10

นางร้ายสายพันธุ์ใหม่


 

‘ฉันหวงของของฉันเสมอแหละ’

                ถ้อยคำบางคำคนเราก็อาจสักแต่พูด ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดผลกับคนที่ฟัง คนที่รู้จักแยกแยะได้มักจะโยนทิ้งไปเสีย ไม่ต้องเสียเวลามาขบคิดให้ปวดหัว ทว่าประโยคง่ายๆ ของนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อน กลับทำให้ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเก็บมาครุ่นคิดติดใจ

                ประโยคเรียบง่ายของเขาที่แฝงเร้นด้วยพลังงานบางอย่าง แสดงถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เหมือนเป็นบ่วงรัดพัวพันตัวเธอเอาไว้

                แต่เขาไม่ใช่เจ้าของเธอเสียหน่อย!

                ชัช ชำนาญพาณิชย์ คือศัตรูและคนเจ้าเล่ห์ที่บังคับขู่เข็ญให้เธอมาเป็นเมียเขา สอนมารยาทบรรดาลูกแกะเกเรของเขา แถมจอมวายร้ายนั่นยังแอบพ่วงหน้าที่ที่จะสั่นคลอนสวัสดิภาพชีวิตของเธอในหกเดือนข้างหน้าอีกด้วย

                “อีกไม่ถึง 180 วันหรอกน่ะ”

                น้ำหวานกัดฟัน มองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา แปรงผมยาวสลวยให้สวยเก๋อีกสองสามครั้ง ก่อนจะวางแปรงในมือลง พ่น Dior blooming bouquet ให้ฟุ้งแล้วก้าวออกไปจากห้อง

                ตั้งแต่ลืมตาตื่น เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคนที่นอนอีกฝั่งของเตียง

                เมื่อคืนน้ำหวานนอนหลับไปด้วยความกระสับกระส่าย พื้นไม้แข็งๆ เป็นของแสลงต่อแผ่นหลังและบั้นท้ายของเธอยิ่งนัก กว่าจะนอนหลับพักผ่อนได้ น้ำหวานก็ถึงกับได้แผนปฏิบัติงานวิธีปรับปรุงพฤติกรรมของแก๊งแกะน้อยมาชุดใหญ่ ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่แสงตะวันแยงตา...

                แกะน้อยทั้งสามนั่งหน้าสลอนรออยู่ก่อน

                เธอยิ้มอ่อนให้บรรดาลูกเลี้ยงที่กำลังสวาปามเบรกฟาสต์อย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาทั้งสามคู่จับจ้องมาที่เธออย่างสนอกสนใจไม่ปิดบัง ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตละม้ายคล้ายคลึงกับคนเป็นพ่อ ถอดแบบกันออกมาเปี๊ยบ

                “รับอะไรดีคะคุณน้ำหวาน” กระถินทักทายเธอด้วยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงแดดยามเช้า

                “วันนี้ป้าเขียดแม่ครัวทำข้าวต้มปลาจะละเม็ดขาวที่ได้จากเรือนแม่นายแช่มเมื่อวานนี้ค่ะ หรือว่าอยากจะทานไข่ดาวเบคอน ขนมปังปิ้งกับชากาแฟคะ”

                “ฉันขอข้าวต้มปลากับชามะลิแล้วกันจ้ะ ว่าแต่...” น้ำหวานชำเลืองมองซ้ายขวา “คุณชัชไปไหนจ๊ะ ตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว” น้ำหวานแอบภาวนาในใจ ขอให้นายกระทิงเถื่อนนั่นออกไปจากบ้านเสียตั้งแต่เช้าจะได้ไม่ต้องพบหน้าเขาให้ขุ่นเคืองใจ

                “สงสัยชกมวยอยู่ในยิมมั้งคะ”

                ชกมวย? น้ำหวานเลิกคิ้ว

                “ปกติแล้ววันไหนที่ไม่มีงานเช้า คุณชัชเธอมักจะตื่นขึ้นมาออกกำลังกายแต่เช้าน่ะค่ะ”

                อา...ไม่น่าแปลกใจอะไร ร่างสูงใหญ่ที่เธอเคยเห็น (แม้จะแค่ท่อนบน) ถึงได้แน่นหนั่นด้วยกล้ามเนื้ออย่างคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

                ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ

                พลันภาพเรือนร่างใหญ่หนาเปลือยอก ผิวสีแทนชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อที่กำลังปล่อยหมัดใส่กระสอบทรายอย่างดุดัน ก็แวบผ่านเข้ามาในมโน หยาดเหงื่อเกาะพราวทั่วแผ่นหลังและแผงอก ไหลลงมาตามลอนกล้ามบนแผ่นท้องเครียดคัด ก่อนจะหายลับลงใต้ขอบกางเกงนักมวยที่เกาะหมิ่นเหม่อยู่บนสะโพกเพรียว

                เดี๋ยวก่อน...เธอไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน หรือว่าเนื้อหนังมังสาของผู้ชายจะจุดประกายความแรดที่หลับใหลในตัวเธอให้ตื่นฟื้นขึ้นมา

                น้ำหวานรีบสลัดภาพนั้นออกจากหัว หรือเธอควรจะผันตัวไปเขียนนิยาย เพราะแค่ชายตามองผู้ชายเปลือยท่อนบนก็เอามาคิดได้เป็นคุ้งเป็นแคว

                โฟกัส!

                กลับมาโฟกัสหน้าที่ของตัวเองจะดีกว่า ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกบอกกับตัวเองแข็งขัน หันมาจับตามองพฤติกรรมของแกะน้อยทั้งสามอย่างตั้งใจ…แม้หน้าตาจะเหมือนกันอย่างกับแกะ ทว่าแต่ละคนมีบุคลิกที่แตกต่าง ยัยแกะที่ดูกร่างสุดคือละมุน นุ่มนวลลงมาอีกหน่อยคือแกะน้อยในชุดสีชมพู ยัยคนนี้ชื่อละไม และเด็กน้อยคนสุดท้ายที่ดูจะขี้อายกว่าใคร...ละมุด

                ดวงตาทั้งสามคู่ยังคงจับจ้องมาที่เธอเหมือนมองของแปลก ปากน้อยๆ แดงย้อยเหมือนผลเชอร์รีเคี้ยวหมุบหมับประสานเสียงเกรียวกราว

                “จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บ”

                เสียงนั่นระคายหูกุลสตรีของเธออย่างไรชอบกล เศษขนมปัง เบคอน หกเรี่ยราดเลอะเทอะไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ สองมืออวบป้อมและแก้มยุ้ยๆ เปรอะเปื้อนไปด้วยซอสมะเขือเทศและอาหารในจาน นานๆ ทีก็จะเช็ดมือกับอกเสื้อที่สวมใส่สักทีสองที

                ฟี้ว…

                เศษไข่ปลิวลงมาตกที่ข้างถ้วยข้าวต้มที่กระถินเพิ่งวางลงตรงหน้า น้ำหวานหรี่ตามองไปฝั่งตรงข้าม แกะน้อยสามตัวยังเฉย ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำอะไร...ผิด

                ดี...ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกยิ้มในหน้า หนึ่งในวิธีการที่จะปลูกฝังให้ผู้เรียนนั้นจำฝังใจ คือ การที่ต้องประสบพบเจอกับบทเรียนด้วยตัวเอง เธอตักข้าวต้มคำแรกเข้าปากเคี้ยวช้าๆ ตามมาด้วยคำที่สองแล้วส่งเสียงประสานกับแกะน้อยทั้งสาม

                “แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บ”

                เศษข้าวสองสามเม็ดแฉลบออกจากปาก ปลิวไปหล่นข้างๆ จาน หนึ่งในสามแกะชะงัก ทำหน้าเหลอจ้องมองมาที่เธออย่างไม่พอใจ ฝ่ายนั้นทำหน้านิ่วคิ้วชนกัน น้ำหวานแสร้งสูดน้ำมูกฟุดฟิด

                “ฮะ...ฮัดเช้ย” เม็ดข้าวในปากสาดกระเซ็นไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามด้วยความเร็วสูง พุ่งทะยานไปหาเป้าหมายเต็มอัตรา

                “อี๋!!!” แกะน้อยทั้งสามประสานเสียงกันดังสนั่น พร้อมกับถอยห่างอย่างรังเกียจเดียดฉันท์

                หึๆ น่าขันพิลึก

                “คนสวยฉกกะปก แขนเค้าเปื้อนข้าวตัวเองด้วย” แกะน้อยละไมโวยวายก่อนเพื่อน เพราะโดนเข้าจังๆ

                “ทำไมตัวเองจามแล้วไม่ปิดปาก” แกะน้อยละมุนย่นจมูก ขมวดคิ้วใส่เหมือนผู้ใหญ่กำลังต่อว่าต่อขานเด็กน้อย ทั้งที่เล็กจ้อยกว่าตั้งมากมาย

