงปากท้อง

                “ก็ปู่ฉันน่ะสิ อยู่ดีๆ ก็ประชุมลูกหลานเป็นการใหญ่ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบ”

                “แล้วมันเรื่องอะไร”

                “ฉันเองก็ยังไม่รู้ ต้องรอให้ญาติโกโหติกามาชุมนุมให้พร้อมหน้าเสียก่อน”

                น้ำหวานถอนหายใจยาว ญาติโกโหติกาของเลื่อมเพชรนั่น นับรวมตัวหล่อนก็เป็นรุ่นที่เก้า รายชื่อยาวเป็นหางว่าว กว่าจะนับลำดับเชื้อสายหมด อาจต้องใช้เวลาถึงสามวันสามคืน

                ครอบครัวของเธอคนละขั้วกับเพื่อนรุ่นพี่ น้ำหวานมีญาตินับนิ้วได้ ส่วนญาติของอีกฝ่ายมีดาษดื่นมากมายในสังคม...

                “อยู่ที่นี่เอง” เสียงผู้ชายดังขึ้นข้างหลังทำเอาคนที่กำลังทำตัวลับล่อๆ อยู่ข้างพวงกล้วยไม้ถึงกับสะดุ้งโหยง

                “แค่นี้ก่อนนะเจ๊” หญิงสาวรีบตัดสายรุ่นพี่สาวแล้วหันขวับกลับไปมอง

                ร่างสูงโปร่งสะโอดสะองเดินแหวกแนวกล้วยไม้ที่แขวนระโยงระยางจากเพดานตรงมาหาเธอ ปากแย้มกว้างออกเป็นรอยยิ้มบอกไมตรี ใบหน้าของเขาจัดอยู่ในระดับหน้าตาดี มีบางอย่างในท่าทีที่คุ้นตา

                “แม่นายให้มาตามไปรับประทานของว่างน่ะครับ”

                เธอยังยืนมองเขางงๆ

                “อ้อ...ผมลืมแนะนำตัวไป ผม โชติ ชำนาญพาณิชย์ ครับ เป็นน้องของคุณชัช”

                คุณชัช...คำเรียกนั้นแลดูห่างเหินเหมือนยำเกรงอยู่ในที เธอคลี่ยิ้มพิมพ์ใจให้เขาตามมารยาท…

                “แม่นายบอกว่าคุณน้ำหวานอยู่ในเรือนกระจก ผมเลยอาสามาตาม” นัยน์ตาดำขลับของคนพูดเป็นประกายระยิบระยับจับนิ่งอยู่บนใบหน้าเธอ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมาเล็กน้อย “จริงอย่างที่แม่นายบอกเลยนะครับ”

                “จริงอะไรเหรอคะ” น้ำหวานเอียงคอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

                “แม่นายบอกว่าคุณน้ำหวานน่ารักอย่างกับตุ๊กตา ไม่แปลกใจเลยที่คุณชัชถึงถูกใจจนพากลับมาที่นี่ด้วย”

                “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” น้ำหวานแสร้งทำเก้อเขิน มองเมินไปยังดอกหน้าวัวในกระถางใกล้ๆ

                รอยยิ้มกรุ้มกริ่มและคำชม ถ้าเป็นสาวใสวัยมัธยมที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้างคงจะเขินจนเอียงอาย แต่เสียใจจ้ะ...ถึงเธอจะใช้ชีวิตอยู่ในกะลาเสียส่วนใหญ่ ทว่าประสบการณ์ชีวิตในช่วงยากลำบากขัดเกลาไม่ให้ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเป็นพวกอ่อนไหวง่ายดายขนาดนั้น แม้ว่าเธอจะยังไม่ได้ท่องไปทั่วยุทธภพอันกว้างใหญ่ก็ตาม             

                ทว่าตั้งแต่จำความได้จนเหยียบยี่สิบสี่ปี ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกมีชีวิตอยู่ในแสงสีของภาพมายา พวกโลกโสภาปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอมีให้เห็นเยอะไป บางครั้งคนห่ามๆ ขวานผ่าซาก ก็น่าเสน่หามากกว่าพวกสุภาพ พูดจาอ่อนหวาน

                น้ำหวานมีภูมิต้านทานคำหวานพอสมควร

                “เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวแม่นายจะรอ” หญิงสาวร่างแบบบางออกเดินนำ หันไปกลอกตากับกระถางดินเผาและเถาไม้เลื้อย คนเดินตามมายังเจื้อยแจ้ว...

