1

บทที่ 1

 

1

 

“พี่ณีครับ วันนี้ผมขอไปกินมื้อเช้าที่โรงแรมนะครับ” ฌอนฤทธิ์เอ่ยขณะโผล่หน้าเข้ามาที่ห้องอาหารของบ้านเพราะทุกเช้าญาณี สะใภ้ใหญ่ของตระกูลนี้จะรับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารเช้าให้ทุกคนในครอบครัว ซึ่งเอาจริงๆ ก็มีแค่เขา ชัยฤทธิ์ผู้เป็นพี่ชาย และญาณีเท่านั้น ส่วนฌานธิษณ์ ลูกชายของทั้งคู่ย้ายออกไปอยู่บ้านเช่าใกล้กับศาลเจ้าที่เจ้าตัวทำงานอยู่ได้หลายปีแล้ว สัปดาห์หนึ่งจะโผล่หน้ามาแค่ไม่กี่หน

 

“อ้าว ทำไมล่ะฌอน มีเรื่องด่วนเหรอ ดูสิเนี่ย แพนเค้กสูตรใหม่ของพี่เลยต้องค้างเติ่งเลย”

 

ญาณีตาปรายมองไปที่อาหารเช้าสดใหม่ที่แม่บ้านเพิ่งถือตามมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้ามองน้องชายของสามีที่ยืนอยู่ อันที่จริงแม้แต่ฌอนฤทธิ์เองก็ยังกลับมานอนที่บ้านน้อยครั้ง เพราะชายหนุ่มเองก็มีห้องพักสะดวกสบายที่โรงแรม ไม่ต้องฝ่าการจราจร แต่หากไม่มีอะไรเร่งด่วน ฌอนฤทธิ์ก็จะกลับมาพักที่บ้าน

 

“ขอโทษจริงๆ ครับพี่ณี พอดีเช้านี้ผมมีเรื่องให้ต้องทำหลายอย่าง” แม้ว่าฌอนฤทธิ์จะเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าก็มีความเกรงใจส่งผ่านจากสายตาของเขาไปให้คู่สนทนา

 

ตั้งแต่ที่พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุตอนที่เขาอยู่มัธยมปลายปีสุดท้าย ฌอนฤทธิ์ก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของคุณปู่คุณย่า ซึ่งก็คือบ้านใหญ่ที่ครอบครัวของชัยฤทธิ์อาศัยอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าตอนนั้นญาณีจะแต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยแล้วก็เถอะ แต่เพราะหลังจากย้ายบ้านเข้ามาได้ไม่กี่เดือนเขาก็ไปเรียนต่อปริญญาตรีจนถึงปริญญาโทที่เมืองนอก จะกลับมาบ้านก็แค่ช่วงปิดเทอมเป็นครั้งคราว ได้ใช้ชีวิตร่วมบ้านกันเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ก็ตอนที่กลับมาทำงานที่โรงแรมนี่ละ ความสนิทสนมจึงไม่ได้มากเท่าคนทั่วไปที่อยู่บ้านเดียวกันมาหลายปีควรจะมี

 

“อย่าโหมงานหนักเกินไปนะเรา สบายๆ เหมือนตอนที่พี่ทำก็ได้” ชัยฤทธิ์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอาหารว่า และคำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นบนใบหน้าเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้าแล้วรับคำสั้นๆ

 

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ดนัยรออยู่ที่โรงแรมแล้ว”

 

“ไปเถอะ”

 

พี่ชายพยักหน้ารับ มองน้องคนเล็กสุดในครอบครัว ทั้งภูมิใจในความสามารถ ทั้งกังวลใจเป็นห่วงฌอนฤทธิ์ตามประสา

 

“ว่างๆ ก็หาเพื่อนคนอื่นคุยบ้างนะฌอน วันๆ คุยแต่กับดนัย ในหัวก็มีแต่เรื่องงาน พี่เป็นห่วงสุขภาพจิตเรา”

 

“ครับพี่ชัย”

 

ฌอนฤทธิ์รับคำพี่ชายอีกครั้ง ทว่าแยกตัวออกจากห้องนั้นมาได้ไม่ถึงสามก้าวดีเขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาเลขาฯ คนสนิท สั่งการเรื่องหนักหัวเหมือนทุกทีราวกับไม่ได้รับกระแสความห่วงใยที่พี่ชายส่งมา

 

“ดนัย ผมกำลังจะออกจากบ้าน ขอเอกสารการประชุมเช้านี้ไว้บนโต๊ะผมด้วย”

 

“ครับคุณฌอน”

 

...

