บทที่ ๙

 

 ออกจากบ้านไม่นานก็ผ่านย่านตลาดซึ่งเวลานี้ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าแล้วเพราะตลาดวายไปตั้งแต่ช่วงสายๆ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายจัด ชายหนุ่มหันไปเห็นคนกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีเด็กวัยแตกเนื้อหนุ่มดูสะดุดตากว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายหรือผิวพรรณที่สะอาดสะอ้านต่างจากคนอื่นที่ดูสกปรก และดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังมองมาเช่นกัน

 ตอนแรกเกื้อกูลก็ไม่แปลกใจนัก เพราะการไปไหนมาไหนกับโรเบิร์ตมักเป็นที่สะดุดตา เนื่องจากคนสยามยังไม่คุ้นเคยกับฝรั่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวจัด สีผมและสีตาไม่ใช่สีดำ แต่การมองของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ลักษณะการมองของแปลกทว่าเป็นการมองอย่างคุกคามมากกว่า เพื่อเป็นการตัดปัญหาชายหนุ่มจึงเบนหน้าไปทางอื่น เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อไปให้ไกลจากสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ แต่ดูเหมือนเกื้อกูลจะคิดช้าไป เด็กหนุ่มคนนั้นเดินตรงมาหาเขาด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวใคร 

“มองหาพระแสงอะไรของมึง” 

คำทักทายทั้งกร่างทั้งวางอำนาจ ไม่เหมาะสมกับการแต่งกายสักนิดเดียว แม้ว่าทั้งเกื้อกูลและโรเบิร์ตจะไม่พอใจแต่ก็เลือกที่จะนิ่ง แต่การนิ่งเฉยกลับไม่ได้ผล เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นยังคงอยากก่อสงคราม

 “กูถาม มึงทำไมไม่ตอบ”

 เสียงอันดังนั้นเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามองเขาเป็นตาเดียว เกื้อกูลจึงหลบเลี่ยงโดยการเดินหนีต่อ แต่เด็กหนุ่มกลับเดินตามมารั้งบ่าเอาไว้ด้วยแรงที่เรียกว่ากระชาก

 เกื้อกูลกับโรเบิร์ตหยุดเดิน หันมามองอีกฝ่ายเพื่อจะถามให้รู้ว่าต้องการอะไร ทว่ายังไม่ทันได้ถาม คำตอบก็ออกมาจากปากผู้ระรานเสียก่อน

 “ไม่อยากเจ็บตัวก็เอาเงินมา ไอ้เผือก มึงมีเงินใช่ไหม ถ้าไม่มีเอานาฬิกามึงมาก็ได้” เด็กหนุ่มหันไปกล่าวกับโรเบิร์ต และพยายามคว้านาฬิกาที่แขวนคอเขาอยู่ ทว่าโรเบิร์ตหลบทันเสียก่อนจึงได้แค่อากาศ

 “มึงหวงเหรอ”

 เกื้อกูลเห็นท่าไม่ดีจึงเดินเข้ามาขวางหน้า มองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ คงเห็นว่าโรเบิร์ตเป็นชาวต่างชาติจึงคิดจะข่มเหงรังแกเพราะตนมีพวกพ้องมากกว่า

 “ของใครก็หวงทั้งนั้น แล้วคิดจะมาปล้นกันกลางวันแสกๆ อย่างนี้ไม่กลัวจะถูกจับเข้าตะรางบ้างรึ”

 “ฮ่าๆๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะราวกับคำกล่าวของเขาเป็นเรื่องสนุก “ตำรวจหน้าไหนจะกล้ามาจับกู แค่ได้ยินชื่อกู มันก็วิ่งเตลิดกันไปหมดแล้ว”

 เกื้อกูลมองท่าทางอวดเบ่งนั้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และชักอยากรู้ว่าเทือกเถาเหล่ากอของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร ทำไมพ่อแม่ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้ลูกมาเป็นอันธพาลข้างถนนเช่นนี้       แต่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม เด็กหนุ่มก็อวดอ้างตำแหน่งของพ่อตนเองออกมาให้รู้อย่างเสร็จสรรพ

