บทที่ ๔

 

 บนเรือนไทยหลังใหญ่ที่แม้จะเป็นเรือนโล่งมีลมพัดอยู่ตลอดเวลา ทว่ายามนี้เป็นหน้าร้อน อากาศจึงค่อนข้างอบอ้าว คุณสร้อยทอดตัวนอนอย่างสบาย เหนือผ้าแถบที่พันอกเอาไว้มีรอยแป้งสีขาวเช่นเดียวกับท่อนแขนและใบหน้า กลิ่นน้ำอบน้ำปรุงหอมฟุ้งไปถึงชั้นล่าง

 “เอ็งเห็นหน้ามันไหม ข้าละสะใจเหลือเกิน” ริมฝีปากแดงฉูดฉาดเพราะน้ำหมากขยับเอ่ย 

 “เห็นเจ้าค่ะ บ่าวเองก็สะใจ นี่ไม่รู้ว่ามันปลูกมานานเท่าไรแล้วนะเจ้าคะ อยู่นี่มันต้องจ่ายอะไรที่ไหน ข้าวก็ของคุณสร้อย ที่อยู่ก็ของคุณสร้อย เงินที่ได้จากการขายผักเอาไปซื้อทองหยองเก็บไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้” กลอยผู้ทำหน้าที่พัดวีใส่ไฟไปตามประสาคนที่ไม่เคยประสงค์ดีแก่ใครทั้งสิ้น

 คุณสร้อยนิ่งคิด พอคล้อยตามคำพูดบ่าวแล้วก็เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาทันที “เออจริงของเอ็ง ที่พูดมาก็ถูก หรือว่าข้าควรจะเก็บเงินค่าที่อยู่ที่กินจากมัน”

 “เก็บซิเจ้าคะ หรือไม่ก็เฉดหัวมันออกจากบ้าน เลี้ยงไว้ทำไมล่ะเจ้าคะ เรือนโน้นมีนังจำปาก็พอแล้ว”

 พัดในมือคุณสร้อยกระพือเร็วขึ้น ถูกใจความเห็นของบ่าวประจำตัวอยู่ไม่น้อย

 “ข้าเองก็อยากเฉดหัวมันอยู่ทุกวัน ก็ติดที่เรือนโน้น นังแก่หนังเหนียวนั่นกางปีกปกป้องมันเอ็งก็เห็น ยิ่งมันโตข้าก็ยิ่งหวั่นใจ”

 “หวั่นใจอะไรเจ้าคะ หรือว่ากลัวเจ้าคุณจะคว้ามันมาเป็นเมียอีกคน”

 “ทำไมข้าจะต้องกลัวเรื่องนั้น เจ้าคุณอยู่ในมือ ดิ้นไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว” สุ้มเสียงนั้นแสดงถึงความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่งยวด

 “ถ้าอย่างนั้นคุณสร้อยกลัวเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

 “กลัวว่านังแก่นั่นจะหาผัวดีๆ ให้นังบุษ แล้วมันจะได้ดิบได้ดีน่ะสิ เดี๋ยวจะดีเกินหน้าเกินตาลูกของข้า”

 “ก็อาจจะเป็นไปได้นะเจ้าคะ มันทั้งหน้าตาสวย งานเรือนก็เก่ง กิริยามารยาทก็เรียบร้อย คุณแสงสู้มันไม่ได้สักอย่างเดียว” กลอยวิจารณ์อย่างลืมตัว จึงได้รับการตอบแทนด้วยฝ่าเท้าของเจ้านายจนกระเด็นหกล้มหกลุกไปไกล

 “นังกลอย! เอ็งกล้าว่าลูกข้าด้อยกว่านังบุษอย่างนั้นหรือ!” คุณสร้อยตวาดด้วยท่าทางเดือดดาล เต็มไปด้วยโทสะ เกลียดนักคนที่ชอบเปรียบเทียบแสงจันทร์กับบุษบง