 

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นฌอนฤทธิ์ก็นั่งลงที่โต๊ะทำงานของเขา แฟ้มเอกสารที่เขาต้องการวางอยู่ตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อห้องถูกเคาะ ก่อนที่ดนัยซึ่งกำลังบรีฟสาระสำคัญของงานในวันนี้ให้ผู้เป็นนายฟังจะหยุดพูด และเดินไปเปิดประตู ก็พบว่าพนักงานคนหนึ่งของโรงแรมนำกาแฟร้อนมาเสิร์ฟให้เจ้านาย

 

ชายหนุ่มมองเพียงแวบเดียวก็หลุบตาลงมองเอกสารต่อ เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องแปลกไปจากทุกวัน แน่นอนว่ากาแฟร้อนแก้วนี้เป็นสิ่งที่ดนัยจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างรู้หน้าที่

 

“เอ่อ...คุณฌอนครับ เรื่องสถาปนิกที่ลาคลอดไป ทาง วี.เค. แจ้งมาแล้วนะครับ”

 

ดนัยเอ่ยชื่อย่อของบริษัทออกแบบและก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอย่าง วี.เค. ดีไซน์แอนด์คอนสตรัคชั่นภายใต้การกุมบังเหียนของมาดามพรรณพัตรา เวส อังกููร ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของตัวจริงอย่างดอกเตอร์พรรษพงศ์ วัฒนากุล ซึ่งพรรณพัตราแต่งงานไปกับมหาเศรษฐีเจ้าของโรงแรมหรูหลายร้อยสาขาทั่วโลกอย่างพวก เวส อังกูร

 

“ว่ายังไง”

 

เอ่ยเสียงทุ้มแสดงความรู้สึกโดยไม่เงยหน้ามองคู่สนทนา เพราะสายตายังจับจ้องเอกสารตรงหน้า ไม่หลุดสมาธิสักวินาทีเดียว

 

“คุณลูกพลับบอกว่าได้สถาปนิกคนใหม่มาคุมงานแทนแล้วครับ และจะเข้ามาทำงานวันนี้”

 

สถาปนิกคนเก่าที่ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ต้นดันมีเหตุให้ต้องคลอดทารกในครรภ์ก่อนกำหนดถึงสองเดือนกว่า ทำให้โครงการที่ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายต้องหาคนมาคุมแทน ทั้งๆ ที่หากคนเก่าไม่เกิดเหตุด่วนก็จะอยู่ดูงานได้จบจน

 

“ดี งานจะได้ต่อเนื่อง ล็อบบีเป็นงานเร่งตอนนี้ ทั้งปรับโครงสร้างและส่วนตกแต่งไปพร้อมๆ กัน เราต้องมีสถาปนิกมาทำงานควบคู่กับวิศวกรไป ด้วยล็อบบีเหมือนด่านแรกที่จะใช้ต้อนรับลูกค้า ผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด” ชายหนุ่มร่ายยาวก่อนหางตาขวาจะกระตุกนิดๆ เกิดลางสังหรณ์แปลกๆ เลยเงยหน้าขึ้นมองเลขาฯ ที่ยืนพร้อมรับคำสั่งอยู่ไม่ห่าง

 

“เขาส่งมือดีมาใช่ไหม คนใหม่น่ะ”

 

“เอ่อ...”

 

ดนัยอึกอัก ความเครียดฉายวาบขึ้นบนใบหน้าแวบหนึ่งเมื่อหาคำตอบให้เจ้านายสุดเนี้ยบไม่ได้ เลยเลือกตอบสิ่งที่รู้มาแทน

 

“คุณหญิงแพรวพรรณรายครับ คุณพรรณพัตราส่งคุณหญิงแพรวพรรณรายมาทำงานแทน”

 

“คุณหญิงแพรวพรรณรายเหรอ”

 

ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าชายหนุ่มทวนคำ แต่ดนัยทราบดีว่าเป็นประโยคคำถาม และเป็นประโยคที่ต้องการให้เขาอธิบายเพิ่มเติม

 

“ใช่ครับ หม่อมราชวงศ์แพรวพรรณราย วิริยา ธิดาคนสุดท้ายในหม่อมเจ้าโชติรัตน์ กับหม่อมมธุรส วิริยา จบตรีสถาปัตย์จุฬา และปริญญาโทด้านเดียวกันมาจากนิวยอร์ก โพรเจกต์ที่ส่งตอนจบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง กลับมาเมืองไทยได้ไม่นานก็เข้าทำงานที่ วี.เค ครับ มีศักดิ์เป็นน้าสาวของคุณลูกพลับครับ ส่งญาติสนิทมาแบบนี้ คิดว่าน่าจะฝีมือดีอยู่นะครับ ต่อจะให้เป็นงานแรกที่ได้มารับผิดชอบก็เถอะ”

 

เจ้านายหนุ่มพยักหน้ารับ เป็นท่วงท่าที่รู้กันดีว่าเขาบันทึกทุกคำพูดที่ได้ยินลงหน่วยของความทรงจำ คนเป็นเลขาฯ เลยถามต่อ

 

“แล้วคุณฌอนจะไปต้อนรับคุณหญิงไหมครับ”

 