                “เม็ดข้าวตัวเองเกือบหล่นลงมาบนจานเค้าแน่ะ” ส่วนแกะตัวสุดท้ายเสริมขึ้นมาเบาๆ

                “คะ...คุณครูสอนว่าเวลาจามต้องปิดปาก ไม่อย่างนั้นจะ...เสียมันยาด”

                “อ้าว...งั้นเหรอจ๊ะ” น้ำหวานทำหน้าเหลอหลา ส่งยิ้มปัญญาอ่อนไปให้แกะน้อยทั้งสามอย่างทั่วถึง “ฉันนึกว่าไม่เป็นไร”

                “ไม่เป็นได้ยังไงเล่า” ละไมเชิดคางขึ้นอย่างแสนงอน

                “เค้าไม่ได้อยากกินข้าวจากปากตัวเองหรอกนะ”

                คนสวยสกปรกวางแขนลงบนขอบโต๊ะ เอียงคอมองคนพูดยิ้มๆ “ก็แหม...ทีเศษไข่กับเบคอนจากปากหนูๆ หล่นลงในจานฉัน ฉันยังไม่ว่าอะไรเลย แค่นี้ไม่เห็นต้องรังเกียจกันเลยนี่จ๊ะ เมื่อกี้ฉันเห็นพวกหนูก็ทำ ฉันก็นึกว่าทำด้ายยย ไม่เสียมันยาด”

                สามแกะลอบสบตากันคล้ายจะปรึกษาหารือ น้ำหวานนั่งค้ำคางมองอย่างใจเย็น ในที่สุดละมุนก็โพล่งออกมา นิ้วป้อมๆ เปื้อนซอสมะเขือเทศชี้มาข้างหน้า

                “ตัวเองตั้งใจแกล้งพวกเค้ารึเปล่า” แม้ท่าทางจะหาเรื่อง ทว่าแววตายังคงดูไร้เดียงสา

                โธ่เอ๊ย...แม่แกะน้อย

                “เปล่าน้า” น้ำหวานแสร้งทำท่าตกอกตกใจ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเวลาเคี้ยวอาหารต้องหุบปาก เวลาอาหารเต็มปากห้ามพูด เวลาจามก็ต้องปิดปาก อย่าให้ของข้างในปากกระเด็นใส่คนอื่น เวลากินข้าวก็อย่าให้หกเรี่ยราด”

                เธอตวัดตามองจานข้าวสามใบของอีกฝ่าย แฝดสามพลันก้มหน้ามองจานข้าวของตัวเองก่อนเหลือบมองตากัน

                “ฉันไม่รู้ว่ามันเสียมันยาด….” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกหลุบตามองชามข้าวต้มปลา ใช้ช้อนเขี่ยข้าวไปมา

                “เอาอย่างนี้ดีมั้ย ต่อไปเพื่อไม่ให้ฉันทำตัวเสียมันยาด ต่อไปนี้ถ้าใครกินข้าวแล้วเศษอาหารหล่นลงมาจากปาก ใครไอจามไม่ปิดปาก หรือพูดตอนอาหารเต็มปาก คนนั้น...แพ้”

                แพ้ แพ้ แพ้

                นัยน์ตาของแกะน้อยละมุนลุกวาวขึ้นมา ราวกับคำว่าแพ้คือคำท้าทายอันยิ่งใหญ่ สีหน้าแววตาของเด็กน้อยชวนให้นึกถึงสีหน้าแววตามุ่งมาดของใครบางคน คนที่ตัวใหญ่หนาเหมือนสันกำแพง

                “ก็ได้! ตัวเองแพ้แน่” ละมุนลั่นวาจา ตักข้าวเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับๆ ริมฝีปากแดงย้อยไม่ขยับออกจากกัน

                สองแกะที่เหลือมองตากัน ก่อนจะยัดขนมปังและไข่คนเข้าปาก ทั้งสี่มองหน้ากันข้ามโต๊ะ เหมือนเกมนี้เดิมพันด้วยชีวิต!

                น้ำหวานบรรจงตักข้าวต้มกินเคี้ยวช้าๆ อย่างสำราญใจ ซ่อนยิ้มไว้ในหน้า เมื่อเห็นสามแกะพยายามเคี้ยวข้าว โดยที่ไม่อ้าปากด้วยความยากลำบาก

                “ทำไมวันนี้เงียบจังเลย”

                ผู้เข้าแข่งขันตัวน้อยทั้งสามเกือบสติหลุด เมื่อหมาป่า เอ๊ย...ป๊ะป๋าคนดีเยื้องย่างเข้ามาในห้องกินข้าว

                “หือ ว่าไงฮึละไม”

                “อินอ้าวอู้ดไอ้อ้ายอ๊ะอ๋า”

                ชัชเลิกคิ้ว เมื่อเห็นท่าทางผิดปกติของลูกสาว ไม่มีใครส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันเลยสักคนเดียว “วันนี้มีใครเอากาวแปะปากลูกสาวของป๊ะป๋าหรือยังไงน้า”

                ละมุดที่เพิ่งกลืนอาหารลงคอรีบชิงรายงานคนเป็นพ่อ กลัวว่าแฝดทั้งสองจะแย่งบอกก่อนตัวเอง นัยน์ตาแป๊วชำเลืองมองอย่างเอียงอาย

                “พวกเรากำลังแข่งขันกัน ใครทำข้าวหล่นจากปากก่อนคนนั้นแพ้ เป็นคนม่ายมีมันยาด”

                ชัชเลิกคิ้วหันมาสบตาน้ำหวานเล็กน้อยพลางพยักหน้าหงึกๆ แล้วขยับตัวลงนั่งหัวโต๊ะที่ประจำข้างๆ ทางขวามือของเธอ “น่าสนุกดีจัง”

                ทันใดนั้นจมูกเธอก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งจรุงใจรำเพยออกมาจากตัวเขา น้ำหวานทำจมูกฟุดฟิด...นี่มันกลิ่นสบู่อาบน้ำของเธอนี่นา

                กลิ่นหอมดอกไม้ละมุนละไม ย้อนแย้งกับความแข็งกระด้างดุดันอันเป็นเอกลักษณ์ของนายกระทิงเถื่อนเหมือนสีขาวกับดำ เรือนผมดำขลับหมาดชื้นของเขาเสยไปข้างหลัง เผยให้เห็นใบหน้าคล้ามคมสะดุดตา

                ร่างใหญ่หนาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าป่านขาวครีม สวมใส่สบายกับกางเกงชิโนสีกากี ท่าทีของเขาดูผ่อนคลาย ทว่ามีความจริงจัง และอำนาจชั่วร้ายบางอย่างที่แพร่กระจายออกมาจากตัว

                คล้าย ชัช ชำนาญพาณิชย์ สะกดจิตผู้คน ดึงดูดสายตาจากคนรอบข้าง น้ำหวานรีบหลุบตาลงมองถ้วยข้าวต้มของตัวเองอีกครั้ง เมื่อคนนั่งใกล้ๆ หันมองมา

                “หลับสบายดีมั้ยคุณหนู” ชัชออกปากถาม แม้ไม่มองหน้า เธอยังรู้สึกว่าเจ้าตัวกำลังเยาะหยันด้วยวาจา

                “สบายดีค่ะ สบายจนตื่นซะสายเลยค่ะ” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกลอยหน้าลอยตาตอบ

                ความจริงแล้วก็คือ เพราะมัวแต่นอนใจตุ๊มๆ ต้อมๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะตะกายลอดใต้พื้นเตียงมาทำมิดีมิร้าย กลายร่างเป็นกระทิงเปลี่ยวต่างหาก ถึงได้นอนลืมตาโพลง คิดโน่นคิดนี่อยู่นาน ก่อนร่างกายที่อ่อนล้าจะทนไม่ไหว ผล็อยหลับไปในที่สุด

                ชัชหันไปบอกลูกๆ “กินข้าวเสร็จแล้วก็ออกไปเตรียมตัวนะเด็กๆ วันนี้มีเรียนดนตรีอีกใช่มั้ยละเมียด” ท้ายประโยคหันไปถามป้าละเมียดที่เพิ่งเดินยกถาดอาหารเช้าของตัวเองเข้ามา

                “ใช่ค่ะ”

                เมื่อวานนี้คุณป้าแม่บ้านแจกแจงให้เธอทราบแล้วว่าตารางชีวิตช่วงปิดเทอมของแกะน้อยทั้งสามเป็นอย่างไร

                ‘คุณชัชไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน แต่แกก็ไม่อยากให้ลูกๆ วิ่งเล่นไปวันๆ ก็เลยต้องหากิจกรรมต่างๆ นานาให้ลูกทำ ถ้าคุณหนูๆ อยู่กับบ้าน ป้ากับแม่พวกสาวใช้คงไม่ต้องทำการทำงานอะไร ไหนจะต้องตามดูแล ตามเก็บข้าวของที่ขนกันออกมาเล่น’

                คนพูดเหมือนบ่นว่า ทว่าน้ำเสียงและแววตาสะท้อนด้วยความเอ็นดูรักใคร่เสียมากกว่าจะตำหนิจริงจัง...

