11

เผือกให้ไกล ไปให้ถึงทาง ‘ช่างเผือก’


11

เผือกให้ไกล ไปให้ถึงทาง ‘ช่างเผือก’

 

                เขามองตามร่างอรชรในชุดกระโปรงสีหวานเหมือนกับชื่อ ก่อนออกจากห้องไป เจ้าตัวยังไม่วายส่งสายตาดุร้าย เหมือนนางแมวป่ามาให้เขา มุมปากชัชแย้มออกเล็กน้อย

                สัมผัสนุ่มละมุนยังติดตรึงอยู่บนริมฝีปาก ริมฝีปากของแม่คุณหนูคนงามรสชาติหอมหวานกำลังดี…และเล็มเพียงน้อยนิดก็รู้สึกถึงความนุ่มเนียน จนอยากลองลิ้มรสชุ่มฉ่ำนั้นให้นานกว่านี้ น่าเสียดายอยู่สักหน่อยที่เขาไม่มีเวลาอ้อยอิ่งนานกว่านั้น

                ความคิดคำนึงถึงแม่เมียเด็กชะงัก เมื่อเขาหันมาเห็นใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยมของน้องชายต่างมารดา ชัชพยักพเยิดไปทางเก้าอี้ว่าง พลางบอกคนที่มารอพบ

                “นั่งสิ”

                โชติหย่อนตัวลงนั่ง ฝ่ายนั้นแสดงท่าทีประหนึ่งว่าเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามเขาคือเก้าอี้นักโทษประหาร เจ้าของห้องซ่อนยิ้มในหน้า รู้สึกขบขันกับท่าทางของอีกฝ่าย

                “คุณชัชเรียกผมมามีอะไรเหรอครับ”

                แต่ไหนแต่ไรมา พี่น้องของเขาไม่เคยเรียกขานเขาว่าพี่อย่างสนิทสนม แม้อายุอานามอาจจะเหินห่างกันไม่ถึงสิบปี แต่เพราะภาระหน้าที่ที่ทุ่มลงบนบ่า ทำให้ชัชมีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างสมาชิกในครอบครัว แม้ตัวจะไม่ได้อยู่ห่าง ทว่าความรู้สึกทางใจคล้ายกับมีกำแพงหลายชั้นกั้น

                อาจเป็นเพราะเขาโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร

                ‘ทุกสิ่งที่ฉันสร้าง จะรุ่งหรือจะร่วงขึ้นอยู่กับแก’

                นั่นคือสิ่งที่พ่อเขาสั่งเสียก่อนตาย ถ้อยคำสั้นๆ นั้นไม่ใช่หมายถึงเพียงแค่ธุรกิจที่บรรพบุรุษก่อร่างสร้างไว้ หรือทรัพย์สมบัติที่ปู่ย่าตาทวดฝังไว้ในไห แต่หลักใหญ่ใจความหมายถึงคน ญาติพี่น้องที่อยู่ในความดูแลของเขานับตั้งแต่วันที่พ่อของเขาสิ้นลมหายใจ

                ร่างสูงใหญ่เอนหลังลงบนพนักเก้าอี้ เปิดแลปทอปขึ้นดูอีเมลพลางเอ่ยปาก...“ฉันได้ยินว่ากิจการรีสอร์ต สนามกอล์ฟของแกผลประกอบการไม่ค่อยดี”

                “ช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซัน อย่างที่รู้กันว่าฝนตกหนัก หน้าฝนลากยาวมาจนถึงช่วงนี้ทำให้แขกไม่ค่อยเข้ามา แต่ก็ยังไม่ขาดทุนหรอกครับ” โชติอธิบายได้อย่างลื่นไหลเหมือนเตรียมคำตอบไว้อยู่แล้ว

                “อือฮึ” เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่มีกำไรงอกเงยออกมา

                สองตาของชัชยังจ้องมองหน้าจอแลปทอป เลื่อนไปเปิดอ่านข่าวสำคัญประจำวัน เขานิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายรอสักหน่อยแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมอง

                “แต่ที่ฉันแปลกใจก็คือว่า ในเมื่อลูกค้าไม่มีมา แต่ทำไมค่าใช้จ่ายมันถึงได้มากขึ้น”

                “งั้นเหรอครับ”

                น้องชายของเขาทำหน้าแปลกใจ หรืออาจจะแค่แสร้งทำหน้าแปลกใจ แค่มันอ้าปาก เขาก็เห็นถึงตับไต บอกเลยว่าไม่เนียน

                “สนามกอล์ฟเปิดมานาน ย่อมจะต้องมีค่าบำรุงรักษา ปีนี้ก็เข้าไปปีที่สิบ คงได้เวลาซ่อมบำรุงแล้วมั้งครับคุณชัช”

                “บำรุงรักษาตึกอาคาร หรือบำรุงความสำราญของใครกันแน่”

                “คุณชัชหมายความว่ายังไงครับ” โชติเงยหน้ามองเขา ตาลุกวาว หน้าตึงขึ้นมา

                ชัชพูดต่ออย่างระอา…เป็นที่รู้กันว่าน้องชายคนเล็กของเขาออกจะใช้เงินมือเติบอยู่สักหน่อย แถมยังเป็นพวกหน้าใหญ่ใจโต ไม่ยอมด้อยกว่าใคร เพื่อนพ้องมี ‘ของเล่น’ แพงชิ้นไหน โชติ ชำนาญพาณิชย์ จะต้องมีไม่น้อยหน้า

                “ฉันหมายความอย่างที่พูด”

                “คุณชัชคงไม่คิดว่าผมงุบงิบเงิน หรือผลาญเงินสิ้นเปลืองโดยไม่ชอบหรอกนะครับ”

                “ฉันยังไม่ได้บอกแบบนั้น อย่าเพิ่งร้อนตัวสิ” เขายิ้มมุมปาก ปิดแลปทอปลง

                “แกล้างผลาญหรือใช้เงินทองที่หาได้มาไปกับอะไร ฉันไม่สนใจหรอกนะ ตราบใดที่แกไม่เดือดร้อนคนอื่นเขา เงินรายได้ที่เข้ามาก็เข้ากระเป๋าแกทั้งนั้นหรือไม่จริง”

                หาเงินได้มาแล้วใช้นั้นไม่ผิด

                “ไม่ว่าสิ่งที่คุณชัชรู้มาจะเอามาจากไหน ผมยืนยันได้เลยว่าผมไม่ได้ทำอะไรที่ไม่โปร่งใส แล้วใครกันที่เดือดร้อนกับเรื่องนี้ครับ ผมอยากจะรู้ เผื่อมีเรื่องผิดพลาดอะไรที่ผมไม่รู้ ผมจะได้แก้ไขที่ต้นเหตุได้”

                อันที่จริงคนอย่างเขาไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องมาสนใจเรื่องหยุมหยิมกับเงินแค่ไม่กี่ล้าน แต่เขาต้องการจะบอกอีกฝ่ายในฐานะพี่น้อง ถึงเขาจะมีทรัพย์สินเงินทองกองเท่าเขาไกรลาส แต่จะให้เขาประคับประคองกันไปจนตายไม่ใช่นโยบายของ ชัช ชำนาญพาณิชย์

                เขาเอื้อเฟื้อให้พี่น้องได้ แต่ไม่ใช่นักบุญที่จะทำกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทน ถ้าให้โอ๋ไปจนถึงวาระสุดท้าย ก็เท่ากับทำร้ายพี่น้องเท่านั้น

                “ฉันไม่ได้หมายถึงตัวแก แต่ฉันหมายถึงที่แกทำ ถ้าคิดว่ากิจการรีสอร์ตจะอยู่รอดได้โดยที่ไม่ต้องเอากำไรจากกิจการอย่างอื่นมาอุดมาหนุน หมุนเงินเสียจนจะเป็นบ้า ก็ควรแก้ไขให้รีสอร์ตของแกมีสภาพคล่องให้ได้มากกว่านี้ในไตรมาสนี้” เขาเสนอแนะ “ฉันไม่ได้อยากให้แกหาหลักฐานมายืนยันว่า เงินที่เสียหายไปด้วยเรื่องอะไรบ้าง แต่ฉันต้องการให้แกแก้ไขที่ต้นเหตุที่แท้จริง”

                อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ที่แม่นายแอบหยิบยื่นเงินตั้งเท่าไรให้ฝ่ายนั้นไปต่อทุนหมุนเวียน ถึงเพียรบอกแม่เลี้ยงหลายครั้งว่าอย่าส่งเสริมกันให้มากนัก แต่จะว่าอะไรได้ก็นางรักของนาง

                แม่นายแช่ม เคยท้องแล้วแท้งจนมีลูกไม่ได้อีก นางมีศักดิ์เป็นเมียใหญ่ก็จริง แต่ผู้หญิงที่คลอดลูกชายคนแรกให้พ่อเขา ก็คือเมียรองแม่ของชัช แม่ของเขาตายตอนคลอดเขาออกมา แม่นายจึงรับเลี้ยงเขาเหมือนลูก แต่คนที่ปลูกฝังกล่อมเกลาให้เขาเติบโตคือพ่อแท้ๆ ของเขาเอง

                เพราะมีปมที่มีลูกไม่ได้ แม้ภายนอกจะดูปากร้าย ทว่าก็มักใจอ่อนให้ลูกหลาน แม้จะเกิดจากเมียรองคนอื่นๆ ก็ตาม โชติ...เป็นหนึ่งในลูกเลี้ยงคนโปรด เพราะฝ่ายนั้นช่างเจรจาเอาอกเอาใจ

                “คุณชัชมีเรื่องเท่านี้ใช่มั้ยครับ”

                “ใช่” เขาเปิดแลปทอปขึ้นมาใหม่

                “ผมขอตัวก่อนนะครับ ผมรับปากว่าจะรีบจัดการแก้ไขตามที่คุณชัชต้องการ”

                “แกควรจะเร่งรีบแก้ไขจัดการเพื่อสวัสดิภาพธุรกิจของแกเอง ไม่ใช่เพราะแค่ว่าฉันชี้แนะให้แกทำ”

                โชติก้มหน้าเม้มปากเข้าหากัน ยกมือไว้เขาอย่างนอบน้อม แต่สีหน้าสีตาไม่ค่อยพอใจนัก

                ลับร่างน้องชายต่างแม่ อำนวย อวยโชค มือขวาของเขาก็โผล่หน้าเข้ามา ทำจมูกฟุดฟิด “นี่ไปวิ่งเล่นในสวนลาเวนเดอร์มาหรือยังไงครับคุณพ่อเลี้ยง กลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งสามบ้านแปดบ้าน”

                เขาเลิกคิ้ว มองไปทางลูกน้อง จ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ

                “อูย” อำนวยยิ้มเจื่อนเมื่อถูกเชือดเฉือนด้วยสายตา

                คำว่าคุณพ่อเลี้ยง...อีกฝ่ายจงใจจะล้อเลียนเขา

                ที่นี่มีแต่คนเรียกเขาว่านายหรือคุณชัช ไม่มีใครเรียกเขาว่าพ่อเลี้ยงเลยสักคน คิดแล้วก็น่าขัน เขาเป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนเมืองกรุงก็ตอนที่ร่วมหุ้นลงทุนกับเพื่อนเปิดรีสอร์ตที่ทางเหนือ ต้องออกงานสังคมเพราะเพื่อนร่วมหุ้นมีหน้ามีตาถึงต้องทำพีอาร์ให้คนรู้จัก ผสมโรงกับแม่นายที่พื้นเพเป็นคนแม่สายที่ย้ายมาแต่งงานกับพ่อเขา

                เขาจึงถูกคนนอกพื้นที่เรียกว่า ‘พ่อเลี้ยง’ นับแต่นั้น

                “ไม่ยักรู้ว่านายนิยมฉีดพ่นน้ำหอม ตั้งแต่มีเมียเด็ก เหมือนว่านายจะใส่อกใส่ใจกับร่างกายมากขึ้นนะครับ”

                คนเดียวที่จะคุยเล่นกับเขาได้ก็มีแต่อำนวยเท่านั้น อำนวยเป็นทั้งคนรับใช้และเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ ทั้งสองถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาด้วยกัน พ่อของเขาอุปถัมภ์อวยโชคทั้งครอบครัว

                พอถึงรุ่นเขาถึงต้องรับหน้าที่นั้นต่อ...

                “ว่าแต่นายเคลียร์กับสาวๆ ลิสต์ยาวเป็นหางว่าวจุฬาของนายเรียบร้อยแล้ว?”

                “แกนี่มันช่างสาระแนเรื่องส่วนตัวของฉัน ยิ่งกว่าเมียฉันเสียอีกนะอำนวย”

                เจ็ดปีที่เป็นโสดมา ประวัติชีวิตรักของเขาไม่ได้ขาวสะอาด ตัวเขาไม่ใช่พระ มีผู้หญิงมาข้องเกี่ยวบ้างประปราย แต่เขาไม่เคยจริงจังกับใคร หลังๆ คนที่เขาคบหานานกว่าใครก็มีศิตา หลักใหญ่สำคัญเพราะงานการที่ต้องเกี่ยวเนื่องกัน

                “แล้วลูกสาวนายหัวสินทร?”

                “ศิตาเขาบอกว่าเข้าใจ”

                ทว่าใบหน้าคล้ามเข้มของคนฟังยังยุ่งยากใจ ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นไปอย่างมืออาชีพ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของหัวใจ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ชัช...ชัดเจนมาตลอด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศิตาจะเข้าใจอย่างที่ปากว่าจริงๆ

                ‘ถ้าอย่างนั้นศิตาขอตัวก่อนนะคะ’

                ศิตาบอกเขาอย่างเฉยเมย แม้ดูจะไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ทว่าไม่มีอาการเอะอะโวยวายอย่างที่เขาคาดคะเนเอาไว้ ลูกสาวของสินทรมีระดับเกินกว่าที่จะทำตัวแบบนั้น เธอเดินออกไปจากห้องรับรองด้วยมาดนางพญา...อย่างที่ควรจะเป็น

                เยือกเย็นและไม่ยินดียินร้าย...

                ‘ฉันเข้าใจดีค่ะ’ เธอยิ้มเมื่อได้ยินถ้อยคำที่เขาบอกเป็นนัยว่าต่อไปนี้เขาคงไม่มีโอกาสไปดินเนอร์กับเธอสองต่อสองได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

                ‘แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ย’

                ‘ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความเป็นเพื่อนของเราได้หรอกนะศิตา’

                เขาบอกศิตาง่ายๆ เพื่อน...เธอมีสถานะนั้นมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดำเนินไปทางไหนก็ตาม ชัชรู้ดีว่า...ใช่เขาจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เธอมี ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มต้นด้วยผลประโยชน์ เมื่อผลประโยชน์หมดไป ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปล่อยให้อะไรๆ คาราคาซัง

                ในเมื่อลูกสาวของนายหัวสินทรยังพัวพัน ไม่เลิกรา เพียงแต่จะต้องหาหนทางห่างเหินกันบ้างเท่านั้น

                ถ้าเขาบอกว่าจบ มันก็คือจบ

                เขาไม่ใช่คนใจเย็น ถึงขนาดต้องเสาะหาวิธีบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ไม่ต้องเสียเวล่ำเวลาอ้อมค้อมประนีประนอม การที่จะทำให้ใครสักคนขุ่นเคืองบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

                “แล้วเสนอหน้าเข้ามามีเรื่องอะไร”

                “คุณนายแกบอกจะกลับบ้าน เพราะมีงานมากมายต้องสะสาง ผมเลยมาแจ้งให้นายทราบไว้ ว่าจะให้คนรถพาคุณนายไปส่งบ้านก่อนได้มั้ยครับ”

                ชัชเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง เท้าศอกลงกับที่วางแขน ยกนิ้วลูบปลายคาง ป่านนี้แม่เมียเด็กของเขาจะหายโมโหโกรธาแล้วหรือยังนะ

                แต่ว่าเวลานัยน์ตาคู่งามของลูกสาวคุณหญิงลำหยวกวาววับก็จับตาจับใจดีไม่ใช่หรือ ดื้อรั้น ถือดี และชอบมีอะไรใหม่ๆ มาให้เขาประหลาดใจ เธอเป็นความบันเทิงใจของเขาในรอบหลายปี...

