7

บทที่ 7

   

ดนีย์นาถตื่นเช้ากว่าปกติโดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุก เธอรู้สึกตั้งแต่ลืมตาว่าใจเต้นผิดจังหวะ มันยิ่งผิดไปจนไม่เป็นส่ำในวินาทีนี้

หญิงสาวเกลียดเงาของคนในกระจกตรงหน้า ผู้หญิงผิวสีส้มฉ่ำ สวมแว่นตากันแดดอันโต ไล้ดั้งจนตั้งเป็นสัน ริมฝีปากก็เขียนล้ำจนแดงใหญ่ ผมยาวตรงถูกรวบไว้ข้างใต้วิกหยิกเป็นคลื่น สวมทับด้วยหมวกปีกกว้าง กับเสื้อกระโปรงย้วยใหญ่ละม้ายปลอกหมอนยักษ์ตัดเป็นวงสำหรับสวมคอ นี่ถ้าไม่เพราะไซซ์เท้าของเธอกับคุณเงินยวงห่างกันไกล คงโดนยัดเยียดให้สวมส้นเข็มสูงปรี๊ดที่เธอไม่มีวันใส่ด้วยแน่ๆ

แต่นั่นแหละ ยิ่งเกลียดก็ยิ่งดี นี่เป็นทางรอดเดียว!

‘...ยิ่งดาราดังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีคนคลั่งไคล้มากขึ้นเท่านั้น…นั่นก็หมายความว่าคุณโดเองก็อาจจะมีคนคลั่งไคล้เกินพิกัดแบบนี้โผล่เข้ามาหาเหมือนกันน่ะซีคะ แล้วเหตุการณ์นั้นก็จะเอื้อให้แม่บ้านของรีสอร์ตสามารถเข้ามาประชิดตัวคุณโดเพื่อช่วยกันเขาไว้ได้!’

‘งั้นเราก็ต้องหาคนมาอุปโลกน์’

‘ดิฉันพอจะมีวิธีค่ะ’

ดนีย์นาถเสนอตัวเป็นคนแสดงบทนั้น นอกจากมันจะทำให้คุณเงินยวงบรรลุจุดมุ่งหมาย ตัวเธอเองก็จะได้ซ่อนใบหน้าที่แท้จริงจากอดีตแฟนหนุ่ม!

“เธอสวยไม่เท่าฉัน” เจ้าของชุดตบมือปัดรอยผ้าย่นบนบ่าดนีย์นาถให้เรียบลง “แต่ก็พร้อมจะเป็นแขกบ้าดาราคนนั้นแล้ว” มือข้างนั้นถอนมาถูอีกมือที่ยังถือพู่กันแต่งหน้า

“มะ…มีอีกนิดค่ะ” 

เมื่อเธอยกมือ คุณบัตเลอร์ปภังกรก็พร้อมจะส่งตาเขียวมาจากมุมข้างๆ 

คุณเงินยวงเลิกคิ้ว ยิ้ม “ว่าไง”

“คุณโดอยู่ในวงการบันเทิง น่าจะคุ้นเคยกับการแต่งหน้า บางทีถ้าเธอได้เจอดิฉันหลังจากลบหน้าแล้ว ก็อาจจะยังจับเค้าได้”

“ก็จริง” ดวงตาแขกลอย คิด “โดเป็นคนฉลาด”

“มันจะดีกว่าถ้าดิฉันจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับคุณโดตรงๆ ตลอดเวลาที่เธอยังอยู่ที่นี่นะคะ”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกที่รัก” คุณเงินยวงโบกมือหัวเราะ ตอนนี้มือของเจ้าตัวไม่เหลือแหวนแล้วสักวง เพื่อให้เข้ากับรูปโฉมแม่บ้านคนใหม่มากที่สุด “คุณพังจะช่วยกันเธอไว้เอง ส่วนโดก็จะสนใจแต่ฉันเท่านั้นละ”

คุณปภังกรไม่ทันรับคำ โทรศัพท์ของเขาคงสั่นขึ้นพอดี จึงรีบรับสายที่รอคอย 

คุยไม่กี่คำ คุณบัตเลอร์ก็วางสายแล้วบอกแขกวีวีไอพี “ทางเรือเร็วแจ้งมาว่า อีกยี่สิบนาทีจะถึงหาดหน้ารีสอร์ตนี่แล้วครับ”

“Show time!...” 