ดนัยรู้ดีว่าปกติแล้วถ้าไม่จำเป็นฌอนฤทธิ์จะไม่พบแขกคนไหน เพราะเจ้านายของเขาไม่ใช่สายประจบประแจงใช้ฝีมือด้านการทำงานเข้าสู้มากกว่า อีกอย่างฌอนฤทธิ์เป็นคนหน้านิ่ง หลายคนที่รู้จักเพียงผ่านๆ มักจะพูดไปทางว่าเขาเป็นคนหยิ่ง มนุษยสัมพันธ์ไม่ดี ผู้บริหารไฟแรงจึงกลายเป็นคนเก็บตัว มีแค่คนในโรงแรมเท่านั้นที่ได้

 

เห็นหน้าค่าตาเขาบ่อยๆ งานสังคมก็ไม่นิยมเข้าร่วม คบค้าสมาคมกับเพื่อนสนิทที่มีน้อยแบบห่างๆ เรียกว่าเป็นคนนิ่งๆ ที่ชอบอยู่เงียบๆ

 

ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ถึงสถาปนิกคนใหม่จะมาในฐานะลูกจ้าง แต่หล่อนก็สืบเชื้อสายเจ้านาย แถมยังมีศักดิ์เป็นญาติกับเจ้าของบริษัทก่อสร้าง สะใภ้ตระกูลเวส อังกูร ที่ถือเป็นเสือใหญ่ในวงการโรงแรม ทำธุรกิจแบบเดียวกับที่ฌอนฤทธิ์ทำอยู่ ดนัยเลยคิดเอาเองว่าบางทีเจ้านายของเขาอาจจะเห็นว่าควรไปต้อนรับหล่อน

 

“เขาต้องมาทำงานตั้งแต่เช้านี่”

 

ผู้บริหารหนุ่มเอ่ยพร้อมกับก้มลงมองเอกสารตรงหน้าอีกครั้ง ท่าทางไม่ไยดีกับอะไรที่เลขาฯ หนุ่มเพิ่งพูดมาแม้แต่น้อย

 

“ใช่ครับ อันที่จริงคุณหญิงมาถึงแล้ว น่าจะประชุมกับทีมงานอยู่ แต่อีกสิบนาทีคุณฌอนมีประชุมสรุปไตรมาสแรก จากนั้นมีนัดทานข้าวกับมิสเตอร์หวาง แล้วก็มีประชุมกับบริษัทอีเวนต์ตอนบ่ายเรื่องงานเปิดตัวโรงแรม ผมเลยจะถามว่าคุณฌอนจะเอายังไงครับ หากจะไปเจอคุณหญิง คงพอปลีกตัวได้ก่อนเริ่มประชุมนิดหน่อย”

 

ฌอนฤทธิ์หยุดสายตาที่ไล่ไปตามตัวอักษรบนหน้ากระดาษเอาไว้ “การประชุมเรื่องแผนงานบริหารไตรมาสแรกเป็นหน้าที่ของผม แต่การไปต้อนรับคุณหญิงนั้นไม่ใช่ ในฐานะที่คุณหญิงมาเป็นลูกจ้าง คงไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าของโรงแรมที่ต้องไปต้อนรับ”

 

ดนัยได้ยินแบบนั้นก็ค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม ถือว่าได้คำตอบในสิ่งที่ต้องการจะรู้ “รับทราบครับ”

 

“คุณหญิง จะไปแนะนำตัวกับคุณฌอนหน่อยไหม”

 

ศักดา วิศวกรประจำโครงการถามสถาปนิกที่เพิ่งได้รับคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ให้ลงมาทำงานนี้ต่อให้จบ ออกจะงงไม่น้อย เพราะคุณหญิงหน้าสวยคนนี้ยังไม่มีประสบการณ์การทำงานในโครงการใหญ่ๆ ที่ไหน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็เป็นลูกทีม ทำงานแต่ในออฟฟิศให้คุ้นเคยกับทีมงานและเกิดประสบการณ์ จนตอนนี้คงงวดได้ที่พร้อมจะรับออกแบบโครงการที่ไหนสักแห่ง

 

ได้ข่าวเลาๆ ว่ามีแนวโน้มที่จะได้ออกแบบบูทีค โฮเทลที่สระบุรี แต่ไหงหวยมาออกที่โครงการระดับร้อยล้าน แถมยังเป็นโพรเจกต์ที่ตัวเองไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้ออกแบบมาตั้งแต่ต้น แต่เป็นการมารับช่วงต่อจากสถาปนิกคนเก่าที่เผอิญต้องลาคลอดกะทันหัน ทว่าก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะผู้หญิงตรงหน้ามีศักดิ์เป็นน้าสาวของเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง อยากจะทำอะไรก็คงได้ทั้งนั้น

 

“ต้องเหรอคะ”

 

อีกคนเลิกคิ้วถามระหว่างพับหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเปิดโปรแกรมเรนเดอร์ที่แสดงภาพสามมิติของอาคาร งานที่หล่อนมารับช่วงต่อ ไม่มีความจำเป็นต้องเจอเจ้าของโรงแรมแต่อย่างใด