 “กูลูกพระยาธรรมานุรักษ์ คราวนี้มึงรู้แล้วก็เอาเงินมาให้กูเดี๋ยวนี้”

 คำว่าลูกพระยาธรรมานุรักษ์ทำให้เกื้อกูลต้องมองหน้าคนพูดอีกครั้งด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะบังเอิญเช่นนี้ เด็กหนุ่มคนนี้รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณสะอาดหมดจด เพียงแต่ท่าทางไม่ได้ดูดีเหมือนเสื้อผ้าเลยแม้แต่นิดเดียว 

 “เอาเงินมา” อีกฝ่ายย้ำด้วยเสียงอันดังเมื่อเห็นเขาทำเฉย

 เกื้อกูลและโรเบิร์ตยังคงยืนเฉย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ยินยอมถูกปล้น สันติจึงเข้ามาผลักอกเพื่อให้เขาเซ จากนั้นก็ออกหมัดหมายเอาให้โดนใบหน้า แต่เกื้อกูลซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วปัดป้อง และเตะสวนเพื่อป้องกันตัวจนผู้จู่โจมถึงกับล้มลง

 สันติลุกขึ้นมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองผู้ตอบโต้ด้วยแววตาอาฆาต

 “มึงกล้าแตะกูเหรอ ไอ้ไพร่” เด็กหนุ่มตะเบ็งลั่นด้วยความโกรธจัด ทว่าไม่ได้ทำให้เกื้อกูลหวั่นไหวหรือหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว สิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือหากต้องเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับสันติ เขาคงรังเกียจอย่างเหลือเกิน

 สันติวิ่งเข้ามาอีกครั้ง เกื้อกูลก็เตรียมที่จะรับมือแม้เขาจะเป็นนักการทูต แต่ไม่เคยห่างจากการออกกำลังกายกลางแจ้ง กีฬาที่โปรดปรานก็เป็นพวกขี่ม้าหรือรักบี้ฟุตบอลซึ่งต้องใช้พละกำลังค่อนข้างมากในการทำกิจกรรม เกื้อกูลหลบอย่างว่องไว จากนั้นก็สวนหมัดเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่าย ส่งผลให้ฝ่ายนั้นถึงกับชะงัก เลือดสดๆ ไหลออกทางจมูก สิ่งนั้นสามารถหยุดได้ครู่หนึ่ง คงเป็นเพราะความมึนงงจากน้ำหนักหมัดที่ไม่น้อย

 เมื่อสันติรู้ตัวก็โวยวายลั่น “มึงต่อยกู” เขาเอามือเช็ดที่จมูก เมื่อเห็นว่าเป็นเลือดใบหน้าแดงก่ำก็เผือดลง จากนั้นก็แดงขึ้นอีกครั้ง “มึงตาย”

 สันติพุ่งตัวเข้ามาหวังเอาศีรษะชนอีกฝ่าย ทว่าเกื้อกูลหลบทัน เป็นผลให้สันติคะมำไปด้านหน้าและหล่นลงไปในคูน้ำครำ ที่เป็นคูระบายน้ำจากการล้างพื้นล้างแผงในตลาด เมื่อโผล่ขึ้นมาอีกครั้งเนื้อตัวของสันติก็สกปรกโคลนตมและสิ่งปฏิกูลที่สะสมอยู่เป็นเวลานาน เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคูระบายน้ำทั้งลึกทั้งลื่น เป็นภาพที่น่าขบขันชวนหัวเราะ

 แต่เกื้อกูลกลับหัวเราะไม่ออก เขาถือโอกาสเดินหนี ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป

 “ไอ้ห่า กลับมานะโว้ย กลับมา ไอ้ลูกหมา อย่าให้กูเห็นหน้าอีกนะมึง ไอ้...”