คนร้องร่าเริงก้าวนำไปยังประตูห้องก่อน คุณเงินยวงในชุดแม่บ้านดูแนบเนียนไม่ผิดเพี้ยน ถ้าเพียงแต่เจ้าตัวจะยังไม่เคลื่อนไหวด้วยจังหวะร่างกายแบบตัวละครมิวสิคัลบรอดเวย์ ซึ่งดนีย์นาถกับคุณบัตเลอร์ไม่มีทางกะการได้ 

หญิงสาวเข็นกระเป๋าใบเปล่าที่คุณเงินยวงอุทิศให้ออกมาใบหนึ่ง อาศัยประตูด้านหลังบังกะโลอันเป็นประตูสำหรับพนักงานเดินออกมา 

ทางเดินส่วนนี้กว้างแค่พอรถเข็นผ่านได้ ลัดเลาะผ่านร่มไม้ออกมาสู่บริเวณสระว่ายน้ำหน้ารีสอร์ต คุณปภังกรให้คุณเงินยวงรออยู่แถวหลังพุ่มไม้เพื่อป้องกันคนอื่นเห็น (ทั้งที่แค่หน้าอกคุณเงินยวงก็ใหญ่กว่าพุ่มไม้แล้ว) ส่วนเขาและเธอออกมายืนรออยู่ใกล้บันไดอันทอดลงไปสู่หาดทรายเบื้องล่าง 

คนเดินผ่านไปมาล้วนเข้าใจว่าคุณบัตเลอร์มาส่งแขก ไม่มีใครสนใจหรือเอะใจในความผิดปกติสักคน ไม่มีใครได้ยินเสียงหัวใจของดนีย์นาถที่กำลังจะถลันออกนอกอกอยู่รอมร่อ

ชั่วครู่ เรือเร็วลำเป้าหมายก็แล่นตัดคลื่นเข้ามาสู่หน้าหาด ดนีย์นาถยังไม่เห็นเขา แต่แค่นี้ก็หวาดหวั่นขึ้นในใจ ไม่รู้เป็นเพราะเดิมเธอก็พยายามหลบโดมาตลอดอยู่แล้วรึเปล่า 

ในที่สุด พนักงานในเรือก็นำ ‘อดีต’ ของเธอขึ้นมา เวลาเหมือนถ่วงช้า แล้วจังหวะคลื่นก็ดุจจะกลายเป็นทำนองเพลงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ท่าก้าวและการวางตัวของเขานอกจอและในจอก็เหมือนกัน ดูดีโดยธรรมชาติ! นั่นทำให้ภาพตรงหน้าราวกับซีนหนึ่งในมิวสิกวิดีโอก็ไม่ปาน

โดสวมเสื้อฮาวายสีขาวสลับเทาลายทิวมะพร้าว กับกางเกงขาสั้นลูกฟูกสีครีม ช่วงขาชะลูดยาวเหมือนพระเอกในการ์ตูนตาหวาน ตาหวานของเขาซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดเรย์แบน ผมค่อนข้างยาวไม่ได้เซตจึงปลิวไปตามสายลมระหว่างที่โผนลงจากเรือ แล้วย่ำทรายตรงมายังบันไดรีสอร์ตอย่างทะมัดทะแมง 

ต่อให้เป็นชาวต่างชาติที่ไม่รู้ว่าโดเป็นใคร ก็ต้องรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าคุณเงินยวงมีออร่าของแม่บ้านรีสอร์ต โดก็มีออร่าของคนที่อยู่ในสปอตไลต์มาครึ่งชีวิต

ผู้จัดการแผนกต้อนรับก้าวออกไปต้อนรับแขกสำคัญคนล่าสุด คุณบัตเลอร์ใช้ศอกสะกิดแขนเธอนิดหน่อย ครั้นดนีย์นาถเบี่ยงหน้าไปมอง เจ้าตัวก็ส่งสายตากำชับกำชาคืนมา ก่อนจะก้าวออกไปหาโดด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเสมือนสวมหน้ากากในทันทีทันควัน 

ขายาวๆ ของโดก้าวขึ้นบันไดมาแล้ว ขั้นที่หนึ่ง…ขั้นที่สอง…ผู้จัดการแผนกต้อนรับถอยออกไปรับน้ำมะพร้าวจากลูกน้องเพื่อส่งให้โด คุณบัตเลอร์เคลื่อนสายตามาหาแล้วขยิบตาให้เธอ คิดแบบเดียวกันว่า ตอนนี้ละ เหมาะที่สุด!