                “เมื่อกี้ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับที่บอกคุณชัชชอบคุณน้ำหวานมากจริงๆ คุณชัชเขาไม่ถูกใจใครง่ายๆ หรอกนะครับ ถึงกับรีบเร่งรัดแต่งงาน จนไม่ทันได้บอกข่าวเล่าเรื่องกับที่บ้านแบบนี้แล้ว คุณชัชเขาหวงชีวิตโสดมานาน ไม่ได้จริงจังกับใครถึงขั้นนี้ ก็ตั้งแต่ลดา...”

                ลดา...ชื่อนี้สะดุดหู ลดาคนนี้คือใครกัน หญิงสาวจึงเอี้ยวคอกลับไปดูหน้าคนที่เดินตามหลัง

                “โอ๊ย!...” กิ่งกุหลาบเลื้อยที่ข้างเสาดันเกี่ยวหางม้ายาวๆ ของเธอเข้า เอานิ้วดึงแล้วก็ยังติดแหง็กไม่ออก คุณพระ!...แม้แต่กิ่งไม้แถวนี้ยังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเธอ ช่างดีเสียเหลือเกินนะ

                “อยู่นิ่งๆ ครับ เดี๋ยวผมดึงออกให้” โชติขยับเข้ามา หมายมั่นปั้นมือจะแกะผมปอยนั้นออกจากกิ่งไม้ ทว่าปลายนิ้วไม่ทันได้แตะต้องเส้นผมเธอ มือใหญ่หนาของใครอีกคนก็คว้าหมับจับเข้าที่ข้อมือของเขาทันควัน

                “ให้ฉันทำเองจะดีกว่า” เสียงห้าวบอกนิ่มๆ

                โชติรีบถอยห่างออกจากเธอเหมือนเจอผี สบนัยน์ตาสีสนิมของพี่ชาย ท่าทางของเขาเหลอหลาดูน่าขัน ทว่าสามีเธอนั้นไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

                “เดินยังไงฮึ ให้กิ่งไม้เกี่ยวผมเอาได้” สุ้มเสียงเหมือนตำหนิแต่เจือด้วยความรักใคร่เอ็นดูอยู่ในที ทำเอาเธอเซอร์ไพรส์ในทีแรก

                เฮ้ย...ทำไมทำตัวแปลกจากที่เคยเป็น

                ชัชค่อยๆ ดึงปอยผมเธอออกจากหนามกุหลาบอย่างใจเย็น ท่าทางนุ่มนวลต่างกันลิบลับกับเวลาที่ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง น้ำหวานยืนจังงังอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ความเข้าใจจะบังเกิดในเวลาต่อมา

                อา...เธอจะกลัวความปลิ้นปล้อนหลอกลวงของคนอื่นไปไย ในเมื่อจอมลวงโลกเบอร์ใหญ่สุดก็คือสามีของตัวเอง ฝ่าปราการความตอแหลของ ชัช ชำนาญพาณิชย์ ไปได้ ศัตรูหน้าไหนก็ไร้ความหมาย

                ถึงอย่างนั้นร่างสูงใหญ่ที่ขยับเข้ามาประชิดก็ทำให้ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกอดรู้สึกเกร็งไม่ได้ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดที่ซอกคอ เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมลงมาที่ฝ่ามือ หายใจไม่ทั่วท้อง และหัวใจเริ่มเต้นแรง