 กลอยหน้าเสีย ลุกขึ้นมาลูบเนื้อลูบตัว แรงถีบนั้นทำให้จุกไม่หยอก รีบกล่าวแก้ตัวออกไปทันควันก่อนที่จะไม่มีโอกาส “โถ...บ่าวไม่ได้ตั้งใจว่าอย่างนั้น บ่าวแค่กลัวว่าคุณหญิงแขจะหาผู้ชายดีๆ มาเลี้ยงแม่บุษน่ะสิเจ้าคะ ท่านเคยอยู่ในรั้วในวังมาก่อน รู้จักคนก็ตั้งมากมาย เจ้าคนนายคนทั้งนั้น จะฝากฝังนังบุษไปกับใครก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

 คำพูดของกลอยทำให้คุณสร้อยคล้อยตามไม่ใช่น้อย หล่อนเกลียดชังบุษบงด้วยเหตุผลที่ไม่อาจบอกใครได้ และนับวันก็ยิ่งทวีความเกลียด เค้าโครงรูปร่างนั้นหากมองด้วยสายตาเป็นกลางดูงดงามกว่าแสงจันทร์มาก หากจับมาแต่งตัวดีๆ คงมีสง่าราศี ถ้าบอกว่าเป็นลูกท้าวลูกพระยาคงมีคนเชื่อ

 ลูกท้าว...ลูกพระยา

 คุณสร้อยทวนคำนี้ในใจ...ไม่มีทาง บุษบงจะไม่มีวันได้เป็นลูกท้าวลูกพระยา สันติและแสงจันทร์ลูกของหล่อนเท่านั้นที่ได้เป็นและจะเป็นตลอดไป

 “ข้าควรจะจัดการอย่างไรดีฮึนังกลอย” คุณสร้อยขอคำปรึกษา สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดไม่น้อย

 “หาผัวให้มันสิเจ้าคะ เอาที่คุณสร้อยเห็นว่าเหมาะสม”

 ข้อเสนอนั้นทำให้ผู้เป็นนายยิ้มออกมา มองบ่าวด้วยแววตาชื่นชมกึ่งยินดี

 “เอ็งนี่ก็ฉลาดนะนังกลอย เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับคุณแม่ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ควรออกเหย้าออกเรือนไปไม่ใช่มาเป็นภาระเรา เดี๋ยวข้าจะหาผัวเลวๆ ให้มันสักคน พวกนักเลงหัวไม้คุมซ่องคุมบ่อนลูกน้องของพ่อข้าเป็นไง น่าจะเหมาะกับมัน”

 “เหมาะเจ้าค่ะ” กลอยเออออ “ถ้าคุณหญิงไม่ยอมล่ะเจ้าคะ”

 “ก็จ้างให้มันฉุด ขี้คร้านพวกมันจะระริกระรี้ดีใจ ได้ทั้งเงินได้ทั้งเมีย”

 เมื่อกล่าวออกไปเช่นนั้น ทั้งนายทั้งบ่าวก็หัวเราะประสานเสียงกันลั่นบ้าน รอเพียงโอกาสเหมาะสมเท่านั้น และคราวนี้บุษบงก็จะหายไปจากชีวิตอย่างนิจนิรันดร์

 แล้วเสียงหัวเราะของทั้งสองก็หยุดลงเมื่อมีใครอีกคนเข้ามา คุณสร้อยลุกขึ้นนั่งปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะเอ่ยทักบุตรสาวที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก

“กลับมาแล้วหรือลูกแสงของแม่”

คุณสร้อยมองลูกสาวคนเดียวด้วยแววตาชื่นชม ในวัยสิบห้าย่างสิบหก แสงจันทร์ดูเป็นสาวเต็มตัวและงดงามยิ่ง ด้วยได้เค้าหล่อนเมื่อยังสาวมาราวกับพิมพ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณเนียนละเอียดลออเหลืองนวล ใบหน้ารูปหัวใจที่ล้อมด้วยผมทรงสมัยนิยมตัดสั้นเพียงต้นคอแล้วยกกะบังสูงด้านหน้า คิ้วเข้มโก่งเรียว ดวงตาดุคม และเมื่อได้เครื่องแต่งกายมาเสริมก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดูผุดผาดเกินกว่าหญิงใดจะเทียบได้

