บทที่ ๕

 

 ยายเจียมนึกย้อนไปถึงอดีต บ้านที่เคยสุขสงบด้วยบารมีของเจ้าคุณคนก่อนมีอันต้องลุกเป็นไฟ เพียงเพราะลูกชายของท่านเพียงคนเดียว ทุกอย่างเกิดจากความรัก ความแค้นและความริษยา ซึ่งสุดท้ายก็ตามมาด้วยความอาฆาตพยาบาทจองเวรกันอย่างไม่จบไม่สิ้น

 จิตหญิงชราล่องลอยไปถึงเหตุการณ์วันหนึ่งกลางฤดูฝนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ฝนเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย บรรยากาศในบ้านก็มืดมัวเช่นดินฟ้า อีกทั้งเกิดความโกลาหลวุ่นวายราวกับพายุลูกใหญ่พัดเข้ามา เสียงกรีดร้องของมะลิเพราะความเจ็บปวดดังไปไกลหลายคุ้งน้ำ เสียงด่า เสียงสาปแช่งของหล่อนยังทำให้หวาดกลัวจนกระทั่งวันนี้ และสุดท้ายมะลิก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองพร้อมกับลูกน้อยเพื่อหลีกหนีการลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมของผู้เป็นสามีที่ท่าน้ำตอนรุ่งสางนั่นเอง

 หลังจากตายไป ดูเหมือนดวงวิญญาณของมะลิไม่ได้สงบเลย ยังคงเต็มไปด้วยความแค้นความเจ็บปวด มีคนเห็นผีมะลิปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ คอยหลอกหลอนคนในบ้านจนอยู่กันไม่ได้ และต้องออกไปจากเรือนจำนวนมากจนเรือนแทบจะร้างไปช่วงหนึ่ง

 ความเฮี้ยนของมะลิมากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนความพยาบาทจะมุ่งตรงไปยังพระยาธรรมานุรักษ์มากกว่าใครในครั้งนั้นหล่อนคอยจองล้างจองผลาญไม่ให้ท่านได้พบกับความสุข และดูเหมือนเหตุการณ์จะบานปลายเมื่อผีมะลิต้องการชีวิตคุณสร้อยด้วย

 เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นขณะที่คุณสร้อยกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ผีมะลิถึงขึ้นผลักคุณสร้อยตกบันไดจนตกเลือดจึงทำให้พระยาธรรมานุรักษ์นิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไป ท่านจึงเชิญหมอผีมาปราบและสะกดวิญญาณอาฆาตเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าสะกดด้วยอะไร และสะกดไว้ที่ไหน รู้เพียงแต่ว่าตั้งแต่วันนั้นผีมะลิก็ไม่ออกมาอาละวาดอีกเลย

 วันเวลาผ่านไปทุกสิ่งก็เลือนหายไปด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับผีมะลิที่หายไป เหลือเพียงเรือนร้างเอาไว้ให้คนหวาดผวา เพราะเมื่อทำการรื้อถอนครั้งใด คนที่รื้อก็จะมีอันเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง เจ้าคุณกับคุณสร้อยจึงเก็บเรือนนั้นเอาไว้ โดยห้ามผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปเด็ดขาด ในปัจจุบันจึงมีต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมเรือนร้างจนรกเรื้อยิ่งทำให้น่ากลัวและวังเวง แม้จะไม่ได้รับคำสั่งห้ามก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นอย่างเด็ดขาด

 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยายเจียมได้ยินว่ามีคนพบผีมะลิ สองสามเดือนที่ผ่านมาก็มามีคนเห็นผู้หญิงพันผ้าแถบร้องไห้อยู่ตรงท่าน้ำ บางคนก็เห็นผู้หญิงอุ้มเด็กเอาไว้ในอ้อมแขนโดยที่เท้าลอยขึ้นเหนือพื้น บางคนก็ได้ยินเสียงกล่อมเด็กดังแว่วมาและเมื่อมองหาก็พบแต่ความว่างเปล่า ทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าผีมะลิกลับมาอีกครั้ง โดยที่ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงแท้แต่ประการใด

