9

ใกล้ๆ เตียง


 

บรรยากาศเงียบสงบของเรือนริมอ่าวพังทลายลงเมื่อพายุลูกแกะพัดถล่มเข้าใส่ เสียงเอะอะตึงตังดังมาก่อนที่บรรดาแฝดสามจะโผล่พรวดพราดเข้ามา พร้อมกับหญิงสาวผมสั้นแปลกหน้า...สำหรับเธอ แต่คุ้นเคยกันดีสำหรับทุกคนที่นี่

                ชีวัน...น้องสาวของชัชและโชติ อาสาวคนสวยของบรรดาหลานๆ

                ‘ชีวันเขาเป็นครูสอนเปียโน เปิดโรงเรียนสอนดนตรีอยู่ในเมือง’ คุณพ่อเลี้ยงบอกเธอสั้นๆ

                แม้จะอยู่ในช่วงปิดเทอม ทว่า ชัช ชำนาญพาณิชย์ ก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้ลูกสาวตัวเองอยู่บ้านว่างๆ เขาหาทางต้อนลูกแกะไปไว้ที่โรงเรียนดนตรีของน้องสาว ให้คุณครูที่นั่นสอนดนตรีให้ไปตามเรื่องตามราว พอตกบ่ายถึงติดรถคุณอากลับออกมาจากในเมือง

                สรุปจำนวนเครือญาติข้างสามีที่เธอได้เจอในวันนี้ มีทั้งหมดแปดชีวิตด้วยกัน

                ลูกแฝดสาม แม่นายแช่ม โชติ และชีวัน น้าสมรและบัว หลานสาวคนดี 

                ‘ยังมีพี่ชอบ พี่ชายผมอีกคน ตอนนี้ทำงานอยู่เมืองนอก’ โชติบอกเธอยิ้มๆ

                น้ำหวานเริ่มหนักใจ แต่ไหนแต่ไรมา ครอบครัวของเธอมีขนาดเล็กมาตลอด นอกจากพ่อแม่แล้วก็มีแค่คุณสาย และสาวใช้ในบ้านที่หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไป จนได้แป๋วที่อยู่ด้วยกันมาห้าหกปี ญาติผู้ใหญ่ก็ล้มหายตายจาก มีเหลืออยู่บ้างก็ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน

                นอกจากจะต้องรับมือกับแก๊งลูกแกะแล้ว เธอคงต้องนั่งทำ Family Tree เอาไว้ด้วยกันหลง

                กินของว่างเบาๆ ไม่นาน หลังจากนั้นป้าอังกาบ...แม่บ้านและชีวันก็จับสามแฝดอาบน้ำประแป้งเสร็จ แม่นายก็นำทุกคนมายังห้องกินข้าว โต๊ะยาวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยชุดเก้าอี้นับสิบตัว หญิงสูงวัยเจ้าของเรือนนั่งเป็นประธาน ข้างขวาคือเธอกับชัช ฝั่งตรงข้ามคือโชติกับชีวัน

                ถัดลงไปปลายโต๊ะ คือแกะน้อยทั้งสามนั่งพร้อมเพรียงกัน ป้าอังกาบและสาวใช้ช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด

                ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร สาวใช้ลำเลียงจานเข้ามาวางเรียงไว้ ใบเหลียงผัดไข่ กุ้งผัดสะตอ ปลากระบอกทอดขมิ้น แกงเหลืองออดิบ ทอดมันปลา พล่ากุ้ง ต้มยำพุงปลา...

                “ช่วงนี้งานที่รีสอร์ตเป็นยังไงบ้าง” ชัชเอ่ยปากถามน้องชาย

                “ก็ดีครับ”

                “พรุ่งนี้ถ้าว่างมาเจอฉันที่ออฟฟิศหน่อยสิ” ชัชบอกง่ายๆ

                ทว่าเธอแอบเห็น แม่นายแช่มกับชีวันลอบสบตากัน ส่วนโชตินั้นแลดูอึดอัดอึกอักขึ้นมา

                “คุณชัชมีอะไรรึเปล่าครับ” เธอยื่นมือไปตักแกง เงี่ยหูฟัง

                “ไม่มีอะไรหรอก” ชัชบอกยิ้มๆ “แค่หมู่นี้ฉันไม่ค่อยได้คุยกับแกเท่าไหร่”

                มันต้องมีอะไรแน่ๆ ขนาดเธอเพิ่งรู้จักเขายังมองออก

                “สิบโมงครึ่งเป็นไง” ท่าทางคนถามเหมือนสบายๆ ทว่านั่นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นการแจ้งให้ทราบว่าเขาต้องการพบอีกฝ่ายในเวลาที่ได้แจ้งไป และพ่อคนเอาแต่ใจย่อมไม่ต้องการคำปฏิเสธ

                “ได้ครับ”

                พอโชติรับคำอย่างเสียไม่ได้แล้ว ชัชจึงเปลี่ยนเรื่องมาคุยถึงแพปลาและสวนผลไม้ที่แม่นายปลูกไว้ เมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป คนในโต๊ะก็ผ่อนคลายลง