 

“ก็แล้วแต่คุณ ผมก็ถามเฉยๆ”

 

น้ำเสียงนั้นติดจะเยาะหยันน้อยๆ จนแพรวพรรณรายไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังพลาดไปหรือไม่ เงยหน้ามองคนที่ลุกออกจากเก้าอี้พร้อมๆ กับหล่อน แววตาบางอย่างบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้เอ็นดู แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดชัง แต่คนอย่างหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายก็ไม่เคยใส่ใจอยู่แล้ว เพราะโดนตราหน้าดูถูกมาสารพัดเรื่องตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ว่ารูปร่างบอบบางแบบนี้จะประกอบวิชาชีพที่ต้องออกพื้นที่เป็นประจำได้อย่างไร ยิ่งตอนที่นายใหญ่แห่ง วี.เค. ประกาศกลางที่ประชุมว่าจะให้หล่อนมาคุมโพรเจกต์นี้ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าเกินเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์ของพนักงานในบริษัทไม่มี

 

ใครเชื่อว่าหล่อนได้งานมาเพราะความสามารถ แต่ล้วนเห็นพ้องกันว่าแพรวพรรณรายได้รับช่วงต่อโครงการนี้เพราะพรรณพัตราผู้เป็นญาติเท่านั้น

 

“เผื่อเดินผ่านจะได้ยกมือไหว้ถูกคน แต่ถ้าคุณหญิงคิดว่าไม่ต้องไหว้ใครก็ได้ ก็เอาที่คุณหญิงสบายใจละกันนะ ผมขอตัวไปทำงานก่อน”

 

พูดจบศักดาก็เดินออกไปจากห้องประชุมที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้เป็นออฟฟิศชั่วคราว ปล่อยให้คนมีสายเลือดสีน้ำเงินยืนเจริญพรตามหลัง แต่ยังไม่ทันได้พ่นวาจาไม่สุภาพออกไป หนึ่งในเพื่อนสนิทที่ร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยกันมาตั้งแต่ปริญญาตรี เพียงแต่คนละคณะก็เดินมาตบหลัง

 

“ชะนี แดกข้าวไหมยะ”

 

วโรตม์ วิศวกรหุ่นล่้ำนำพาร่างกายที่ใครเห็นเป็นต้องสูดปากเช็ดน้ำลายเข้ามา ผู้หญิงเห็นเป็นต้องมองวิศวกรหนุ่มรูปงามหน้าหล่อตี๋คนนี้อย่างเพ้อฝัน ในขณะที่ชายแท้ก็มักจะมองด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉารูปร่างหน้าตาพิมพ์นิยม ส่วนพวกผีเห็นผีก็วิ่งรี่เข้าใส่ไม่ได้ยั้ง

 

“กิน หิว...นี่อีตาหัวหน้าวิศวกร พี่ศักดาอะ ทำไมเขามองฉันแปลกๆ วะ”

 

“อิจฉามึงไงคะ มาไม่ทันไรก็ได้มีชื่อในโครงการใหญ่ๆ”

 

“บ้า จะมาอิจฉาอะไร ของยังงี้มันก็อยู่ที่นายป่าววะ”

 

แพรวพรรณรายยัดแมคบุ๊กสีเทาเข้มใส่ย่ามผ้าที่ย้วยเปื่อย ขมวดคิ้วเรียว เงยหน้ามองเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยม แต่เพิ่งจะมาสนิทกันมากๆ ตอนเรียนปริญญาตรี จนแม้กระทั่งไปเรียนต่อปริญญาโทก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยไม่เคยขาดการติดต่อกัน

 

“ก็นายใหญ่เสือกเป็นญาติมึงไงคะอีแพรว เขาก็เลยเมาท์กันให้แซ่ดว่าที่ได้มีชื่อในงานระดับนี้เพราะเส้นสายล้วนๆ ทั้งๆ ที่จริงๆ ควรจะไปทำงานโรงแรมบ้านนอกมากกว่า”

 

จะว่าไปไอ้งานออกแบบโรงแรมที่สระบุรีก็ไม่ใช่งานขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ออกจะได้เกียรติมากกว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะจะได้เป็นผู้ออกแบบหลัก แต่เพราะงานที่สระบุรีก็ยังไม่แน่นอน เป็นแค่การเปรยคร่าวๆ ลูกค้ายังไม่เซ็นสัญญาชัดเจน ในขณะที่แพรวพรรณรายมารับงานนี้ต่อก็ได้ใส่ชื่อเป็นสถาปนิกผู้ร่วมโครงการเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของผลงานร้อยเปอร์เซ็นต์

 

ได้ยินแบบนั้นแพรวพรรณรายก็เท้าสะเอว ชี้หน้าเพื่อนสาวทันที “นังแต๊บ!”