 “ว่าไงล่ะป้า เล่ามาซะทีซิ คิดนานเหลือเกิน” เสียงของใจดึงสติยายเจียมกลับมาทันที

 “ไม่เล่าโว้ย ถ้าอยากรู้นักเอ็งก็ไปถามผีมะลิเอาเองแล้วกัน” ยายเจียมโยนเรื่องไปเพราะไม่อยากถูกตอแยอีก เรื่องผ่านมานานแล้วไม่ควรรื้อฟื้นขึ้นมาตอกย้ำความน่ากลัว

 “แต่จะว่าไป ฉันอยากเจอผีมะลินะ” ใจร้องบอก “ฉันจะขอเลข เผื่อจะรวย จะได้เอาเงินมาใช้หนี้ ไม่ต้องมาเป็นบ่าวขัดดอกอย่างนี้”            

 “เอ็งนี่มันปากเสีย” ยายเจียมเอ็ดตะโรเสียงดัง ด้วยรู้ฤทธิ์เดชของผีอาฆาตตนนี้ดี “อยากเจอก็เจอคนเดียวเถอะ ข้าไม่เอาด้วยหรอก ไม่อยากจับไข้หัวโกร๋น”

 “ไม่รู้ละ ฉันว่าคุณสร้อยน่ากลัวกว่าผีแม่มะลิตั้งเยอะ แค่มาโผล่ให้เห็นเท่านั้นไม่ถึงกับต้องลงไม้ลงมือหรอก ดูแปลงผักแม่บุษซิ ปลูกให้พวกเรากินแท้ๆ ยังถอนยังเผาได้ลงคอ ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่เราเป็นบ่าว นายสั่งอะไรก็ต้องทำ... แม่บุษไม่โกรธฉันนะ” ใจหันไปพูดประโยคสุดท้ายกับบุษบง ซึ่งนั่งเงียบเชียบมาโดยตลอด

 หญิงสาวผู้ถูกเอ่ยถึงเงยหน้าขึ้นและยิ้มออกมา แต่เป็นยิ้มที่ไม่เบิกบานนัก “ฉันไม่โกรธหรอกจ้ะ ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

            

 ตลอดทั้งบ่ายหัวใจของบุษบงไม่อาจเป็นสุขได้ ความฝันกับความจริงสลับกันไปมาในความคิดคำนึง ครั้นเมื่อมองไปทางพุ่มไม้ใหญ่ก็ลังเลที่จะก้าวไป ไม่ใช่กลัวผีที่ใครเล่าลือเติมแต่งกันจนชวนสยอง แต่สิ่งที่กลัวคือหากคุณสร้อยรู้เรื่องเข้าคงถูกลงโทษอย่างรุนแรงเป็นแน่

 ในบ้านนี้ใครๆ ต่างก็รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่หวงห้ามใครเข้าใกล้ บุษบงเองก็เชื่อฟังมาโดยตลอด แต่วันนี้คล้ายกลับมีเสียงเพรียกแว่วหวานทว่าเศร้าสร้อยดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา จนสุดท้ายหล่อนก็ไม่อาจทนความอยากรู้ได้ ต้องฝ่าฝืนคำสั่งเพื่อไปดูให้เห็นกับตาว่าที่นั่นมีอะไร

 สองเท้าก้าวจากครัวไปยังเรือนทาส เพราะถูกปล่อยให้รกร้างมานานตลอดทางจึงมีหญ้ารกขึ้นสูง แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคเท่ากับรั้วไม้ระแนงทรุดโทรมที่กางกั้น ประตูด้านหน้าถูกปิดตายด้วยแผ่นไม้ตอกตะปู

เพราะทำตามคำสั่งและโอวาทตลอดมา ด้วยกลัวว่าหากตนทำผิดจะสร้างความเดือดร้อนให้คุณหญิงแข บุษบงจึงลังเลที่จะก้าวเข้าไป สุดท้ายก็ตัดสินใจระงับความอยากรู้แล้วหันหลังกลับ แต่น่าอัศจรรย์เหลือเกินแผ่นไม้ที่ถูกตอกตะปูไว้หล่นลงบนพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ประตูที่ปิดอยู่เปิดออกคล้ายกับเจ้าของเรือนเปิดต้อนรับ