                “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คิดอะไรอยู่เหรอครับนาย”

                ชัชเหลือบตามองมือขวา ทำหน้าเคร่งขรึม “จะให้คนรถไปส่งคุณนายของแกไม่ใช่หรือไง แล้วมายืนบื้ออะไรอยู่ตรงนี้”

                “ผมอีกเรื่องอยากจะแจ้งให้นายทราบครับ”

                “ว่ามา...” ชัชหันไปรื้อกองเอกสารเตรียมเซ็นที่ชไมพรจัดเรียงไว้ให้

                “เมื่อกี้ตอนก่อนจะเดินขึ้นมา ผมเห็นคุณศิตาคุยกับคุณนายอยู่ในสวนกลางตึกอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แล้วคุณศิตาก็เดินหน้าหงิกออกมา”

                สองตายังคงมองหน้าจอแลปทอป ทว่าเขาครุ่นคิด “แล้วคุณนายของแก?”

                “ยังสวยใส ปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนตั้งแต่หัวจดเท้าครับนาย ไม่ต้องเป็นห่วง”

                เขาไม่ได้ห่วง แต่เขาหวงของ ไม่ต้องการให้แม่คุณหนูโลกโสภาสึกหรอด้วยน้ำมือของคนอื่น...ทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ

                “เคลียร์กับคุณศิตาจบแน่แล้วใช่มั้ยครับ”

                “แกนี่มันช่างสาระแนเหลือเกินนะ”

                “โบราณเขาเรียกว่าแยแสใส่ใจเรื่องของเจ้านาย” คนที่ยืนกุมมืออยู่หน้าโต๊ะทำงานยังว่าต่อไปได้หน้าตาเฉย ถ้าเป็นคนอื่นมายืนหน้าระรื่นต่อปากต่อคำ ป่านนี้ถูกไล่ออกจากงานไปนานนม ทว่านี่คือ นายอำนวย อวยโชค ลูกหลานคนเก่าแก่ แก่เก่า ที่เขาจะไล่หนีก็ไม่ได้

                “ฉันคิดว่าแม่คุณแสนหวานเมียฉันรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร”

                ไม่ต้องบอกอีกฝ่ายก็คงพอจะเดาออกว่า น้ำหวาน…ไม่ได้ดูใสเท่าฉากหน้าที่ฉาบทาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้อำนวยคอยเฝ้าเธอไว้ ตอนที่ยังไม่ได้ตบแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราว

                “แต่นายแน่ใจเหรอครับว่าคุณศิตาจะเข้าใจจริงๆ” อำนวยยังไม่แน่ใจ ซักไซ้ต่อ

                ชัชไม่ได้เพิกเฉยกับคำพูดของลูกน้องคนสนิท หลายครั้งที่ความคิดหรือเสียงตักเตือนจากคนอื่นเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง

                ชัชจึงฟังเสมอ เมื่อมีใครแนะนำอะไร

                “จิตใจสตรีนั้นซับซ้อน ยิ่งสตรีสวยเก่งมีอีโก้ด้วยแล้ว ยิ่งยากแท้หยั่งถึงนะครับนาย ผมกลัวว่าคุณศิตาเธออาจจะ…รู้สึกเสียหน้า” ใช่ว่าเขาจะไม่รู้นิสัยของลูกสาวนายสินทร

                รู้จักกันมาก่อนก็สี่ซ้าห้าปี ถ้าเข้ากันได้ดีจริง ป่านนี้เขาคงตกล่องปล่องชิ้นกับศิตาไปแล้ว แต่คนไม่ใช่ ทำยังไงมันก็ยังไม่ใช่ นอกจากจะรู้จักศิตาดีแล้ว เขายังรู้ใจตัวเองดีอีกด้วย

                ชัชชี้มือที่ถือปากกาไปยังลูกน้องคนสำคัญ “ต่อไปนี้แกก็ไม่ต้องป้วนเปี้ยนแถวนี้แล้ว”

                “นายจะไล่ผมออก!” อำนวยตื่นตกใจ เล่นใหญ่เกินความจำเป็น

                “ใช่” เขาบอกเรื่อยเฉื่อย กดปุ่มที่โทรศัพท์มุมโต๊ะ เรียกชไมพรให้เข้ามาในห้อง แล้วหันมาพูดกับคนที่ยังยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่หน้าโต๊ะทำงานต่อ

                “ฉันจะไล่แกออกจากห้องนี้เสียที และต่อไปนี้ฉันจะเนรเทศให้แกไปเฝ้าเมียฉันไว้”

                “เหมือนตอนอยู่ที่บ้านคุณหญิงลำหยวกน่ะหรือครับ”

                ชัชยิ้มเยือกเย็น เคาะนิ้วลงกับพื้นโต๊ะเงาวับเบาๆ “คอยดูไว้ อย่าให้เมียฉันสร้างปัญหา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา...”

                “ให้รายงานทันที...” อำนวยจบประโยคให้เสร็จสรรพ “รับทราบครับผม ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ผมจะรายงานให้นายรู้เป็นคนแรก”

                หรือถ้าใครริอ่านสร้างปัญหาให้แม่เมียเด็กเขารำคาญใจ เขาต้องการรู้ก่อนคนอื่น

 

                นายอำนวย อวยโชค เป็นคนขับรถมาส่งเธอที่บ้านด้วยตัวเองแล้วก็ป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง เฝ้าระวังเธอไว้อย่างกับสุนัขหลังอานที่คอยเฝ้าบ้านให้เจ้านาย พอหาเรื่องจะขับไล่ไสส่งไปให้ไกล เจ้าตัวก็ยิ้มแป้นแล้นโชว์ฟันขาววับตัดกับผิวแก้ม...

                ‘นายกำชับผมไว้ ให้มาคอยดูแลรับใช้คุณนายครับ’

                เมื่อฝ่ายนั้นไม่ยอมกลับ น้ำหวานจึงปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้เขาไปเป็น ‘เจเนอรัลเบ๊’ ให้ป้าละเมียดใช้งานให้สาสมใจ Tส่วนเธอเดินกลับขึ้นมาบนบ้าน เมื่ออยู่ตามลำพังจึงต่อสายถึงเพื่อนสาวรุ่นพี่ แล้วเล่าข้อมูลใหม่ให้ฝ่ายนั้นเพื่อร่วมกันวิเคราะห์

สถานการณ์

                “เขาคงไม่ได้ฆ่าเมียเก่า แล้วเอาศพไปซ่อนหรอกนะ”

                “จะบ้าเหรอ” น้ำหวานแหวคนปลายสายเสียงแหลม

                แม้ในใจก็ยังคิดอยู่บ้าง...

                แต่งงานกันมาหลายวัน เธอก็เพิ่งกระสันอยากจะรู้เรื่องราวความรักครั้งเก่าของนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อน คนใกล้ชิดพอที่จะถามไถ่ จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่คนในบ้านของเขา

                ‘ภรรยาเก่าของคุณชัชไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะจ๊ะ’

                ‘กระถินเองก็มาไม่ทันหรอกค่ะ เพิ่งมาทำงานที่บ้านนี้ได้แค่สี่ปี หน้าตาคุณผู้หญิงคนก่อนเป็นยังไง กระถินยังไม่ทราบเลยค่ะ’

                นั่นยิ่งทำให้เธอสงสัย ก็เพิ่งสังเกตว่าในบ้านนี้ปราศจากร่องรอยของผู้หญิงคนอื่นโดยสิ้นเชิง บนโต๊ะ ในตู้โชว์ หรือที่ฝาผนังมีแต่รูปถ่ายเก่าๆ ของลูกสาวสามคนของชัช และตัวเขากับญาติพี่น้องประปราย

                ไม่มีรูปผู้หญิงแปลกหน้า หรือข้าวของอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณนายคนก่อน เมื่อกระถินไม่อาจให้ข้อมูลที่เธอโหยหา น้ำหวานจึงขยับมาที่คุณป้าละเมียดแทน

                ‘ทำไมในบ้านนี้ถึงไม่มีใครพูดถึงคุณลดาเลยล่ะคะ หรือเป็นหัวข้อต้องห้าม’