                “น้ำหวาน วันนี้กินข้าวเช้าเสร็จ เธอออกไปข้างนอกกับฉันหน่อยนะ” เขาหยิบหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่วางเรียงกันเป็นตับฉบับแรกสุดขึ้นมากางเปิดอ่าน

                “ไปไหนคะ” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกรีบถาม หรี่ตามองอีกฝ่าย

                “ต้องขึ้นรถ ลงเรือ หรือแว้นมอเตอร์ไซค์ ต้องใส่เสื้อผ้า สวมรองเท้าแบบไหน หมวก ร่ม แว่นกันแดดต้องพกพาไปด้วยรึเปล่าคะ”

                “เธอจะใส่ส้นสูง สวมชุดสวยกรุยกราย ลากหางยาวเป็นไมล์ก็ยังได้” เขาพูดยิ้มๆ

                เดี๋ยวเหอะ...คนฟังค้อนขวับคนตัวใหญ่กว่าทันควัน ก็ต้องถามให้ละเอียดลออไหม ใครจะรู้ เผื่อเขาเกิดครึ้มอกครึ้มใจ อยากลากเธอไปบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วยเพื่อความบันเทิงเริงใจ จะได้รับมือได้ทันท่วงที

                หรือบางที เธอควรจะเตรียมถุงยังชีพเอาไว้ น้ำหวานหมายเหตุเอาไว้ในใจ เกิดเหตุด่วนเหตุร้ายขึ้นมาจะได้คว้าได้เลย

                “ฉันจะพาเธอไปที่ออฟฟิศ ให้พนักงานรู้จักหน้าเมียใหม่ฉันไว้สักหน่อย”

                “ที่จริงแล้วฉันคิดว่า มันไม่น่าจะจำเป็นอะไรที่ฉันจะต้องไปโชว์ตัวออฟฟิศคุณนะคะ อีกอย่างวันนี้ฉันมีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำ ฉันมีนัดกับคุณบัวเรื่องทำบัญชีด้วย”

                เธอนัดแนะกับบัวไว้แล้วเมื่อวานนี้ ว่าจะต้องเริ่มศึกษารายการบัญชีค่าใช้จ่ายให้เรียบร้อย แม้ว่าเธอไม่ได้เต็มใจที่จะรับภาระจิปาถะที่นายกระทิงเถื่อนมอบให้ แต่ลูกสาวคุณหญิงลำหยวก เมื่อได้ทำอะไรแล้ว ต้องทำให้ถึงที่สุด…ไม่อยากปล่อยให้ดินพอกหางตัวเองในภายหลัง

                “เอาเถอะน่า แค่โชว์ตัวเดี๋ยวเดียวคงไม่เสียเวลานักหรอกคุณหนู” น้ำหวานชั่งใจ เขม้นมองคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์

                เขาจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้เธอตกใจเล่นๆ อีกรึเปล่านะ น้ำหวานชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะตอบเขาไปอย่างเสียไม่ได้ “ก็ได้ค่ะ”

 

                ชัชต้อนแกะน้อยทั้งสามรวมถึงเธอขึ้นรถไปด้วยกัน เขาแวะส่งลูกสาวที่โรงเรียนสอนดนตรีของชีวันในตัวเมือง แล้วขับรถต่อไปยังออฟฟิศซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน…

                น้ำหวานมองสองข้างทางด้วยความสนใจ

                สองวันที่ผ่านมา นอกจากบ้านแม่นายแช่มแล้ว เธอยังไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน ไม่ถึงสิบนาที เรนจ์โรเวอร์คันงามแล่นผ่านรั้วสเตนเลสเข้าไปยังท่าเรือของ ‘ชำนาญกรุ๊ป’

                เธอพอจะรู้จากเลื่อมเพชรมาบ้าง ว่ากิจการหลักของ ชัช ชำนาญพาณิชย์ คือธุรกิจลอจิสติกส์ที่กำลังเฟื่องฟู เขามีท่าเรือพาณิชย์หลายแห่ง และเรือขนส่งสินค้าของเขาดำเนินกิจการอยู่ในหลายประเทศในเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ

                ทว่าเมื่อมาถึงสำนักงานใหญ่ของชำนาญกรุ๊ป น้ำหวานก็ต้องประหลาดใจ เมื่อมันดูเป็นกันเองมากกว่าที่คิด

                ‘ชำนาญกรุ๊ปน่ะเป็นเครือบริษัทธุรกิจใหญ่’ เพื่อนสาวรุ่นพี่เคยโม้ให้เธอฟัง

                ‘กิจการของเขาแตกแขนงหลายอย่าง มีบริษัทสาขาใหญ่อยู่ที่สาทรกับที่ภูเก็ต ยังไม่นับรวมสาขายิบย่อยหอยกระเบนในต่างประเทศ’

                สิบกว่าปีที่ผ่านมา ชำนาญกรุ๊ปออกไปมีหน้ามีตาและชื่อเสียงในเมืองนอกเมืองนาอย่างรวดเร็ว ใช่ว่าเธอจะรู้เรื่องราวธุรกิจอะไรนักหนา ทว่าน้ำหวานเป็นคนที่ชอบรับข่าวสาร อะไรที่ได้ยินมาล้วนมีประโยชน์ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ตัวเองต้องต่อสู้เพียงลำพัง

                “ถึงแล้ว” สามีหมาดๆ ประกาศเมื่อรถหยุดที่หน้ามุขของตึกใหญ่โต ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากรถ

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกมองอาคารสูงตรงหน้า ตัวอาคารนั้นมีความกว้างมากกว่าความสูง เห็นพนักงานออกมายืนเรียงกันหน้าสลอน

                “สวัสดีครับคุณนาย”

                ที่หัวแถวนายอำนวย อวยโชค อดีตพัศดีชั่วคราวของเธอยืนยิ้มแป้นแล้นรออยู่ก่อน เธอแวะทักทายเขาเล็กน้อยตามประสาคนที่มีความหลังร่วมกัน ก่อนที่จะถูกสามีจูงมือพาเดินเข้าไปในตัวตึก...

                “นี่คุณน้ำหวาน เมียฉันเอง”

                พนักงานนับสิบของชำนาญกรุ๊ปออกมายืนเรียงแถวต้อนรับ หากวันนี้คือวันชุมนุมชาวยุทธ์ ชัชกับเธอก็คงไม่ต่างจากจ้าวยุทธภพและฮูหยินที่เพิ่งเดินทางมาร่วมงาน

                ทุกคนยกมือไหว้เธออย่างนอบน้อม แม้บางคนดูท่าจะเป็นรุ่นลุง ป้า น้า อา ตา ยายของเธอไปแล้ว น้ำหวานฉีกยิ้มอ่อนหวานแจกจ่ายทุกคน หลังตรงเชิดหน้า ข่มความประหม่าไว้ในใจ ยังรู้สึกอุ่นใจอยู่บ้างที่มือใหญ่หยาบกร้านของคนข้างๆ จับมือเธอไว้

                ใครจะไปสงบนิ่งอยู่ได้เมื่อตกเป็นเป้าสายตาของคนเป็นสิบเป็นร้อยที่จ้องมองมาด้วยความสนอกสนใจ อยากรู้อยากเห็น ขอบคุณสวรรค์ที่เธอไม่ได้เป็นดาราหน้ากล้องอย่างที่วาดหวังในวัยเยาว์ มันคงอึดอัดใจไม่เบาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลต์ตลอดเวลา

                ชัชพาเธอเดินขึ้นบันได แวะเยี่ยมชมชั้นต่างๆ คล้ายเธอเป็นพนักงานใหม่ที่กำลังจะย้ายเข้ามาทำงานในบริษัท ไม่ใช่ ‘เมียในนาม’ ที่ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมกายา หลบหน้าอยู่ที่บ้าน

                “ห้องทำงานของฉันอยู่ที่ชั้นสาม”

                ตึกมีแค่สามชั้นก็จริง ทว่าแต่ละชั้นเพดานสูงเกือบพอๆ กับตึกสองชั้น แถมพ่อสามีทูนหัวทูนเกล้าของเธอยังขยันพาเธอบากบั่นเดินขึ้นบันไดไม่ยอมใช้ลิฟต์

                กว่าจะตะกายตามเขาขึ้นบันไดมาก็เล่นเอาสาวร่างแบบบางเกือบหอบรับประทาน

                “คุณชัชคะ” พอก้าวพ้นหัวบันได สาวใหญ่ท่าทางใจดีก็ก้าวเข้ามาหานายกระทิงเถื่อน “สวัสดีค่ะคุณน้ำหวาน” หล่อนทักทายโดยที่ไม่ต้องแนะนำ