 คำด่าทอที่ตามหลังมาล้วนแต่เป็นคำที่ไม่ควรจะออกจากปากของผู้ที่เป็นถึงลูกพระยา เพราะมันต่ำช้าเสียยิ่งกว่าคำสบถของโสเภณีในซ่อง

 “คุณเป็นอะไรบ้างไหม” โรเบิร์ตด้วยความเป็นห่วงเมื่อพ้นจากที่เกิดเหตุแล้ว

 “ไม่หรอก ไม่เป็นไร หลบทันทุกหมัด”

 “โชคดีที่ไม่เป็นไร เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าผ่านมาแถวนี้ให้ระวัง ไม่คิดว่าจะเกิดกับตัวเอง สงสัยคงเสียจนหมดตัวเลยต้องหาทุน”

 “เสียอะไร”

 “ก็เสียการพนันน่ะซิ ตรงนั้นมันเป็นบ่อน”

 เกื้อกูลได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจเมื่อได้ฟังคำอธิบายจากปากเพื่อน หากเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะทำใจให้ร่วมวงศาคณาญาติกับคนเช่นนี้ได้อย่างไร และดูเหมือนโรเบิร์ตก็มีความเห็นใจจึงตบไหล่ของเขาเบาๆ คล้ายปลอบ และนั่นทำให้เขาต้องถอนหายใจอีกครั้ง บางทีการหนีออกจากบ้านครั้งนี้อาจจะยาวนานกว่าที่คิดเอาไว้

 คุณสร้อยชะเง้อมองไปทางบันไดเรือนทันทีเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกของบุตรชาย และเมื่อร่างสูงล่ำสันโผล่พ้นขึ้นมา เธอก็ถึงกับตกใจ เพราะเนื้อตัวของลูกรักเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน ใบหน้าฟกช้ำ หนำซ้ำยังเดินขาเป๋

 “ตายแล้ว พ่อสันของแม่ ไปทำอะไรมา”

 คุณสร้อยกรีดเสียงแหลม ถลาเข้าไปคลำเนื้อตัวบุตรชายด้วยความห่วงใย ทว่าได้รับการสะบัดเพราะเจ้าตัวอารมณ์ไม่ดี

 “ไม่มีอะไรหรอกคุณแม่”

 “ไม่มีอะไรได้อย่างไร แล้วทำไมเนื้อตัวถึงได้เปรอะเปื้อนอย่างนี้... ว่าไงเจ้าแก่น ลูกข้าไปโดนอะไรมา” เมื่อถามลูกชายไม่ได้ความก็หันไปตะบึงตะบอนใส่บ่าวคนสนิทของลูกแทน

 “เอ่อ...มีคนมาหาเรื่องคุณสันขอรับ แล้วมันก็ผลักคุณสันตกลงไปในคูขอรับ” แก่นบ่าวคนสนิทของสันติแต่งเรื่องอย่างรู้งาน แต่เมื่อกล่าวถึงตอนท้ายมีเสียงขลุกขลักในลำคอคล้ายกับกำลังกลั้นหัวเราะ

 “ต๊าย! ใครกันที่มันกล้าทำลูกแม่ ดูซิปากแตก จมูกแตก บอกแม่มาซิ แม่จะจัดการให้”

 “ก็พวกไพร่สถุลไร้สกุล คอยดูเถอะ ถ้าเจออีกจะไม่เอามันไว้แน่” สันติอาฆาต แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “คุณแม่อย่าเพิ่งซักอะไรตอนนี้เลยครับ กระผมเจ็บแผล”

 “ถ้าอย่างนั้นก็นั่งพักก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะให้บ่าวฝนไพลมาประคบให้ ดูซิ หน้าตาแตกไปหมด เจ็บมากใช่ไหม” น้ำตาของคุณสร้อยเจียนจะหยดเพราะสงสารลูก เลี้ยงดูมาอย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม พอลูกถูกทำร้ายก็เป็นเดือดเป็นแค้นอย่างที่สุด “ไอ้แก่น เอ็งไปสืบมา ใครทำลูกข้า ข้าจะไปจัดการมัน”

 “ขอรับ” แก่นรับคำแล้วผลุบลงเรือนไป

 คุณสร้อยหันมาเชยคางลูก สำรวจบาดแผลบนใบหน้าบึ้งสนิทอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้หนักมากมายนัก กระนั้นก็ยังร้อนใจอยู่ดี

 “เอ๊ะ ลูกสัน สร้อยพระของลูกไปไหนเสีย ทำไมไม่ห้อยติดคอ” คุณสร้อยร้องลั่นเมื่อสังเกตเห็นว่าสร้อยที่ตนเองให้ลูกไปนั้นหายไป