                “ไข่เจียวปู เค้าชอบไข่เจียว!” ยัยแกะชุดฟ้าประกาศกร้าว เมื่อสาวใช้วางไข่เจียวฟูกรอบหอมฉุยลงบนโต๊ะอาหาร

                เธอคงจะไม่สนใจนักหรอก ถ้าความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นในวินาทีต่อมา

                “เค้าก็ชอบไข่เขียว!” ยัยแกะชุดชมพูดึงจานมาหาตัว

                “คะเค้า ก็ชอบขะไข่เจียว” ยัยแกะชุดเขียวอ้อมแอ้มบอก

                “เค้าชอบมากกว่า”

                “เค้าชอบมากกว่า มากกว่ามาก”

                “เค้าบอกก่อน ต้องได้กินเยอะกว่า” แกะชุดฟ้าคำราม กระหยิ่มยิ้มย่อง สีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์เหมือนคนแถวนี้ไม่มีผิด ดึงจานกลับคืนไป

                ปลายประสาทของน้ำหวานกระตุก ส้อมแทบจะจิ้มโดนกระพุ้งแก้ม ไม่เคยชินกับความเยอะของครอบครัวใหญ่ และความโหวกเหวกโวยวายของเด็กน้อย แม้เธอจะเคยฝึกสอนมารยาทให้เด็กเล็กมาก่อน แต่ก็ไม่เคยต้องมานั่งร่วมโต๊ะอาหาร ใช้เวลาด้วยกันยาวนาน

                “แบ่งเค้ากินด้วยสิละมุน” แกะชมพูนิ่วหน้า ร้องเสียงแหลม

                “เค้าก็อยากกินนะ”

                “ไข่เจียวมีแค่นี้เอง เค้ากินคนเดียวก็ไม่อิ่มแล้วนะ” แกะฟ้านามว่าละมุนเชิดคางย่นจมูก

                “ได้ยังไง เค้าไม่ยอม!”

                คราวนี้ผู้ใหญ่หยุดคุยกันแล้วหันไปมองแกะน้อยทั้งสามที่กำลังเถียงกันจะเป็นจะตาย

                “เด็กๆ อย่าทะเลาะกันสิจ๊ะ” ชีวันส่งเสียงปราม ทว่าไม่อาจห้ามสงครามแย่งไข่เจียวที่กำลังปะทุคุกรุ่นได้

                แกะชุดฟ้ากับชุดชมพูยื้อแย่งจานไข่เจียวกันไปมา ในที่สุดไข่เจียวธรรมดาก็กลายเป็นไข่เจียวลอยฟ้า ฟี้ว...ลอยละลิ่วลงมาตกที่จานเธอ ก่อนจะแฉลบลงไปกองบนพื้นโต๊ะกินข้าว

                “โอ๊ะโอ...” สามเสียงอุทานออกมาพร้อมกัน พลันหน้าม้าน

                “ซนจริงพวกเรา” สิ้นเสียงดุของคนเป็นพ่อ แกะน้อยทั้งแก๊งก็หน้าจ๋อย ก้มหน้างุดๆ

                “นี่ทำหล่นหมดแล้ว ไม่ต้องกินกันเลยสักคน” ชัชลุกขึ้นยืน ทำหน้าเคร่งขรึม ถามเสียงเรียบ “บอกป๊ะป๋ามาซิ ใครเป็นคนเริ่มก่อน”

                ขวับ ขวับ! แกะชมพูกับแกะเขียวเหลียวมองแม่แกะฟ้าเป็นตาเดียว              

                “ละมุน”

                แค่สองพยางค์จากปากคนเป็นพ่อ แกะฟ้าที่อวดเก่งที่สุดก็หน้าเบ้ เสไปมองหน้าแม่นายแช่มที่หัวโต๊ะ เบะปาก น้ำตาคลอ ทำหน้าทำตาน่าสงสารขึ้นมาทันที ทว่าฝ่ายป๊ะป๋าก็ไม่ปรานีง่ายๆ

                “ละมุนทำแบบนี้ป๊ะป๋าไม่ชอบเลยนะ”

                “ละ...มุนแค่...อยากจะกินขะ..ไข่เจียว...เย้อเย้อ”

                “ไม่เอาน่ะ ลูกมันไม่ได้ตั้งใจ หกแล้วก็ไปทำมาใหม่” แม่นายเอ่ยแทรกขึ้นมา ก่อนที่ป๊ะป๋าจะได้ตำหนิติเตียน “เด็กมันก็ตัวแค่นี้จะไปดุด่าไปก็ไม่รู้เรื่อง”

                “แต่นาย ผมต้องสอน...”