                หรือเธอจะต้องไปตรวจสุขภาพประจำปี ดีไม่ดีอาจจะเป็น...โรคหัวใจ

                “ไหนดูซิ ถูกหนามเกี่ยวตรงไหนอีกรึเปล่า” มือหยาบหนาลูบไล้ไปตามแขนนุ่มเนียนของคนตัวเล็กกว่า ทั้งที่รู้ว่าเป็นแค่เรื่องมายา ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาจริงๆ

                 ก็นิ้วสากๆ ที่ลากไปทั่ว...ชวนให้รู้สึกสยิวกิ้วยังไงชอบกล

                “ไม่มีแล้วค่ะ” น้ำหวานเอียงตัวหนี อยากจะชิ่ง แต่คนเป็นสามียิ่งขยับเข้ามาใกล้

                “เธอไม่สบายรึเปล่า ทำไมแก้มแดงๆ” นัยน์ตาสีสนิมมองมา คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นน้อยๆ เขาไล้หลังข้อนิ้วลงบนผิวแก้มเบาๆ

                “อากาศมันร้อนน่ะค่ะ”

                โอย...ออกไปไกลๆ หน่อยได้ไหม จะสิงองค์ลงประทับในร่างเธอหรือไง

                “แน่ใจเหรอ”

                น้ำหวานย่นคอหนี แม้ใบหน้าคล้ามคมที่เคลื่อนใกล้เข้ามาจะนิ่งเฉย แต่ดวงตาของเขาทอประกายขบขัน ซึ่งมีแต่เธอเท่านั้นที่มองเห็น ในสายตาของคนอื่น ชัชก็คงไม่ต่างจากชายหนุ่มที่กำลังห่วงใยภรรยา

                มารยารอยเล่ห์นี้พี่เรียนมาจากอะคาเดมีไหน...

                “อะแฮ่ม...” โชติที่ถูกหมางเมินอยู่นานกระแอมกระไอ 

                “ถ้า...เอ่อ…คุณชัชกับคุณน้ำหวานอยากจะเดินเล่นอยู่ในนี้ต่อ ผมขอตัว...”

                “ไม่แล้วละค่ะ” น้ำหวานโพล่งออกมา

                “สงสัยฉันกินข้าวเที่ยงน้อยไปหน่อย ตอนนี้รู้สึกหิว หิวจนเวียนหัวเลยค่ะ”

                “งั้นเราก็รีบไปกินของว่างกันดีกว่า” ชัชบอกพลางยกแขนขึ้นโอบเอวเธอหน้าตาเฉย “นายเดินไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ”

                “คะ...ครับคุณชัช” โชติรีบเดินดุ่มๆ ออกจากเรือนกระจก เหมือนพลทหารที่เร่งรีบทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

                พอพ้นสายตาน้องชายสามี เธอก็เอาศอกถองสีข้างคนตัวใหญ่กว่า ทำตาพองใส่ นายพ่อเลี้ยงหนังหนาร้องโวยวาย

                “ถองฉันทำไมล่ะคุณหนู ศอกเธอน่ะคมจะตาย”

                “แล้วคุณจะมาโอ่งมาโอบฉันทำไมคะ”

                “อ้าว...ก็เมื่อกี้เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าหิวจนเวียนหัว” เขาบอกหน้าตาย แขนยังไม่คลายจากตัวเธอ “ฉันก็กลัวเธอจะเป็นลมหัวฟาดพื้นไป กลายเป็นบ้าขึ้นมา”

                “ฉันหายแล้ว” น้ำหวานบิดตัวออกห่างจากวงแขนแข็งแรงของอีกฝ่าย

                ชัชยอมปล่อยเธอไปแต่โดยดี ทว่านัยน์ตาระยิบระยับคู่นั้นยังคงมองมายิ้มๆ

                น้ำหวานสะบัดหน้าใส่เขา ย่ำเท้าออกไปจากเรือนกระจกได้ก็ถอนหายใจโล่งอก ฮึ่ม...เอะอะก็แตะนั่น เอะอะก็โดนนี่ คนอะไรไม่รู้ชีกอหน้าไม่อาย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น