 หากเป็นยามอื่นหล่อนคงกลัว ทว่าเวลานี้ความรู้สึกนั้นน้อยนิดและเจือจาง ความสงสัยเข้มข้นกว่ามาก บุษบงจึงก้าวผ่านประตูไปอย่างง่ายดาย เดินลุยต้นหญ้าและเศษใบไม้ที่ทับถมกันมานมนานจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าเรือน...       สิ่งที่เห็นไม่ได้ต่างจากความฝันเลยแม้แต่นิดเดียว เรือนทาสคือเรือนไทยหลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมน้ำอย่างโดดเดี่ยวตัวเรือนทรุดโทรมรกร้างไร้การใส่ใจ หญ้าขึ้นสูงจนเกือบท่วมหัวเข่า ไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านบดบังแสงอาทิตย์เกือบหมดสิ้น ทำให้ดูครึ้มเหมือนกับเป็นเวลาเย็นทั้งที่ยามนี้เป็นเพียงช่วงบ่ายแก่เท่านั้นเอง  

 บุษบงก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่าใต้ซากใบไม้ที่ทับถมอาจจะมีสัตว์มีพิษซุกซ่อนอยู่ หญิงสาวแหงนหน้ามองตัวเรือน ไม่มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา นอกจากเสียงสายลมอันหนาวเย็นแต่ความเก่าทรุดโทรมของตัวเรือนก็ทำให้ไม่น่าย่างกรายเข้ามา หัวใจปวดแปลบด้วยความผิดหวัง เมื่อไม่มีสิ่งที่คิดฝันเอาไว้

จะมีได้อย่างไร เมื่อมันเป็นเพียงความฝัน ความโหยหาของหัวใจที่อ่อนแอ...แต่เมื่อมาถึงแล้ว หล่อนก็คิดว่าคงเสียเวลาไม่มากหากจะเดินขึ้นไปดูข้างบนเสียหน่อย อย่างน้อยก็เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาซ่องสุมจนอาจจะเกิดภัยแก่เจ้าของเรือน

 หญิงสาวก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เสียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดน่ากลัว แต่หล่อนไม่สนใจเท่าไรนัก เพราะมันเป็นเพียงเสียงที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ จนกระทั่งถึงประตู เป็นอีกครั้งที่หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อคิดถึงความฝันขึ้นมาทั้งที่ตัดใจไปแล้ว

 ความเจ็บปวดที่ถูกกลั่นแกล้งทำให้หล่อนโหยหาอ้อมกอดของใครสักคนที่จะปลอบประโลม อดจะหวังลึกๆ ไม่ได้ว่าแม่รออยู่ 

 หญิงสาวผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว กวาดตามองไปยังโคนเสาซึ่งในฝันแม่อยู่ตรงนั้นแต่ก็ว่างเปล่า...มีเพียงพื้นกระดานขาวเปื้อนฝุ่น ทุกอย่างคือสิ่งที่คาดหวังและคิดไปเองทั้งหมด

 ความอ้างว้างก่อเกิดทันที ไม่อาจสกัดกั้นน้ำตาที่ไหลรินได้อีกต่อไป หล่อนปล่อยให้มันไหลออกมาอย่างเงียบๆ หวังให้ล้างความโหยหาอาดูรออกจากใจ ลบล้างความอ่อนแอ ความหวั่นไหว เพื่อให้มีพลังในการต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายเพื่อรับใช้คุณหญิงแขผู้มีพระคุณต่อไป

 ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจตราอะไรอีกแล้ว ห้องโล่งกว้างเหมือนกับในฝันไม่มีผิด ใยแมงมุมห้อยลงมาจากหลังคายามถูกแสงแดดดูเหมือนเส้นไหมแวววาว แม้จะเป็นคนรักความสะอาดบุษบงก็ไม่คิดที่จะทำอะไร ของเดิมอยู่อย่างไรก็จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เพราะที่นี่คือบ้านของพวกมัน

