๒
เรือนไทยหลังใหญ่ของพระยาธรรมานุรักษ์ในตอนเช้ามักจะวุ่นวายกว่าเวลาอื่น เนื่องจากเจ้าของเรือนต้องออกไปทำงาน บ่าวไพร่ที่ทำหน้าที่ส่วนนี้มักจะมารอท่านที่นอกชาน เผื่อผู้เป็นนายจะเรียกใช้สอย
คุณสร้อยขลุกอยู่ในห้องของบุตรชายมาพักใหญ่ พยายามปลุกสันติให้ลุกขึ้นไปโรงเรียน แต่เด็กหนุ่มวัยสิบห้าย่างสิบหกก็ดื้อดึงเกินกว่าที่จะฟังคำสั่งแม่ ล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ไม่สนใจเสียงขอร้องแกมบังคับของแม่แม้แต่นิดเดียว สุดท้ายคุณสร้อยทั้งอ่อนใจและใจอ่อน ยอมให้ลูกนอนต่อ ขาดเรียนอีกวันทั้งที่วันนี้มีสอบเลื่อนชั้น ด้วยคิดว่าสันติมีพ่อเป็นถึงพระยา หากเอ่ยปากกับครูแค่คำเดียวก็จะเลื่อนชั้นได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องสอบวัดความรู้
เมื่อจัดการกับลูกชายไม่ได้ก็ไปหาลูกสาวต่อ แต่ปรากฏว่าเช้านี้แสงจันทร์ไม่ได้อยู่ในห้อง คงออกไปหาเพื่อนตั้งแต่เช้าอีกตามเคย จากนั้นก็คงเลยไปห้างฯ ฝรั่งและดูละครตามที่เด็กสาวชอบ และคุณสร้อยก็หมดใจที่จะจัดการเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
คุณสร้อยไม่อยากให้แสงจันทร์เรียนหนังสือ แต่อยากให้ลูกฝึกฝนงานบ้านงานเรือนบ้างเพื่อที่จะได้มีคุณสมบัติที่ดีพร้อมในการออกเรือนกับใครสักคนที่เหมาะสมทั้งทางฐานะ หน้าตาทางสังคม แต่เมื่อลูกสาวบ่ายเบี่ยงและบอกว่างานเหล่านั้นคือหน้าที่ของไพร่ คุณสร้อยก็จนปัญญาที่จะโต้แย้ง ปล่อยให้บุตรสาวได้สมาคมกับเพื่อนฝูง ทำตัวเปิ๊ดสะก๊าดตามแบบสาวยุคใหม่เหมือนกับเจ้านายชั้นสูงและลูกขุนนางผู้ร่ำรวยที่เริ่มตามแบบฝรั่ง
คราวนี้ก็เหลือสามีที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย ซึ่งต้องเข้าไปช่วยดูแลทุกเช้า พระยาธรรมานุรักษ์เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรมท่า ท่านดูแลการตรวจตราสินค้าเข้าและสินค้าออก ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญ กินเงินเดือนสูงมากตำแหน่งหนึ่ง และก็เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้คุณสร้อยอย่างที่สุด เสียอย่างเดียวคือหล่อนยังไม่ได้กินตำแหน่งคุณหญิง เพราะไม่ได้ตบแต่งกันอย่างถูกต้อง เป็นเพียงเมียในบ้านเท่านั้น ข้อนี้ทำให้คุณสร้อยขุ่นใจอยู่ไม่น้อย และคนที่ขัดขวางเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แม่ผัวที่อยู่เรือนเล็กของหล่อนนั่นเอง
ระหว่างที่กำลังจะเข้าไปช่วยพระยาธรรมานุรักษ์แต่งตัว หล่อนก็ได้ยินเสียงเรียก เท้าสองข้างชะงักอยู่กับที่ จากนั้นก็หันไปมองที่บันได
“คุณสร้อยเจ้าขา คุณสร้อย”
กลอย บ่าวประจำตัวร่างท้วมเรียกเสียงดังเอะอะก่อนจะปรากฏตัว และวิ่งกระหืดกระหอบมาจากด้านล่าง ผ้าแถบสีน้ำตาลแก่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ และทันทีที่โผล่ขึ้นมาก็ถลามากองแทบเท้าเจ้านายทันที