                น้ำหวานรีบยกมือไหว้ ขณะที่ชัชแนะนำอีกฝ่ายให้เธอรู้จัก หล่อนคือเลขาฯ หน้าห้องของเขาชื่อ ชไมพร

                “มีอะไรเหรอชไม”

                คุณเลขาฯ เหลือบตามองเธอเล็กน้อยแล้วค่อยบอกเจ้านาย “คุณศิตามารอพบ อยู่ในห้องรับรองเล็กค่ะ มาตั้งแต่แปดโมงเช้า”

                ว้าว...นี่ก็เท่ากับว่าแขกคนนั้นของเขานั่งรอมาได้เป็นชั่วโมงแล้วสินะ ศิตาน่าจะเป็นชื่อผู้หญิง หล่อนเป็นใคร อายุเท่าไร อ่อนแก่ขนาดไหน น้ำหวานอยากรู้ ใช่ว่าเธออยากจะสาระแนเรื่องของเขา ทว่ารู้เขา รู้เรา รบล้านครั้งชนะล้านครั้งคือคติที่เธอยึดถือแน่นเหนียว

                นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนแค่เลิกคิ้วแล้วพยักหน้า “ขอบใจ” เขาจับจูงมือเธอเลี้ยวเข้าห้องทำงานเมื่อหย่อนตัวลงนั่งตรงโซฟา

                น้ำหวานเพิ่งสำเหนียกว่าตลอดเวลาตั้งแต่ลงจากรถ ชัชเพิ่งปล่อยมือจากเธอก็ตอนนี้เอง

               

                ห้องทำงานของชัชกว้างขวาง แม้จะมีกองเอกสารและโต๊ะทำงานที่มุมหนึ่ง แต่มันกลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายคล้ายอยู่บ้านมากกว่าจะเป็นห้องทำงานของนักธุรกิจหมื่นล้านอย่างที่เธอเคยเห็นในโทรทัศน์

                ไม่นานชไมพรก็ยกกาแฟดำและน้ำชาร้อนๆ เข้ามาเสิร์ฟให้ทั้งสอง ชัช ชำนาญพาณิชย์ ยังคงนั่งเงียบๆ ยกขาไขว่ห้าง หยิบเอาถ้วยกาแฟดำขึ้นมาจิบอย่างไม่อนาทรร้อนอกร้อนใจ

                “คุณไม่รีบออกไปหาคุณศิตาคนนั้น เขาน่าจะรออยู่นานแล้ว”

                “ฉันมีเรื่องอยากจะบอกให้เธอรู้ก่อน”

                น้ำหวานเลิกคิ้ว หยิบเอาคุกกี้ช็อกโกแลตชิปขึ้นมากัดกิน เมื่อเช้าเพราะมัวแต่โชว์อภินิหาร จับตามองแกะน้อยทั้งสาม รับประทานอาหารเช้า ตัวเองก็เลยไม่ค่อยได้กินข้าวลงกระเพาะสักเท่าไร พอลูกๆ เขากินเสร็จก็ต้องรีบไปเข้าคลาสเรียนดนตรี

                “ศิตาคนนี้เป็นลูกสาวของสินทร พ่อเขากับฉันเคยทำงานด้วยกันอยู่พักหนึ่ง เคยไปมาหาสู่กันอยู่”

                เธอเดาเอาเองว่า ศิตาคนนี้ก็คงจะอายุอานามไม่มากมายสักเท่าไร...

                “ฉันก็เลยพลอยเจอหน้าค่าตาศิตาบ่อยๆ เราสองคนถือว่ารู้จักสนิทสนมกันพอสมควร”

                คำว่าสนิทสนมคล้ายจะมีนัยแอบแฝง หรือเขากำลังบอกเธออยู่รึเปล่าว่า...

                “เอาตรงๆ คุณคงไม่ได้กำลังบอกฉันว่าศิตาคนนี้เป็นแฟนของคุณ เป็นหนึ่งในเหล่าคุณน้าๆ คนก่อนของลูกสาวคุณหรอกนะคะคุณพ่อเลี้ยง”

                “เปล่า” ชัชหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อน เราแค่เคยสนิทสนมกันเท่านั้น” 

                นัยน์ตาสีสนิมของเขาพราวระยิบระยับขึ้นมา ก่อนที่จะหลุบตาลงมองถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือ “ตอนนี้ฉันมีเมียถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ถึงอยากให้เธอรับรู้ไว้ล่วงหน้า ฉันไม่ต้องการให้เธอเข้าใจผิด และฉันคิดว่าต่อจากนี้ศิตากับฉัน คงจะไม่ได้สนิทสนมกันอย่างเมื่อก่อน”

                ว่าแต่เมื่อก่อนเขากับแม่ศิตาคนนั้นสนิทสนมกันถึงขั้นไหนล่ะ อยากจะแซะเข้าให้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะทำแบบนั้น มันไม่ใช่หน้าที่

                “คุณต้องการบอกอะไรฉันกันแน่คะ” น้ำหวานเคี้ยวคุกกี้ในปากช้าๆ เอนหลังพิงพนักโซฟา หรี่ตามองเขาอย่างประเมิน

                ชัชวางกาแฟดำลงบนโต๊ะเตี้ยตรงกลางระหว่างทั้งสอง “ถึงตอนนี้ฉันกับพ่อเขาไม่ได้ทำงานด้วยกันแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แม้ฉันจะไม่สนิทสนมกับศิตาแล้ว ก็ไม่อยากให้ใครขุ่นข้องหมองใจ”

                “คุณต้องการไม้กันหมา?” กันแม่ศิตาคนนั้นไม่ให้มาพัวพันอีกต่อไป

                “ฉันมีเมียเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มันคงเป็นการดีที่จะไม่สุงสิงกับผู้หญิงที่ไหนมากเกินไปนัก หรือไม่จริง ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นกังวลว่าฉันจะทำตัวเหลวไหลนอกลู่นอกทาง”

                อ้อ...นี่เองอาจจะเป็นจุดประสงค์หลักที่ชัชพาเธอมาในวันนี้ เพื่อจะใช้เธอเป็นเครื่องมืออีกหน คนอะไรร้ายเป็นบ้า ดีนะที่เธอไม่ได้แต่งงานกับเขาเพราะความรักใคร่ ไม่อย่างนั้นคงต้องปวดหัวปวดใจตาย...

                “ยังมีงานพ่วงท้ายอะไรอีกบ้างที่ฉันจะต้องทำให้คุณ” น้ำหวานเขม้นมองเขา

                มุมปากของชัชแย้มออกเป็นรอยยิ้มละไม ทว่าดวงตาลุ่มลึกลง “ถ้าฉันบอกเธอก่อนก็ไม่สนุกน่ะสิ”

                “ถ้ามันเกินขอบเขตจากที่เราตกลงกันไว้มากไปกว่านี้ ฉันก็ต้องบอกคุณตามตรงว่ามันคงเกินความสามารถอันน้อยนิดของฉันนะคะคุณพ่อเลี้ยง”

                “จุ๊ๆ คุณหนู ฉันเป็นคนมองคุณค่าของคนจากผลของงาน ถ้าทำดี ยังไงฉันก็มีโบนัสให้โดยไม่เกี่ยงงอน มากน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นกับผลลัพธ์ที่เห็น และฉันมั่นใจว่าเธอมีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมาย คุณหนูน้ำหวาน”

                คำว่า ‘โบนัส’ ทำให้คนฟังตาลุกวาว

                กระเป๋าเขาหนักแค่ไหน เธอพอจะมองเห็น เขาใจเย็นหว่านเงินห้าสิบล้านซื้อที่ดินบ้านเธอได้ตาไม่กะพริบ หยิบเงินเป็นแสนๆ ให้ยัยน้าสมรโดยไม่ต้องใช้เวลาตริตรองสักวินาที

                จุ๊ๆ...สายเปย์ที่แท้ทรูนั่งอยู่ตรงนี้นี่เอง

                ห้าสิบล้านที่เธอได้มาไม่ได้มากมาย เพราะนอกจากเอาไปใช้หนี้สิน ซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้คุณหญิงลำหยวกและลงทุนเล็กน้อย น้ำหวานก็แค่เหลือเงินก้อนหนึ่งเพื่อเติมเต็มความฝัน เดินทางท่องโลกกว้างอย่างที่ตระเตรียมเอาไว้

                ขึ้นชื่อว่าเงินทอง ถ้าได้มาเพิ่มย่อมดีกว่ามีเท่าเดิมจริงไหม

                น้ำหวานครุ่นคิดถึงแผนการในอนาคตที่ร่วมกันวาดฝันกับเลื่อมเพชรมาหลายปีแล้วจึงยิ้มย่องอยู่ในใจ เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นที่แว่วดังมาจากโถงทางเดินก็กระแทกเธอออกจากภาพฝันอันหรรษา...