                “โอ๊ย...จะอบรมบ่มนิสัยอะไรก็ไว้ทีหลัง นี่มันเวลากินข้าว นั่งลงแล้วกินต่อเถอะ กินไปด่าไปเดี๋ยวก็ท้องอืดท้องเฟ้อขึ้นมาอีก ทีนี้ได้ยุ่งยากกันใหญ่” หญิงสูงวัยขึ้นเสียง หันไปบอกป้าแม่บ้าน

                “อังกาบไปบอกในครัวให้ทำมาใหม่ พาหลานๆ ฉันไปกินในห้องนั่งเล่นข้างในโน่นไป๊ วุ่นวายจริงเด็กพวกนี้” ปากก็ต่อว่าไปนั่น แต่เจ้าตัวกำลังกันจำเลยออกไปเห็นๆ

                ชัชทำหน้าบึ้งตึง เขาไม่ได้ขัดคอแม่เลี้ยง ทว่าท่าทางนิ่งขึงบอกความไม่เห็นด้วยก็คงไว้หน้า หญิงสูงวัยเลยไม่ต่อความยาว แม่นายแช่มเป็นประเภทปากร้าย ใจอ่อน น้ำหวานโน้ตลงไปในใจเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน

                แค่เห็นน้ำตาหลานน้อยร่วงเผาะก็หวั่นไหวเสียแล้ว...เฮ้อ ส่วนยัยแกะละมุนก็เชื้อไม่ทิ้งแถว มารยาแพรวพราวไม่ต่างจากใครบางคนเอาเสียเลย หรือเรื่องแบบนี้มันถ่ายทอดกันโดยดีเอ็นเอได้

                “เอ้าๆ กินต่อ กับข้าวจะชืดเสียหมด”

                กับข้าวไม่ชืดหรอก แต่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารชืดลงไปโข กินไปได้สองสามคำ ชีวันก็เริ่มบทสนทนาอีกครั้ง คล้ายจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดบนโต๊ะอาหาร

                “คุณน้ำหวานทานอาหารได้มั้ยคะ มื้อนี้มีของเผ็ดหลายอย่าง”

                “ทานได้ค่ะ” เธอยิ้มให้น้องสามี

                ทั้งหมดทั้งมวลที่นั่งตรงนี้ หล่อนดูจะเป็นคนที่คบง่ายที่สุด แถมอายุอานามก็แก่เดือนกว่าเธอเล็กน้อย

                “ก็ดีที่กินได้ ฉันนึกว่าลิ้นผู้ดีจะมีปัญหา” แม่นายว่าต่อ ถ้อยคำเหมือนจะด่าทอ ทว่าน้ำเสียงไม่ได้ส่งเจตนาร้าย

                “แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะแม่นาย สมัยอยู่ที่บ้านน้ำหวานชอบรับประทานตำปูปลาร้า กินส้มตำธรรมดาแล้วไม่ค่อยอร่อยนะคะ ต้องใส่ปูกับปลาร้าเข้าไปถึงจะกลมกล่อมกำลังดี”

                “ตำปูปลาร้า”

                อุ๊ย...คุณหนูสวยโสภาไม่ควรกินน้ำปูปลาร้าถูกไหม

                “เอ่อ...น้ำหวานหมายถึงน้ำพริกปลาร้าทรงเครื่อง สูตรต้นตำรับชาววังตั้งแต่สมัยกรุงเก่าน่ะค่ะ คุณสายแม่บ้านชอบทำให้ทานบ่อยๆ หนูเลยพลอยเป็นคนชอบอาหารรสจัดจ้าน”

                คนร่วมโต๊ะอาหารพยักหน้าหงึกๆ เออออ

                “เข้ากันได้ดีกับคุณชัชเลยนะคะ วันยังสงสัยอยู่เลยว่าคุณชัชกับน้ำหวานมาเจอกันได้ยังไง ไปรักกันตอนไหน”

                “นั่นสิ ไม่เห็นเล่าให้ฟัง” แม่นายหันมาแย็บถามลูกเลี้ยง

                “สำหรับผมคงเป็นรักแรกพบ”

                ชัชบอกหน้าตาย สะตอในปากของโชติพุ่งออกมา ชีวันสำลักน้ำไอค็อกแค็ก ลูกตาหกคู่หันมองไปยังคนพูดที่กำลังตักแกงเหลืองใส่จานตาค้าง เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มจางๆ ให้ทุกฝ่าย อดกระดากอายแทนคนพูดไม่ได้

                ทว่านายพ่อเลี้ยงตัวร้ายจ้องมาที่เธอนิ่งๆ ท่าทางนิ่งเฉยของเขาคงไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม ดูเหมือนแม้แต่ในหมู่พี่น้องครอบครัว เขาก็ยังดูน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย

                “นอกจากผมจะตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น ยังตกหลุมรักฝีมืออาหารของน้ำหวานเขาด้วยครับ” ชัชอธิบายต่อยิ้มๆ “น้ำหวานเขาเป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำขนมกับข้าวกับปลาได้อร่อย บนฝาบ้านของคุณหญิงแม่เขา มีประกาศนียบัตรโล่รางวัลประกวดทำอาหารชาววังเต็มพรืดไปหมด”