อย่างไรก็ดี จู่ๆ เหมือนท่อนขาของดนีย์นาถกลับหลอมกลายเป็นเนื้อเดียวกับพื้นที่ยืนอยู่ แทบจะเห็นว่ามันมีกระเบื้องงอกมาจากผิวข้างแข้งเลยทีเดียว 

ขยับตัวไม่ได้ สิ่งเดียวที่ขยับไม่หยุดคือหัวใจ เธอไม่อยากเป็นอย่างนี้ เดินสิ เดินออกไปหาเขา!

อึดใจต่อมา ขาเริ่มกลับมากระดิกได้ แต่แทนที่จะขยับไปข้างหน้า มันกลับถูกดึงถอยหลัง ก้าวที่หนึ่ง…ก้าวที่สอง…ไม่นะ มันต้องไม่!...

ความคิดขาดวับ เพราะปลายเท้าเผลอเหยียบชายกระโปรงที่ยาวเกินไปสำหรับเธอ ร่างน้อยไถลหงายหลัง เธอคงจ้ำเบ้าหรือหัวฟาดพื้นแอ้งแม้งไปแล้ว ถ้าไม่เพราะคนขายาวทันเห็นเข้าเสียก่อน และพุ่งพรวดเข้ามาคว้าต้นแขนไว้

อย่างรวดเร็ว ร่างน้อยของเธอถูกดึงเข้าหาร่างใหญ่ของเขา โดไม่ถึงกับล่ำสันอย่างคามินทร์ ดูผอมบางกว่า ทว่าเขาก็มีกล้ามเนื้อแข็งแรง แรงสะท้อนทำให้ใบหน้าของดนีย์นาถเด้งเข้าปะทะอกเขา 

สัมผัสคุ้นเคย 

ตามด้วยกลิ่นที่เคยคุ้น…

กลิ่นที่เธอเคยบอกเขาแล้วว่าให้เปลี่ยนซะ เพราะผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่ชนิดที่ถูกออกแบบมาเพื่ออีโค-เฟรนด์ลี! 

น้ำหอมแบบเดิมที่ใช้กลิ่นจากธรรมชาติล้วนๆ นั้นเป็นต้นเหตุของการทำลายผืนป่า ไหนจะบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ ยิ่งปัจจุบันน้ำหอมเปลี่ยนสถานะจากสินค้าฟุ่มเฟือยมาเป็นของใช้ประจำวัน ก็ยิ่งเป็นตัวการทำลายธรรมชาติอย่างใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ผลิตพยายามแก้ปัญหาโดยผสมระหว่างกลิ่นธรรมชาติและกลิ่นสังเคราะห์ ขวดและกล่องกระดาษที่ใช้ก็เป็นของรีไซเคิล กระดาษแก้วย่อยสลายได้ ตัวโรงงานเองก็อาศัยพลังแสงอาทิตย์ ถ้าคนใช้น้ำหอมทุกคนคำนึงถึงเรื่องนี้แล้วเปลี่ยนมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์อีโค-เฟรนด์ลีแทน โลกก็คง...

ดนีย์นาถพลันได้สติ 

แล้วก็ยิ่งกว่าได้สติ เมื่อสำเหนียกแรกคือ แว่นกันแดดอันใหญ่ที่ใส่อยู่มันถูกกระแทกจนเริ่มเลื่อนหลุด!

ไม่! 

โชคดีที่ฉวยกดคืนทัน จากนั้นก็รู้ตัวว่ากลับมาอยู่ในอ้อมแขนเขา แล้วโดก็ก้มหน้าลงมาด้วย  

เขายังไม่ถอดแว่นตาด้วยซ้ำ แต่สีของมันไม่มืดพอที่เธอจะมองไม่เห็นช่วงตาที่อยู่ข้างหลัง รูปตากว้างมีลูกตาดำใหญ่ กอปรกับขนตาค่อนข้างหนายาวทำให้เขามีตาหวานหยดย้อย ดวงตาที่ใครๆ ก็ไม่สามารถต้านทาน 

ไม่! เธอบอกตัวเอง เราต้องต้านทาน! 

ถึงบอกตัวเองอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงหัวใจทุบกระทุ้งในอกอีกแล้ว 

บ้าชะมัด! ตกลงมันเป็นเพราะอะไรกัน เธอกลัว หรือ…ไม่หรอก เราไม่ได้มีใจให้โดแล้ว มันหมดลงไปแล้ว! 

“เป็นอะไรมั้ยครับ” เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นจากริมฝีปากจีบบางสีชมพู นั่นเองที่บอกให้รู้ว่าเธอต้องลงมือตอนนี้แล้ว

“โด!” เธอร้องออกไป ด้วยเสียงต่ำห่างไกลจากตัวเอง เสียงที่ซ้อมตั้งแต่คืนวาน “โด ดนตรี?!”

“เอ่อ…” แขนที่รัดแผ่นหลังเธออยู่คลายออกทันที 

“โด ดนตรี จริงๆ ด้วย! กรี๊ด!” อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ดนีย์นาถกระโดดแด่วๆ แล้วกอดเขาแน่น เอียงไป เอียงมา “หนูชอบพี่มาก ฮือ ในที่สุดก็ได้เจอตัวจริงพี่ ฮือ หนูตกลงค่ะ”

“ตะ…ตกลงอะไร”

“แต่งงานกับพี่ไงคะ ฮือ นึกว่าจะกลับพอดี เจอพี่โดแบบนี้ หนูอยู่ที่นี่ต่อได้อีกเดือนเลยค่า พี่โด! พี่โด! พี่โด!”

การใช้โทนต่ำช่วยให้เสียงร้องของเธอไม่ดังจนคนรอบสระได้ยิน หาไม่คงมีคนคลั่งไคล้ดาราตัวจริงโผล่ออกมาอีกแน่ 

ไม่ทันที่โดจะดันบ่าเธอออกไป คุณเงินยวงในชุดแม่บ้านก็ได้จังหวะเข้าฉาก เจ้าหล่อนลากแขนเธอด้วยข้อมือใหญ่

“ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิงเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่คุณโด ดนตรีนะคะ”

ไม่รู้เพราะความบึกบึนหรือเกิดหึงดาราในดวงใจขึ้นมา แรงดึงของคุณเงินยวงแทบทำเธอเซถลา แว่นจะหล่นอีกแล้ว

 “ว่าไงนะ!” 

“ขอโทษนะครับ คุณผู้หญิง” คุณบัตเลอร์ปราดเข้ามาช่วยอีกราย “เรือที่คุณผู้หญิงจองไว้มาถึงแล้วครับ”

อย่างว่องไว ดนีย์นาถสังเกตเห็นคนพูดขยับตาเป็นสัญญาณให้คุณเงินยวง รายหลังรับรู้ รีบผายมือเชิญให้โดเดินไปอีกทาง

“นั่นโดจริงๆ ไม่ใช่เหรอ” ดนีย์นาถยังไม่ทิ้งบท ขณะที่โดนคุณปภังกรรุนไหล่ให้ก้าวลงมาตามขั้นบันได รู้สึกอย่างไรชอบกลเมื่อโดหยุดก้าวตามคุณเงินยวง แล้วหันกลับมาถอดแว่นตาเพื่อมองเธอ

“คุณโดขา” คุณเงินยวงพยายามดึงความสนใจเขา “เชิญทางนี้เถอะค่ะ”

“ขอบคุณครับคุณ…”

ท้ายเสียงลากยาวนั้น ทั้งดนีย์นาถ คุณปภังกร และคุณเงินยวงแทบจะเบิกตาขึ้นพร้อมกัน

เอาแล้วไง เตรียมทุกอย่าง แต่ดันลืมเตรียมชื่อแม่บ้านกำมะลอ!

“เพลงทรายค่ะ!” คุณเงินยวงหลุดตอบ “ดิฉันชื่อเพลงทราย!”

คุณปภังกรหลุดอ้าปาก คงไม่คิดว่าเจ้าตัวจะหาทางออกด้วยวิธีนั้น ถึงกระนั้นก็ต้องไม่สนใจ รีบสวมรอยส่งดนีย์นาถขึ้นเรือ ยกมือสะบัดเป็นเชิงให้คนขับเรือรีบขับออกไปโดยด่วน “ไปวนที่ไหนก็ได้แล้วค่อยกลับมา”

“แต่น้ำมันจะหมดอยู่แล้วนะครับ เมื่อเช้าผมไม่ได้เอาสำรองขึ้นมาด้วย”

“ไปก่อนเถอะน่า!”