 

“ต่อให้เป็นญาติกัน แต่ถ้าชั้นไม่มีพรสวรรค์ พี่ลูกพลับเขาก็ไม่เอาเข้ามาแปดเปื้อนบริษัทเขาหรอกย่ะ อย่าว่าแต่เอามาทำงานในโพรเจกต์เลย”

 

“แต่แกก็ปฏิเสธไม่ได้มะว่าไม่ได้สมัครงานแบบคนปกติ แล้วได้มาทำโพรเจกต์นี้ก็เพราะแกขอร้องนายใหญ่”

 

คนเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนจิ้มนิ้วเรียวลงบนหน้าผากโหนกนูนของสตรีบอบบางที่สูงแค่ปลายจมูกเขา เมื่อสามสี่วันก่อนแม่ตัวร้ายโทร. หาเขายามดึกดื่น หลังจากทราบทั่วกันในกรุ๊ปไลน์ของบริษัทว่าพี่เกด สถาปนิกที่คุมโครงการคนก่อนเข้าห้องคลอดฉุกเฉิน และมีคำสั่งจากนายใหญ่ให้ทีมงานเข้าประชุมด่วนแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ เพื่อหาคนมาคุมงานต่อแทน

 

...

 

‘ไม่อยากสร้างชื่อเป็นของตัวเองเหรอยะ นี่งานคนอื่นเขาออกแบบ’

 

‘แต่การได้ทำโพรเจกต์ใหญ่ๆ แบบนี้มันก็ดีต่อโพรไฟล์เรานะต๊อบแต๊บ อีกอย่างเรายังไม่รู้เลยว่าต่อให้โครงการสระบุรีเซ็นสัญญากับ วี.เค. นายใหญ่จะให้เราเสนองานให้ลูกค้าดูหรือเปล่า’

 

‘มันก็จริง แต่คนอย่างแกเนี่ยนะจะไปรับช่วงงานใครต่อได้’

 

วโรตม์พูดตามความจริง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะมีความเป็นกันเองกับคนทุกหมู่เหล่า แต่ในเรื่องของเส้นสายการออกแบบนั้น แพรวพรรณรายมีความเป็นตัวตนสูงมาก ชนิดที่ไม่มีใครแปลกใจเลยที่งานของหล่อนได้รับคะแนนสูงที่สุดในระดับชั้นปริญญาโทที่นิวยอร์กตั้งแต่เคยมีการเปิดหลักสูตรมา

 

‘อือ แต่เราอยากทำจริงๆ ต๊อบแต๊บ เราอยากสัมผัสเทสต์โรงแรมเมืองไทยก่อนด้วย’

 

‘ถ้ายังงั้นก็ตามใจเถอะย่ะ แต่ก็ช่วยทำใจด้วยว่าคนที่อยู่ในทีมนี้เขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น ดังนั้นนอกจากแกต้องไปรับช่วงงานคนอื่นต่อ แกยังต้องสู้กับกองทัพปีศาจทั้งกองทัพด้วย!’

 

...

 

“ก็นั่นแหละ แต่อย่างที่บอก ถ้าฝีมือฉันไม่ได้ นายใหญ่ก็ไม่ให้ทำหรอก”

 

แพรวพรรณรายไม่เคยเรียกพรรณพัตราด้วยชื่อเล่น หรือใช้สรรพนามสนิทสนมหากมีคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานอยู่ แต่เอ่ยถึงด้วยความให้เกียรติทุกคำ และเคารพเสมือนเป็นลูกน้องคนหนึ่ง อีกฝ่ายก็ปฏิบัติกับหล่อนไม่ต่างกับลูกน้องคนอื่นๆ จะมีบ้างก็แค่วิธีที่รับเข้าทำงานโดยไม่ต้องยื่นใบสมัคร รอเรียกมาสัมภาษณ์เหมือนพนักงานคนอื่นๆ ที่ต่อคิวกันเป็นหางว่าว

 

“จ้าาา แม่คนเก่ง เก่งแต่ในตำราไม่ได้นะจ๊ะ แกน่ะไม่เคยทำงานกับลูกค้ามาก่อน เก่งแต่ออกแบบอะไรที่มันฟุ้งอยู่ในหัว สร้างสรรค์จินตนาการ แต่ในโลกของความเป็นจริง ลูกค้าคือพระเจ้านะ บางทีไอ้ที่เราบอกเราแนะไป แม่งไม่ฟังห่าอะไรสักอย่าง” เพื่อนชายใจสาวบอกด้วยท่าทางแมนที่สุด จนไม่มีใครรู้ว่าเขามีพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน

 