                สีหน้าของป้าแม่บ้านส่อเค้ากระอักกระอ่วนใจยามเธอเลียบเคียงถาม แม้ไม่อยากจะกวนใจคนแก่ให้เป็นบาปกรรม แต่ทำยังไงได้ เธอไม่มีทางเลือกให้เผือกกับคนอื่น

                ‘ป้าก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากหรอกค่ะ ป้าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเล่าอะไรเท่าไรนัก แม้ป้าจะอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน แต่ก็ไม่ใช่คนในครอบครัวน่ะค่ะคุณน้ำหวาน’

                นั่นเป็นการบอกเธอกลายๆ ว่าจะไม่มีทางได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรจากแกอีก ยิ่งฟังป้าละเมียด ยิ่งเครียดกว่าเดิม ยิ่งเติมเชื้อไฟแห่งความเผือกให้ลุกโหม

                “ฉันก็แค่สันนิษฐาน ก็แกบอกเองว่าต้นตระกูลของเขาเป็นโจรห้าร้อย โหดเหี้ยมดุดัน เคยก่อคดีฉกาจฉกรรจ์ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ”

                “นี่มันชีวิตจริงนะไม่ใช่หนังใช่ละคร แล้วนั่นมันก็เรื่องของบรรพบุรุษเขา เกี่ยวอะไรกับตอนนี้”

                พูดไปส่วนหนึ่งก็อยากจะปลอบใจตัวเองด้วย ทั้งที่เธอเองก็รู้ดีว่าบางทีชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละคร ฝ่ายนั้นหยุดไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังครุ่นคิดแล้วจึงจ้อต่อ

                “แต่เท่าที่แกเล่ามามันก็น่าสงสัยไม่ใช่เหรอ แกบอกฉันเองว่า ในบ้านไม่มีร่องรอยของเมียเก่าเขา ไม่มีใครพูดถึง ไม่มีแม้แต่ภาพถ่ายหรือของใช้ส่วนตัวหลงเหลืออยู่”

                ถ้าแยกทางกันก็แยกทางกันนานแล้ว

                หรือว่าเขาจะเฮิร์ตหนักมากจนกวาดข้าวของทุกอย่างทิ้งหรือเอาไปเผา เหมือนพระเอกเอ็มวี หรือเขาก็ไม่ได้สนใจไยดีเมียเก่า จนอยากจะเก็บของเอาไว้ดูต่างหน้าเป็นที่ระลึก แก๊งแกะน้อยนั่นจะจำแม่ของตัวเองได้ไหม แล้วเด็กๆ จะมีความรู้สึกโหยหาอ้อมกอดของคนเป็นแม่บ้างหรือเปล่า

                “คุณน้ำหวานคะ” เสียงกระถินดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง “คุณบัวมาแล้วค่ะ รออยู่ในห้องนั่งเล่น”

                “เดี๋ยวฉันจะลงไปจ้ะ”           

                บัวนัดแนะกับเธอไว้แล้วว่าจะเข้ามาช่วยเลกเชอร์การทำบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้าน เธอออกตัวว่าอาจจะมีรายละเอียดยิบย่อยซับซ้อนอยู่สักหน่อย

                ‘ไม่ได้ยุ่งยากมากมายหรอกค่ะ แต่อาจจะต้องใช้เวลา พอทำจนชินแล้วรับรองว่าไม่มีปัญหาแน่นอน’ หลานสาวคนสวยของน้าสมรชี้แจงแถลงไข

                “แค่นี้ก่อนนะ ถ้าเกิดว่ามีอะไรคืบหน้าฉันจะบอกเจ๊ไปอีกที”

                “ดูแลตัวเองดีๆ นะน้ำหวาน”

                “อืม” น้ำหวานวางสายจากเพื่อนซี้แล้วเดินลงไปยังห้องนั่งเล่น

               

                ห้องนั่งเล่นของบ้านเป็นโถงกว้างเปิดโล่ง พื้นผนังตกแต่งด้วยสีขาว ครีม และทอง ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบายตา มุมหนึ่งมีชุดโซฟาและจอทีวีใหญ่ยักษ์ให้พักผ่อนหย่อนใจ ผนังอีกฝั่งกลับเต็มไปด้วยลิ้นชักกระจกใสไว้ใส่ของเล่นเด็กทั้งสาม

                “ไปคุยกันต่อในห้องนั้นดีกว่าค่ะ” น้ำหวานบอกคนที่รอ พลางพยักพเยิดไปยังห้องสมุดย่อมๆ ที่เปิดประตูทิ้งไว้

                ห้องนั้นเป็นทรงแปดเหลี่ยมยื่นออกไปในสวนดอกไม้ทางทิศเหนือของบ้าน มองผ่านหน้าต่างบานสูงจดเพดาน เห็นลุงผินกำลังตัดแต่งกิ่งใบพุ่มไม้งามอย่างตั้งอกตั้งใจ ผนังหกด้านของห้องเต็มไปด้วยหนังสือบนชั้นวาง ตรงกลางมีโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ พร้อมเก้าอี้ที่คงไม่ค่อยมีใครได้ใช้อยู่สองตัว

                บัวหอบสมุดบัญชีและแลปทอปเครื่องบางวางไว้บนโต๊ะ “มีหลายอย่างที่บัวจะต้องแจ้งให้คุณน้ำหวานทราบนะคะ” หล่อนเริ่มเลกเชอร์เธอทันที

                “ป้าสมรเป็นคนดูแลบัญชี ไม่ใช่แค่ของคนในบ้านหลังนี้ แต่เป็นบัญชีค่าใช้จ่ายของคอนโดและบ้านทุกหลังที่คุณชัชมีในภูเก็ตค่ะ รวมๆ กันแล้วก็ประมาณสิบสี่ที่”

                “อะไรนะคะ!” คนที่นั่งฟังยิ้มๆ ในตอนแรกแทบจะตกเก้าอี้

                “อย่างที่บัวบอกแหละค่ะว่าไม่ยาก แต่อาจจะเยอะอยู่สักหน่อย” บัวส่งยิ้มอ่อนหวาน ให้กำลังใจ

                ทว่าคนฟังอยากจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อ นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนคิดจะใช้เธอให้ตายกันไปข้างเลยใช่ไหม นี่เขาให้เธอมาเป็นเมียหรือทาสกันแน่

                “ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ ยังไงบัวจะคอยช่วยคุณน้ำหวานเองค่ะ ที่ภูเก็ตหลักๆ บ้านที่มีคนอยู่ก็จะเป็นเรือนริมอ่าวของแม่นาย บ้านญาติพี่น้องของคุณชัชที่อยู่ในละแวกเดียวกัน และบ้านพักตากอากาศอีกจำนวนหนึ่งที่คุณชัชซื้อไว้เก็งกำไร บางแห่งก็ปิดเอาไว้ไม่มีใครอาศัย ค่าใช้จ่ายก็จะไม่เคลื่อนไหวมาก”

                บัวเริ่มร่ายยาว รายการยิบย่อยหอยสังข์ต่างๆ นานาจนน้ำหวานจดตามแทบไม่ทัน เธอเคยบริหารแต่ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและเงินทองที่ไหลเข้าสมาคมต่างๆ ที่แม่เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ แต่ดูแลรายการบัญชีในบ้านของครอบครัว ชำนาญพาณิชย์ แทบจะเหมือนมานั่งรันธุรกิจ SMEs ด้วยตัวเอง

                “วันนี้พอแค่นี้ก่อนมั้ยคะ”

                “ก็ดีค่ะ” น้ำหวานยิ้มแห้งๆ ให้หลานสาวน้าสมร เห็นรายการบานตะไทที่ผ่านหน้าจอแลปทอป ความมุ่งมั่นของเธอก็แทบจะสั่นคลอน อยากจะหลับตานอนพักสมองสักสามชั่วโมง

                “งั้นวันนี้บัวกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้ถ้าคุณน้ำหวานสะดวกก็เจอกันเวลาเดิม”

                “ฉันเดินไปส่งค่ะ” น้ำหวานช่วยอีกฝ่ายรวบข้าวของเดินมายังโถงทางเดิน

                “เด็กๆ เป็นยังไงบ้างคะ ดื้อซนกันบ้างรึเปล่า”