คุณสร้อยส่งเสริมความงามของลูกโดยไม่เสียดายเงินทอง เช่นวันนี้แสงจันทร์สวมเสื้อลูกไม้ทรงกระบอกสีครามยาวคลุมสะโพกมีระบายที่หน้าอกและชายเสื้อเพิ่มความเก๋ไก๋ด้วยโบอันใหญ่ ตัดกับผ้าซิ่นสีนวลทอลายข้าวหลามตัดสีฟ้าเป็นดอกเล็กๆ ราคาของชุดนั้นพอค่ากับข้าวของคนในบ้านทั้งเดือน แต่นางก็ไม่นึกเสียดาย หนำซ้ำยังนึกไปอีกว่าลูกพระยาธรรมานุรักษ์จะซอมซ่อได้อย่างไรกัน

 ด้วยเหตุนี้เมื่อแสงจันทร์มาขอค่าเครื่องแต่งตัวเท่าไร คุณสร้อยไม่เคยจะขี้เหนียว เพราะเชื่อในสุภาษิตที่ว่านารีมีรูปเป็นทรัพย์ ลูกของหล่อนจะต้องเป็นที่จับตาไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใดก็ตาม

 “กลับมาแล้วค่ะ หัวเราะอะไรกันเสียงดังเชียว” ดรุณีแรกรุ่นทักเสียงใสกังวาน แต่ในเนื้อเสียงค่อนข้างกระด้างตามแบบฉบับของคนที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามอกตามใจ

 “ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่นังกลอยมันเล่าเรื่องตลกถูกใจแม่ก็เท่านั้น”

 เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น แสงจันทร์ก็ไม่สนใจจะซักถามอีก เอามือกระพือลมอย่างหงุดหงิด “อากาศข้างนอกร้อนเหลือเกิน ร้อนจนผิวแสงแทบจะไหม้ แต่ก็ดีหน่อยที่ได้ของที่อยากได้ ไม่งั้นอารมณ์เสียแย่”

 แสงจันทร์นั่งลงบนตั่ง พร้อมกับวางถุงกระดาษบรรจุข้าวของที่ซื้อมาจากข้างนอกลง

 วันนี้บุตรสาวออกจากบ้านไปแต่เช้า ตอนแรกคุณสร้อยก็ไม่รู้หรอกว่าแสงจันทร์ไปไหน แต่เห็นถุงกระดาษที่มียี่ห้อร้านติดมา ซึ่งเป็นร้านผ้าชื่อดังในพาหุรัดก็รู้ทันทีว่าลูกสาวออกไปซื้อเสื้อผ้ามาตัดชุดใหม่สำหรับวันสำคัญซึ่งครอบครัวพระยาพลากรพยุหโยธินจะมากินอาหารที่นี่ เพื่อให้บุตรชายของฝ่ายโน้นกับแสงจันทร์ได้รู้จักกันก่อนหมั้นหมาย

 เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่คุณสร้อยรู้สึกขอบคุณคุณหญิงแข มารดาของสามีที่หาหลานเขยผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไว้ให้แสงจันทร์ มันเป็นสัญญาของทั้งสองตระกูลใหญ่ที่ต้องการเกี่ยวดองกัน แต่เมื่อรุ่นลูกเป็นชายทั้งคู่จึงเลื่อนมายังรุ่นหลาน ทางโน้นมีหลานชายเพียงคนเดียว เช่นเดียวกับทางนี้ที่มีหลานสาวเพียงคนเดียวเช่นกัน ทุกอย่างจึงลงตัว