บุษบงก้าวเท้าลงจากเรือน แต่เมื่อลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายหล่อนก็เห็นว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง มีใครอีกคนกำลังเดินตรงมา เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อป่านคอกลมกับกางเกงขาสามส่วน หล่อนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อน ความหวาดกลัวจึงเกิดขึ้นทันที...มีเสียงเล่าลือว่ามีนักโทษแหกคุกเมื่อสองสามวันก่อนชื่อเสือหิน ทางการกำลังล่าตัวกันจ้าละหวั่น เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ยิ่งทำให้หล่อนหวาดกลัว

 บุษบงมองไปยังชายผู้นั้นอย่างระแวดระวัง เขายังเดินตรงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หน้าตาของเขานับว่าหล่อเหลาคมคายทีเดียว ผิวขาวจัดกว่าคนทั่วไปที่เคยเจอ ไม่ได้ขาวอย่างผู้มีเชื้อสายจีนแต่ขาวเหมือนฝรั่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ทว่ามีความกระด้างอย่างผู้ชาย หน้าผากกว้าง ริมฝีปากบางเหมือนสตรี ส่วนดวงตานั้นดำขลับและทรงอำนาจอย่างประหลาด ยามที่ถูกจ้องมองเป็นผลให้รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวอย่างบอกไม่ถูก และเขาก็ไม่ใช่คนที่น่าไว้ใจ

บุษบงหยุดชะงัก เรียกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าที่จะทำได้ พลางมองหาทางหนีทีไล่หากเขาเป็นคนร้ายจริงๆ

 “น้องสาว” ชายหนุ่มแปลกหน้าทักขึ้นขณะก้าวเข้ามา

หล่อนเหลือบมองไปรอบกาย ที่นี่เป็นสถานที่เปลี่ยวร้าง แน่นอนว่าคนในพื้นที่ไม่มีใครกล้าผ่านไปมาเพราะคำเล่าลือเกี่ยวกับผีมะลิ แม้จะตะโกนให้คอแตกก็คงไม่มีใครได้ยิน ทางเดียวที่รอดได้คือต้องช่วยตัวเอง

 “อย่า อย่าเข้ามานะ” บุษบงวิ่งไปหยิบกิ่งไม้อันหนึ่งที่อยู่บนพื้นดิน ขนาดพอเหมาะมือน่าจะใช้ป้องกันตัวเองได้บ้าง

 ท่าทางเขาดูตกใจแต่ยังไม่หยุดก้าวเดิน ซึ่งก็ดูเป็นการคุกคามสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ในสถานที่เปลี่ยวเพียงลำพัง

 “น้องสาว วางไม้ลงก่อน ฉันมาดี”

 แม้เขาจะกล่าวเช่นนั้นแต่หล่อนก็ไม่เชื่อ คนที่เข้ามาในเรือนทาสจะต้องไม่ใช่คนที่น่าไว้ใจ

 “ไม่วาง ออกไป” หล่อนยกไม้ขึ้น สองมือกระชับไม้มั่น สองเท้าก้าวถอยหลังอย่างหวาดหวั่น แต่แล้วเพราะมองไม่เห็น หล่อนจึงก้าวพลาดและเสียหลักล้มลง พอดีกับที่ชายคนนั้นพุ่งตัวเข้ามา

 ด้วยสัญชาตญาณ บุษบงหวดไม้ออกไปทันทีเพื่อป้องกันตัว และดูเหมือนจะได้ผล ไม้นั้นฟาดตรงศีรษะของเขาพอดี 