ในโลกนี้นอกจากมารดาก็มีชะนีมีฐานันดรคนเดียวนี่ละที่รู้ว่าเขาไม่ชอบเพศตรงข้าม จนหลายทีที่คนเข้าใจผิดว่าชายหนุ่มกับสาวงามเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท แซวกันให้สนุกปากโดยที่คนทั้งคู่ไม่คิดจะแก้ตัว เพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างช่วยเป็นไม้กันหมาให้กัน เพราะเห็นห้าวๆ เฮี้ยวๆ แบบนี้แพรวพรรณรายก็มีผู้ชายมาขายขนมจีบไม่ได้ขาด ในขณะที่วโรตม์เองก็มักมีผู้หญิงมาอ่อยให้รำคาญใจ พอได้ตัวกันชั้นดีอย่างนังคุณหญิง ชะนีนางอื่นก็ไม่ค่อยกล้าไฝ้เพราะรู้กิตติศัพท์ความเอาเรื่องดี แถมเจ้าตัวยังสวยจัดชนิดหาคนเทียบชั้นได้อยาก ไม่ต้องพูดถึงโพรไฟล์ส่วนตัวที่เกินเรื่องไปมาก

 

“ทราบค่ะ ว่าแต่คุณต๊อบจะมาพาไปทานอะไร แล้ววันนี้ไม่ต้องเข้าไซต์ของตัวเองเหรอ”

 

แพรวพรรณรายเองก็เปลี่ยนวิธีพูดกับเพื่อนรักเช่นกันเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก เรียกเขาด้วยชื่อเล่นเพียงครึ่งเดียวเพื่อส่งเสริมความเชื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าเพื่อนรักเป็นชายแท้

 

“อยากทานอะไรล่ะครับ คุณหญิง”

 

“ทานง่ายๆ เร็วๆ มีที่ไหนไหมแถวนี้ ตอนบ่ายอยากกลับมาเดินดูรายละเอียดงานด้วย ตามสัญญาเจ้าของปรับโหดมากถ้าส่งมอบงานช้า”

 

“แถวนี้เหรอ มีแต่ไซต์คนงาน ไม่ก็ต้องเดินไปหน่อยถึงจะมีอาหารตามสั่ง กินในโรงแรมไหมล่ะ ถ้ารีบอะ”

 

ไม่ได้อวดร่ำอวดรวย แต่เผอิญว่าพ่อแม่ดันมีอันจะกินกันทั้งคู่ แถมเงินเดือนที่ได้รับก็ไม่ใช่น้อยๆ ยิ่งวโรตม์ที่เริ่มทำงานมาก่อน จนตอนนี้ได้เป็นวิศวกรประจำโครงการ เป็นผู้คุมงาน ได้รายได้มหาศาล และที่มาหาแพรวพรรณรายได้ในตอนนี้ก็เพราะงานที่อยู่ในความรับผิดของเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมหรูแห่งนี้

 

“ก็ได้ แต่จะว่าไปอยากกินอะไรแซ่บๆ แถวนี้มีส้มตงส้มตำไหมอ้ะ”

 

คนสวยที่วันนี้แต่งตัวเรียบร้อยเป็นพิเศษเขย่งขากระซิบบอกเพื่อนสนิท อีกคนก็เอามือยีหัวเพื่อนรักทันที

 

“โอ๊ย อย่าสิ เดี๋ยวผมยุ่ง”

 

คนที่มวยผมเป็นทรงดังโงะมาตลอดชีวิตขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่เพื่อน นานๆ จะได้หวีผมเป็นรูปเป็นทรงกับเขาที ทำตัวเหมือนคนแต่งตัวแต่งหน้าไม่เป็น ทั้งๆ ที่ฝีมือเทียบชั้นมืออาชีพด้วยซ้ำ

 

“ปกติหวีแทบจะไม่โดนผม ยังจะมาทำเป็นห่วงสวย ดัดจริต”

 

วโรตม์แยกเขี้ยวใส่เพื่อน ลดเสียงลงท้ายประโยคเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน ก่อนจะถือสนิทพาดแขนล็อกคอเพื่อนสาวลากตัวเดินมุ่งตรงเข้าห้องอาหารนานาชาติของโรงแรมทันที

 

“ส่วนวันนี้ก็กินข้าวผัดกะเพราในโรงแรมไปก่อนละกัน เดี๋ยวเข้าที่เข้าทางจะพาไปกินส้มตำที่ไซต์คนงาน ตามนี้ โอเค้” ชายหนุ่มทำมือเป็นสัญลักษณ์ภาษาสากลที่เข้าใจกันทั่วโลก

 

อีกคนก็ตอบกลับมาด้วยภาษากายที่ไม่ต่างกัน แล้วก็หัวเราะใส่กันด้วยท่าทางอารมณ์ดี ชนิดที่ใครเห็นก็ต้องเข้าใจตรงกันว่าชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้เป็นคนรักกันอย่างแน่นอน

 

“คุณฌอนจะให้โทร. ลงไปสั่งอาหารไว้เลยไหมครับ มิสเตอร์หวางกำลังจะลงไปที่ห้องอาหารแล้ว”

 