                “อุ๊ย...เพราะเสน่ห์ปลายจวักด้วยนี่เองนะคะ” ชีวันพยักหน้าเออออ

                “กินเยอะๆ สิน้ำหวาน” นายพ่อเลี้ยงคนเถื่อนตักปลากระบอกทอดขมิ้นใส่จานให้เธอทั้งตัว

                “คืนนี้เธอยังต้องใช้แรงงานอีกเยอะ”

                โชติกระแอมกระไอเหมือนมีอะไรติดคอทั้งที่สะตอก็พุ่งออกมาแล้ว โหนกแก้มของชีวันขึ้นสีระเรื่อ แม่นายแช่มเบือนหน้าไปทางอื่น ส่วนคนที่ยังต้องใช้แรงงานอีกเยอะคิดหนัก แต่ไม่ยักกับเป็นอย่างเดียวกันกับที่คนอื่นคิด...

                นี่นายกระทิงเถื่อนจะให้เธอไปแบกโต๊ะ หามเตียงที่ไหนถึงจะต้องใช้แรงงานอีกเยอะ น้ำหวานกลืนอาหารลงคอ เขม้นมองสามีที่ยังคงตักโน่นตักนี่ใส่จานเธอจนแทบไม่ให้ปากว่างสนทนากับใคร

 

                ชัชอุ้มเอาหนึ่งในแกะน้อย (ที่เธอยังจำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร) เดินนำขึ้นไปยังชั้นสอง ส่วนป้าละเมียดและกระถินต้อนแกะที่เหลือไปเข้าห้องนอน ส่วนเธอแยกย้ายไปนอนแช่น้ำร้อนสบายใจ

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกจึงนอนเล่นอ่าง พลางประมวลผลข้อมูลใหม่ที่ได้รับมาในวันนี้

                เพิ่มตัวแปร ปรับปรุงกลยุทธ์จากสมการที่ตั้งเอาไว้อยู่นานสองนานกว่าจะได้สมการที่พึงพอใจ ร่างอรชรอ้อนแอ้นนุ่งผ้าเช็ดตัวสีชมพูอ่อนเดินฮัมเพลงออกมาจากห้องแต่งตัว

                กำลังคิดๆ อยู่ว่าจะเลือกสวมแพนตีสีอะไรนอน สองเท้าก็ชะงัก เมื่อสองตามองเห็นสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่นั่งๆ นอนๆ หน้าสลอนอยู่บนเตียง

                “คุณ!”

                “อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” สองตาของคนพูดยังจับจ้องอยู่บนหน้าหนังสือเล่มเล็กในมือ

                หนังสือธรรมะอย่างนั้นเหรอ คนอย่างเขานี่นะจะอ่านหนังสือธรรมะ ทำตัวเป็นพ่อพระสร้างภาพหลอกตาชัดๆ แล้วนายชัชจะบอกให้เธอล็อกประตูหาพระแสงทำไม ในเมื่อเขาก็ไขมันเข้ามาได้อยู่ดี...ฮึ่ม

                “ฉันนึกว่าเธอจะนอนในห้องน้ำเสียอีกแน่ะ” 

                “คุณเข้ามาในห้องฉันทำไม”

                “นี่มันก็ห้องนอนของฉันเหมือนกันนะ” เขาบอกง่ายๆ สุ้มเสียงใสซื่อไร้เดียงสาเป็นที่สุด

                น้ำหวานเข่นเขี้ยว ประโยคเมื่อคืนวานของเขาลอยกลับเข้ามาหัว

                ‘ฉันให้เวลาแค่คืนนี้คุณหนู แค่คืนเดียวเท่านั้น ฉันต้องการให้แผนของเราสมบูรณ์แบบ’

                นี่เธอ ลืม ไป ได้ ยัง ไง กัน...

                “ใจคอเธอจะนอนชุดนั้นจริงๆ น่ะเหรอ เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมแย่” ชัชมองลอดแว่นอ่านหนังสือมาที่เธอ นัยน์ตาสีสนิมจับอยู่ที่ใบหน้า ก่อนจะไล่ช้าๆ ลงมาที่ต้นขาส่วนที่โผล่พ้นชายผ้าขนหนู ก่อนจะเลื่อนกลับขึ้นไปที่ลำคอเปล่าเปลือยและเนินอกอย่างอ้อยอิ่ง

                น้ำหวานกระแอมกระไอโพล่งออกไปทันควัน “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ อย่าขยับไปไหน เดี๋ยวฉันออกมา”

                เธอจ้องหน้าเขา ถอยเท้ากลับเข้าไปในห้องแต่งตัว รื้อหาชุดเสื้อยืดกางเกงลายพรางขึ้นมาสวมใส่ สมองแล่นพล่านฟุ้งซ่านต่างๆ นานา นายพ่อเลี้ยงนั่นจะมาไม้ไหน หน้านิ่งๆ ของเขาทำให้เธอคาดเดาไม่ออกว่าก้าวต่อไปของนายกระทิงเถื่อนจะเป็นยังไง ก่อนจะกลับออกไปข้างนอก