“อะไรของเอ็งฮึ ทำท่าเหมือนไฟไหม้บ้าน” คุณสร้อยชักสีหน้า มองท่าทางตื่นตูมของบ่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก มิได้ตื่นเต้นกับท่าทางของบ่าวเลย ด้วยนางกลอยนั้นชอบเอะอะมะเทิ่งแต่ไหนแต่ไรมา
กลอยเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายด้วยความตระหนก พลางหอบและสูดลมหายใจสลับกันเพราะความเหนื่อยก่อนจะตอบละล่ำละลัก “ยิ่งกว่าไฟไหม้บ้านอีกเจ้าค่ะ เรื่องร้ายแรง น่ากลัวเหลือเกิน”
“อะไรของเอ็ง อะไรที่มันน่ากลัว”
กลอยเอื้อมมือไปจับชายผ้านุ่งของผู้เป็นนาย มือนั้นสั่นระริกก่อนที่จะหลับหูหลับตาตอบด้วยเสียงอันสั่น “ผี...ผีอีมะลิเจ้าค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อที่บ่าวกล่าวออกมา ใบหน้าของคุณสร้อยก็ถมึงทึง ดวงตาลุกวาวเป็นประกาย
“นังกลอย ข้าบอกเอ็งแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เอ่ยชื่ออีจัญไรนี่อีก สงสัยข้าต้องตบเอ็งล้างน้ำใช่ไหมถึงจะจำได้”
เมื่อความโกรธเข้าครอบงำคุณสร้อยก็ไม่อาจเก็บงำกิริยาเอาไว้ได้ ใช้ถ้อยคำอันหยาบคายด่าบ่าว โดยลืมเสียสนิทว่าบัดนี้ดำรงตำแหน่งภรรยาเอกของข้าราชการใหญ่ผู้ดูแลกรมท่า ซึ่งมีเกียรติมากกว่าสกุลดั้งเดิมของตนนัก
เดิมนั้นหล่อนเป็นเพียงลูกเจ้าของโรงฝิ่น พอย่างเข้าวัยสาว บิดาก็นำมาฝากฝังไว้กับพระยาเดชานุรักษ์กับคุณหญิงแขเพื่อให้ฝึกการบ้านการเรือน แต่เพราะความงามและจริตแห่งความเป็นหญิง รวมทั้งนิสัยมักมากทะเยอทะยาน ในที่สุดก็ใช้เสน่ห์มัดใจหลวงธรรมานุรักษ์ผู้เป็นบุตรชายของเจ้าบ้าน และเมื่อเมียเอกของท่านตายด้วยโรคร้าย หล่อนก็ชิงตำแหน่งเมียเอกมาจากภรรยาคนอื่นได้จนกระทั่งทุกวันนี้
“โธ่ คุณสร้อยเจ้าขา ฟังบ่าวก่อน” กลอยคร่ำครวญเมื่อเห็นเจ้านายโกรธ
“ให้ข้าฟังอะไร ข้าไม่อยากได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับมัน” คุณสร้อยตวาดเสียงดัง จ้องบ่าวคนสนิทตาเขียวปั้ด
“แต่คุณสร้อยต้องฟังนะเจ้าคะ” กลอยเว้าวอน “มีคนเห็นผีอีมะลิอีกแล้วเจ้าค่ะ เขาว่าเห็นเป็นตัวๆ เลย เมื่อเช้าตรู่นี่เอง”
คำบอกเล่านั้นทำให้ใบหน้าแดงจัดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่นานก็กลับเป็นปกติ
“เหลวไหลทั้งเพ ข้าไม่เชื่อหรอก”
“ไม่นะเจ้าคะ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล คนหาปลาบอกว่าเห็นผีมะลิจริงๆ” กลอยเถียงและยืนยัน “หรือว่ามันหลุดออกมาแล้ว แล้วถ้ามันหลุดออกมาเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” มือไม้อันเย็นเฉียบของกลอยเอื้อมไปแตะเท้าคุณสร้อยหวังให้เป็นที่พึ่งพิง