เรือแล่นออกจากหาด ครั้นดนีย์นาถหันกลับไปอีกครั้ง โดยังคงอยู่กับที่และมองเธอ 

เขาจะจำเราได้รึเปล่านะ…

คำถามดังขึ้นในใจ แต่หญิงสาวตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ 

เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น

เธอตอบไม่ได้ว่าคำถามนั้นเกิดขึ้นพร้อมความรู้สึกใดแน่


เรือเร็วโผนเหนือยอดคลื่นแล้วกระแทกลงท้องน้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนฟาดลงบนแผ่นไม้แข็งๆ 

ถึงกระนั้น ผู้โดยสารแทบไม่รู้สึกอะไร ความจดใจของดนีย์นาถยังติดอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ ตอนที่เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของโดอีกครั้ง 

เธอใจสั่น นั่นเพราะอะไรกัน ระยะหลังมา ต่อให้ถูกเขากอด หรือตอนกอดเขา เธอก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ เพราะมันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว 

คนคิดยกมือขึ้นซับเหงื่อใต้คาง เพิ่งรู้สึกตัวว่าลมแรงมาก แต่ก็ยังร้อน เพราะแดด…

แดด?!

คำนั้นดึงมือและสายตาขึ้นไปบนศีรษะ ก่อนขึ้นเรือมาเธอสวมหมวกปีกกว้าง มันพอจะบังแดดได้ แต่นี่...?!

“ลมพัดหมวกปลิวไปแล้ว!” ดนีย์นาถร้องเสียงหลง “หยุดเรือก่อนค่า!”

มันเป็นหมวกปานามาของเอกวา-อันดิโนแท้ หญิงสาวคงไม่รู้หรอกถ้าคุณเงินยวงไม่ได้บอกตอนให้เธอยืมใส่ ไม่รู้ด้วยว่าราคาเท่าไหร่ แต่คงไม่ใช่ถูกๆ เจ้าตัวต้องไม่ปลื้มแน่ถ้ารู้ว่าเธอปล่อยให้มัน...

มันไม่ได้ลอยเข้าฝั่ง แต่ถูกลมกวาดไปอีกทางแล้ว!

หญิงสาวตะครุบวิกออกจากหัว ถอดแว่นตาออกมาถือไว้ด้วย ขณะพยายามยันตัวไปยังจุดที่คนขับนั่งบังคับเรืออยู่

“ขอโทษนะคะ หมวกของแขกตกน้ำไปทางนู้นแล้ว ช่วยเลี้ยวไปเก็บทีได้มั้ยคะ”

“หา?! แล้วคุณไม่ใช่แขกเหรอครับ”

เธอส่ายหน้า “เรื่องมันยาว แต่ช่วยขับเรือไปเก็บทีเถอะนะคะ” 

“น้ำมันจะหมดอยู่แล้ว มีเหลือแค่ขับกลับเกาะ”

คงเพราะสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของเธอ แถมมือก็ยังยกประนมไหว้เขาด้วย อีกฝ่ายจึงถอนหายใจ “ก็ได้ ลองดูสักตั้ง”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ”

เรือหันหัวเป็นทางขวาง พุ่งทะยานไปยังจุดที่เธอชี้ แต่ลมและคลื่นก็พาหมวกโลดลิ่วออกไปไกลทุกที 

“ไม่ไหวแล้วละ น้ำมันจะหมด เราต้องหันเรือเข้าฝั่งแล้ว!”

ไม่มีทางทำอะไรได้นอกจากพยักรับ ได้แต่หวังว่าการได้ใกล้ชิดกับโดจะทำให้คุณเงินยวงอารมณ์ดีและยอมให้อภัย ศรีตรังยังบอกเลยไม่ใช่เหรอว่าแขกแนวนี้ทิปหนัก ถือว่าหมวกนั่นเป็นทิปจะได้มั้ย!

เรื่องชวนไหล่เหี่ยวไม่ได้มีแค่เรื่องเดียว เพราะแค่ไม่ช้าเสียงเครื่องยนต์ก็ค่อยเงียบลง หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองคนขับ “นะ…น้ำมันหมดแล้วเหรอคะ!” 