                พอเห็นเธอเดินออกมา คนที่นั่งๆ นอนๆ บนเตียงก็ยันตัวลุกขึ้น วางหนังสือในมือลงที่โต๊ะข้างเตียง เหยียดแขนขายืดเส้นยืดสาย ตบเบาๆ ลงบนฟูกข้างตัว “มานอนเถอะ ดึกแล้ว”

                “คุณจะให้ฉันนอนบนเตียงกับคุณได้ยังไงคะ” น้ำหวานยกมือขึ้นกอดอก เธอน่ะเป็นกุลสตรี

                “เตียงก็ออกจะใหญ่ ฉันนอนไม่ดิ้นหรอกน่ะ เธอไม่ต้องกังวล” เขายิ้มอ่อนให้เธอ สีหน้าท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่หลับที่นอนให้ แต่ในสายตาของลูกสาวคุณหญิงลำหยวก ผู้ชายตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับหมาป่าที่กำลังแสร้งห่มขนแกะ

                ไม่ ต้อง กัง วล งั้น เหรอ ก็เพราะตัวเขานั่นละที่ทำให้เธอต้องโคตรกังวลใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่กระทิงเถื่อนจะกลายร่างเป็นกระทิงเปลี่ยว 

                “แต่ฉันเป็นคนนอนดิ้นค่ะ ฉันไม่อยากละเมอเผลอถีบคุณม้ามแตก” เธอจัดแจงหยิบเอาหมอน ผ้าห่ม โยนลงบนพื้นปาร์เกต์ข้างเตียงซูเปอร์คิงไซซ์

                “ฉันจะปล่อยให้เธอลงไปนอนข้างล่างได้ยังไง ฉันจะดูแย่แค่ไหน ถ้าปล่อยให้เมียตัวเองลงไปนอนบนพื้นคนเดียวได้ฮึ คุณหนูคนสวย”

                “นอกจากเราสองคนก็ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ รับรองนะคะ ฉันจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปให้ใครรู้ว่าคุณน่ะไม่เป็นสุภาพบุรุษ ปล่อยให้ผู้หญิงสาวบอบบางอ่อนแอลงไปนอนข้างเตียงเพียงลำพัง ส่วนตัวเองครอบครองเตียงใหญ่นอนสบายใจเฉิบอยู่คนเดียว”

                น้ำหวานจงใจขยี้ให้เขารู้สึกผิด

                ร่างแบบบางล้มตัวลงนอนบนพื้นแข็งๆ เริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ...เฝ้ารอให้จิตสำนึกสุภาพบุรุษของ ชัช ชำนาญพาณิชย์ ทำงาน รอให้เขาเสนอให้เธอไปนอนบนฟูกแล้วตัวเองลุกขึ้นลงไปนอนพื้นอย่างที่พระเอกแสนดีในละครพึงกระทำ

                น้ำหวานได้ยินเสียงที่นอนยวบยาบ ตามมาด้วยเสียง ตุบ ตุบ…เธอพลิกตัวกลับมา ยันตัวลุกขึ้นนั่ง กลับไม่เห็นร่างสูงใหญ่ปานหินผาของนายพ่อเลี้ยงคนเถื่อนบนเตียงนอน

                “หายไปไหนนะ”

                “ฉันอยู่นี่”

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกผลุบหัวลงมองลอดใต้ท้องเตียงหลังมหึมาก็เห็นสามีหมาดๆ ลงไปนอนข้างเตียงอีกฝั่ง “คุณลงไปนอนทำไมตรงนั้นคะ”

                “ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะปล่อยให้เธอนอนเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่ข้างเตียงคนเดียว ฉันเลยลงมานอนเป็นเพื่อน อีกอย่างฉันแก่แล้ว นอนที่นอนนุ่มๆ ก็มักจะปวดหลังปวดเอว ลงมานอนข้างล่างบ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน”

                เขาส่งยิ้มกว้างให้เธอเหมือนคนบ้า…แต่แววตาจัดจ้าท้าทายในดวงตาคู่นั้นบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม จงใจ จงใจแน่ๆ

                “นอนดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าตัวก็จัดแจงถอดเสื้อแสงออก

                “ทำอะไรของคุณน่ะ”

                “เวลานอนฉันไม่ชอบใส่เสื้อผ้า...มันอึดอัด”

                น้ำหวานหลับตา ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เขา บัดสีบัดเถลิง ถึงอย่างนั้นหัวใจในอกซ้ายกลับเต้นโครมคราม พุทโธ ธัมโม สังโฆ เกิดมาเป็นสาวเต็มกายไม่เคยได้ร่วมห้องหอกับผู้ชาย...แถมยังเปลือยอก

                ร่างแบบบางนอนนิ่ง ได้ยินเสียงสวบๆ สาบๆ ตามมาอีกหลายครั้ง

                นอกจากท่อนบนแล้ว เขายังต้องถอดท่อนล่างด้วยรึเปล่า โอ๊ย...ขุ่นแม่ใจไม่ดีเลย จินตนาการของกุลสตรีดีงาม เสื่อมทรามลงด้วยภาพความคิดในจิตใจ