 สันติหลบตา ก้มหน้าลงก่อนที่จะเงยขึ้นแล้วตอบอย่างฉะฉาน 

 “สร้อยพระที่คุณแม่ให้มันตกลงไปในคู หาเท่าไรก็หาไม่พบ กระผมหาแล้วหาอีก สงสัยจะสูญเสียแล้วละครับ” สันติพยายามทำน้ำเสียงและท่าทางเสียดาย ซึ่งแท้จริงแล้วสร้อยเส้นนั้นไม่ได้ตกลงไปในคูแต่เสียไปกับการเดิมพัน

 “ตายจริง น่าเสียดายเหลือเกิน พระองค์นั้นเป็นของดีของคุณตาเสียด้วย ราคาค่างวดหลายเงินเลยทีเดียว”

 “กระผมเสียใจครับ เพราะความไม่ระวังตัวของกระผมแท้ๆ”

 “เพราะมันต่างหาก” คุณสร้อยออกรับแทนลูกอีกเช่นเคย หล่อนไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของลูกชาย “เอาเถอะ ยังไงเป็นลูกผู้ชายก็ต้องสวมพระเอาไว้ติดตัว ไปเลือกเอาในกำปั่น อยากได้องค์ไหนก็เอาไปสวมไว้ จะได้เป็นสิริมงคลกับตัว”

 “ขอบพระคุณครับ” สันติยิ้มแย้ม ทำท่าจะโผเข้ากอดมารดา แต่คุณสร้อยร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน

 “แม่กำลังจะไปงาน เดี๋ยวกลับมาค่อยกอด ตอนนี้ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน” คุณสร้อยกล่าวกับลูกเหมือนกล่าวกับเด็กเล็กๆ แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักมากล้น

 “ก็ได้ครับ” สันติรับคำอย่างง่ายดาย แต่แทนที่จะเดินไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนตามคำสั่งของมารดา เด็กหนุ่มกลับเดินเข้าไปในห้องของคุณสร้อย เพื่อหาสร้อยเส้นใหม่มาแทนของเดิม

 คุณสร้อยได้แต่ส่ายหน้าระอา แต่ไม่คิดจะห้ามปราม ในเมื่อวันหนึ่งสมบัติทั้งหมดก็ต้องเป็นของสันติอยู่ดี

 บุษบงกลับบ้านก่อนค่ำพร้อมกับซุปครีมเห็ดและขนมปังที่ได้แบ่งมาจากครูแหม่ม ซึ่งจะกล่าวว่าเป็นอาหารฝรั่งทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะซุปครีมเห็ดนั้นไม่ได้ใช้เห็ดแชมปิญองเนื่องจากหาไม่ได้ จึงประยุกต์มาใช้เห็ดฟางแทน ส่วนรสชาตินั้นหล่อนก็เติมเกลือและพริกไทยเพิ่มไปอีกนิด ไม่ให้มันจืดจนเลี่ยนซึ่งน่าจะทำให้คุณหญิงแขกินง่ายขึ้น เนื่องจากเป็นอาหารอ่อนและรสชาติเปลี่ยนไปจากอาหารที่กินซ้ำซากจำเจอยู่ทุกวัน

 เมื่อไปถึงหน้าเรือน บุษบงมองเรือนหลังเล็กที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาด้วยความใจหาย หลายปีมานี้ที่นี่ไม่ได้รับการบูรณะแม้จะเก่าจนสีขาวบนฝาผนังลอกออกเป็นรอยกระดำกระด่างก็ไม่มีใครมาสนใจไยดี เงินทองทั้งหมดไปจมอยู่กับสันติและแสงจันทร์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย โดยเฉพาะสันติด้วยแล้ว นอกจากจะไม่เรียนยังเกเรและติดการพนัน

 คุณหญิงแขเตรียมจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้แล้ว หล่อนเองก็ใจหายไม่น้อย เคยอยู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน ท่านจะได้ไปไกลจากเรื่องรกหูรำคาญใจ ไปอยู่อย่างสงบ และหล่อนก็สัญญากับตัวเองว่าจะดูแลท่านอย่างดีจนกว่าท่านจะจากหล่อนไป