ผู้เป็นนายขยับเท้าหนี ชี้หน้าบ่าวคนสนิทพร้อมทั้งตะเบ็งด่ากราด แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ว่าเสียงด่านั้นสั่นกว่าปกติ
“นังกลอย ปากเอ็งจัญไรนัก เอ็งรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
กลอยหัวหด ตัวสั่นเทา กลัวเจ้านายก็กลัว กลัวผีมะลิก็กลัว ซึ่งตอนนี้แยกไม่ออกว่ากลัวอะไรมากกว่ากัน
“บ่าว...บ่าวกลัวนี่เจ้าคะ ยังจำแววตาวันที่มันถูกสะกดได้ ทั้งแค้นทั้งอาฆาต หากมันหลุดออกมาเรามิต้องตายกันหมดหรือเจ้าคะ”
“นังกลอย!” ผู้เป็นนายตวาดเสียงดังกว่าเดิมเพื่อปรามให้หยุด เพราะมิอยากได้ยินถ้อยคำจัญไรที่หลุดออกมาอีกแม้แต่คำเดียว “ครั้งนั้นมันแพ้ข้า ครั้งนี้มันก็ต้องแพ้ข้าเช่นกัน เอ็งอย่าสะเออะมาคิดว่ามันจะชนะข้าได้”
กลอยสะดุ้ง ก้มหน้านิ่ง ถ้าแทรกกายไปกับพื้นกระดานได้ก็จะทำ
“เอ็งจำไว้นะนังกลอย อย่าได้เที่ยวพูดเรื่องนี้ไป จำไว้ว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น วิญญาณของนังมะลิยังถูกขังอยู่ที่นั่น มันจะต้องพบกับความทรมาน มันจะไม่มีวันได้หลุดออกมาอีกเป็นอันขาด” คุณสร้อยสั่งความและสำทับด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แต่กลอยยังคงหวาดหวั่นในอกอย่างล้นเหลือ
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไม่พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว” กลอยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย ถามด้วยเสียงสั่นเพราะความกลัว “ตะ...แต่...เราจะไม่ทำอะไรกันเลยหรือเจ้าคะ”
“เอ็งจะให้ข้าทำอะไร ข้าไม่ใช่แม่มดหมอผีที่จะไปสู้กับมันได้ แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่ามันจะออกมาจริง คนคงอุปาทานกันไปเอง”
ตลอดระยะเวลาหลายปีตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น หล่อนก็ได้ยินเรื่องนี้อยู่เสมอ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะเป็นจริง ทุกอย่างยังเป็นปกติ
“ถ้าอาจารย์แคล้วอยู่ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย เราจะได้รู้ว่าที่คนเขาพูดมามันจริงหรือไม่จริง”
กลอยบ่นอุบอิบ คิดถึงหมอผีผู้เก่งกาจซึ่งเป็นผู้สะกดวิญญาณอาฆาตของมะลิไว้ที่เรือนทาสจนไม่สามารถออกมาอาละวาดได้อีก แต่ชื่อนั้นก็แสลงหูผู้เป็นเจ้านายเช่นกัน ซึ่งอาจจะมากกว่าชื่อของผีมะลิด้วยซ้ำ
“อีห่ากลอย วันนี้เอ็งเป็นอะไร พูดมาแต่ละอย่างอัปรีย์เหลือเกิน เอ็งอยากโดนกะลามะพร้าวตบปากมากนักใช่ไหม”
กลอยสะดุ้งอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองเจ้านายด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบแก้ต่างพัลวัน
“บ่าว...บ่าวมิได้ตั้งใจเลย อย่า...อย่าลงโทษบ่าวเลยนะเจ้าคะ บ่าวก็แค่กลัว”