                ร่างสูงระหงทว่าทรวดทรงอวบอัดก้าวเข้ามายืนจังก้าที่หน้าประตู สาวสวยหุ่นสบึมลึ่มล่ำชะงัก เมื่อหันมาจ๊ะเอ๋กับเธอเข้า ชัชเบือนหน้าไปมองคนมาใหม่

                “ศิตา” แค่สองพยางค์ที่เปล่งออกจากปากเขา ฟังราวกับว่านายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนกำลังติเตียนคนที่ถือวิสาสะโผล่หน้าเข้ามา นัยน์ตาหาเรื่องของหญิงสาวคนมาใหม่จืดเจื่อนลงเมื่อหันไปสบแววตาเยือกเย็นของเจ้าของห้อง

                แม่คนนี้...สายตาของน้ำหวานเบี่ยงจากใบหน้าสวยๆ ลงมาที่หน้าอกหน้าใจที่ล้ำหน้าเธอไปไกล เห็นแล้วท้อแท้ใจเล็กน้อย คำพูดเมื่อวานของสามแกะจอมเฟี้ยวทำให้อดเขม่นคนเป็นพ่อฝ่ายนั้นไม่ได้

                ต้องตู้มเบอร์นี้ใช่ไหมเขาถึงจะพออกพอใจ 

                ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน “ผมกำลังจะไปพบคุณอยู่พอดี”

                “ฉันเข้าใจว่าคุณยังไม่รู้ว่าฉันมาหา เลยเดินมาดูสักหน่อย พอดีคุณชไมพรไม่อยู่ที่โต๊ะ ฉันก็เลยลองเดินมาดูทางนี้น่ะค่ะ ขอโทษที่ถือวิสาสะนะคะคุณชัช” ศิตารีบบอก น้ำเสียงฟังดูร้อนรนแก้ตัว

                ชัชยังคงยิ้มในหน้า ทว่านัยน์ตาสีสนิมไม่ได้ยิ้ม...“ผมกำลังคุยกับน้ำหวานอยู่น่ะครับ”

                น้ำหวานส่งยิ้มไร้เดียงสาให้ศิตา แล้วลุกขึ้นยืนตามสามี

                “เชิญศิตาที่ห้องรับรองดีกว่า” คำพูดคำจาของชัชสุภาพ...ห่างเหิน ไม่ต่างอะไรกับการอัญเชิญศิตาออกจากห้องทำงาน พื้นที่ส่วนตัวของเขา เขาหันกลับมาหาเธอ

                “เดี๋ยวฉันมา รออยู่ที่นี่ อย่าไปซุกซนที่ไหนล่ะน้ำหวาน”

                อุ๊ยว้าย!...นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนเปลี่ยนมาใช้ เสียงสองกับเธอเสียด้วย

                คนฟังเกือบเผลอทำหน้าเหลอหลา

                ทว่าสัญชาตญาณของนักแสดงฉุดรั้งเธอไว้ได้ทัน ด้วยความเป็นคนจริงจังกับหน้าที่ อินกับบทบาทที่ได้รับตลอดมา สองขาของเธอถึงก้าวออกไป มือแตะแขนนายกระทิงเถื่อน เขาไม่ใช่คนเดียวที่จะได้รางวัลตุ๊กตาทองในปีนี้ไปครอง

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกสวมโหมดมืออาชีพทันใด มีนักแสดงนำชายแล้วไซร้ นักแสดงนำหญิงก็ขาดไม่ได้เช่นกัน

                อีกอย่าง...จะเอาโบนัสทั้งทีต้องมีผลงานให้เขาเห็น

                “น้ำหวานจะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ดื้อไม่ซนเลยค่ะ” เธอเอียงคอมองเขา ใช้เสียงสามที่หวานแบ๊วกว่าเสียงสองที่ใช้ในยามสวมบทบาทกุลสตรี แล้วช้อนตามองเขา ร่างสูงใหญ่หรี่ตามองลงมาคล้ายไม่ไว้ใจ น้ำหวานแสยะยิ้มแต่พองาม...

                เมื่ออินเนอร์มันมาไกล ท่าทางมือไม้ของลูกสาวคุณหญิงลำหยวกถึงไปด้วยกันหมด เธอเขย่งเท้าขึ้นไปเล็กน้อย กดปลายจมูกลงกับแก้มสากๆ ของสามี

                อุ๊ย...ปื้นเขียวที่ข้างแก้มของเขาให้ความรู้สึกจั๊กจี้พิกล

                “รีบมาเร็วๆ นะคะ น้ำหวานจะรอ...”

                ทุกอย่างหยุดชะงักไปชั่ววินาทีนั้น...

                “เดี๋ยวศิตาไปรอที่ห้องแล้วกันนะคะ” ส่วนเกินประกาศ ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ แต่เสียงส้นเข็มที่กระแทกลงบนพื้นฟังดูรุนแรงกว่าเมื่อขามา แม้เจ้าตัวพยายามไม่ชักสีหน้า แต่พนันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าต้องไม่พอใจ

                น้ำหวานมองตามร่างสาวสวยรวยทรวดทรงแล้วยิ้มย่อง ส่วนชัชยังยืนอยู่กับที่เหมือนรากงอก

                โถ…เจอแอกติงของเธอเข้าไป เขาถึงกับช็อกไปเลยหรือยังไงพ่อคุณ

                อย่าว่าแต่เขาเลย เธอเองก็ช็อกเหมือนกัน!

                พอพลังแห่งการแสดงหมดสิ้น ความกระดากอายก็เข้ามาแทนที่ โอ้...เทพเจ้าแห่งดรามาเจ้าขา เหตุไฉนถึงดลใจให้เธอทำอะไรแบบนั้นลงไป ควรหรือไม่ที่จะเล่นใหญ่เล่นโตถึงขนาดนั้น ช่างมันเถอะ…น้ำหวานสะบัดผมไปข้างหลัง ยืดไหล่ขึ้น

                “คุณไม่ต้องตกใจหรอกนะ” เธอลูบบ่าเขาเบาๆ แก้เก้อ “ฉันเป็นคนจริงจังกับหน้าที่ เมื่อกี้เป็นแอกติงเสริมเพิ่มความสมจริงสมจังฉันแถมให้ คุณคนนั้นเขาจะได้เข้าใจอะไรง่ายๆ ขึ้นไง คุณไม่รู้เหรอว่าการกระทำมันย้ำภาพจำให้มากกว่าคำพูดคำบอกเป็นไหนๆ ฉันเคยอ่านในหนังสือจิตวิทยา ว่าด้วยเรื่องของภาษากายชายหญิง รับรองว่าวิธีนี้มันจะต้องเวิร์กจริงเห็นผลเร็วไว”

                พล่ามน้ำไหลไฟดับคือกลไกการรับมือกับความประหม่าที่ร่างกายของเธอสร้างขึ้นมา ส่วน ชัช ชำนาญพาณิชย์ ยังนิ่ง ไม่พูดไม่จา นัยน์ตาสีสนิมลุ่มลึกอ่านไม่ออก ไม่มีรอยยิ้มยั่วเย้า หรือเยาะหยันชั่วร้ายอย่างที่เคยเห็น มีเพียงความสงสัยใคร่รู้ซุกซ่อนรำไรในแววตาของเขา

                เธอชักจะหวั่นใจในท่าทีของสามีกำมะลอ

                นี่เขาจะโกรธหรือเปล่าที่เธอก้าวล้ำทำเกินหน้าที่ แล้วโบนัสที่ว่าจะยังมีอยู่อีกไหม ร่างแบบบางค่อยๆ ก้าวถอยออกไปด้วยใจกังวล

                “แต่ฉันคิดว่ามันยังไม่สมจริง”

                “คะ?”

                “ถ้าผัวเมียกันจริงๆ เขาไม่ทำแค่นั้นหรอกนะ”

               อ้าว….อย่างนั้นหรือ ใครจะไปรู้ล่ะ

                “แล้วต้องแค่ไหนคะ” เธอเขม้นมอง จะไปรู้ได้ยังไง เธอก็เพิ่งเคยมีเขาเป็นสามีคนแรก แถมพวกเธอยังแต่งงานกันด้วยเงื่อนไขแปลกๆ อีกต่างหาก

                ทว่าชัชไม่ได้ชี้แจงแถลงไข

                ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาจนชิด เธอก้าวถอยเกือบสะดุดขาตัวเอง แขนของเขารั้งเอวเธอได้ทันเวลา ก่อนที่่ร่างอรชรจะแอ่นถลาไปข้างหลัง มืออีกข้างเชยคางเธอขึ้น แล้วใบหน้าคล้ามคมก็ก้มลงมา หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ หายใจไม่ทั่วท้อง สองตาจ้องมองเข้าไปดวงตาเข้มคม จมดิ่งสู่ความลึกล้ำที่ไม่อาจหยั่งถึง