                ภาพนู้ดของสามีหมาดๆ พุ่งปราดเข้ามาในหัว

                เรือนร่างกำยำคล้ามเข้มแน่นหนั่นด้วยมัดกล้ามอย่างที่เธอเคยสัมผัส ไหล่กว้างใต้เสื้อยืดคอวีที่เขาสวมมันคงไม่มีไขมันแม้แต่ไมโครกรัมบนเรือนร่างของเขา กล้ามอกคงแน่นปั๋ง แล้วยังจะแผ่นท้องที่คงเป็นคลื่นลอนด้วยซิกซ์แพ็ก 

                หยุดคิด!

                บอกตัวเองอย่างแข็งขัน แต่ทางเดียวที่จะไม่คิดตีตนไปก่อนไข้ คือเห็นทุกอย่างให้กระจ่างใจ จะได้หมดข้อสงสัยที่ทำให้ข่มตาไม่ลง หญิงสาวนอนนิ่งจนแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย น้ำหวานถึงค่อยๆ พลิกตัวโผล่หน้าออกจากโปงผ้าห่ม สองตามองลอดออกไปยังคนที่นอนอยู่อีกฝั่ง

                ภายใต้แสงสลัวรางของโคมไฟข้างหัวเตียง มองเห็นด้านหลังของร่างใหญ่หนาที่กำลังนอนตะแคงหันหลังให้เธอ ไหล่ หลังและบ่ากว้างเปล่าเปลือยอย่างในมโน จากกล้าๆ กลัวๆ กลายเป็นอยากรู้อยากเห็น เอวของเขาสอบเพรียวลงไปยังสะโพกที่…

                ว้า...ทุกอย่างหยุดลงที่ตรงนี้ เพราะผ้าห่มผืนบางที่เกาะหมิ่นเหม่อยู่บนสะโพกของเขา เลยไม่เห็นว่าใต้ผ้าผืนบางนั่น มันมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง พลันน้ำหวานก็รู้สึกพิศวง

                ประหลาดจัง...เพิ่งรู้ว่าเส้นสายโครงร่างของคนเราก็ให้ความรู้สึกสวยงาม ผิวของนายกระทิงเถื่อนกลายเป็นสีทองแดง ท่ามกลางแสงสลัวราง เรือนร่างท่อนบนของคนที่นอนตะแคงดูสวยงาม ได้สัดส่วนกำลังดี เหมือนรูปปั้นนักรบโรมันในวิหาร...

                รูปปั้นนักรบโรมัน?

                แค่คิดสองแก้มก็เห่อร้อน ทั้งที่ผ้าผ่อนยังอยู่ติดกาย แต่ทำไมถึงได้รู้สึกกระดากอายแทนคนที่ชอบนอนไม่สวมอะไรเลย หรือบางทีเธอควรจะคว้าหนังสือธรรมะของเขามาอ่าน เพื่อจะขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่วนเวียนอยู่ในจิตใจ

                วินาทีนั้น...คนที่นอนหันหลังก็บังเอิญพลิกตัวกลับมา ชัชปรือตาขึ้นมองแล้วเลิกคิ้วถามเสียงงัวเงีย

                “ห่มผ้าเหลือแต่ลูกกตาแบบนั้นไม่ร้อนเหรอคุณหนู”

                ร้อนสิ ร้อนรุ่มไปทั้งตัวและหัวใจ

 

                ชัชนอนมองฝาผนัง ปกติทุกวันเขามักจะคิดวนเวียนถึงเรื่องงานจนกระทั่งหลับไป ทว่าวันนี้เขานอนไม่หลับ เพราะผิดกลิ่น กลิ่นหอมหวานของแม่เมียใหม่อบอวลอยู่ในโพรงจมูกของเขา แทรกซอนอยู่ในทุกตารางนิ้วของห้องนอน แม้แต่หมอนที่หนุน ผ้าห่มที่พันอยู่รอบตัว

                ใช่ว่ากลิ่นหอมนั้นจะไม่น่า...พิสมัย แต่มันกวนใจเขาชอบกล

                เขานอนฟังเสียงความเคลื่อนไหวของคนอีกฝั่ง เห็นนิ่งเงียบไปจึงหันกลับไปดู หือ...ตัวอะไร นั่นคือความคิดแวบแรกที่ผ่านเข้ามาในหัว ใต้แสงสลัวรางของโคมไฟข้างหัวเตียง เห็นแต่ลูกตาวาวๆ จ้องมองมา

                “ห่มผ้าเหลือแต่ลูกตาแบบนั้นไม่ร้อนเหรอคุณหนู” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ

                “ไม่ค่ะ” ว่าแล้วตัวประหลาดก็พลิกตัวนอนหงาย “ก็แค่ยังแปลกที่นิดหน่อย ก็เลยยังนอนไม่ค่อยหลับ”