                “ยังไม่ค่อยได้คุยกันเลยค่ะคุณบัว” น้ำหวานใส่จริตนางงามรักเด็กเข้าไปอีกนิดให้แนบเนียน สอดคล้องกับภาพลักษณ์ภายนอกที่อยากให้อีกฝ่ายเห็น “น้ำหวานเคยเป็นจิตอาสาคอยดูแลอบรมเด็กๆ น่ะค่ะ หน้าตาพวกแกจิ้มลิ้มน่ารักน่าหยิก เห็นกันครั้งแรกน้ำหวานก็นึกเอ็นดูเสียแล้ว”

                “ค่ะ” บัวยิ้มหวานพยักหน้าเออออ “ละมุน ละไม ละมุด หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ได้แต่ส่วนที่ดีมาจากทั้งพ่อและแม่ โตขึ้นไปคงสวยเหมือนแม่แน่ๆ”

                หืม...น้ำหวานหูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าคำว่าแม่จากปากของสาวงาม ต่อมเผือกในตัวถูกกระตุกยิกๆ ถึงกับต้องใช้มือหยิกต้นขา ปรามตัวเองไม่ให้อยากรู้ออกนอกหน้าจนเกินไป แล้วร่วมเออออไปอย่างแนบเนียน

                “ภรรยาเก่าของคุณชัชคงจะสวยมากเลยนะคะ”

                “พี่ลดาเป็นคนสวยค่ะ เคยได้ตำแหน่งธิดาภูเก็ตสามสมัยซ้อนแน่ะค่ะ” ว่าจบแล้วสาวหวานก็ชะงักกลางอากาศ เสมือนพลาดเปิดเผยความลับระดับชาติออกไป

                “แล้วตอนนี้คุณลดาไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะคะ”

                สีหน้าของบัวเจื่อนลงไปเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ถึงกับอึกอักอ้ำอึ้งเหมือนกับป้าละเมียดและนายโชติ

                “บัวเองก็ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาพี่ลดามาหลายปีดีดักแล้วละค่ะคุณน้ำหวาน ตั้งแต่ที่เธอย้ายออกจากบ้านไป”

                “แล้วทำไมคุณลดาถึงได้...”

                “บัวบอกคุณน้ำหวานได้เท่านี้แหละค่ะ” หลานสาวน้าสมรเริ่มลำบากใจที่จะพูดต่อ

                “ถ้ายังไงลองถามคุณชัชแกดูเองดีกว่านะคะ”

                ว้า...เอาน่ะ อย่างน้อยเธอได้เบาะแสใหม่ว่าแม่ลดาคนนี้คงยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลก ไม่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับอย่างที่เลื่อมเพชรได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้

                “น้ำหวานก็แค่อยากจะทราบเอาไว้น่ะค่ะ น้ำหวานอยู่ในช่วงปรับตัว กลัวว่าจะทำตัวไม่ถูกไม่ดี อีกอย่างน้ำหวานก็ยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่”

                สองสาวเดินมาหน้าบ้าน ตรงที่รถมินิคูเปอร์ของบัวจอดอยู่ บ้านของน้าสมรและหลานสาวอยู่ใกล้กับบ้านของชัชมากที่สุด แต่ก็ยังไกลเกินกว่าจะเดินเท้าไปถึง...

                “อ้อ...เมื่อเช้านี้น้ำหวานเพิ่งจะได้เพื่อนใหม่มาคนหนึ่ง พี่ศิตา คุณบัวน่าจะรู้จัก”

                “คุณศิตา?” บัวขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ลูกสาวนายหัวสินทรน่ะเหรอคะ”

                “ใช่ค่ะ”

                “บัวเคยเจอหน้าเขาบ้างตามงานเลี้ยงต่างๆ น่ะค่ะ ไม่ค่อยได้พูดจากันนัก กว่าจะฝ่าด่านบอดีการ์ดเข้าไปถึงน่ะค่ะ” บัวพูดกลั้วหัวเราะ คำว่าบอดีการ์ดฟังแล้วทะแม่งๆ ชอบกล

                “พี่ศิตาเขาก็ดูน่ารักใจดีนะคะคุณบัว” เธอยังแอ๊บแบ๊ว รอเหยื่อให้ย่องลงมาในแร้วที่เธอวางเอาไว้

                “วันนี้เขาก็ยังอุตส่าห์เป็นห่วงเห็นน้ำหวานมาใหม่ ถึงกับยื่นนามบัตรให้ชวนไปแฮงก์เอาต์ด้วยกัน เขาดูเป็นคนไนซ์ออกจะตาย ทำไมต้องมีบอดีการ์ดคอยติดตามด้วยคะ หรือมีคนมุ่งร้ายหมายขวัญพี่ศิตา”

                คนฟังที่กำลังเปิดประตูข้างคนขับเบือนหน้ามามองเธอ คล้ายชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง

                “คุณน้ำหวานอยู่ห่างๆ นางไว้ก็ดีนะคะ นางเป็นลูกสาวผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นค่ะ ลำพังแค่ชื่อเสียงอิทธิพลของนายหัวสินทร ใครแถวนี้เขาก็เกรงใจไม่กล้าแหยมแล้วละค่ะ” บัวคลี่ยิ้มก่อนจะบอกกลั้วหัวเราะ

                “แต่ที่ต้องมีบอดีการ์ดติดตามตัวเอาไว้ไม่ใช่กันไม่ให้ใครมายุ่งหรอกค่ะ บัวแค่ได้ยินคนเขาพูดๆ กัน ว่าเวลามีใครทำอะไรให้นางไม่พอใจ นางจะได้ใช้บอดีการ์ดจัดการทันที”

                “จัดการ?”

                “ค่ะ เรื่องแบบนี้ไม่แปลกอะไรหรอกค่ะ คุณศิตาทำหน้าที่ทวงหนี้ให้พ่อ นายหัวสินทรเป็นเจ้าพ่อเงินกู้รายใหญ่ในพื้นที่ ชาวบ้านแถบนี้เป็นหนี้เงินกู้แกไปเสียกว่าครึ่งค่ะ” ประโยคท้ายคล้ายคนพูดจะพูดทีเล่นทีจริงเสียมากกว่า ทว่าคนฟังกลับคิดจริงจังไปถึงไหนต่อไหน

                แก๊งทวงหนี้...ปัง ปัง ปัง

                ในมโนภาพของน้ำหวาน บังเกิดภาพชายชุดดำควงปืนอาก้ากราดกลางตลาดสด ผัก ข้าวของปลิวว่อนกระจัดกระจาย ตายละ...พ่อเป็นเจ้าพ่อเงินกู้ มีบอดีการ์ดติดตามตัว แม่สาวสวยรวยทรวดทรงคนนั้นเข้าข่ายลูกสาวมาเฟียท้องถิ่นชัดๆ

                เมื่อเช้านี้เธอหลอกด่าลูกสาวมาเฟียเลยหรือ!

                โอคุณพระ...อยากจะนั่งไทม์แมชีนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เล่นใหญ่เล่นโตเอาไว้ ป่านนี้แม่ศิตาคนดีไม่เอาปูนแดงหมายหัวเธอ เตรียมให้ลูกน้องจัดการแล้วหรือ เธอจะมีชีวิตรอดจนอายุยี่สิบห้าไหม

                ‘มีฉันอยู่ทั้งคน เธอจะกลัวอะไร ฉันไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายเมียฉันได้หรอกน่ะ’

                เธอจะมั่นใจในคำพูดของ ชัช ชำนาญพาณิชย์ ได้ขนาดไหน

               

                ตกบ่ายน้ำหวานก็ติดรถป้าละเมียดเข้าไปในตัวเมืองเพื่อหาซื้อของใช้ส่วนตัวสองสามอย่าง และหาหนังสือฮาวทูที่เธอแสนโปรดปรานไว้อ่านในเวลาที่ไม่ต้องวางแผนการรับมือนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนและแกะน้อยทั้งสาม

                นายอำนวย อวยโชค คอยติดตามเป็นสารถีให้

                ‘คุณนายจะไปที่ไหน บอกนายอำนวยมาได้เลยนะครับ จะใกล้ไกล กระผมไปรับไปส่งได้หมด’

                อำนวยไม่ได้ตามติดเธอทุกฝีก้าว ทว่าน้ำหวานแน่ใจว่าการเคลื่อนไหวของเธออยู่ในสายตาของเขา ฝ่ายนั้นรักษาระยะไม่ได้เข้ามาใกล้จนทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

                เป็นได้อย่างนี้ก็ดี...