                ในขณะที่น้ำหวานกำลังตื่นตะลึง ริมฝีปากสวยของนายกระทิงเถื่อนก็ ‘ทิ้งตัว’ ลงบนริมฝีปากของเธออย่างนุ่มนวล สองตาของคนตัวเล็กกว่าเบิกกว้าง...จนด้วยถ้อยคำและความคิดทั้งหมดมวล ริมฝีปากของชัชกดย้ำเรียวปากของเธอเบาๆ

                ครั้งหนึ่ง...และอีกครั้ง คล้ายจะสอนว่าจุมพิตระหว่างผัวเมีย ต้องทำกันยังไง

                ชัชและเล็มริมฝีปากเธอครั้งที่สาม สี่ ห้า เจ้าตัวก็ผละออกห่าง นัยน์ตาของน้ำหวานพร่างพราย สมองยังไม่สามารถประมวลผลอะไรได้ ร่างกายของเธอรีบผละถอยจากร่างใหญ่หนาของคนบ้าที่เพิ่งขโมยจูบเธอไปหน้าตาเฉย

                “คะ...คุณมาจะ...จูบฉันทำไม” น้ำหวานละล่ำละลักโวยวาย

                นัยน์ตาอีกฝ่ายยังลุ่มลึกด้วยอารมณ์บางอย่าง ทว่าท่าทางของเขายังเยือกเย็น รอยยิ้มจางๆ แย้มออกที่มุมปากของนายพ่อเลี้ยงคนเถื่อน รอยยิ้มนั้นเลื่อนขึ้นไปพริบพราวในดวงตาทั้งสองของเขา

                มันกำลังส่องประกายขบขันแกมเย้ยหยัน...อยู่ในที

                “ฉันแค่ทำให้เธอดู”

                “ไม่ต้องสาธิตก็ได้”

                “เธอบอกเองว่าภาษากายย้ำภาพจำได้ดีกว่าคำพูดไม่ใช่หรือ คุณหนูคนสวย” ชัชโต้คืนง่ายๆ

                “เมื่อกี้คุณศิตาอะไรนั่นก็ไม่ได้ยืนอยู่เสียหน่อย ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเอ่อ...จูบฉันเลย คุณฉวยโอกาสชัดๆ” น้ำหวานจ้องหน้าคนตัวใหญ่กว่า กล่าวหาจริงจัง ชัชทำแค่เพียงยักไหล่

                “Practice Makes Perfect ไม่เคยได้ยินหรือ ก็ต้องซ้อมเอาไว้ เผื่อต้องใช้เธอจะได้ชิน และอีกอย่างนะคุณหนู ฉันเป็นพ่อค้า ฉวยโอกาสคือสิ่งที่ฉันทำเป็นประจำอยู่แล้ว”

                ร้ายขนาดไหน ถึงพูดได้ไม่อายปาก แล้วพวกเธอต้องซักซ้อมเป็นประจำด้วยหรือไม่

                สองแก้มเห่อร้อน หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสูงใหญ่หันหลังทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ก่อนจะออกไปยังไม่วายเหลียวมา

                “อ้อ...”

                น้ำหวานเกือบสะดุ้ง

                “คุกกี้ติดปากแน่ะ” เขาเคาะที่มุมปากตัวเอง บอกยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกไป

                ลับร่างสามีตัวร้าย ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็กระทืบเท้าเร่าๆ ใครจะว่าเธอทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลก็ช่างปะไร หืม...คนบ้าอะไรเกิดมาไม่เคยเจอ เขาทำให้เธอทั้งโกรธ ทั้งเขิน ทั้งอับอายได้ในเวลาเดียวกัน

                หากว่าเมื่อกี้เป็นการไขว้กัน เธอก็แพ้หลุดลุ่ยในยกนี้

                น่าเจ็บใจจังเลย คราวหน้าบอกเลย เธอจะต้องฝึกกำลังใจให้เข้มแข็งกว่านี้...คอยดู อย่าหวังว่าจะมาทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่กันได้อีก!

 

            น้ำหวานเดินเข้าไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องน้ำด้านหลังห้องทำงานของนายกระทิงเถื่อน ล้างมือล้างไม้ เอาน้ำลูบแขน ไล่ความร้อนในร่างกายที่เกิดจากความโมโหและอับอายออกไปจากเนื้อตัวอยู่นานสองนานก่อนจะกลับออกมา ทว่าตอนนี้ไม่ได้มีเพียงเธอคนเดียวที่อยู่ในห้องทำงานของชัช...

                ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนสีเข้มของโชตินั่งไขว่ห้างทำหน้าเบื่อโลกอยู่บนโซฟา พอสบตาเธอเข้า เจ้าตัวถึงโปรยยิ้มสดใสมาให้ ลดขาที่ไขว่ห้างลง

                “สวัสดีครับคุณน้ำหวาน ไม่คิดว่าจะเจอคุณน้ำหวานที่นี่”

                “น้ำหวานก็เหมือนกันค่ะ คุณโชติมาทำอะไรเหรอคะ”

                “พอดีคุณชัชเรียกให้ผมมาหา” กิริยาวาจาต่างๆ ของโชตินอบน้อม ทำเหมือนตัวเองเป็นคนขับรถที่กำลังพูดกับภรรยาเจ้านาย ไม่ใช่น้องชายต่างแม่ของสามีที่กำลังพูดกับพี่สะใภ้

                แค่มีแม่คนละแม่ แต่ชนชั้นในครอบครัวมันต้องห่างกันมาขนาดนี้เลยหรือ

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกนึกสงสัย ตัวเธอไม่เคยมีพี่น้อง ส่วนครอบครัวของเลื่อมเพชร เพื่อนสาวรุ่นพี่ก็ไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายนัก เธอจึงไม่เคยเรียนรู้ถึงความเหลื่อมล้ำในครอบครัวใหญ่

                ร่างแบบบางขยับตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวม ยกถ้วยชาที่เริ่มชืดขึ้นมาจิบ

                แม้โชติจะพยายามสงวนท่าที กระนั้นแววตาของเขาก็ปกปิดความจริงในใจไม่มิด เขาดูมีอะไรมากกว่าท่าทางที่แสดงออกมา สายตาของเขามีความกรุ้มกริ่มโดยธรรมชาติ

                ‘ฉันแค่อยากจะเตือนเธอไว้ ว่าอย่าไว้ใจคนมากนัก โดยเฉพาะน้องชายคนนี้ของฉัน นายโชติหูตากรุ้มกริ่มแพรวพราว สาวๆ ที่หลงคารมของเขามีมากมาย’

                จริงอย่างที่สามีเธอว่าไว้...

                “พอดีว่าคุณชัชพาฉันมาแนะนำให้พนักงานที่นี่รู้จักน่ะค่ะ” เมื่อฝ่ายนั้นยังมองมาด้วยสายตาแอบกรุ้มกริ่ม เธอจึงยิ้มอ่อนหวานให้

                “อย่างนั้นเลยหรือครับ” โชติเลิกคิ้วทำหน้าแปลกใจ ท่าทางของชายหนุ่มออกจะเล่นใหญ่เกินความจำเป็นอยู่สักหน่อย พลอยให้คนมองรู้สึกตงิดๆ คล้ายสะกิดใจให้อยากรู้

                “ทำไมเหรอคะ”

                “ก็ปกติแล้ว คุณชัชไม่ค่อยเอาเรื่องงานมาปะปนกับเรื่องส่วนตัวน่ะครับ คุณชัชเป็นคนระมัดระวังตัวน่ะครับ”

                น้ำหวานยังคงเอียงคอมองเขาเป็นเชิงกระตุ้นให้ชายหนุ่มอธิบายต่อ

                “อย่างที่คุณน้ำหวานเองก็พอจะทราบว่าคุณชัชเป็นโสดมานาน ย่อมจะมีสาวๆ ติดพันอยู่บ้าง แต่คุณชัชเองก็ไม่เคยพาใครมาเปิดตัวที่นี่หรอกครับ”

                เปิดตัว...ทำอย่างกับเธอเป็นดาราเซเลบถึงต้องมีอีเวนต์เปิดตัว ใครจะรู้ความจริงข้างใน นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนลากเธอมาใช้งานให้คุ้มค่าเงินห้าสิบล้านที่เขาหว่านลงไปต่างหากเล่า อีกอย่าง อาจเพราะเขาเปลี่ยนคู่ควงบ่อย จนกลัวว่าคนที่นี่จะพลอยเบื่อทำความรู้จักด้วยหรือเปล่า

                สมองคิดอ่านไปต่างๆ นานา แต่ใบหน้าของลูกสาวคุณหญิงลำหยวกยังแย้มยิ้ม ตั้งอกตั้งใจฟังน้องชายต่างแม่ของสามีเจรจา...

                “คุณน้ำหวานมีความสำคัญมากนะครับ คุณชัชถึงพามาเปิดตัวที่นี่” โชติพูดกลั้วหัวเราะ

                “ขนาดลดา แม่แท้ๆ ของหลานๆ ผม ยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะโผล่มาที่ทำงานของเขาเลยสักครั้ง”

                ลดา ลดา ลดา ชื่อนี้อีกแล้ว เพราะเมื่อวานมีอะไรหลายอย่างให้คิด เธอเลยลืมเลือนผู้หญิงที่ชื่อลดาไปเสียสนิท

                “ลดา?”