 บุษบงก้าวขึ้นเรือน จัดเตรียมอาหารที่นำมาจากบ้านครูแหม่มใส่จานแล้วเดินไปยังห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่กินอาหารเย็น แต่หล่อนไม่พบใครในนั้นจึงเดินไปยังห้องนอน เมื่อไปถึงหล่อนก็พบว่าป้าจำปามีสีหน้าร้อนรนผิดปกติ อีกทั้งไม่เห็นคุณหญิงแขนั่งอยู่ที่ตั่งเหมือนเช่นทุกวัน แต่ไปนอนอยู่บนเตียง ซึ่งปกติท่านไม่เคยเข้านอนเร็วเช่นนี้เพราะท่านถืออย่างเหลือเกินกับการเข้านอนเวลาโพล้เพล้เช่นนี้

 “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะป้า”

 “คุณหญิงแขไม่สบาย ตัวร้อนมาก”

 เมื่อได้ยินเช่นนั้นบุษบงจึงตรงเข้าไปที่เตียง จากนั้นก็เอามือจับที่ท่อนแขนของผู้สูงวัย ซึ่งก็พบว่าตัวท่านร้อนผ่าว

 “เดี๋ยวบุษจะไปเรียนเจ้าคุณกับคุณสร้อย”

 “ป้าไปมาแล้วไม่มีใครอยู่ ไปงานเลี้ยงกันหมด จะบอกคุณสันกับคุณแสง นังกลอยก็กันท่าไม่ให้ขึ้นไปบอก” จำปากล่าวด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม พอคุณหญิงแขเริ่มมีไข้ก็ละลายยาให้กิน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทุเลาหนำซ้ำจะหนักขึ้น จึงบากหน้าไปยังเรือนใหญ่และได้พบกับกลอยบ่าวจอมสอพลอ ทางฟากนั้นจึงบอกว่าทั้งพระยาธรรมานุรักษ์และคุณสร้อยไม่อยู่ และขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมาจนเกือบจะมีเรื่องกัน

 “แล้วเราจะทำอย่างไรดี ปล่อยไว้อย่างนี้คงไม่ดีแน่ หรือจะไปตามซินแส”

 “ซินแสที่ไหน จะเอาอะไรไป มืดค่ำป่านนี้ จะเอาเรือไปกระนั้นหรือ ไปคนเดียวจะพาล่มเสียเปล่าๆ” จำปาค้าน เพราะทั้งรถม้าและเรือถูกนำออกไปใช้หมด ส่วนเรือลำเล็กก็เล็กเกินไปที่จะพายออกแม่น้ำ เหมาะจะใช้ในคลองเท่านั้นเพราะกลางคืนมีพวกเรือสินค้ามาเทียบก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ซึ่งอาจจะทำให้เรือเล็กล่มลงได้ “ลองรอเจ้าคุณกับคุณสร้อยก่อน คงอีกไม่นานหรอก”

 แม้ในใจจะไม่อยากรอแต่บุษบงก็ยังมองไม่เห็นวิธีไหน หล่อนเข้าไปใกล้คุณหญิงแขมากขึ้น ห่มผ้าให้ท่านจนถึงคอเมื่อได้ยินเสียงครางต่ำๆ จากปากท่าน

 ทุกนาทีที่ผ่านไปใจของบุษบงร้อนรนอย่างเหลือเกิน จนกระทั่งได้ยินเสียงรถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาในบ้านทำให้รู้ว่าบัดนี้พระยาธรรมานุรักษ์และคุณสร้อยกลับมาแล้ว หล่อนจึงลุกจากข้างเตียงแล้วลงจากเรือนเล็กไปยังเรือนใหญ่ เรียนอาการป่วยของคุณหญิงแขให้พระยาธรรมานุรักษ์ทราบ จะได้นำคนออกไปรับซินแสมาดูอาการของคุณหญิงแขก่อนที่อาการจะหนักไปกว่านี้

 แต่เมื่อไปถึงหน้าเรือนหล่อนก็พบว่าพระยาธรรมานุรักษ์ขึ้นเรือนไปเสียแล้ว เหลือเพียงแต่กลอยที่ยืนวางท่าขวางทางเอาไว้