                เพราะมีคนของชัชติดตามเธอไป ก็ยังดีกว่าไม่มีใครคอยระวังหลังให้ ใครจะรู้ว่าแม่ศิตาอะไรนั่น อาจจะหมายหัวเธอไว้แล้วก็ได้ น้ำหวานนั่งจิบชาในร้านกาแฟด้วยความหวาดระแวง รอคุณแม่บ้านหาซื้ออาหารและของสดไปเติมตู้เย็น

                ‘ตู้เย็นที่บ้านต้องเต็มตลอด คุณชัชเธอชอบให้อาหารของเธอสดใหม่ อะไรที่ป้าทำขึ้นโต๊ะให้คุณหนูๆ ต้องดีที่สุด’

                แน่ละ เกิดมาเป็นคนมีเงินทั้งที เป็นเธอก็ต้องใช้เงินที่มีให้คุ้ม

                แม้ว่าบ้านของ ชัช ชำนาญพาณิชย์ จะไม่ใหญ่โตเหมือนกับวัง อลังการด้วยชุดโซฟาหลุยส์เหมือนคฤหาสน์คุณฉุยฉายเศรษฐีม่าย หรือวิลลาร้อยล้านของดาราไล สมาชิกบุญของคุณหญิงแม่เธอ ทว่าข้าวของในบ้าน ทั้งเครื่องเรือน ของใช้ เท่าที่เธอสำรวจมาตั้งแต่ห้องน้ำยันห้องเก็บของล้วนมีราคา ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก…

                ‘เธอไม่ใช่คนขี้เหนียวค่ะคุณน้ำหวาน แต่จะกินจะใช้อะไรต้องชี้แจงให้รู้ ไม่ใช่หว่านเงินลงไปกับอะไรที่ไร้คุณค่า’

                อยู่ที่นี่เธอก็มีป้าละเมียดนี่ละที่เป็นวิกิพีเดียส่วนตัวของชัชให้คุ้ยหาข้อมูล เย็นย่ำกว่าที่เธอกลับถึงบ้าน ลงรถมาก็เห็นกระถินกับสาวใช้อีกสองคน กระเทียมกับกระท้อนยืนรอช่วยขนของเข้าบ้าน

                “เอานี่ไปแบ่งกันนะจ๊ะ” น้ำหวานส่งกล่องเค้กสวยงามให้กระถิน

                “หน้าตาน่ากินจังเลยค่ะ คุณน้ำหวานนอกจากจะสวยแล้วยังใจดีด้วยนะคะ” คนที่รับถุงไปจากมือเธอมองมาด้วยความปลาบปลื้มใจ

                ผิด...หล่อนเข้าใจผิดแล้ว เธอไม่ได้ใจดีแม้แต่น้อยนิด ชีวิตนี้ที่เรียนรู้มาเป็นคนสวยแล้วต้องหัดมีน้ำใจ

                ไปไหนของติดไม้ติดมืออย่าให้ขาด ฉลาดสร้างภาพเอาไว้ ใครเห็นใครเอ็นดู นี่เป็นสิ่งที่คุณหญิงลำหยวกอบรมมาเสมอ ความหน้าใหญ่ใจเผื่อแผ่ของคนเป็นแม่ ใช่จะแย่ทุกกรณี หางตาเหลือบเห็นเรนจ์โรเวอร์คันงามจอดอยู่ในโรงรถ

                “แล้วเด็กๆ อยู่ไหนจ๊ะ”

                “นั่งเล่นกันอยู่ในห้องนั่งเล่นแน่ะค่ะ รื้อข้าวของออกมาเต็มไปหมด”

                “คุณชัชล่ะจ๊ะ”

                “เดินขึ้นไปข้างบนค่ะ คุณน้ำหวานจะรับของว่างเลยมั้ยคะ กว่าน้าเขียดจะทำครัวเสร็จ ก็คงอีกเกือบสองชั่วโมงจะได้ทานอาหารเย็น”

                “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันเพิ่งกินขนมจากร้านกาแฟมา” ร่างอรชรเดินขึ้นยังชั้นสอง เธอมีเรื่องที่จะต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ประตูไม่ได้ลงกลอน เธอจึงเปิดประตูห้องนอนโผล่หน้าเข้าไป ส่งเสียงเรียกหาสามี

                “คุณชัชคะ” ไม่เห็นเงาของนายกระทิงเถื่อน

                “คุณพ่อเลี้ยง คุณอยู่ข้างในรึเปล่าคะ”

                “ฉันอยู่ในนี้”

                แว่วเสียงอู้อี้ดังมาจากห้องแต่งตัว น้ำหวานเดินเข้าไปหา เห็นร่างใหญ่หนากำลังยืนก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง

                “คุณกำลังยุ่งอยู่รึเปล่า” ชัชยังคงหันหลังให้เธอ

                “เธอมีอะไรจะรบกวนฉันหรือคุณหนู”

                “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณนิดหน่อยน่ะค่ะ” น้ำหวานขยับเข้าไปใกล้ กระแอมกระไอ อันที่จริงเรื่องที่เธอจะคุยกับเขานั้นน่ะมันไม่หน่อย แต่เป็นเรื่องใหญ่โต คอขาดบาดตาย!

                “ว่ามาสิ” ชัชหันหน้ามา ทันใดนั้นเรื่องคอขาดบาดตายก็กระเด็นหายออกไปจากหัว

                อาฮ้า...กระดุมสี่เม็ดบนเสื้อเชิ้ตที่เขาสวมถูกปลดออก เผยให้เห็นแผงอกสีแทนที่ปกคลุมด้วยเส้นขนรำไร ต่อเติมจินตนาการเมื่อคืนวานของน้ำหวานให้ครบสามร้อยหกสิบองศา ตั้งแต่เกิดมาเป็นสาวเป็นแส้ ก็เพิ่งมีโอกาสได้เบิ่งตาแลแผงอกของผู้ชายแท้ๆ ใกล้ๆ สายตาของเธอย่อมสนใจภาพที่เห็นเป็นธรรมดาตามประสาสุภาพสตรีวัยเจริญพันธุ์

                “คุณหนู”

                น้ำหวานรีบเงยหน้ามองตาเขา กระแอมกระไอเป็นรอบที่สอง พยายามไม่มองรอยแยกของสาบเสื้อที่ยังคงแง้มออกจากกัน สมองคิดหาคำพูดที่จะบอกเล่าให้เขาฟังเร็วรี่

                คุณพระ!...พอมองหน้า สายตาเจ้ากรรมก็ดันมาโฟกัสที่ริมฝีปากคู่นั้นอีกจนได้ คนที่มีเรื่องใหญ่จะบอกกล่าวจึงต้องกระแอมกระไอเป็นครั้งที่สาม

                “เมื่อเช้านี้ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันว่า คุณศิตาแสนโสภาของคุณเป็นลูกสาวมาเฟียท้องถิ่นคะ” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกพยายามทำหน้าแข็งขึง ดึงทั้งความสนใจของตัวเองและอีกฝ่ายออกจากความจริงเมื่อครู่ ที่เธอมองแผงอกหนั่นแน่นของเขาตาลุกวาว แล้วเขาก็จับได้คาหนังคาเขา

                “นายหัวสินทรเป็นเจ้าพ่อเงินกู้รายใหญ่ แถมลูกสาวเขายังมีบอดีการ์ดมากมายรายล้อมตัว”

                “แล้วยังไงล่ะ” ชัชปลดกระดุมอีกสองสามเม็ดที่เหลือออกจากกันจนหมด สาบเสื้อของเขาแบะออกจากกัน เผยให้เห็น ลูกระนาดที่เรียงสลอนอยู่บนหน้าท้อง ให้ตายเถอะ...แค่ชกมวยมันทำให้ร่างกายของคนเราฟิตแน่นปั๋งได้ขนาดนี้เลยหรือ

                พลันลำคอของลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็แห้งผากขึ้นมาทันที ส่วนคนที่กลายเป็นเป้าสายตากลับไม่ทุกข์ร้อน หันกลับไปรื้อค้นหาของในตู้