                ชัชจ้องมองเพดาน ขยับตัวเล็กน้อยแล้วยกแขนขึ้นมาหนุน…แม้จะเปิดแอร์ แต่เป็นเขาคงร้อนพิลึก

                ไม่ใช่แค่ผ้านวมที่ห่ม แต่ยังชุด ‘คอมมานโด’ ที่แม่เมียเด็กของเขาสวมใส่คงทำให้อึดอัด คิดถึงตรงนี้มุมปากของเขาก็อดกระดกขึ้นไม่ได้ โธ่เอ๊ย...คุณหนูคนงาม ถ้าเขาคิดจะทำอะไรจริง ต่อให้สวมชุดมิชลิน พันทับด้วยผ้านวมอีกสิบผืน เขาก็ฟันฝ่าเข้าไปได้ ถ้าอยากจะทำ

                แค่ตอนนี้...เขายังไม่ได้อยากจะทำ

                เวรกรรมที่เขาก็เป็นมนุษย์ จิตใจไม่ได้บริสุทธิ์แสนดีเหมือนพ่อพระ จะว่าไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อเห็นของสวยงามก็ไม่ใช่ คนเราไม่ใช่ อิฐ หิน ดิน ทราย ย่อมหวั่นไหวเป็นธรรมดา

                หน้าตาลูกสาวคุณหญิงลำหยวกหรือก็จิ้มลิ้ม ผิวเนื้อนุ่มนิ่มที่โผล่พ้นผ้าขนหนูที่เห็นเมื่อสักครู่ดูผุดผ่องลออตาเหมือนกับแตงร่มใบ ส่วนโค้งเว้าที่ซ่อนอยู่ภายในผ้าขนหนูสีชมพูก็ดูนุ่มนวลเย้ายวนตา ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย ทว่ามีอะไรบางอย่างในตัวแม่เมียใหม่ของเขาที่ละมุนละไม ชวนให้คนมองหลงใหลได้ง่ายดาย และเขาคงไม่ใช่คนเดียวที่หวั่นไหว เมื่อแลเห็นความงามของคุณหนูน้ำหวาน...

                ชัชถอนหายใจออกมาเบาๆ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “ถ้ายังนอนไม่หลับก็คุยเป็นเพื่อนกันก่อนเป็นไร”

                “คุณอยากจะคุยอะไรกับฉันล่ะคะคุณพ่อเลี้ยง”

                “เรื่องคนในครอบครัวของฉัน”

                “คะ?” สุ้มเสียงบอกความประหลาดใจ เขานิ่งไปนิดแล้วว่าต่อเนิบๆ

                “พวกเขาเป็นยังไง” คำตอบของเขาเปิดกว้าง เปิดทางให้อีกฝ่ายตอบคำถามได้หลากหลาย

                น้ำหวานเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะบอกสั้นๆ “ก็ดีค่ะ”

                “ดียังไง” ชัชยังไม่พอใจในคำตอบ

                “นี่ใจคอเห็นกันไม่กี่ชั่วโมง จะให้ฉันเอาอะไรมาพูดล่ะคะ ฉันยังไม่รู้จักพวกเขามากพอที่จะบอกอะไรได้” คำตอบตรงไปตรงมาของลูกสาวคุณหญิงลำหยวกทำให้คนฟังยิ้ม

                “เอาเท่าที่เธอเห็น เริ่มที่นายโชติก็แล้วกัน”

                “ท่าทางสุภาพ อัธยาศัยดี แลดูมีความเป็นสุภาพบุรุษ ใครเห็นก็อยากพูดจาปราศรัย หน้าตาก็ไม่ค่อยจะดุร้าย น่ากลัวเหมือนใครหลายๆ คน”

                ชัชยิ้มหยันให้คำถากถางว่ากระทบ แต่กลับไม่รู้สึกหงุดหงิดใจกับถ้อยคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรย ทว่าใจเขากลับรู้สึกหงุดหงิดคนอื่นเสียมากกว่า

                ปล่อยแม่เมียเนื้อหอมให้คลาดสายตา แมลงภู่มันก็บินถลาเข้ามาป้วนเปี้ยนกวนใจ

                “เธอไม่คิดว่าน้องชายของฉัน เป็นคนรูปหล่อ มีเสน่ห์หรอกเหรอ”

                “ค่ะ คนพูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ใครก็คงอยากคุย อยากเข้าใกล้เป็นธรรมดา”

                “สิ่งที่เห็นอาจจะไม่เหมือนความจริงที่อยู่ข้างในก็ได้คุณหนูคนสวย”

                ญาติ พี่น้องของเขาเป็นยังไง เขารู้ไส้รู้พุงดี เพียงแต่เขาต้องการที่จะมองเห็นมุมมองของเธอที่มีต่อคนในครอบครัวของเขา เขาอยากรู้ว่าเธอจะคิดเห็นอย่างไร ในเมื่อต่อไปน้ำหวานจะต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แม้ว่าเธอจะชอบใจหรือไม่ก็ตาม