 แม้จะไม่ได้พบกับครอบครัวนั้นมานาน เนื่องจากพระยาพลากรต้องไปอยู่ต่างประเทศในฐานะทูตทหารและเพิ่งกลับมาเมื่อสองเดือน ก่อนแต่ข่าวคราวของทางโน้นก็มีให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ และล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะเรื่องบุตรชายคนเดียวของทั้งคู่ที่บัดนี้อายุย่างเข้ายี่สิบเอ็ด เป็นหนุ่มเต็มตัว และกำลังจะจบการศึกษาด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากเมืองฝรั่งซึ่งเป็นสิ่งที่โก้หรูอย่างที่สุด ในสายตาของคนเป็นแม่ ไม่มีผู้ชายคนไหนเหมาะกับแสงจันทร์เท่าบุตรชายของพระยาพลากรผู้นี้อีกแล้ว

 “ได้อะไรมาบ้างล่ะลูก” คุณสร้อยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเอ็นดู

 “ได้มาหลายอย่างค่ะ... กลอย เอาน้ำมาหวานมากินสักแก้วซิ ใส่น้ำแข็งด้วยนะ อย่าลืม” ประโยคหลังแสงจันทร์หันไปสั่งความบ่าว หล่อนติดนิสัยการดื่มน้ำหวานใส่น้ำแข็งมาจากเพื่อนในกลุ่มที่เป็นลูกข้าราชการด้วยกัน ซึ่งนอกจากชนชั้นเจ้านายแล้วยังไม่ค่อยมีใครกินน้ำแข็งกันมากนัก ซึ่งหล่อนถือว่าเป็นสิ่งโก้เก๋อย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องให้บ่าวซื้อหาเอาไว้เป็นประจำ

 “บ่าวไม่ลืมหรอกเจ้าค่ะ” กลอยยิ้มแป้นประจบ

 เมื่อยังเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมารดาจึงถามอย่างสงสัย “คุณแม่อารมณ์ดีอะไรกันคะ ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว”

 “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ก็แค่ความสุขเล็กน้อย”

 “ความสุขเล็กน้อยของคุณแม่นี่เรื่องนังบุษใช่ไหมคะ” แสงจันทร์กล่าวอย่างรู้ใจ “แล้ววันนี้มันทำอะไรหรือคะ”

 “มันสะเออะมาปลูกผักบนที่ดินของเรา แม่ก็เลยเผาแปลงผักของมัน สะใจพิลึกตอนเห็นมันน้ำตาคลอ” น้ำเสียงและท่าทางของผู้เป็นมารดาเต็มไปด้วยความพออกพอใจเช่นทุกครั้ง

 แสงจันทร์นั่งฟังอย่างเงียบๆ หล่อนไม่ได้รู้สึกอะไรกับบุษบงไปมากกว่าคนใช้ต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่ได้ชิงชังรังเกียจ เพียงแต่เมื่อเห็นมารดาไม่ชอบหล่อนก็เออออไปกับมารดาด้วย แต่ขณะเดียวกันหลายครั้งที่หล่อนได้ประโยชน์จากบุษบงเช่นการรับใช้เล็กๆ น้อยๆ อย่างตัดเย็บเสื้อผ้า ทำการบ้าน เขียนหนังสือ งานฝีมือ ซึ่งทำได้ดีกว่ากลอยเป็นร้อยเท่า นึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่มารดาเกลียดชังบุษบง ไม่อย่างนั้นหล่อนจะขอคุณหญิงแขเอามาเป็นข้ารับใช้ประจำตัว 

 “ถ้าเกลียดมัน ทำไมคุณแม่ไม่ไล่มันไปล่ะคะ มันจะได้อดตาย หรือไม่ก็ไปเป็นนางช็อกการีตามซ่อง เพราะผู้หญิงอย่างมันคงไม่มีปัญญาหากินอะไร สะใจดีออก” แสงจันทร์เสนอ ด้วยหล่อนคิดว่ามารดาไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนหาเรื่องจัดการกับบุษบง ไล่ออกจากบ้านไปก็น่าจะหมดเรื่องหมดราว