เจ้าตัวผงกศีรษะ แต่ก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจปลอบ “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวผมโทร. เรียกคนเอาน้ำมันมาให้ เกาะอยู่แค่ไม่ไกลนั่นเอง”

หันตามการพยักพเยิด ก็จริงอย่างเขาว่า ในคลองตาตอนนี้ เกาะช้างเหยียดยาวไปทั้งซ้ายและขวาเสมือนแผ่นดินใหญ่ 

ความสนใจถูกเบนไปอีกทางเพราะเสียงเครื่องยนต์อีกอย่างดังใกล้เข้ามา 

จากท้ายเรือ ดนีย์นาถมองเห็นเจ็ตสกีลำหนึ่งแหวกแผ่นน้ำมุ่งตรงมา เสียงเครื่องยนต์ราลงพร้อมๆ กับความเร็ว จนในที่สุดก็หยุดเทียบใกล้ๆ เรือเร็วที่เธอนั่งอยู่ 

ท่อนบนของผู้บังคับพาหนะลำนั้นสวมเพียงเสื้อชูชีพสีส้มสะท้อนแสง จึงเห็นกล้ามแขนเป็นมัดยืดบังคับหัวลำเจ็ตสกีอยู่ มือข้างหนึ่งของเจ้าตัวละออกมาเลิกแว่นกันแดดสีเงินเหมือนกระจกเงาสะท้อนแสงขึ้น 

“คุณคามินทร์!”

“คองคุณนี่เอง” พร้อมคำนั้น เจ้าตัวยื่นหมวกปานามามาให้ “โพมเห็นตอนมันปลิวตกน้ำ เลยตามไปเก็บให้ กว่าจะทัน” เจ้าตัวเบ่งตาขึ้นนิดหนึ่งเพื่อให้เห็นว่าคลื่นและลมก่อความรำคาญให้เขาเหมือนกัน 

“ขอบคุณ ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวรับไว้แล้วกอดมันแนบใจ ดีใจจนลืมไปเลยว่าควรจะปิดหน้าปิดตา ไม่ให้อีกฝ่ายเพ่งมองได้ถนัด เพราะคราวที่แล้วเขาเริ่มเอะใจแล้วว่าเธออาจเป็นใครสักคนที่เขารู้จัก

แต่ไม่ว่าคามินทร์จะนึกออกแล้วหรือไม่ เจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ให้น่าฉุกคิด มือข้างที่เมื่อครู่ถือหมวก เปลี่ยนเป็นชี้นิ้วพร้อมพยักให้ “วันนี่คุณแต๊งตั๋วแปลกๆ”

“เรื่องมันยาวค่ะ...” 

พูดได้เท่านั้น ทั้งเธอและคามินทร์ก็เสสายตาไปทางหน้าเรือ 

เสียงเดินลงฝีเท้าหนักๆ ของคนขับเรือมุ่งมาหา “โชคดีจริงที่คุณขับเจ็ตสกีมาแถวนี้พอดี เรือเราน้ำมันหมดครับ”

“อ้อ มิน่าจอดเช้ยเฉย”

“ผมโทร. เรียกคนจากรีสอร์ตให้เอาน้ำมันมาให้ แต่คงวุ่นๆ กันอยู่ เลยได้แต่ฝากข้อความ มันคงเร็วกว่าถ้าได้ติดเจ็ตสกีคุณกลับไปที่เกาะครับ” 

“เอาเล้ย” คนแขนใหญ่โบกแขนอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ก่อนนึกขึ้นได้ “แต่ถ้าคุณไป เพลงทรายกอต้องอยู่คนเดียว?”

นั่นทำให้เธอและคนขับได้แต่มองหน้ากัน 

“So you can go โพมจะยูกับเพลงทรายเอง” 

ดนีย์นาถรีบร้อง “ไม่ต้องก็ได้นะคะ เกาะอยู่แค่นี้เอง...” 