“เอ็งนี่นะ ปอดแหกไม่เข้าเรื่อง แล้วเอ็งก็ไม่ต้องกลัวอะไรให้มันมากนัก มันเป็นแค่ผี จะมาทำอะไรข้าได้ เอ็งจำไม่ได้หรือวะว่ามันสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว เป็นแค่สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน ต่อให้หลุดออกมาก็ไม่มีวันทำอะไรข้าได้ เพราะข้าก็มีของดี” น้ำเสียงคุณสร้อยตอนพูดประโยคหลังแฝงความมั่นใจอย่างยิ่งยวด ก่อนปรายตามองไปยังเรือนทาสที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใหญ่ด้วยแววตาท้าทาย
“แต่...แต่...” กลอยยังคงค้านด้วยความกังวล
“นังกลอย ข้าบอกให้เอ็งหุบปาก แล้วอย่าพูดเรื่องนี้ให้ข้าได้ยินอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เก็บลิ้นของเอ็งเอาไว้ให้เอ็งพูดอีก” คุณสร้อยสั่งเด็ดขาด มองบ่าวตาขุ่นขวางที่ยังไม่ยอมจบเรื่องเสียที
“เจ้าค่ะ” ผู้เป็นบ่าวจำรับคำอย่างแผ่วเบา แต่สีหน้ายังไม่คลายกังวล
“เช้านี้นางเจียมทำอะไรให้ข้ากิน” คุณสร้อยเปลี่ยนเรื่องอันเป็นการยุติเรื่องผีมะลิอย่างเด็ดขาด ขณะเดินนวยนาดไปยังตั่งตัวเล็กซึ่งเป็นที่ประจำของตน ซึ่งเมื่ออารมณ์กลับสู่ภาวะปกติ การพูดจาก็ดีขึ้น แต่หล่อนหมดอารมณ์จะไปช่วยสามีแต่งตัวแล้ว วันนี้โต๊ะว่างเปล่าทั้งที่ทุกวันจะต้องมีสำรับคาวหวานพรักพร้อม หล่อนจึงตวาดถามหา “นังกลอย! ไหนสำรับข้า แล้วสำรับของเจ้าคุณอยู่ไหน เดี๋ยวท่านก็จะไปทำงานแล้ว!”
“บ่าว บ่าวลืมเจ้าค่ะ” กลอยสะดุ้งก่อนตอบเสียงอ่อย หน้าเจื่อนเต็มทีเพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับเรื่องที่ได้ยินจึงลืมอาหารเช้าของเจ้านายเสียสนิท
“เอ็งนี่มันไม่ได้ความอะไรสักอย่าง! รับใช้ข้ามาตั้งแต่หัวดำจนหัวหงอกก็ยังต้องบอกต้องเตือนอยู่ร่ำไป ข้าชักจะรำคาญเอ็งเต็มที หรือเอ็งอยากถูกปลดไปเลี้ยงหมูฮึนังกลอย!”
“ไม่เอานะเจ้าคะ บ่าวจะไปเอาสำรับให้คุณสร้อยเดี๋ยวนี้” กลอยกระวีกระวาดวิ่งออกไป แต่ยังไม่ทันถึงบันไดเรือนก็นึกออกว่ามีอีกเรื่องหนึ่งต้องรายงาน จึงวกกลับมาอีกครั้ง “คุณสร้อยเจ้าขา มีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
“อะไรของเอ็งอีก! ถ้าไม่สำคัญจริงละเอ็งหลังขาดแน่นังกลอย รู้ไหมว่าข้าหิว”
เมื่อถูกคาดโทษเช่นนั้น กลอยจึงรีบกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เจ้านายอารมณ์เสียมากกว่านี้ “นังบุษเจ้าค่ะ นังบุษมันทำต้มกะทิสายบัวให้พวกเรือนเล็ก”
“อะไรนะ! นี่นังบุษมันกล้าขัดคำสั่งข้าอย่างนั้นหรือ” ต้มกะทิสายบัวเป็นอาหารที่หล่อนเกลียด เพราะเป็นของโปรดของใครบางคน
“เจ้าค่ะ บ่าวแอบเห็น มันไม่ได้เกรงกลัวคุณสร้อยเลยนะเจ้าคะ คงเพราะพวกเรือนเล็กให้ท้าย”
คุณสร้อยตวัดสายตาไปยังเรือนเดิมของตนเองทันที ดวงตาวาววับแสดงถึงความไม่ชอบใจอย่างที่สุด