 “ทำอย่างนั้นได้อย่างไรเล่าลูก คุณหญิงย่าท่านได้มาฉีกอกแม่ปะไร ลูกก็เห็นว่าท่านรักใคร่มันนักหนา แต่ก็เอาเถอะ มันคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนักหรอก โตเป็นสาวเดี๋ยวก็มีผัว” คุณสร้อยกล่าวไปตามเนื้อผ้า ทั้งที่ความจริงมีแผนที่จะจัดการบุษบงอยู่แล้ว

 แสงจันทร์ไม่เข้าใจความเดียดฉันท์ของมารดานัก แต่เมื่อท่านกล่าวเช่นนั้นหล่อนก็เออออไปตามประสาลูกรักที่ไม่อยากขัดใจแม่             “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณแม่เถอะค่ะ แสงไม่ขัดข้อง”

หล่อนไม่ได้เดือดร้อนหรือรู้สึกรู้สาอะไรกับการที่บุษบงอาศัยอยู่ร่วมชายคา ความสนใจจึงหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ก่อนหันมาทางถุงกระดาษ แล้วรื้อผ้าออกมากองไว้บนโต๊ะ

 “ได้ผ้ามาฝากแม่บ้างหรือเปล่า”

 “ได้ซิคะ แสงซื้อผ้ามาห้าผืน สวยๆ ทั้งนั้น เดี๋ยวคุณแม่เลือกก่อนก็ได้ผืนหนึ่ง ที่เหลือก็ของแสง” หล่อนตอบพร้อมกับกรีดนิ้วยกแก้วน้ำสีสวยขึ้นดื่ม ซึ่งเป็นน้ำดอกอัญชันฝีมือบุษบงนั่นเอง

 เมื่อคุณสร้อยเห็นผ้าที่ลูกสาวซื้อมาก็ได้แต่อุทาน ผ้าแต่ละผืนงดงามยามล้อแสงแพรวพราวเหมือนเคลือบด้วยใยแก้วแน่นอนว่าราคาคงแพงจนไม่อยากคิด แต่เพราะนิสัยตระหนี่ สุดท้ายก็ต้องกลั้นใจถามออกไป

 “ราคาเท่าไรหรือลูก”

 “ทั้งหมดนี่ก็ยี่สิบบาทค่ะ ผืนละตำลึงเดียวเท่านั้น” แสงจันทร์กล่าวราวกับว่าราคาปกติ ทั้งที่ราคาผ้านั้นเลี้ยงคนทั้งบ้านได้หลายเดือน

 “ยี่สิบบาท! มากกว่าราคาทองบาทหนึ่งเสียอีก” คุณสร้อยอุทานด้วยเสียงอันดังเพราะตกใจ แต่แล้วก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของบุตรสาว

 “ไม่แพงหรอกค่ะคุณแม่ ดูซิคะ ออกจะสวย กานดาเล่าให้ฟังว่าบางทีท่านหญิงในวังที่กานดาไปรับใช้สั่งผ้ามาจากสิงคโปร์ผืนหนึ่งตั้งหลายชั่ง”

 “จ้ะ ไม่แพง แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่จ๊ะ” อีกครั้งที่คุณสร้อยไม่กล้าเถียงลูก การแต่งกายของแสงจันทร์เป็นอย่างหนึ่งที่คุณสร้อยเอามาลบปมของตนเอง เพราะเมื่อวัยสาวแรกมาอยู่เรือนนี้อัตคัดนัก ฐานะมิต่างจากบ่าวคนหนึ่ง ผิดกับคุณราตรีภรรยาผู้ล่วงลับของพระยาธรรมานุรักษ์ที่สรรหาชุดงามๆ มาแต่งได้ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน

 แสงจันทร์อารมณ์ดีขึ้นเมื่อมารดากล่าวเช่นนั้น หยิบเอาแพรพรรณที่ซื้อมาทาบแขน

 “คุณแม่ว่าสีไหนเหมาะกับแสงคะ สีชมพู สีแสด หรือสีตองอ่อนนี่ดี”