                โชติยิ้มเก้อๆ เมื่อเห็นท่าทีฉงนฉงายของเธอ ทำท่าทางเหมือนรู้ตัวว่าเผลอพลั้งพูดอะไรไม่ระวังออกมา

                “เอ่อ...ผมขอโทษนะครับที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณกับคุณชัชมากเกินไป”

                เขาคงตีความอาการนิ่งคิดของน้ำหวานเป็นอาการกระอักกระอ่วนใจ สายไปแล้วจ้ะพ่อคุณทูนหัว แหม...ออกหน้าออกตาขนาดนี้ ไม่สายไปหน่อยหรือที่จะออกตัวไม่ยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเธอกับสามี น้ำหวานยิ้มในหน้า ทำหน้าบ้องแบ๊วตาใส

                “คุณลดาคงจะเป็นภรรยาคนก่อนของคุณชัชสินะคะ”

                “นี่คุณชัชไม่ได้บอกคุณน้ำหวานหรอกเหรอครับ หรือไม่เคยพูดถึงลดามาก่อนเลย?”

                จะให้พูดความจริงได้หรือว่า เธอไม่เคยอ้าปากถามเกี่ยวกับเมียเก่าเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่เคยรู้เลยว่า ชัช ชำนาญพาณิชย์ กลายเป็นพ่อม่ายเรือพ่วงด้วยสาเหตุอันใด

                เมียตาย หรือเมียทิ้ง หรือทิ้งเมีย

                “เราก็คุยกันบ้างค่ะ แต่ฉันไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายหรอกค่ะ อย่างที่บอกว่ารักของเราเป็นรักแรกพบ มันรวดเร็วเสียจนน้ำหวานแทบจะตั้งตัวไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็แต่งงานย้ายมาอยู่กับคุณชัชเสียแล้ว”

                ฮึ่ม...สวรรค์ พูดเองก็กระดากปากเอง รักแรกพบ ต้องโทษที่นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนนั้นปูเรื่องราวมาแบบนี้ จะให้เธอฉีกเส้นเรื่องออกไปคงไม่เข้าที

                “คุณโชติคงรู้จักภรรยาเก่าของสามีน้ำหวานดีนะคะ” หญิงสาวช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างไร้เดียงสา

                สองตากรุ้มกริ่มเป็นประกายมืดมนลงเล็กน้อย โชติยิ้มจืดเจื่อนเบือนหน้ามองไปทางอื่น

                หืม...ทีอย่างนี้มาทำท่าลำบากใจ ทีหว่านเมล็ดพันธุ์เผือกไว้ละไม่ลังเล

                “ลดาเป็นเพื่อนสมัยเรียนของผมเองครับ เราเพิ่งจะมาสนิทกันตอนที่เขาเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านชำนาญพาณิชย์ เพิ่งจะสนิทสนมกันไม่นาน ลดาก็...ก็มาเกิดเรื่องเสียก่อน...” ชายหนุ่มทอดถอนใจ เหม่อมองออกไปยังวิวทะเลด้านหลังกระจกห้องทำงานของนายกระทิงเถื่อน เหมือนกำลังรำลึกความหลังครั้งก่อนเก่า ความหลังอันแสนเศร้าเขย่าดวงฤทัย

                “เรื่องอะไรเหรอคะ” น้ำหวานยื่นคอออกไปข้างหน้า อยากจะรู้เต็มแก่

                จงคายออกมา จงคายออก จงคายออกมา

                “ช่างมันเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว”

                อ้าว...ได้ยังไงเล่า!

                ถ้าอยู่คนเดียวแม่จะตบเข่าสักฉาดสองฉาด อารมณ์ของเธอเหมือนแฟนละครที่พลาดฉากเข้าด้ายเข้าเข็ม ถูกทำให้ค้างเติ่งบนยอดผา ต้องรอถึงสัปดาห์หน้ากว่าพระนางจะได้กัน...

                “อีกอย่าง...ถ้าคุณน้ำหวานอยากรู้ ผมว่าลองเลียบเคียงถามกับคนอื่นดีกว่าครับ มันคงไม่ดีถ้าคุณน้ำหวานจะรู้จากผม”     ท่าทางเกรงอกเกรงใจเหมือนหวาดหวั่นอำนาจมืดอะไรบางอย่าง ยิ่งล่อหลอกชักจูงให้คนอยากรู้

                นายโชติคนนี้ควรไปเป็นพีอาร์ประชาสัมพันธ์ เพราะช่ำชองการปั่นอารมณ์คนฟังได้ดีเสียจริงๆ หนำซ้ำยังมาทิ้งปมปริศนาให้สืบหาวุ่นวาย

                น้ำหวานแอบค้อนน้องชายต่างแม่ของสามีในใจ คนอื่นน่ะมันใครที่ไหน ช่วยบอกใบ้ให้เธอหน่อยไม่ได้หรือ เอาอักษรย่อก็ได้ เฮ้อ...เอาเถอน่ะ อย่างน้อยกว่าสิบนาทีที่ผ่านมา เธอก็รู้แล้วว่าเมียเก่าของชัชชื่อลดา และมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ปัญหาที่ทำให้ลดาหายไปจากครอบครัว

                แล้วหล่อนหายไปไหน ยังมีชีวิต หรือว่า...ตายจากโลกนี้ไปแล้ว

                “ขอโทษทีที่ให้รอ...” เสียงห้าวๆ ดังขึ้น พร้อมการกลับมาของ ชัช ชำนาญพาณิชย์

                ท่าทางของโชติคล้ายจะหลุกหลิกลุกลนขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับคนมีชนักปักหลัง

                นัยน์ตาสีสนิมเบนจากคนเป็นน้องมามองเธอ น้ำหวานทำคอแข็งขึ้นมาทันที เธอยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องจูบเมื่อครู่จากเขา เธอรีบเม้มปากเข้าหากันเมื่ออีกฝ่ายหลุบตามองริมฝีปากเธอ รอยยิ้มละไมระบายบนริมฝีปากได้รูปงามของสามีเธอ รอยยิ้มลึกลับที่มีแต่เธอกับเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร….

                น้ำหวานเมินมองไปทางอื่นเสีย...

                “น้ำหวานขอตัวลงไปเดินชมสวนข้างล่างก่อนนะคะ เห็นมีดอกไม้แปลกๆ เยอะแยะเลย” หันไปบอกโชติ ปรายตามองร่างสูงใหญ่ของคนมาใหม่เล็กน้อย “เชิญคุยกันตามสบาย”

                น้ำหวานเดินเข้าลิฟต์ลงมายังสวนกลางตึกชั้นล่าง พนักงานที่ยืนเรียงแถวต้อนรับเธอกับชัช ประหนึ่งข้าราชบริพารรอรับฮ่องเต้และฮองเฮาแยกย้ายกันกลับไปทำงานตามหน้าที่หมดแล้ว

                สวนกลางอาคารจึงเงียบสงบ

                แค่ก้าวเท้าเข้าไปก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของต้นไม้ ได้ยินเสียงน้ำไหลรินจากอ่างน้ำพุใหญ่ยักษ์ ล้อมรอบน้ำพุคือลานปูหิน มีม้านั่งวางเรียงรายให้นั่ง สวนนี้ไม่ได้ทำไว้เล่นๆ ทุกรายละเอียดการออกแบบบอกความจริงจัง ที่เจ้าของบริษัทแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพักผ่อนหย่อนใจ

                น้ำหวานนั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง เอนหลังพิงพนักแล้วหลับตา

                นิ่งสงบได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้น พร้อมกับกลิ่นชาเนล นัมเบอร์ไฟฟ์ ลอยมาเตะจมูก หญิงสาวลืมตาขึ้นมาทันที เห็นร่างอวบอัดในชุดเดรสรัดรูปของศิตายืนห่างออกไปไม่ถึงวา

                แฟน...เอ๊ย...อดีตแฟนเก่าของสามียืนมองเธออยู่

                แวบนั้นดวงตาของอีกฝ่ายแข็งกร้าว แม่เสือดาวจะเข้ามาขย้ำคอเธอหรือไร ทว่าเพียงพริบตา สีหน้าสีตาของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นมิตรทันที หืม...เปลี่ยนสีได้เร็วจนน่ากลัว นี่คนหรืออิกัวนา

                “พี่คงไม่ได้มารบกวนเวลาพักผ่อนของน้องน้ำหวานหรอกนะคะ” หล่อนเดินตรงเข้ามา

                พี่? น้อง? โทษนะคะฉันเป็นลูกคนเดียวค่ะ ยังไม่ได้อยากได้พี่สาวเพิ่มมาอีกคน แต่ในเมื่อหล่อนเริ่มด้วยการตีซี้ เธอก็จำต้องเล่นบทน้องสาวคนดีตามน้ำไป