 “โอ๊ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง

 นาทีเดียวกันนั้นบุษบงก็สัมผัสได้ถึงมือแกร่งที่รวบบั้นเอวหล่อนเอาไว้ และอีกมือของเขาก็พยายามปลดอาวุธจากมือหล่อน หญิงสาวจึงดิ้นรนสุดแรง ทว่ากำลังน้อยกว่าจึงไม่อาจสู้เขาได้ สุดท้ายไม้ที่ใช้ป้องกันตัวก็หล่นลงพื้นส่วนตัวเองก็ตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง บุษบงตกใจอย่างที่สุด ในชีวิตที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยใกล้ชิดกับชายคนไหนอย่างนี้มาก่อน ชิดเสียจนหล่อนได้กลิ่นน้ำหอมแบบฝรั่งติดจมูก ใบหน้าแนบกับอกกว้างจนได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้น ส่งผลให้หล่อนรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 “ปล่อย” หล่อนกล่าวเสียงสะท้าน เหนื่อยหอบจากการดิ้นรนเอาตัวรอด

 “ถ้าปล่อยแล้วอยู่นิ่งๆ เข้าใจไหม” 

เสียงของเขาดังอยู่ข้างๆ ใบหูทำเอาขนหล่อนลุกเกรียวอย่างไม่มีสาเหตุ และเมื่อไม่มีทางเลือกจึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม ทว่าเมื่อเขาปล่อยจริงหล่อนกลับออกแรงวิ่งหนีอีก แต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแปลบที่ข้อเท้าไม่อาจวิ่งได้เร็วอย่างที่ตั้งใจสุดท้ายก็ถูกจับได้อีกครั้ง

 “ปล่อยนะ!”

 “ถ้าปล่อยต้องสัญญาว่าจะไม่วิ่งหนี”

 “ไม่สัญญา”

 “ไม่สัญญาก็จะกอดเอาไว้อย่างนี้ ไม่ให้ไปไหนจนกว่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง”

 คำพูดของเขาทำให้เธอหยุดดิ้น หันไปมองเขาอีกครั้งแล้วก็พบว่าหน้าผากของเขามีรอยแผลจากการกระทำของเธอจนเลือดซึม

 “คุณคือเสือหินหรือเปล่า” หล่อนตัดสินใจถามออกไปตามตรง

 เขาทำท่างุนงงราวกับไม่เข้าใจ ก่อนจะถามออกมา “ใครคือเสือหิน”

 “โจรแหกคุก ทางการเขาบอกว่าหลุดมาทางนี้”

 คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “หน้าฉันเหมือนโจรหรืออย่างไร”

เสียงของชายหนุ่มฉุนเฉียวจนบุษบงนึกโกรธขึ้นมาบ้าง เขาเองก็ผิดที่เข้ามาในบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังถือวิสาสะจับตัวเธอเอาไว้อีก

 “หน้าตาคนไม่ได้บอกนิสัยใจคอ” หล่อนสวนกลับตามความรู้สึกนึกคิด

 ดูเหมือนคำพูดของเธอจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมา “ฉันไม่ใช่เสือหิน เชื่อใจได้ว่าจะไม่ทำร้ายเธออย่างแน่นอน เพียงแต่หลงทางมาเท่านั้น ฉันชื่อเกื้อ มาหาเพื่อน แล้วบังเอิญหลงทางเข้ามาตรงนี้ก็เท่านั้น”

 “ถ้าไม่ใช่เสือหินก็ปล่อยฉันเสียที ฉันจะไม่วิ่งหนี สัญญา” หล่อนบอกให้เขาปล่อย เพราะขณะนี้มือของเขารวบเอวของหล่อนอยู่ แม้ว่าไม่รัดแน่นเท่าตอนแรกก็ตาม  

 ชายหนุ่มก้มมองมือตัวเอง จากนั้นก็รีบปล่อยพลางแก้ตัวเสียงเบา ใบหน้ามีรอยแดงจางๆ “ขอโทษ ฉันไม่ได้คิดจะล่วงเกิน แค่กลัวว่าเธอจะหนีไปอีก”

 เมื่อเขาปล่อยแล้วบุษบงจึงถอยห่างออกมาในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก พอให้คุยกันรู้เรื่อง แต่ถ้ามีความผิดปกติหรืออันตรายเกิดขึ้นหล่อนก็จะวิ่งหนีไปได้ แต่เมื่อเขาไม่มีท่าทางคุกคามอีก หล่อนจึงมองไปยังรอยช้ำที่ศีรษะเขา เอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิดเพราะความมือไวของตน

 “เป็นอย่างไรบ้าง ที่หัวเจ็บไหม”           

 ชายหนุ่มเอามือคลำศีรษะป้อยๆ อย่างน่าสงสารก่อนจะตัดพ้อเสียงอ่อย “ทำไมต้องทำร้ายกัน ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่ามาดี ไม่ได้มีเจตนาร้าย”

 “ฉันก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น คุณเป็นคนแปลกหน้า ฉันก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน อีกอย่างฉันบอกคุณแล้วว่าอย่าเข้ามาแต่คุณก็ไม่ฟัง”

 “ฉันเห็นเธอกำลังจะล้มก็เลยรีบเข้ามาช่วยก็เท่านั้น”

 คำตอบที่ได้รับทำให้บุษบงนิ่งงัน ใช่ หากไม่ได้เขารับเอาไว้หล่อนคงหงายหลังและอาจจะได้รับบาดเจ็บ เมื่อคิดถึงตรงนี้จึงรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดไปมากมาย

 “ขอบคุณที่ช่วยรับฉันไว้ และขอโทษที่ทำให้เจ็บตัว”

 “ไม่เป็นไรหรอก ยินดีที่ได้ช่วยเหลือ” เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจเรื่องที่เธอทำให้เขาบาดเจ็บอีก พร้อมกันนั้นเขาก็กวาดมองไปทั่วๆ ด้วยความประหลาดใจ “นี่บ้านของเธอหรือเปล่า”

 บุษบงส่ายหน้า พร้อมกับอธิบายด้วยเสียงที่อ่อนลงเมื่อเห็นความเป็นมิตรจากท่าทางของเขา “ไม่ใช่ค่ะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านฉันหรอก ฉันอาศัยอยู่ในบ้านพระยาธรรมานุรักษ์หลังโน้น” หล่อนชี้ไปหลังดงไม้ ซึ่งเห็นหลังคาเรือนโผล่อยู่

 “เรือนพระยาธรรมานุรักษ์อย่างนั้นหรือ เธออยู่บ้านนั้นกระนั้นหรือ” ชายหนุ่มทวนคำท่าทางและสีหน้าแสดงชัดเจนว่ากำลังตกใจ 

 หล่อนรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของเขา “ใช่ค่ะ ฉันอยู่บ้านหลังนั้น ว่าแต่ทำไมคุณถึงต้องตกใจ”

 “เปล่าหรอก แค่เคยได้ยินชื่อท่านเท่านั้น ไม่คิดว่าเรือนท่านจะอยู่แถวนี้ ช่างบังเอิญเหลือเกิน บางทีฉันอาจจะได้เข้าไปกราบท่านหากเสร็จธุระกับเพื่อนแล้ว”

 เมื่อได้ยินดังนั้นบุษบงก็ไม่ติดใจอะไร พระยาธรรมานุรักษ์รับราชการอยู่ที่กรมท่า ท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มีคนนับหน้าถือตามากมาย จึงไม่แปลกที่จะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

 “ว่าแต่เมื่อสักครู่คุณบอกว่ามาหาเพื่อน ไม่ทราบว่าเพื่อนของคุณคือใคร เผื่อฉันจะรู้จัก” หล่อนอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่จำความได้ จึงรู้จักมักคุ้นเพื่อนบ้านในบริเวณนี้แทบทุกเรือน

 “อ๋อ เพื่อนของฉันเป็นชาวต่างชาติชื่อโรเบิร์ต มีภรรยาชื่อแคทลีน โรเบิร์ตรับราชการในกรมท่าเป็นล่าม เธอพอจะรู้จักบ้างหรือเปล่า”

 “รู้จักค่ะ บ้านอยู่ทางโน้น เลาะดงไม้ข้างหลังไปก็ถึงแล้ว”

 “จริงหรือ” ชายหนุ่มถามด้วยความดีใจ “ฉันเดินหาทั้งวัน ที่แท้ดงไม้บังอยู่นั่นเอง”