 “สวยทุกชิ้นเลยลูก แต่อะไรกัน ใจคอจะเอาถึงสี่ชิ้นเชียวหรือ” คุณสร้อยแสร้งเย้า

 “แหม ก็คุณลุงกับคุณป้าจะมากินข้าวที่บ้านเราทั้งที แสงจะดูแย่ได้อย่างไรล่ะคะ” แสงจันทร์กล่าว บนใบหน้ามีร่องรอยขวยเขิน เนื่องจากหล่อนอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เจอกับว่าที่คู่หมั้น เพราะเมื่อใดที่เขากลับมาหล่อนจะถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งพระนครว่าเป็นหญิงสาวโชคดีที่ได้หมั้นหมายกับหนุ่มอนาคตไกล อีกทั้งเขายังเป็นลูกพระยาพลากรพยุหโยธินผู้มีสมบัติพัสถานไม่น้อยไปกว่าบรรดาเจ้านายผู้มีเชื้อสายราชสกุล

 “ลูกแม่แย่ตรงไหน จะแต่งอะไรก็สวยทั้งนั้น”

 “แหม คุณแม่อย่าลืมซิคะ พี่เกื้อไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา เจอใครต่อใครตั้งมากมาย อาจจะสวยกว่าลูกก็ได้” แสงจันทร์ทำท่ากระเง้ากระงอดอย่างน่ารัก

 “ยังไงก็ตาม แม่ว่าลูกของแม่ต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด เอาอย่างนี้ เดี๋ยวแม่จะให้คุณแม้นวาดมาช่วยดูแบบ เสื้อที่ตัดจะได้ไม่ซ้ำใคร” 

คุณแม้นวาดที่คุณสร้อยเอ่ยถึงนั้นคือเจ้าของห้องเสื้อสตรีคนแรกในพระนครที่จบการตัดเย็บเสื้อผ้ามาจากเมืองฝรั่ง คนที่มาใช้บริการห้องเสื้อคุณแม้นวาดส่วนใหญ่เป็นพวกเจ้าขุนมูลนาย เพราะคิดค่าตัดแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะจ่ายได้

 เมื่อมารดากล่าวเช่นนั้นแสงจันทร์ก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข พร้อมกับโผเข้ากอดมารดา เงยหน้ามองคุณสร้อยด้วยท่าทางฝันหวานอย่างเอาอกเอาใจ หมดความกังวลเรื่องเสื้อผ้าไป

 “คุณแม่ใจดีที่สุด แสงรักคุณแม่”

 คุณสร้อยลูบไล้ผมบุตรสาวด้วยความรักเช่นกัน “แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก ผู้หญิงเราต้องสวยเท่านั้น เพราะมันจะทำให้เราได้ทุกสิ่งทุกอย่าง”

 คติประจำใจของคุณสร้อยเรื่องนารีมีรูปเป็นทรัพย์นั้นเห็นจริงมากับตาของตัวเอง เพราะครั้งหนึ่งเกือบเสียสามี เสียตำแหน่งให้ผู้หญิงที่สวยกว่าทั้งที่อีกฝ่ายเป็นเพียงทาสในเรือนเบี้ย ต่ำต้อยทั้งฐานะและสกุล แม้ว่าจะแก้ไขทุกสิ่งทันก่อนจะสาย แต่ความเจ็บปวดในครั้งนั้นก็ยังยอกอกมาจนถึงบัดนี้ 

 “เหมือนที่คุณแม่ได้ใช่ไหมคะ” แสงจันทร์ยกยอ ในสายตาของหล่อนนั้นสิ่งที่แม่พูดไม่เกินไปจากความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าคุณพ่อของหล่อนสนิทเสน่หาเพียงมารดาของหล่อนเท่านั้น ไม่เคยเห็นท่านมีคนอื่นเลยตั้งแต่หล่อนจำความได้