“ไมเป็นไรน่า มะ!” เขาส่งมือให้คนขับจับเพื่อข้ามไปซ้อนท้าย จากนั้นตัวเองปีนสลับมาขึ้นเรือเร็วแทน แถมยังปลดสายรัดแล้วถอดเสื้อชูชีพส่งให้

สีหน้าของดนีย์นาถและคนขับเรือคงบอกความอักอ่วนชัด คามินทร์จึงชักมุมปากขำ “พวกคุณกลัวถูกไลออก เพราะเป็นต้นเหตุใฮแขกได้มานอนอาบแดดฟรีกลางทะเลรึ”

“กะ…ก็ใช่” เธอหยีตา เสียงอ่อน

“I think so but it’s okay” เขายักไหล่ บอกให้คนขับเรือที่เปลี่ยนไปขับเจ็ตสกี “Put it on and go”

รอจนเจ็ตสกีแล่นจากไป ทิ้งไว้เพียงพรายฟองขาวแหวกเป็นทางยาวตามหลัง คามินทร์หันกลับเข้ามาในเรือเร็ว ก้าวดุ่มๆ ตรงไปยังหัวเรือ โผนขึ้นที่นั่งคนขับ

“ทำอะไรคะ” 

“โพมอยากขับเรือแบบนี่มานานแล้ว”

บ้าบอ!

เก็บอาการส่ายหน้าไว้ แต่อีกฝ่ายก็คงยังเท่าทันความคิดเธอ 

เจ้าตัวขำ “คนเราต้องมีความฟันนะคุณ”

“ฝัน?”

Yes ฟัน

“คุณได้สนุกตรงนี้อีกนานแน่ค่ะ” ว่าพลางเธอถอนหายใจ หมุนตัวกลับไปท้ายเรือตรงที่นั่งเก่า

ร่างแข็งแรงอันเหลือแต่กางเกงขาสั้นสีขาวโดดคืนลงมา ขณะก้าวมาหาดนีย์นาถ กล้ามเนื้อเป็นมัดขยับบึ้บบั้บไปทุกส่วนจนเธอต้องหันหนีด้วยความรู้สึกจั๊กจี้ใจแปลกๆ

“โพมไมใช่เด็กนะ จะได้เลนเรือจอดนิงนิ่ง ได้นานๆ”

“งั้นคุณก็คิดผิดแล้วละค่ะ ที่ข้ามมาอยู่เรือนี้ มันไม่มีอะไรให้ทำหรอก”

“มีสิ” เจ้าตัวนั่งลงบนเบาะฝั่งตรงข้าม ยกขาขึ้นขัดสมาธิ แต่ใช้ท่อนแขนประสานรองไว้ สายตาจ้องแน่วมาที่เธอ “คุณยังไมได้บ๊อกโพม ว่าทำไมแต๊งตัวงี้” เจ้าตัวใช้ปลายคางบุ๋มพยักนิดๆ 

ดนีย์นาถไม่รู้จะตอบยังไง หวาดระแวงว่าคนตรงหน้าจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้างแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่อยากพาดพิงถึงคุณเงินยวงด้วย

แต่อีกฝ่ายพอจะรู้ “คุณมาทำอะไรงี้กอเพราะแขกห้องเอวันใช่มั้ย มะกี้ทึงดีใจทีได้หมวกคืนมากๆ”

คนถูกถามทอดสายตาลงพื้น อึดอัดที่ต้องมาอยู่บนเรือเล็กๆ กับเขาเช่นนี้ มันกลายเป็นพื้นที่ปิดไม่ต่างจากห้องขังแล้วถูกสอบปากคำ 

“เขาให้คุณทำอะไร” อีกฝ่ายจี้ต่อ

แล้วคุณล่ะกำลังตั้งใจจะทำอะไร!

ในที่สุด หญิงสาวเอ่ย “คุณเคยต้องจำใจทำอะไรที่ไม่อยากทำมั้ยคะ”

“มีสิ” ว่าพลางเจ้าตัวก็หันทอดตัวลงนอนสบาย ถึงกับเหยียดแขนยาวออกไปเหนือศีรษะ “โพมเป็นคนข้างล่างนะคุณ”

เธอไม่เข้าใจ นึกว่าเขาพูดออกมาโดยไม่ถ่องแท้ในคำนั้นซะอีก

“โพมเป็นลูก...How to say? ลูกเมียโน้ย” 

“คะ?” จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง เรื่องแบบนี้ใครเขาเอามาพูดกับคนแปลกหน้า

“แม่โพมตองหนีจ๊ากไทยเพราะงี้ แล้วผมโตทีนู่นกะพ่อใหม่...ฝรั่ง”

เขาวรรคอย่างจะตรวจสอบว่าเธอเข้าใจภาษาของตัวเองหรือไม่ ดนีย์นาถจึงพยักตอบให้เจ้าตัวพูดต่อ 

อย่างน้อยถ้าคนพูดคือเขา เราก็ยังสบาย พูดไปจนกว่าน้ำมันจะมาแหละดีเลย!