 “มาทำไม” กลอยถามเสียงกระด้าง “จำไม่ได้หรือว่าคุณสร้อยไม่ให้เอ็งมาเหยียบที่เรือนนี้”

 ในเวลานี้บุษบงใจร้อนเกินกว่าที่จะต่อล้อต่อเถียง จึงบอกวัตถุประสงค์ของการขัดคำสั่งทั้งที่ไม่จำเป็นเลย กลอยเองก็เป็นเพียงบ่าว มีฐานะเช่นเดียวกับหล่อน

 “ฉันจะมาบอกเจ้าคุณว่าคุณหญิงแขไม่สบาย” บุษบงตอบไปตามตรงพร้อมกับก้าวขึ้นบันไดเรือน แต่กลอยเข้ามาขวางเอาไว้เสียก่อน

 “เจ้าคุณรู้แล้ว แต่ท่านบอกว่าวันนี้ท่านเหนื่อย จะพาไปหาหมอพรุ่งนี้”

 “ไม่ได้นะ ตอนนี้คุณท่านอาการหนักมาก ควรจะไปเดี๋ยวนี้”

 “ก็เจ้าคุณสั่งไว้อย่างนี้” กลอยยังคงยืนยันเช่นเดิม และไม่ยอมหลีกทางให้จนแล้วจนรอด

 บุษบงมองหน้าบ่าวคู่ใจของคุณสร้อยอย่างเอาเรื่อง หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าพระยาธรรมานุรักษ์รู้แล้ว กลอยต่างหากที่ตั้งหน้าตั้งตากีดกัน จึงผลักกลอยออกแล้วจะบุกขึ้นไปบอกท่านให้ได้

 ยังไม่ทันที่หล่อนจะก้าวได้ครึ่งทาง กลอยก็ตามมารั้งหล่อนเอาไว้เสียก่อน จากนั้นก็ออกแรงดึง ด้วยความไม่ระวังบุษบงจึงร่วงลงไปกองอยู่ที่หัวบันไดเรือน

 หญิงสาวรู้สึกปวดแปลบแต่ก็ไม่ได้ทำให้หล่อนยอมแพ้ ไม่ว่าอย่างไรหล่อนจะต้องไปบอกเรื่องนี้แก่พระยาธรรมานุรักษ์แล้วให้ท่านนำหมอมารักษาคุณหญิงแขให้ได้ หล่อนพยายามลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่กลอยจะกระโจนเข้ามา แม้อีกฝ่ายจะน้ำหนักมากกว่าแต่ความชราก็เป็นอุปสรรคจึงไม่สามารถทำร้ายบุษบงได้อย่างใจนัก

 บุษบงก้มตัวหลบจากนั้นก็ใช้ความว่องไววิ่งขึ้นบันไดเรือน หล่อนออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าจนเกือบจะก้าวขึ้นชานได้อยู่แล้ว แต่มีใครคนหนึ่งมาขวางเอาไว้เสียก่อน และดูเหมือนว่าจะเห็นเหตุการณ์วิวาทระหว่างหล่อนกับกลอยมาตั้งแต่ต้น

 “ใครให้เอ็งมาเหยียบที่เรือนนี้” คุณสร้อยถามเสียงธรรมดา แต่ท่าทางไม่ได้แสดงถึงความเป็นมิตรเลยแม้แต่นิดเดียว

 บุษบงรู้ตัวว่ากำลังขัดคำสั่ง เพราะคุณสร้อยเคยห้ามหล่อนมาเหยียบเรือนใหญ่โดยเด็ดขาด ซึ่งหล่อนเองก็ไม่รู้ถึงเหตุผลแต่ก็ยินยอมปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา ยกเว้นในครั้งนี้ที่มีความจำเป็น

 “คุณท่านป่วยหนักเจ้าค่ะ บ่าวจะขอให้เจ้าคุณเอารถไปรับหมอมาตรวจอาการของคุณท่าน คุณสร้อยโปรดเรียนท่านให้หน่อยเถอะนะเจ้าคะ”

 “กำเริบใหญ่แล้วเอ็ง บังอาจมาออกคำสั่งกับเจ้าคุณเชียวรึ”