 “ใช่” คุณสร้อยยิ้มเย็น หากใครสังเกตจะเห็นว่าแววตานั้นไม่ได้ยิ้มไปด้วย ก่อนที่นางจะกล่าวต่อเสียงเนิบ “แต่บางทีก็ไม่ใช่แค่ความสวยอย่างเดียวหรอกลูก ผู้ชายเป็นเพศที่ไม่รู้จักพอ เราต้องมีอาวุธอย่างอื่นเข้าสู้”

 “อะไรหรือคะคุณแม่ อาวุธที่คุณแม่ว่า” แสงจันทร์ถามด้วยความสนใจทันที หล่อนชอบการมัดใจให้คนอื่นตกอยู่ในเสน่ห์ของตนเองเหลือเกิน

 คุณสร้อยยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ประคองใบหน้าลูกสาวขึ้นมองอย่างรักใคร่ “เวลานี้ลูกของแม่ไม่ต้องใช้มันหรอก เพราะลูกของแม่ยังสาวและสวย แม่เชื่อว่าคู่หมั้นของลูกจะต้องตกหลุมรักลูกทันทีที่เห็น”

 “คุณแม่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ลูกอายนะคะ” ใบหน้าของแสงจันทร์แดงระเรื่อด้วยความขวยเขิน และแม้จะพูดไปเช่นนั้นแต่ลึกลงไปในใจหล่อนกลับพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง นับวันเฝ้ารออีกฝ่ายกลับมาจากต่างประเทศด้วยใจจดจ่อ การหมั้นหมายจะได้เป็นเรื่องเป็นราว

 “ไม่ต้องอายหรอก แม่อยากให้ลูกมีความสุข เพราะความสุขของลูกก็เหมือนความสุขของแม่”

 สองแม่ลูกนั่งอมยิ้มคิดถึงความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยไม่คิดเลยว่าทุกอย่างอาจจะไม่ได้อย่างหวังเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของตน

 เมื่อเหตุการณ์ร้ายผ่านไปแล้วบุษบงก็กลับไปที่ครัว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาด้วยความเห็นใจ หล่อนก็เพียงแต่ยิ้มบางๆ ให้ เพราะคิดว่าร่ำไห้ฟูมฟายไปก็ไม่มีประโยชน์หาอะไรทำเพื่อขจัดความฟุ้งซ่านออกไปจากใจ ไม่ให้ต้องตกอยู่ในสภาพทุกข์ตรมจะดีกว่า

 “แม่บุษ อย่าเสียใจไปเลยลูก” ยายเจียมปลอบใจ

 บุษบงก้มหน้าซ่อนความร้าวรานในหัวใจ

 “จ้ะยาย ฉันไม่ได้เสียใจอะไรหรอก” แม้จะบอกไปเช่นนั้นแต่สีหน้าของหล่อนก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ยังอดเสียดายผักไม่ได้ อีกทั้งยังกลัดกลุ้มที่แปลงผักถูกทำลายจนราบคาบ รายได้ที่จะซื้ออาหารดีๆ ให้คุณหญิงแขและป้าจำปาก็ไม่มีอีก

 “ไม่ให้ปลูกก็ไม่ต้องปลูก จะได้ไม่เหนื่อย มาช่วยยายหั่นผักดีกว่า เดี๋ยววันนี้จะสอนทำแกงฮังเล”

 สีหน้าของบุษบงดีขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น อย่างน้อยมื้อเที่ยงนี้คุณหญิงแขก็ไม่ต้องกินแต่ข้าวกับน้ำพริก หล่อนขยับกายเข้าไปใกล้ยายเจียมเพื่อช่วยเตรียมเครื่องปรุงที่ค่อนข้างมาก เนื่องจากแกงฮังเลเป็นอาหารที่มีขั้นตอนการทำยุ่งยาก

 ในตอนแรกหล่อนก็ตั้งใจฟังยายเจียมสอนวิธีทำแกงฮังเล ทว่าสักพักความตรอมตรมก็ทำให้จิตใจล่องลอยไปไกล