                “ฉันเชื่อหูตา ประสาทสัมผัสของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ” ถ้อยคำนั้นฟังดูดื้อรั้น

                “ลึกลงไปในจิตใจนั้นจะเป็นยังไง ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะคิดถึงเท่าไหร่”

                “ฉันแค่อยากจะเตือนเธอไว้ ว่าอย่าไว้ใจคนมากนัก โดยเฉพาะน้องชายคนนี้ของฉัน นายโชติหูตากรุ้มกริ่มแพรวพราว สาวๆ ที่หลงคารมของเขามีมากมาย”

                “แหม...คุณพ่อเลี้ยงคะ...” คนอีกฝั่งเตียงเจื้อยแจ้ว พลิกตัวนอนตะแคงมามองเขา “อย่าบอกนะแค่แต่งงานไม่กี่วัน คุณก็นึกพิศวาสหึงหวงฉันขึ้นมาเสียแล้ว”

                หึงหรือ…ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกทำให้เขานึกขันได้ทุกทีที่ได้เจรจาสินะ

                สำหรับเขา หึงคงไม่ แต่เขาหวงมากกว่า หึงนั้นเป็นอารมณ์อ่อนไหวของเด็กวัยรุ่นริรัก ทว่าหวงเขารู้สึกกับทุกอย่างที่เป็นของเขา

                “ฉันหวงของของฉันเสมอแหละคุณหนู” เขาบอกง่ายๆ จ้องตาอีกฝ่ายที่มองมา ทั้งสองนอนจ้องกันนิ่งๆ ลอดใต้เตียงนอนอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่แม่เมียคนดีจะพลิกตัวกลับไปนอนหงาย ดึงผ้าห่มขึ้นมาจนชิดคาง

                “ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณพ่อเลี้ยง ฉันไม่มีทางหลงเสน่ห์น้องชายของคุณแน่นอน ลืมไปแล้วเหรอคะว่าฉันน่ะไม่สนใจผู้ชาย ถึงจะเสน่ห์แรงแค่ไหน ฉันก็ไม่หวั่นไหวหรอกค่ะ”

                อย่างนั้นก็ดี แต่เขากลัวว่านายโชติจะเป็นฝ่ายหลงลูกสาวคุณหญิงลำหยวกมากกว่า ตามวิสัยหนุ่มเจ้าชู้ จิตใจอ่อนไหว ย่อมหลงใหลของสวยงามเป็นเรื่องธรรมดา เขาเห็นยังรู้สึก แล้วคนอื่นล่ะ…

                คิดๆ แล้วก็ชักจะรู้สึก...ไม่ชอบใจ

                “อีกอย่างนะคะ” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกว่าต่อเสียงหวาน “ถ้าฉันอยู่กับคุณทุกวันแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยดี อยู่กับใครฉันก็คงไม่ต้องกลัวแล้วมั้งคะ”

                สิ้นประโยคนั้นชัชก็หัวเราะออกมาเบาๆ กัดเจ็บจริงนะตัวเท่านี้ คิดว่าตัวเองจะอยู่รอดปลอดภัยได้อีกสักกี่วัน น้ำเสียงยียวนของเธอทำให้คนฟังรู้สึกมันเขี้ยว

                ยังก่อน...ยังไม่ใช่เวลา

                น้ำเสียงของชัชเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อพูดต่อ “ว่าแต่เธอคิดไว้หรือยังว่าจะเริ่มบทเรียนสอนสั่งมารยาทให้ลูกๆ ของฉันยังไง”

                “คุณพูดถึงเรื่องนี้ก็ดีแล้วค่ะจะได้เข้าใจให้ตรงกันเสียตั้งแต่แรก เรื่องมารยาทถ้าจะปลูกฝังกันจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะจับเด็กมานั่งสั่งสอน อย่างนั้นก็ได้แค่ชั่วครั้งคราวไม่เข้าหัว คุณต้องให้เขาค่อยๆ ซึมซับถึงจะอยู่กับเขายาวนาน อีกอย่าง ถ้าฉันจะอบรมสั่งสอนลูกคุณ คุณก็ต้องให้ความร่วมมือ”

                “ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เธอมีอะไรให้ฉันทำก็บอกมา”

                “ขอบคุณค่ะคุณพ่อเลี้ยง ฉันเองก็จะทำงานอย่างเต็มที่เหมือนกัน” คุณหนูคนสวยประกาศ

                เขาได้ยินความมุ่งมาดในน้ำเสียงใสๆ ของคนพูด บอกความตั้งใจที่ดี...

                 “ฉันง่วงแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะคะ” ว่าแล้วร่างอรชรก็พลิกตัวนอนหันหลังให้

                ชัชพลิกตัวนอนหงาย หลับตา ทว่าความคิดของเขายังไม่หลับ มารอดูกันว่า แม่เมียเด็กของเขาจะมีวิธีจัดการกับลูกๆ ของเขายังไง แล้วมันจะได้ผลขนาดไหน แค่คิดเขาก็แทบอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น