“มันเป๊นแผลในใจแม่โพม you know? ทำใฮโพมรูซึกว่า ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย ต้องทำหลายอย่างให้ซำเร็จ ทังที่บางทีมันกอ...ไม่น่าทำ”

หัวคิ้วคนฟังย่นลงอย่างสนใจ “อย่างเช่น?”

“อย่างงานที่ทำให้โพมตองมาทีนี่!”

ปลายเสียงลงหนักนิดหนึ่งอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่แล้วคงรู้ตัว คนลงเสียงจึงสลัดอารมณ์นั้นทิ้ง ก่อนเริ่มใหม่อย่างสดใสขึ้น

“เป็นไง ฟังเรืองโพมแลวรูซึกดีขึ้นมั้ย”

“ฟังยากค่ะ” เธอแผลงไปทางนั้น

เจ้าตัวจึงหัวเราะ “คุณตองช่วยสอนภะษาไทย มันยาก โพมอยากเก่ง”

“ฉันก็รู้สึกว่าภาษาอังกฤษยากเหมือนกันค่ะ”

“นี่ เพลงทราย” เขาลุกขึ้นมานั่งจ้องเธอใหม่ ช่วยไม่ได้ที่เธอจะเกร็งขึ้นอย่างระวังตัว 

“ทามจริงนะ คุณรูซึกดีคึนรึยัง”

จะมา ‘ถามจริง’ ทำไมกันล่ะ

เธอแสร้งหัวเราะบ้าง “ทำไมคุณคามินทร์คิดว่าดิฉันจะรู้สึกไม่ดีล่ะคะ”

เจ้าตัวยักไหล่ผายหนา ทำปากคว่ำ “I don’t know let’s try

“รีสอร์ตไม่มีนโยบายให้แขกต้องมานั่งฟังเรื่องหนักใจของแม่บ้านนะคะ”

So ลองคิดว่าโพมเป็นเพื่อนมั้ย”

ไหล่ที่แข็งเกร็งเผลอคลายลงอึดใจ...แค่อึดใจ เพราะในเวลาต่อมา เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาจะมาไม้ไหนกันแน่ อย่าลืมว่าคามินทร์เป็นฝ่ายตรวจสอบ การทำทุกวิธีเพื่อให้ได้ความจริงคือความเชี่ยวชาญของเขา 

เมื่อเธอยังนิ่ง ลังเลใจ ในที่สุดคนชำนาญการตรวจก็พุ่งตรงด้วยคำถามใหม่

“การตองใช้เซ็กซ์ทำแบบนี่ มันไม่ดีหรอก”

“คะ?!” นอกจากเสียงสูง ดนีย์นาถรู้ตัวเลยว่าหลุดหน้าเหลอออกไป

อีกฝ่ายยังนิ่ง เฉพาะแววตาที่อาดูรลง

“ได้ข่าวว่า บางโรงแรมกอให้พนักงานยอมทำอย่างนั้น นี่คุณ…คงถูกใช้ใฮมา…เซอร์วิซ?”

“ไม่ใช่นะคะ!” เธออยากจะกลอกตา แต่รู้ว่านั่นเสียมารยาทเกินไป 

“ชุดนี้มันเหมือนฉันจะมาบริการใครเหรอ” ดนีย์นาถกางแขนให้เห็นชัด ปลอกหมอนคว้านคอเนี่ยนะ! “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่จะทำอะไรอย่างนั้น แล้วโรงแรมนี้ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นด้วย!”

“Hey I’m sorry” อีกฝ่ายยกสองมือขึ้น 

คำขอโทษของเขายังไม่เข้าหู เพราะที่จริง ต่อให้เธอ ‘เซอร์วิซ’ แบบที่เขาบอก นั่นมันก็เรื่องของเธอ ผู้ชายก็แบบนี้ ตัวเองไปมีอะไรกับใครได้ว่อนโดยไม่รู้สึกอะไร แต่พอผู้หญิงจะมีบ้าง แล้วกรณีนี้ มีเพื่อหาเลี้ยงตัวเองด้วยซ้ำ ทำไมต้องทำเหมือนน่ารังเกียจ

ในความรู้สึกของเธอ เซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเสื่อมเสีย ไม่ใช่เลย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น