ดนัยเอ่ยถามทันทีที่นายใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ประธานในที่ประชุม หลังจากจัดการงานทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ต้องรีบลงไปรับรองมิสเตอร์หวาง นักธุรกิจชาวจีน ลูกค้าวีไอพีตลอดกาลที่เหมาชั้นทุกครั้งที่มาพักแรมเดือน ยิ่งตอนนี้ที่ลูกสาวคนโตมาเรียนต่อระดับปริญญาโท เจ้าตัวยิ่งเหมาห้องสวีตเป็นระยะตลอดสองปีที่ลูกสาวต้องเรียนอยู่ที่นี่ อีกทั้งฌอนฤทธิ์เองก็กำลังหาทางร่วมทุนทำโรงแรมขยายสาขาไปที่เมืองจีน เลยต้องให้การรับรองกันมากกว่าปกติ

 

“ไม่เป็นไร ว่าแต่มิสเตอร์หวางทานห้องไหน”

 

“ห้องนานาชาติครับ เพราะแต่ละคนอยากทานไม่เหมือนกันเลย”

 

นอกจากมิสเตอร์หวางแล้ว ยังมีผู้ร่วมโต๊ะซึ่งประกอบด้วยคุณนายหวางและลูกสาวทั้งสอง นึกมาถึงตรงนี้ฌอนฤทธิ์ก็อยากจะถอนใจเพราะเรื่องที่ต้องเจอ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเศรษฐีใหญ่แห่งมหานครเซี่ยงไฮ้คิดอะไรอยู่ เขารังเกียจวิธีการแบบนี้ไม่น้อย แต่ก็ต้องกัดฟันทน เพราะอย่างที่บอกว่ามิสเตอร์หวางเป็นลูกค้ารายสำคัญ สำคัญขนาดจะช่วยให้เขาขยายสาขานอกประเทศแห่งแรกได้สำเร็จ ดังนั้นฌอนฤทธิ์เลยทำได้แค่เก็บความรู้สึกไว้ภายใน ทั้งๆ ที่อยากจะตะเพิดใส่ หรือไม่ก็พูดจาแดกดันเสียทีว่าอย่าคิดจะเอาเงินมาโปรยใส่โรงแรมเขา แล้วเขาต้องเอาลูกสาวตัวเองมาทำเมีย

 

“ไม่ต้อง เดี๋ยวไปดูเอาที่โน่นก็ได้ ไม่อยากทานอะไรเท่าไหร่”

 

พูดแค่นั้นคนเป็นเลขาฯ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าอาการไม่อยากอาหารของเจ้านายไม่ได้เกิดขึ้นเพราะไม่หิว แต่น่าจะเป็นเพราะผู้ร่วมโต๊ะวันนี้มากกว่า เลยได้แต่ผงกหัวรับรู้ก่อนจะกดโทรศัพท์สั่งการแม่บ้านที่ดูแลชั้นผู้บริหารโดยเฉพาะให้เตรียมอาหารกลางวันของฌอนฤทธิ์สแตนด์บายไว้ เพราะเชื่อได้เลยว่าชายหนุ่มหน้านิ่งผู้นี้จะใช้เวลาที่โต๊ะอาหารไม่เกินสิบห้านาทีแน่นอน

 

...

 

“มิสเตอร์หวาง ขอโทษที่ให้รอครับ”

 

ฌอนฤทธิ์ก้มหัวให้มหาเศรษฐีชาวจีนที่มีตำแหน่งในรัฐบาลกลางซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ด้านซ้ายมีมาดามหวางและลูกสาวคนเล็ก ส่วนด้านขวาเว้นที่นั่งที่ติดกับผู้สูงวัยไว้ให้เขา แต่เก้าอี้ตัวถัดจากนั้นมีลูกสาวคนโตของตระกูลหวางนั่งอยู่ หมดทางเลือกให้ชายหนุ่มเจ้าของโรงแรม จำต้องเดินไปนั่งเคียงข้างสตรีตัวขาวเป็นเผือกอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

 

“ไม่เป็นไรเลย เข้าใจๆ ว่างานยุ่งเป็นธรรมดา ว่าแต่ปิดปรับปรุงหลายส่วนเหมือนกันนะ”

 

คนที่ใช้บริการวันซ์ ริวามาโดยตลอดบอก

 

“ครับ”

 

“ไม่เสียลูกค้าเหรอ”

 

“ไม่หรอกครับ ปิดเป็นส่วนๆ ที่พอใช้ส่วนอื่นทดแทนได้ครับ”

 

“ดีๆ แล้วจะเสร็จทันช่วงคริสต์มาสไหม ปีนี้จัดงานเคานต์ดาวน์หรือเปล่า”

 

“จัดงานคริสต์มาสครับ แต่น่าจะไม่จัดเคานต์ดาวน์”

 

“ไหงเป็นงั้นล่ะ” คนมีประสบการณ์ในการเดินทางมาตลอดเลิกคิ้วถาม

 