“มันชักจะมากไปแล้ว ห่างมือห่างตีนไปนาน สงสัยต้องเตือนความจำมันเสียแล้วว่าบ้านนี้ใครใหญ่ที่สุด ไปตามตัวมันขึ้นมาบนเรือนนี่เดี๋ยวนี้”
“แล้วสำรับล่ะเจ้าคะ”
“เอ็งก็เอาขึ้นมาเลยซินังโง่ แต่ข้าจะจัดการนังบุษก่อนกินข้าว คงอร่อยพิลึก” คุณสร้อยสะบัดพัดขนนกยูงในมืออย่างอารมณ์ดี แล้วเดินนวยนาดไปยังหอนั่ง ยิ้มกริ่มเมื่อคิดว่าจะได้ทำอะไรที่สาแก่ใจบ้างหลังจากได้ยินเรื่องไม่ดีมาตลอดเช้านี้
“เจ้าค่ะ” กลอยรับบัญชา แล้วรีบลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าแช่มชื่นกว่าตอนขึ้นมาหลายเท่านัก เพราะเชื่อว่าคงจะมีอะไรสนุกๆ ให้ดูเป็นแน่
บุษบงวางมือจากสำรับของคุณหญิงแขเมื่อกลอยเดินเข้ามาบอกว่าคุณสร้อยเรียกพบ หวั่นวิตกขึ้นมาทันที เพราะทุกครั้งที่ถูกเรียกก็จะมีเรื่องให้ถูกดุด่าเฆี่ยนตีอยู่ร่ำไป แต่นั่นยังก่อให้เกิดความกังวลใจน้อยกว่าการที่เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณหญิงแขและป้าจำปาต้องทุกข์ใจไปด้วย
“น้ากลอยรู้ไหมจ๊ะว่าคุณสร้อยเรียกฉันขึ้นไปทำไม”
กลอยยิ้มเหยียด มองใบหน้าสวยใสที่ชวนริษยาด้วยความสมเพช แต่มีความสุขที่จะให้อีกฝ่ายว้าวุ่นจึงพูดวกวน “แล้วทำอะไรเอาไว้ล่ะ เรื่องอย่างนี้น่าจะรู้แก่ใจ”
บุษบงหันไปมองกลอย พอจะรู้แล้วว่าเช้านี้คุณสร้อยเรียกหาตนด้วยเรื่องอะไรจึงถอนหายใจออกมา จริงอยู่ที่คุณสร้อยสั่งห้ามทำอาหารชนิดนี้ขึ้นไปบนเรือนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะทำให้คุณหญิงแขและป้าจำปากินไม่ได้ แต่ไม่อยากจะโต้ตอบจึงนิ่งเงียบ
“แกอีกละซิที่ไปฟ้องคุณสร้อย” ยายเจียมที่นั่งอยู่ไม่ห่างเอ่ยออกมาอย่างอดไม่อยู่ ใครๆ ต่างก็รู้ว่ายายเจียมกับกลอยนั้นงัดข้อกันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะฝ่ายหนึ่งอายุมากกว่า ถือว่าตัวเป็นรุ่นใหญ่ของบ้าน อยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งถือว่าตัวเองเป็นคนโปรดของเจ้าของเรือน จึงไม่มีใครยอมใครเลยสักครั้ง
“ไม่ได้ฟ้อง แค่รายงานให้ทราบ เป็นหูเป็นตาแทนท่าน บ้านนี้มันกว้างใหญ่คนก็อยู่กันมาก คุณสร้อยเธอดูไม่ทั่วหรอก”
“โธ่ เป็นหูเป็นตา สอพลอซิไม่ว่า” ยายเจียมสวนกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงถึงอาการหมั่นไส้อย่างยิ่งยวด
“นี่ ป้าถ้าอยากแก่ตายก็อยู่เงียบๆ”
วาจานั้นทำให้แม่ครัวใหญ่ถึงกับเดือด ลุกยืนขึ้นพร้อมกับหยิบอีโต้ชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความโมโหจัด
“ทำไม เอ็งจะทำอะไรข้าฮึนังกลอย เข้ามาซิ เข้ามา ลองดูฤทธิ์อีโต้ข้าสักหน่อย”
เมื่อกลอยเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่กระฟัดกระเฟียดเพราะไม่กล้า จึงค้อนลมไปตามเรื่อง และสุดท้ายก็มาลงที่บุษบง “เร็วเข้าซินังบุษ คุณสร้อยรออยู่ ชักช้าโอ้เอ้จริง”