 “เปล่านะเจ้าคะ บ่าวมิได้คิดเช่นนั้น” บุษบงรีบปฏิเสธด้วยความร้อนใจ “แต่เวลานี้คุณหญิงแขตัวร้อนจัด บ่าวเป็นห่วง เกรงว่าอาการจะทรุดไปกลางดึก”

 แม้จะบอกไปเช่นนั้นแล้วบุษบงก็ยังไม่เห็นท่าทีร้อนใจของคุณสร้อย และท่ามกลางแสงจากตะเกียงเจ้าพายุดวงใหญ่หล่อนเห็นรอยยิ้มในดวงตาของคุณสร้อยอีกด้วย จึงเริ่มรู้ว่าแม้จะอ้อนวอนอย่างไรก็คงไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

 “จะหนักหนาอะไรนักเชียว คนแก่ก็เป็นอย่างนี้ เจ็บออดๆ แอดๆ เอาไว้พรุ่งนี้ วันนี้เกรงใจหมอ เจ้าคุณเองก็เหนื่อยมาก ท่านอยากพักผ่อน” คุณสร้อยตัดบทอย่างไม่แยแส

 เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นบุษบงก็รู้ว่าต่อให้ขอร้องสักเท่าไร คุณสร้อยคงไม่ยอมช่วยเหลือ อีกทั้งยังเสียเวลาอย่างไร้ค่า สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับเรือนเล็กด้วยความคับแค้นใจอย่างที่สุดและหาทางช่วยคุณหญิงแขต่อไป ไม่ว่าอย่างไรในคืนนี้หล่อนจะต้องพาหมอมารักษาคุณหญิงแขให้ได้

 ครั้นเมื่อบุษบงเดินลับความมืดไป กลอยก็เดินขึ้นมาบนเรือน นั่งยิ้มแทบเท้าผู้เป็นนาย

 “เห็นหน้ามันไหมเจ้าคะ ตาแดงเชียวเหมือนจะร้องไห้ สมน้ำหน้ามัน สงสัยจะตายคราวนี้”

 “ถ้านังแก่นั่นตายจริงนะนังกลอย ข้าจะจัดงานศพที่ใหญ่ที่สุดฉลองพระคุณมันเลย” กล่าวจบคุณสร้อยก็ยิ้มกระหยิ่ม ทุกวันนี้การมีคุณหญิงแขอยู่ร่วมเรือนก็มิต่างจากมีพงหนามอยู่ในบ้าน แม้จะอยู่เฉยๆ แต่ก็รกหูรกตา หนำซ้ำเมื่อไรที่เอาเท้าไปใกล้ มันก็ทิ่มตำให้เจ็บปวด ทางเดียวที่จะทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นหมดไปก็คือการที่มันถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก ซึ่งหล่อนหวังว่าการกระทำครั้งนี้จะเป็นการถอนรากถอนโคนให้สิ้นไป

 บุษบงแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แต่หล่อนรู้ว่าในเวลานี้ควรจะเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ป้าจำปาใจเสียมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงพยายามกลั้นน้ำตาไว้ในอก แล้วรีบเดินกลับเรือนเล็กเพื่อไปดูอาการของคุณหญิงแขอีกครั้ง

 “ว่าอย่างไรแม่บุษ” จำปาถามขึ้นทันทีที่เห็นหน้า 

 “คุณสร้อยไม่ให้บุษพบเจ้าคุณจ้ะป้า และไม่ให้ใครไปตามหมอด้วย” บุษบงกล่าวออกมาด้วยความคับแค้นใจ สงสารคุณหญิงแขที่ในยามป่วยไข้เช่นนี้คนใจร้ายยังกลั่นแกล้งได้ลงคอ

 “ชั่วช้านัก ทำไมนะ ไม่นึกถึงบุญคุณที่คุณหญิงคอยชุบเลี้ยง หากท่านไม่เมตตาจะมีวันนี้ได้อย่างไร นังอสรพิษ” จำปากล่าวด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด คุณสร้อยก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่คุณหญิงแขชุบเลี้ยง เมื่อทำเช่นนี้ก็เป็นการอกตัญญูอย่างแท้จริง