                “ก็เมื่อเช้าฉันถึงกับเล่นใหญ่เล่นโตโชว์พลังแห่งรักต่อหน้าต่อตาหล่อนไป แถมยังเผลอหลอกด่าคุณศิตาอะไรนั่นไปอีกเล็กน้อย ป่านนี้คุณศิตาของคุณไม่เอาปูนแดงหมายหัวฉันไว้แล้วเหรอ ในฐานะที่เผยอขึ้นมาแย่งผู้ชายของหล่อนไป”

                “ฉันไม่ใช่ผู้ชายของเขา” ชัชพูดกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาที่เหลียวมองมาบอกความขบขัน

                “คุณเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าสนิทสนมกัน”

                “ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”

                จะเพื่อนแบบไหน เธอพอจะเข้าใจอยู่หรอกนะ ถึงยี่สิบปีที่ผ่านมาจะไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่เธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเกินกว่าจะมองเห็น นัยน์ตาลุกวาวเหมือนเสือดาวหวงของของยัยศิตานั่นก็น่ากลัวไม่เบา อย่างกับอิกัวนาตัวเมียหวงไข่

                ถ้าไม่คิดว่ามีชัชเป็นแบ็กใหญ่ และมีโบนัสล่อใจมาเสนอ เธอคงไม่อาจหาญเผยอเล่นใหญ่เล่นโตขนาดนั้นหรอก

                “จะยังไงก็ช่าง ฉันก็รู้สึกไม่ปลอดภัย” หญิงสาวกอดอก เอียงไหล่พิงประตูตู้เสื้อผ้าหลังข้างๆ “เกิดคุณศิตาหึงหวงคุณแล้วหน้ามืดขึ้นมา ส่งคนมาอุ้มฆ่าฉันหมกป่าหมกดงจะทำยังไง”

                “เธอช่างมีจินตนาการกว้างไกลเสียเหลือเกินนะ”

                ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะผันตัวไปเป็นนักเขียนนิยาย เผื่อจะมีรายได้เพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนยังยิ้มขัน แต่เธอไม่ Have Fun ไปกับเขาด้วยหรอกนะ

                “ฉันรู้มาว่า พ่อของคุณศิตาเป็นผู้มีอิทธิพล คนใหญ่คนโตของที่นี่ ใครๆ ก็เกรงอกเกรงใจ” พูดให้ถูกก็เกรงกลัวบารมี “ถ้าเกิดลูกสาวเขาอยากจะเล่นงานฉันขึ้นมา ผู้หญิงบอบบางไร้ทางสู้อย่างฉันจะเอาอะไรไปสู้กับเขาล่ะคะคุณพ่อเลี้ยง”

                “ใครๆ ที่นี่ก็เกรงใจฉันเหมือนกัน รวมถึงนายหัวสินทร พ่อของศิตาด้วย”

                ประโยคของชัชราบเรียบ เหมือนกำลังประกาศข้อเท็จจริง ไม่ได้พูดเขื่องแต่อย่างใด เธอจะไว้ใจเขาได้ใช่ไหม เขาจะไม่ปล่อยให้ใครลักพาตัวเธอไปฆ่าหมกป่าใช่ไหม เธอมันเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ใช่จะไว้ใจใครง่ายๆ

                ไม่รู้เป็นกรรมหรือไรแต่ปางไหนนั่น ที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในบ้านหลังนี้กับเขา...

                “ว่าแต่คุณหนู เธอเห็นพวกกางเกงผ้าป่านสีดำๆ ของฉันมั้ย”

                “คะ?” จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน คนที่ยังอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดงงงันไปชั่วขณะ

                “ฉันหาดูหลายตู้แล้วก็ไม่เห็น”

                “กางเกงผ้าป่านสีดำน่ะเหรอ...อืม” น้ำหวานเคาะนิ้วลงบนริมฝีปากพลางครุ่นคิด คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็น เมื่อวานนี้เป็นเธอกับกระถินที่ช่วยกันย้ายเสื้อผ้าของเขาออก จัดแจงห้องแต่งตัวเสียใหม่เพื่อเปิดทางให้เสื้อผ้าข้าวของของตัวเองมีที่อยู่

                “อาจจะเป็นลิ้นชักที่มุมขวา” ชี้มือบอกเขา ไม่แน่ใจ

                ครืด...มือใหญ่ดึงลิ้นชักออก ชัชหลุบตามองของข้างในนั้นแล้วชะงักแล้วผิวปาก “เจ็ดสีเจ็ดวันเลยสินะ นี่เลือกสีให้เข้ากับวันด้วยหรือเปล่า”

                สองแก้มของเธอร้อนฉ่า อ้าปากหวอ ในนั้นไม่มีหรอกกางเกงผ้าป่านสีดำๆ ของเขา มีแต่บราและชั้นในลูกไม้ของเธอ ไล่สี เรียงรายเรียบร้อยสวยงามเหมือนกับของที่โชว์ในแผนกชุดชั้นใน เธอเป็นคนชอบออร์แกไนซ์ให้ทุกอย่างดีเลิศสวยงามอยู่เสมอ

                “ห้ามดูนะ มันน่าเกลียด” ร่างแบบบางกระโดดเข้ามาขวาง ใช้สะโพกดันลิ้นชักปิด ใช้ตัวกันตู้ เอามือยันอกเขาไว้

แผงอกเปล่าเปลือยดูเหมือนจะร้อนระอุใต้ฝ่ามือเธอ ความร้อนคล้ายจะไล่ลามขึ้นมาตามแขน แล่นลิ่วขึ้นไปถึงผิวแก้ม น้ำหวานรีบชักมือออก...

                “ก็สวยดี ไม่ได้น่าเกลียดอะไรสักหน่อยนี่คุณหนู ฉันยังชอบเลย” ชัชเอียงคอมอง นัยน์ตาสีสนิมพริบพราวเจ้าเล่ห์

                ที่น่าเกลียดคือเขาต่างหาก ไม่ใช่อันเดอร์แวร์ของเธอ แววตาพริบพราวแกมขบขันที่มองลงมา ทำเอาคนถูกมองใจคอไม่ค่อยดี

                “มันของส่วนตัวของฉัน” น้ำหวานถลึงตามองตอบ “หรือคุณเป็นพวกโรคจิต พิสมัยบรากับกางเกงในของคนอื่น” เธอพูดเองกลับกระดากปากกระดากใจเอง ทว่าคนหน้าหนายังมองมาตาไม่กะพริบ

                “ใครๆ ก็ชอบของสวยๆ งามๆ ทั้งนั้นหรือไม่จริง” เขาเลิกคิ้ว ยอมรับหน้าตาย สองตาหลุบลงมองอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ

                ลำคอของคนตัวเล็กกว่าชักจะแห้งผาก น้ำหวานยกแขนกอดอกเอาไว้อย่างป้องกันตัว

                “ฉันคิดออกแล้วว่ากางเกงคุณอยู่ตรงไหน” เธอโพล่งออกมา เสียงนั้นดังเกินความจำเป็นมากไป ทำไมเธอไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้นะ ขายหน้าเป็นบ้า ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกรีบเดินไปเปิดตู้ข้างๆ

                นั่นไง...กางเกงของเขาวางอยู่บนชั้นวางสูงขึ้นไป น้ำหวานเขย่งตัวเอื้อมคว้า ทว่าขาและแขนของเธอสั้นเกินกว่าจะเอื้อมถึง

                “ฉันหยิบเองดีกว่า...” ชัชขยับเข้ามาชิดใกล้ เอื้อมแขนข้ามศีรษะเธอไปหยิบลงมา แทนที่จะหยิบตัวข้างบนลงมาให้จบๆ แต่เจ้าตัวยังบรรจงเลือกเฟ้นพิถีพิถัน ทั้งที่สีของมันก็ดำเหมือนๆ กัน

                น้ำหวานนั้นจำต้องถูกขังอยู่ระหว่างกำแพงยักษ์กับตู้เสื้อผ้า

                สาวร่างบางเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เอาอีกแล้ว...ร่างกายของเธอแสดงอาการแปลกๆ แบบนี้ทุกทีที่เขาเข้ามาใกล้ หัวใจทำไมต้องเต้นแรง ความร้อนจากตัวเขาคล้ายจะแผดเผาแผ่นหลังของเธออย่างไรอย่างนั้น กลิ่นหอมของสบู่ที่เขาใช้เมื่อเช้าเลือนหายไป เหลือแต่กลิ่นเหงื่อจางๆ ผสมผสานกับเนื้อหนังมังสา กลิ่นดิบเถื่อนของผู้ชาย...