 “แต่วันนี้ทั้งคู่น่าจะไม่อยู่ เห็นบอกว่าจะไปทำธุระที่สถานกงสุล น่าจะกลับเย็นๆ”

 “อ้าว อย่างนั้นหรือ ฉันตามหาบ้านของสองคนนั่นมาตั้งแต่เช้า พอเจอก็ไม่อยู่เสียอีก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงถึงความผิดหวังจนน่าสงสาร

 “เมื่อสักครู่คุณบอกว่าเดินหามาทั้งวัน แล้วรับอะไรมาบ้างหรือยัง ฉันหมายถึงอาหารนี่ก็บ่ายแล้ว”

 ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ

 ท่าทางของเขาทำให้หล่อนเห็นใจ ความรู้สึกที่เรียกว่าหิวและอดอยากนั้นหล่อนก็เคยประสบมาด้วยตนเองยามที่คุณสร้อยกลั่นแกล้งไม่ยอมเหลือข้าวปลาไว้ให้ และเพราะรู้ว่ามันทรมานเพียงใดจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยงข้าวเขามื้อหนึ่ง เพื่อแก้ตัวที่ทำให้เขาเจ็บตัว

 “ถ้าอย่างนั้นคุณรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันจะยกสำรับมาให้คุณกินแก้หิวไปก่อน”

 “อย่ารบกวนเลย ฉันทนได้”

 “ไม่รบกวนหรอกค่ะ อย่างน้อยก็เพื่อไถ่โทษที่ฉันตีหัวคุณ รอนะคะ อย่าไปไหน เดี๋ยวฉันมา”

 บุษบงไม่รอให้ชายหนุ่มทัดทานใดๆ อีก หล่อนเดินกลับไปยังโรงครัวทั้งที่ยังเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ตักข้าวก้นกระทะที่เหลืออยู่ใส่จานสังกะสี ตักปลาทูต้มกะทิสายบัวที่ยังเหลืออยู่หนึ่งตัวใส่ชามโคมสังกะสีใบเล็กแล้วเดินกลับไปยังเรือนทาส 

 เมื่อหญิงสาวมาถึงเรือนทาส เกื้อก็ยังอยู่ที่เดิม เขานั่งอยู่ตรงโคนเสา เหยียดขาออกด้วยท่าทางสบาย สีหน้าผ่อนคลายจนดูเหมือนมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่

 หล่อนเดินเข้าไปหา ยื่นจานข้าวและชามกับข้าวที่พอจะหาได้ให้ 

 “ตอนนี้บ่ายจัดแล้ว ของกินเหลือน้อย แต่น่าจะพอให้คุณประทังความหิวไปได้ ต้องขอโทษด้วยที่เลี้ยงดูต้อนรับคุณได้ไม่ดีนัก” หล่อนรีบออกตัว เพราะอาหารที่หล่อนนำมาให้นั้นน้อยและไม่สมศักดิ์ศรีพอที่จะเลี้ยงแขก แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในตอนนี้

 ชายหนุ่มยิ้มละไม แววตาฉายชัดถึงความขอบคุณในน้ำใจ “แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว เธอมีน้ำใจงามมาก”

 คำชมตรงๆ นั้นทำให้หล่อนรู้สึกแปลกๆ ใบหน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง อาจจะเป็นเพราะไม่เคยมีชายใดชมหล่อนอย่างนี้มาก่อน จึงเก็บคำชมเอาไว้ในใจด้วยความปลาบปลื้มที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก

 “กินเสียเถอะค่ะ”

 ชายหนุ่มรับชามข้าวกับกับข้าวมา แล้วดวงตาของเขาก็เป็นประกายสุกใสเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ

 “นี่ต้มกะทิสายบัวใช่ไหม”

 “ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่า หรือคุณกินไม่ได้” หล่อนกล่าวอย่างกังวล เพราะตอนนี้ในครัวเหลือกับข้าวเพียงอย่างเดียว