บุษบงถอนหายใจออกมา ดูเหมือนเรื่องที่คุณสร้อยเรียกนั้นไม่มีสาระนัก และในยามนี้หล่อนก็มีงานอื่นต้องทำ จึงขอผัดผ่อน “เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป ฉันขอยกสำรับไปให้คุณหญิงก่อน”
“คิดจะหลีกเลี่ยงไปฟ้องคุณท่านที่เรือนโน้นก่อนหรืออย่างไร คิดเหรอว่าจะช่วยอะไรได้ ดีไม่ดีจะกระเด็นไปทั้งบ้าน นี่เตือนด้วยความหวังดีนะ ทั้งคุณหญิงแข ทั้งป้าจำปาแก่แล้ว อย่าให้มาลำบากเพราะกาฝากอย่างเอ็งเลย” กลอยวางก้าม นอกจากเจ้านายแล้วก็ไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น เนื่องจากถือว่าตนเองนั้นเป็นคนสนิทของคุณสร้อยที่กุมอำนาจทุกอย่างในบ้านนี้เอาไว้ในมือ
แม้จะโกรธที่อีกฝ่ายซึ่งเป็นเพียงบ่าวก้าวร้าวถึงผู้มีพระคุณ แต่บุษบงก็พยายามข่มใจไม่ต่อล้อต่อเถียง เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต
“ฉันไม่ได้คิดจะเลี่ยง แค่ขอเวลาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” บุษบงพยายามต่อรองด้วยห่วงผู้มีพระคุณทั้งสองที่อาจจะต้องเลื่อนเวลาอาหารเช้าออกไป เพราะไม่รู้ว่าคุณสร้อยจะจัดการธุระกับตนนานแค่ไหน ครั้นจะไหว้วานใครให้ทำหน้าที่แทน ทุกคนก็มีงานล้นมือกันทั้งสิ้น
“ไม่ได้ ต้องไปเดี๋ยวนี้” กลอยออกคำสั่งวางอำนาจด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดเสมือนว่าตนคือเจ้านายอีกคน
หญิงสาวก้มมองถาดสำรับอย่างกังวล จนกระทั่งยายเจียมทนไม่ไหวจึงออกตัวช่วยเหลือ
“ไปเถอะแม่บุษ เดี๋ยวสำรับคุณหญิงป้าเอาขึ้นไปให้ท่านเอง”
เมื่อมีคนรับหน้าที่แทนบุษบงก็คลายใจ
“ขอบคุณมากนะจ๊ะป้า”
ยายเจียมพยักหน้าส่งสายตาบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวล บุษบงจึงหันหน้าไปทางเรือนใหญ่เพื่อที่จะเดินขึ้นไปพบคุณสร้อยแต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปไกล กลอยก็บัญชาตามมาอีก
“อย่าเดินเปล่าๆ ถือสำรับขึ้นไปด้วย”
แม้ไม่ใคร่จะชอบใจนัก แต่บุษบงก็รับถาดสำรับมาแต่โดยดี หล่อนไม่อยากเสียเวลาหากชักช้าจะโดนเอ็ดตะโรยกใหญ่จึงตัดความรำคาญเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ถือถาดสำรับอันหนักอึ้งอย่างไม่มีคำโต้แย้งใดๆ เดินออกไป
บุษบงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ความระวังจึงลดน้อยลงจนกระทั่งเกือบชนเข้ากับบุคคลหนึ่งที่กำลังเดินสวนมา เดชะบุญที่ยั้งเท้าเอาไว้ได้ทัน อุบัติเหตุจึงไม่เกิดขึ้น
พระยาธรรมานุรักษ์เดินลงมาจากเรือนด้วยท่าทางรีบร้อน คงรีบออกไปทำงานอย่างเช่นทุกวัน หล่อนไม่ใคร่ได้พบท่านบ่อยนักเนื่องจากหน้าที่ของตนนั้นอยู่ที่เรือนเล็กด้านหลัง ครั้นเมื่อได้พบท่านวันนี้หล่อนก็สังเกตเห็นว่าท่านดูทรุดโทรมกว่าเดิมอย่างน่าตกใจ ใบหน้าคมตอบหมองคล้ำ ตาลึกราวกับอดหลับอดนอน นัยน์ตาแห้งไร้ชีวิต เรือนกายผ่ายผอม แม้ท่านจะสวมชุดราชการเต็มยศติดเครื่องหมายและเหรียญตราต่างๆ บนเสื้อราชปะแตนสีขาวครบครัน ทว่ากลับไม่สง่างามอย่างที่ควร