                กว่าจะหยิบกางเกงผ้าที่เขาหมายตาลงมาได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายอึดใจ ทว่าชัชยังไม่ยอมขยับ

                ใบหน้าคล้ามคมก้มลงมาใกล้ข้างๆ แก้ม เจ้าตัวทำจมูกฟุดฟิด ปลายจมูกโด่งๆ เลื่อนลงมาแทบจะชิดลำคอ เสียงห้าวลึกกระซิบอยู่ข้างๆ ใบหู...“ฉันลืมถามไป”

                “คะ?” น้ำหวานยืนตัวแข็ง เอี้ยวคอมองร่างใหญ่หนาที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง บังคับไม่ให้ตัวเองทำตัวลุกลี้ลุกลนเกินพอดี

                “เธอใช้สบู่อะไร ทำไมตัวถึงได้หอมนักคุณหนู” สีหน้าท่าทางของนายพ่อเลี้ยงเถื่อนสงสัยใคร่รู้

                “ก็ใช้สบู่กลิ่นเดียวกับที่คุณใช้เมื่อเช้านั่นแหละค่ะ”

                “อย่างนั้นหรือ ฉันว่าไม่น่าจะใช่”

                เอ๊ะ...ไม่ใช่ได้ยังไง เมื่อเช้าเธอยังได้กลิ่นสบู่เหลวของตัวเองบนตัวเขาเต็มๆ นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนติดใจกลิ่นสบู่หรือต้องการอะไรกันแน่

                “ทำไมกลิ่นบนผิวเธอถึงไม่เหมือนกัน แถมยังติดอยู่บนเนื้อตัวจนกระทั่งตอนนี้”

                จริงหรือ อยากจะยกแขนขึ้นมาสูดดมตามเนื้อตัว ว่ากลิ่นสบู่ที่เธออาบน้ำเมื่อเช้ายังกรุ่นอยู่บนผิวจริงอย่างที่ชัชกล่าวอ้างหรือเปล่า ถ้อยคำถามด้วยความสงสัย ชวนให้เธอใจหายใจคว่ำ

                ชัชสูดหายใจลึกเข้า

                คุณพระ! เธอควรจะรู้สึกยังไง ถ้ามีผู้ชายตัวใหญ่มายืนดมกลิ่นจากซอกคอ…

                ช่องท้องของเธอรู้สึกหวิวๆ วิงเวียนศีรษะเล็กน้อยเหมือนคนกำลังจะจับไข้ อยู่ดีๆ ก็อยากวิ่งหนีเขาออกไปอย่างไม่มีเหตุผล น้ำหวานค่อยๆ เขยิบหนี

                “กลิ่นคงทำปฏิกิริยาบนผิวคนเราไม่เหมือนกันมั้งคะ มันอาจจะติดบนผิวของผู้หญิงได้นานกว่าผู้ชาย หรืออาจเพราะสสารบางอย่างในร่างกาย หรืออาจเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ไม่เหมือนเทสโทสโตรโรน”

                พอประหม่าละทุกที วิทยาศาสตร์ ม.4 ก็มีมา

                “อืม...กลิ่นนี้หอมดีนะ เธอว่าแม่นายจะชอบมั้ย ถ้าฉันซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้จะถูกใจท่านรึเปล่า”

                อยากจะปรึกษาหารือเรื่องของขวัญก็ช่วยถอยออกไปให้ห่างกันหน่อยจะได้มั้ย...เธอใจคอไม่ค่อยดี

                “กลิ่นนี้ชื่อ British Rose ค่ะ” บอกเขาแล้วคนร่างอรชรก็รีบม้วนตัวมุดหัวออกจากช่องแคบมะละกาไปยืนจังก้าที่กลางห้องแต่งตัว “ถ้าคุณอยากได้ ฉันสั่งออนไลน์ให้ก็ได้นะคะ ฉันมีบัตรสมาชิก ช่วงนี้มีโปรลด 30% ถ้าซื้อครบห้าพันบาท สำหรับสมาชิกระดับแพลทินัม แถมส่งอีเอ็มเอสฟรีด้วยค่ะ”

                กรรม...เธอจะต้องพล่ามบอกเขาไปทำไมทั้งที่ไม่จำเป็น สายเปย์ที่แท้ทรูอย่างเขาจะเหมาเอาทั้งร้านหรือซื้อทั้งกิจการ โรงงานผลิตเลยก็ได้

                นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนยังยิ้มเยื้อนในหน้า แววตาเขาทอประกายขบขัน คล้ายกำลังบันเทิงเริงใจที่ได้กวนอกกวนใจเธอ

                “ถ้าถึงเวลาฉันคงจะต้องรบกวนเธอ”

                “คุณอยากได้เมื่อไหร่ก็บอกฉันแล้วกันค่ะ ฉันจะออกไปแล้วนะคะ ฉันจะรีบไปกินของว่าง” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกประกาศก้อง เตรียมจะพุ่งออกไปจากห้องแต่งตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แทบจะลืมจุดมุ่งหมายแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาลิบลับ

                รีบกลับออกไปเร็วเข้า! สัญชาตญาณร้องเตือน ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกกระทิงขย้ำ...แต่เท้ายังก้าวไม่พ้นห้องแต่งตัวด้วยซ้ำ ชัชก็ว่าขึ้นอีกหน

                “อ้อ...คุณหนู เรื่องของศิตาเธอไม่ต้องกังวล”

                น้ำหวานเหลียวกลับไปมองร่างสูงใหญ่ที่ยังคงปักหลักยืนอยู่ที่เดิม แม้ว่าจะยืนห่างกันตั้งหลายศอกหลายวา ทว่าแววตาที่มองมาของชัชแน่วนิ่งจริงจัง เขาไม่ได้พูดจาขึงขังเหมือนทหาร ทว่าถ้อยคำหนักแน่น

                “สิ่งเดียวที่เธอต้องทำ คือบอกให้ฉันรู้ ถ้าศิตาหรือใครก็ตามทำให้เธอหงุดหงิดใจ”

                แล้วถ้าคนที่ทำให้เธอหงุดหงิดใจ...เป็นเขาเล่า

                ทั้งสองยืนจ้องตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ชัชจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ริมฝีปากของน้ำหวานยังแห้งผาก เปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งควักเอาลิปสติกแท่งโปรดขึ้นมา

                ยังไม่ทันได้เปิดฝาลิปสติกก็สังเกตเห็นความผิดปกติ แม้ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ทว่าลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเป็นโรคโอซีดี ชอบจัดการของทุกสิ่งให้เข้าที่เข้าทาง หยิบจับจะได้ใช้สอยง่าย อย่างที่อดีตนายพล คนเป็นพ่อผู้ล่วงลับอบรมบ่มนิสัยมา

                “มีอะไรบางอย่างผิดปกติ” น้ำหวานเปิดฝาลิปสติกแท่งโปรดออกมาก็เห็น สารรูปของลูกสาวสุดที่รัก ก็เหมือนคนเอามีดมาปักฉึกที่กลางดวงใจ

                “ชะ...ชาร์ล็อตต์ลูกแม่...” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกส่งเสียงครางออกมา แข้งขาเกือบอ่อน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วเงยหน้ามองสวรรค์ ใคร...ใครกัน ที่บังอาจย่ำยี Charlotte Tilbury แท่งใหม่ที่เพิ่งได้มาจากเพื่อนสาวรุ่นพี่ที่อุตส่าห์ซื้อมาฝากจากเมืองผู้ดี

                ลิปสติกสีนู้ดชมพูแท่งงามบู้บี้เหมือนถูกขยี้ยับเยิน หัวใจของน้ำหวานถูกเบิร์นด้วยโทสะขั้นอุกฤษฏ์ พร้อมกันนั้นภาพใบหน้าบ้องแบ๊วไร้เดียงสาของแกะน้อยทั้งสามก็แวบผ่านเข้ามาในหัว

                ฮึ่ม...เป็นแกะตัวไหนที่กล้ามาหยามหยันกันถึงขั้นนี้ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น