                “ไม่หรอกค่ะ น้ำหวานแค่นั่งพักสายตาสักครู่เท่านั้น”

                “เมื่อกี้ตอนเจอกันข้างบน พี่ไม่มีโอกาสแนะนำตัว พี่ชื่อศิตา เป็นเพื่อนสนิทกับคุณชัชค่ะ”

                เพื่อนสนิท...คนฟังอดเบ้ปากในใจไม่ได้ ถึงแม้อิกัวนาจะดูร้าย แต่ก็ยังพ่าย ชัช ชำนาญพาณิชย์ ไปก้าวหนึ่งสินะ

                “เรียกน้ำหวานว่าน้ำหวานก็ได้ค่ะ”

                “ชื่อน่ารักจังเลยนะคะ” หล่อนหัวเราะคิกคัก ทว่าความสดใสไปไม่ถึงดวงตา “น้องน้ำหวานดูอ่อนหวาน เรียบร้อยน่ารักสมชื่อเลยจริงๆ”

                ตอแหล...ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกได้แต่หลุบตามองตัก ทำทีเป็นยิ้มรับอย่างเอียงอาย

                “พี่ขอนั่งเล่นด้วยนะคะ รอคนรถมารับน่ะค่ะ” ศิตาว่าพลางหย่อนตัวลงนั่งเสร็จสรรพ

                “ดีใจจังที่ได้เจอกันในวันนี้ ตอนแรกพี่ก็อดเซอร์ไพรส์ไม่ได้ที่จู่ๆ คุณชัชก็แต่งงาน ทั้งที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เราสองคนยังไปดินเนอร์ด้วยกันอยู่เลย คุณชัชนี่ร้ายจริงๆ นะคะ ไม่ยอมบอกข่าวดีพี่สักคำ”

                อ้อ...ตอนนั้นเขาคงยังไม่รู้เลยมั้ง ว่านางสาวน้ำหวาน เครือผู้ดี มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้ เพียงระยะเวลาไม่ถึงเดือน ใครจะคาดคิดว่าชีวิตของเธอจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ต้องตกกระไดพลอยโจนมาเป็นเมียนายพ่อเลี้ยงคนเถื่อน

                “น้องน้ำหวานคงยังไม่คุ้นเคยกับคนที่นี่สินะคะ”

                “ค่ะ น้ำหวานเคยมาเที่ยวภูเก็ตเมื่อนานมาแล้วน่ะค่ะ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่พักหลังไม่ค่อยได้มา เพราะคุณแม่ท่านห่วงไม่ค่อยให้ออกไปไหนมาไหน เลยอยู่แต่ในบ้านค่ะ”

                “น่าสงสารจังเลยนะคะ ถ้าอยู่แต่ในรั้วในบ้าน น้องน้ำหวานก็เหงามากสิท่า เอาอย่างนี้สิคะ” ริมฝีปากเคลือบแดงของหล่อนแย้มกว้าง แต่รอยยิ้มสวยงามไม่ต่างอะไรกับยาพิษอาบน้ำผึ้ง

                “ถ้าอยู่บ้านว่างๆ เหงาๆ ออกมาแฮงก์เอาต์ด้วยกันได้นะคะ พี่เป็นคนในพื้นที่ยินดีจะพาน้องน้ำหวานออกไปเปิดหูเปิดตา ตอนนี้กำลังช่วยงานคุณนายผู้ว่าฯ หัวหน้าสมาคมนักธุรกิจหญิง นี่นามบัตรของพี่ค่ะ” ว่าแล้วเล็บแหลมเปี๊ยบก็ยื่นนามบัตรสีขาวขลิบเงินมาให้

                เดี๋ยวนี้นางร้ายเขาใช้ไม้นี้กันแล้วหรือ

                ไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย แต่ทำเป็นตีสนิทเสียเฉยๆ ให้ตายใจ ทว่าน้ำหวานยังคงระวังระไว ใช่ว่าเธอจะริษยาในความงาม แต่สัญชาตญาณเธอบอกไว้ ตั้งแต่ปลายขนตาปลอมยันเล็บขบ ไม่มีส่วนไหนที่น่าคบเลยสักนิด

                “ถ้าน้องน้ำหวานต้องการจะรู้อะไรเกี่ยวกับคุณชัช ถามพี่ศิตาได้เลยนะคะ อย่างที่รู้ เราสองคนสนิทสนมกันมานาน คุณชัชเขาชอบอะไร แบบไหนพี่รู้ใจกันดี อย่างอาหารที่ชอบรสชาติต้องจัดจ้าน เผ็ดแซ่บถึงใจ หวานๆ เลี่ยนๆ เขาทาน ไม่นานก็เบื่อค่ะ”

                หึ...ยัยอิกัวนานี่ไม่ใช่คนจริงเท่าไรนี่นา จะด่าจะแซะ ทำไมไม่เอาตรงๆ

                คำว่าเผ็ดแซ่บถึงใจ ส่อความถึงไหนต่อไหน แล้วยังไงใครแคร์ ก็แค่ ‘ของเก่า’

                “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิตา” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกดึงนามบัตรของสาวสวยมาถือไว้ พนมมือกลางหว่างอก ก้มหัวลงแต่พองาม ช้อนตามองศิตา แสร้งทำปลาบปลื้มเสียเต็มประดา

                “น้ำหวานคงมีเรื่องให้ปรึกษาพี่ศิตาเยอะแยะเลยค่ะ เพิ่งได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันไม่นาน คุณชัชเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร น้ำหวานยังไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ แต่ที่เห็นวันนี้...” เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย เอียงคอมองคนอาวุโสกว่าทั้งเบ้าหน้าและอายุอานามด้วยสายตาบ้องแบ๊ว “อาหารในจานที่คุณชัชเขาไม่กินแล้ว ถึงจะจัดจ้าน เผ็ดแซ่บ ถึงใจแค่ไหน เขาก็เขี่ยทิ้งน่ะค่ะ”

                สาวสวยจัดจ้านได้ฟังพลันหน้าตึง

                อุ๊ย...หรือว่าเธอเผลอพูดอะไรผิดไป ว้ายแย่จุง...

                นัยน์ตาที่กรีดอายไลเนอร์คมกริบตวัดมองเธอแข็งกร้าว น้ำหวานยังมองศิตาตาใส วูบหนึ่งนั้นสีหน้าศิตาคล้ายไม่แน่ใจ ว่าเธอพูดด้วยความไร้เดียงสาหรือว่าหลอกด่าตัวเองกันแน่

                สาวสวยจัดจ้านสูดหายใจลึก ทรวงอกอวบอัดกระเพื่อมไหวด้วยแรงอารมณ์ ก่อนที่แม่อิกัวนาคนดีจะเปลี่ยนสี คลี่ยิ้มหวานฉ่ำมาให้เธอ

                “พี่คงต้องขอตัวก่อนนะจ๊ะ โทร. มาได้ตลอดเลยนะ ว่างๆ ออกไปแฮงก์เอาต์ด้วยกัน”

                แฮงก์เอาต์กับหล่อน คงไม่ต่างจากการเอาคอไปแฮงก์ออนกิโยติน ร่างแบบบางลุกขึ้นยืนส่งสาวสวยรวยทรวดทรง กระดิกนิ้วบ๊ายบาย

                “เทกแคร์นะคะพี่ศิตา”

                พอลับร่างระหงทรงงามของสาวสวย น้ำหวานก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ โอ๊ย...เธอละไม่คิดจริงๆ ว่าแม้ไม่ได้แคสติงบทนางเอกอย่างที่ฝันในวัยเยาว์ แต่ก็ยังได้เอาความสามารถทางการแสดงออกมาใช้

                นางร้ายในชีวิตจริงน่ะยิ่งกว่าละคร

                จิตใจคนเรามันยากแท้หยั่งถึง มากกว่าบทบาทของผู้คนที่เห็นในทีวี ใครเป็นพระเอก นางเอก ตัวร้าย ใช่จะมองเห็นแยกแยะง่ายดาย เหลือบตามองขึ้นไปข้างบน คิดถึงคนร้ายๆ คนนั้น

                ชัชพูดอะไรกับศิตา เขาประกาศตัดรอนหล่อนแล้วจริงๆ หรือไม่

                ถ้าศิตาเป็นนางร้าย แล้วสามีของเธอเป็นใครในละครฉากนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่พระเอกแสนดี ถ้าจะพูดกันแฟร์ๆ เธอเองก็ใช่ว่าจะเป็นนางเอก หรือนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหน คนเรามันก็ต้องมีความร้ายด้วยกันทุกคนนั่นละ เพราะโลกนี้คนดีมักไม่มีที่อยู่ ถ้ายังเป็นคุณหนูโลกสวยต่อไป เตรียมตัวตายได้เลย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น