 “คุณท่านเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ”

 “ไข้ยังไม่ลด แถมตอนนี้ยังเพ้อด้วย เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะแม่บุษ” น้ำเสียงของจำปาร้อนรน เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่าจะมีใครพึ่งพาได้ จึงยกมือไหว้ท่วมหัว บนบานศาลกล่าวอย่างคนไร้หนทาง 

 สายตาของบุษบงไปสะดุดที่เรือนทาส ในยามที่ทุกข์ใจอย่างนี้ก็อดคิดถึงแม่ไม่ได้ จึงภาวนาทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 ‘แม่จ๋า ช่วยคุณหญิงด้วยนะจ๊ะ’

 ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน ในนาทีที่สิ้นสุดคำภาวนานั้นแสงบางอย่างก็ปรากฏขึ้น ทำให้หัวใจของหล่อนลิงโลดขึ้นมาทันทีทุกอย่างยังไม่ไร้ซึ่งทางออกเสียทีเดียว

 “ป้า บุษนึกออกแล้วว่าใครจะช่วยเราได้” บุษบงกล่าวออกมาด้วยความหวัง หล่อนมองแสงไฟนั้นด้วยความยินดี

 “ใครกันหรือแม่บุษ”

 “คุณโรเบิร์ตกับครูแหม่มอย่างไรล่ะคะ เราลืมสองคนนี้ไปได้อย่างไร”

 แม้จำปาจะไม่รู้ว่าชาวต่างชาติทั้งสองจะช่วยเหลืออะไรได้เพราะไม่ใช่หมอ แต่ก็คงจะดีกว่าการคิดหาวิธีจัดการกันอยู่เพียงสองคน 

 “ถ้าอย่างนั้นก็ไปตามมาเถอะแม่บุษ ป้าจะรอที่นี่”

 บุษบงวิ่งลงเรือนลัดผ่านดงไม้โดยเลือกวิ่งผ่านไปทางเรือนทาส เพราะทางนั้นใกล้กว่า อีกทั้งยังมืดช่วยอำพรางตัวได้ดี แม้คุณสร้อยจะขึ้นเรือนไปแล้วแต่หล่อนก็ไม่อยากประมาท ถ้าถูกจับได้ว่าออกจากบ้านกลางดึกเช่นนี้คุณสร้อยอาจจะหาเรื่องให้หล่อนเสียเวลาอีกแทนที่จะได้ไปขอความช่วยเหลือจากชาวต่างชาติทั้งสอง

 ไม่นานนักบุษบงก็ไปถึงบ้านของสองสามีภรรยา ทั้งหมดก็อยู่กันพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหารและกำลังกินอาหารเย็นกันอยู่หล่อนไม่รีรอที่จะโผล่หน้าเข้าไป แม้รู้ว่าเสียมารยาทแต่ก็ไม่อาจรอได้อีกแล้ว

แคทลีนเป็นคนแรกที่เห็นหล่อนและกล่าวทักขึ้น “บุษ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาตอนนี้”

 บุษบงหยุดหอบหายใจ ก่อนที่จะตอบด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นพยายามอย่างที่สุดแล้วเพื่อให้อีกฝ่ายฟังรู้เรื่อง “คุณท่านป่วยค่ะ ตัวร้อนมาก ไม่ได้สติแล้วก็เริ่มเพ้อ แต่...แต่ว่าคุณสร้อยไม่ยอมให้ไปหาหมอ ครูแหม่มกับคุณโรเบิร์ตช่วยหน่อยได้ไหมคะ ช่วยพาคุณท่านไปหาหมอที ได้โปรดเถอะนะคะ” 

ประโยคหลังหล่อนกล่าวขอร้อง เพราะไม่เห็นที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว

 แคทลีนลุกขึ้นรับปากทันทีอย่างไม่อิดออด “ได้สิ ไม่มีปัญหา”

 ไม่ใช่แค่แคทลีนที่ลุกจากโต๊ะ โรเบิร์ตและเกื้อกูลก็ไม่อาจนิ่งเฉย ทั้งหมดเดินตามบุษบงกลับไปที่เรือนเล็กของคุณหญิงแขด้วยความเป็นห่วง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น