 “ใครว่าล่ะ มันเป็นอาหารโปรดของฉันที่ไม่ได้กินมาหลายปีเหลือเกินแล้ว ขอบใจเธอมากสำหรับอาหารมื้อแรก”

 คำพูดของเขาทำให้บุษบงค่อนข้างแปลกใจ ปกติอาหารจานนี้เป็นเพียงอาหารพื้นๆ บ้านไหนก็ทำกัน หรือว่าที่บ้านเขาจะมีคนเกลียดอาหารชนิดนี้เช่นเดียวกับบ้านของหล่อนจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นกัน ครั้นจะถามก็เห็นเขากำลังเอร็ดอร่อย จึงตัดสินใจไม่กวนใจเขา

 “อร่อยมาก เธอทำเองหรือ” เขาหันมาถาม ดวงตาพราวเต็มไปด้วยความสุข

 “ใช่ ฉันทำเอง” หล่อนตอบรับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขไม่แพ้กัน “และถ้าอร่อยคุณต้องกินให้หมด ไม่อย่างนั้นจะเสียน้ำใจคนทำอย่างฉันมาก”

 “ไม่ต้องกลัวหรอกเรื่องนั้น ฉันจะไม่ให้เหลือแม้แต่ก้างเลยทีเดียว”

 คำตอบนั้นทำให้บุษบงยิ้มออกมาได้ นับว่าเป็นยิ้มแรกหลังจากที่แปลงผักถูกทำลายลงไป

 “ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณตามสบายเถอะ แต่เห็นทีฉันคงต้องไปก่อน หายมานานทางบ้านจะดุเอา ถ้วยชามวางไว้ตรงนี้ก็ได้ ส่วนเรื่องบ้านครูแหม่ม ฉันจะพาคุณไปเย็นนี้ ตอนนี้คุณควรจะพักก่อน” หล่อนแนะนำแล้วมองศีรษะซึ่งแผลไม่หนักหนาอะไรก็จริงแต่คงสร้างความเจ็บปวดให้ไม่น้อย

 “เรื่องบ้านนั้นเดี๋ยวฉันไปเองก็ได้ เพียงแต่เธอบอกทางมาเถอะ ฉันรบกวนเธอมากแล้ว”

 เมื่อเขากล่าวเช่นนั้นบุษบงก็ยอมบอกทาง หล่อนไม่คิดหรอกว่าการนำทางให้เขาเป็นเรื่องลำบาก แต่หล่อนเกรงว่าตอนเย็นอาจจะมีหลายสิ่งที่ต้องทำจะทำให้เขาต้องเสียเวลาคอย

 “คุณเดินลัดหลังดงไม้นี้ไปแล้วข้ามสะพาน บ้านอยู่ตรงตีนสะพาน เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวทาสีขาว มีรั้วรอบขอบชิดต่างจากบ้านหลังอื่น สังเกตไม่ยากหรอก” หล่อนพยายามอธิบายให้ละเอียดที่สุด เพราะเกรงว่าหากเขาหลงออกนอกเส้นทางแล้วจะลำบาก พอมืดค่ำชาวบ้านมักจะเข้านอนเร็ว ดับฟืนดับไฟจนมืดมิดไปหมด

 “ขอบใจเธออีกครั้ง”

 “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ถือว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาอะไร”

 เมื่อเสร็จภารกิจบุษบงก็คิดจะหันหลังกลับ ทว่าถูกเรียกเอาไว้ก่อนด้วยเสียงทุ้มกังวาน

 “เดี๋ยว เธอชื่ออะไร”

 “ฉันชื่อบุษ บุษบง” หล่อนตอบแล้วหันหลังเดินจากไปทันที ใจดวงน้อยอิ่มเอิบประหลาด แม้วันนี้การมาเหยียบย่างที่เรือนทาสจะไม่ได้พบแม่ แต่ก็ไม่ได้ไร้ความหมายเสียทีเดียว หล่อนมีความสุขกับการเป็นผู้ให้ แม้การให้ของหล่อนนั้นไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอันมหาศาล แต่มันเป็นสิ่งที่ผู้รับต้องการจึงทำให้หล่อนมีความสุข

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น