 ในยามที่อ้างว้าง เหนื่อยหน่าย และอ่อนแอจนถึงที่สุด อ้อมกอดในความฝันก็เข้ามาปลอบประโลม หล่อนคิดถึงแม่ อยากรู้เหลือเกินว่าหากได้กอดแม่จริงๆ จะเป็นอย่างไร คงจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่าความฝันอยู่ไม่น้อย หัวใจที่อ่อนแรงคงมีพลังให้ก้าวผ่านวันนี้ไป

 ความฝันเมื่อคืนยังมารบกวนหัวใจ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเพียงฝัน เป็นเพียงความฟุ้งซ่าน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนจริงราวกับสัมผัสได้ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่แม่จะไปอยู่ที่นั่น

หญิงสาวนั่งทำงานเงียบๆ จนกระทั่งบ่าวสองคนเดินมายังครัวเมื่อเสร็จภาระหน้าที่บนเรือนใหญ่ บ่าวทั้งหมดมักจะมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหาของกิน จากนั้นก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อไป

 หนึ่งในสองของบ่าวนั่งลงบนแคร่ใต้ต้นมะขาม หันหน้ามาทางยายเจียม เอ่ยเรื่องที่ได้ยินมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

 “ป้าเจียม วันนี้มีคนเจอผีมะลิอีกแล้ว”

 คำว่าผีมะลิส่งผลให้มือที่กำลังหั่นหมูชะงักค้างทันที บุษบงหันไปทางใจ บ่าวผู้ที่กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความสนใจ อีกฝ่ายก็เล่าต่อด้วยความตื่นเต้นมากกว่าจะตระหนกหวาดกลัว

 “เขาว่าเจอเป็นคนยืนอยู่ที่ท่าน้ำเรือนทาส”

 “เหลวไหล!” เจียมกล่าวเสียงเข้ม ทว่าสายตาบ่งบอกว่ากำลังตั้งใจฟังทุกคำ 

 “เหลวไหลอะไรกัน มีคนเห็นตั้งหลายคน สี่คนแล้วกระมังเดือนนี้ที่บอกว่าเจอผีมะลิ” เสียงของใจเบาลงในประโยคสุดท้ายคล้ายกับหวาดกลัว ก่อนที่จะดังขึ้นมาอีกครั้ง “ว่าแต่ยายเคยเห็นแม่มะลิตัวจริงไหม หน้าตาเป็นอย่างไร เห็นเขาลือกันว่าสวยมาก สวยจนคุณท่านเอาไปทำเมียทั้งที่แม่มะลิมีคนรักอยู่แล้ว”

 ยายเจียมยังคงนั่งนิ่ง แต่คราวนี้สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่แม่ครัวชราเป็นตาเดียว ในบ้านหลังนี้มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องราวในอดีต เพราะหลังจากเลิกทาสต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง เหลือคนเก่าแก่อยู่ไม่กี่คน

 “ว่าไงล่ะป้า ถามทำไมไม่ตอบ” ใจคาดคั้น ขัดอกขัดใจที่ยายเจียมไม่ตอบเสียที

 “สวยซิวะ” ยายเจียมตอบเพียงเท่านั้นคล้ายกับตัดความรำคาญ

 “ถ้าอย่างนั้นป้าก็เคยเห็นน่ะสิ แล้วก็ต้องรู้เรื่องน่ะซี มันเป็นยังไงเหรอ เล่าให้ฉันฟังหน่อย”

 “อีนังใจ เอ็งจะให้ขี้กลากขึ้นกบาลข้าหรือยังไง เอาเรื่องเจ้านายมานินทา”

 “ก็ฉันอยากรู้ ป้าเล่าหน่อยเถอะว่าทำไมผีมะลิถึงได้อยู่ที่เรือนทาสนั่น แล้วทำไมเจ้าคุณถึงไม่ยอมให้ใครเข้าไป”

 คำถามนั้นทำให้ยายเจียมนิ่งไปอีกครั้ง แม้เวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่ในความรู้สึกของนางเหมือนกับเรื่องราวสะเทือนขวัญเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น