“ขอ...ขออภัยเจ้าค่ะ”
หล่อนถอยห่างก่อนจะยอบตัวลงข้างทางเพื่อให้ท่านเดินผ่านไป ซึ่งท่านเองก็ไม่ได้ชายตามองมาแม้แต่น้อยราวกับมองไม่เห็น ก่อนจะเดินตรงไปยังศาลาท่าน้ำซึ่งมีบ่าวอีกคนหนึ่งวิ่งถือกระเป๋าและเอกสารตามหลัง เมื่อท่านผ่านไปแล้วหล่อนก็อดที่จะมองตามแผ่นหลังไม่ได้ ความคิดกระหวัดไปถึงคุณหญิงแขซึ่งหล่อนรู้ดีว่าท่านคิดถึงบุตรชายของท่านมากเพียงใด หลายครั้งที่เห็นคุณหญิงแขนั่งเหม่อตรงหน้าต่างแล้วมองมาที่เรือนใหญ่ แต่อะไรที่ทำให้สองแม่ลูกเหมือนอยู่กันคนละโลก เจ้าคุณไม่เหยียบย่างไปยังเรือนเล็กด้านหลังนานหลายปี เช่นเดียวกับที่คุณหญิงแขเองก็ไม่เหยียบมายังเรือนใหญ่อันเป็นเรือนเดิมของท่านมานานแล้วเช่นกัน สองแม่ลูกแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่แทบจะไม่เห็นหน้ากันเลย หญิงสาวหลับตาลงอย่างสงสารและหดหู่
เดิมนั้นพระยาธรรมานุรักษ์อยู่ร่วมกับคุณหญิงแขบนเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นเรือนหอของคุณหญิงแขกับพระยาเดชานุรักษ์บิดาของพระยาธรรมานุรักษ์ ส่วนคุณสร้อยอยู่เรือนเล็กด้านหลัง หลังจากนั้นพระยาธรรมานุรักษ์ก็ย้ายไปอยู่เรือนเล็กของคุณสร้อยจนกระทั่งพระยาเดชานุรักษ์สิ้นบุญ คุณสร้อยผู้เป็นลูกสะใภ้ก็ขอแลกเรือน โดยขอขึ้นไปอยู่บนเรือนใหญ่แทน
ถ้าพูดถึงความไม่เหมาะมันก็ไม่เหมาะ แต่ความรักที่แม่มีต่อบุตรชายคนเดียว อีกทั้งคุณหญิงแขก็เห็นว่าตนเองนั้นแก่ชรา ตัวคนเดียวจะอยู่ที่ไหนก็ไม่เดือดร้อน ท่านจึงยอมมาอยู่ที่เรือนเล็กตามที่ลูกสะใภ้ต้องการ
เมื่อคุณสร้อยได้ครอบครองเรือนใหญ่ อำนาจของคุณสร้อยก็มากขึ้นตามลำดับ ทำทุกอย่างตามอำเภอใจโดยไม่เกรงใจใครแม้แต่คุณหญิงแขผู้เป็นแม่สามี ซึ่งคุณหญิงแขก็ไม่ขัดคอ ท่านเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือน อยู่อย่างสงบกับจำปานางต้นห้องและบุษบงโดยไม่ออกมาวุ่นวายภายนอกเลย แต่หล่อนก็รู้ว่าในใจของคุณหญิงแขนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์และความห่วงใยคนในบ้าน หลายครั้งที่หล่อนเห็นคุณหญิงแขมองมาที่เรือนใหญ่ด้วยสีหน้ากังวล
“นังบุษ เร็วเข้า มัวมองอะไรอยู่” กลอยตะโกนจิกมาจากหัวบันได
บุษบงดึงความคิดมาสู่ปัจจุบันและคิดว่าเวลานี้คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือตนเอง ต้องเก็บงำความทุกข์ความกังวลเอาไว้ภายใน ก่อนประคองถาดขึ้นไปบนตึก รอรับพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะโถมเข้าใส่
ความคิดเห็น |
---|