คนหนุ่มอายุคราวลูกนั่งนิ่งระหว่างพนักงานของเจ้าตัวรินน้ำดื่มแบบอัดก๊าซลงในแก้วทรงสูงที่มีน้ำแข็งและมะนาวฝานลอยอยู่

 

“เท่าที่เซอร์เวย์ จัดกันเกือบครบทุกโรงแรมเลยครับ จนแทบไม่มีทางเลือกให้ลูกค้าที่อยากมาทานข้าวเฉยๆ แล้วกลับบ้านนอน”

 

เป็นเหมือนประเพณีของโรงแรมไปแล้วในการที่จะขายแพ็กเกจนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่บวกรวมค่าอาหารและเครื่องดื่มเข้าด้วยกัน ซึ่งก็ดูจะคุ้มดีสำหรับคนที่ชอบปาร์ตีในเทศกาลแบบนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยอยากกลับไปนอนสงบๆ อยู่ที่บ้าน ทว่าก็ยังอยากมีมื้ออาหารดีๆ ในโรงแรม วันซ์ ริวาภายใต้การบริหารของฌอนฤทธิ์เลยตัดสินใจเปิดให้บริการแบบปกติ ไม่มีการขายแพ็กเกจเหล้าพ่วงเบียร์ใดๆ แต่เลือกที่จะไปจัดอีเวนต์ในคืนคริสต์มาสอีฟแทน เพราะแขกที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก

 

“เออ คิดแบบนี้ก็ดี ว่าแต่นี่ไม่ทานอะไรหรือไงฌอน” มิสเตอร์หวางมองหน้าชายหนุ่มอนาคตไกล ก่อนจะหันไปสบตาบุตรสาวที่นั่งเขินอาย

 

“เอมิลี่ สั่งอาหารมาให้คุณฌอนสิ นั่งนิ่งอยู่ได้ ไม่ดูแลแขกเลย” ประธานในโต๊ะสั่งบุตรสาวเป็นภาษาจีน

 

ฌอนฤทธิ์เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดเป็นอย่างดีเลยตัดสินใจออกปากเป็นภาษาจีนกลาง หลังจากที่เมื่อครู่เลือกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เชิญคุณเอมิลี่ตามสบาย” ฌอนจำต้องหันมองคนข้างๆ ที่นั่งก้มหน้าก้มตา ไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ให้เอมิลี่สั่งให้นะคะ”

 

หญิงสาวตอบกลับเป็นภาษาจีนแมนดารินเหมือนกัน ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่ไม่ต้องเจรจากับอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งต่อให้อ่านออกเขียนได้ พูดจารู้เรื่อง แต่ก็ไม่สนิทใจเหมือนภาษาแม่แน่ๆ

 

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมเพิ่งทานของว่างในห้องประชุมออกมา ยังไม่หิว”

 

ชายหนุ่มบอกเสียงสุภาพ ก่อนจะปรายตากลับมาที่มิสเตอร์หวางอีกที ไม่ต้องการแสดงออกให้ใครหน้าไหนคิดได้ทั้งนั้นว่าเขาเปิดโอกาส หรือคิดกับอีกฝ่ายเป็นอื่น เรียกได้ว่าฌอนฤทธิ์เก็บอาการของตัวเองไม่ให้หลุดสักเม็ด

 

“อ้าว นึกว่าจะได้ทานข้าวด้วยกันซะอีก”

 

“มิสเตอร์หวางอยู่อีกตั้งหลายวันนิครับ”

 

ชายหนุ่มยกน้ำขึ้นจิบอีกครั้งหนึ่ง ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ให้เสียมารยาทจนเกินไป อย่างไรเสียให้พอคบค้าเป็นคนรู้จักก็ไม่ฝืนใจ เลยไม่อยากทำอะไรให้เกิดการผิดใจทั้งกับตัวพ่อ ทั้งกับลูกสาว

 

“แต่จะอยู่ไม่ครบทุกคนแบบวันนี้แล้ว นี่เดี๋ยวเอมิลี่ต้องไปเอาติงกับทางคณะใช่ไหม”

 

สตรีวัยไม่น่าเกินยี่สิบห้าพยักหน้ารับ หล่อนเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทภาคอินเตอร์เกี่ยวกับการโรงแรมในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีวิทยาเขตอยู่ชานเมือง

 

“ครับ”

 

ชายหนุ่มไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ แต่ขุ่นใจว่าการที่อีกฝ่ายจะไปไหนมาไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมารับรู้ แค่อำนวยความสะดวกในการคิดเรตห้องพักแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น ซึ่งมีครัวเล็กๆ พอที่จะยังชีพด้วยการไม่ทำอาหารได้ แต่ก็สะดวกสบายพอตัวสำหรับการสั่งอาหารโรงแรมที่มีพร้อมบริการยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือจะอุ่นอะไรง่ายๆ กินให้ในราคาพิเศษ เพราะมิสเตอร์หวางเหมาห้องพักระยะยาวถึงสองปีให้บุตรสาวอยู่แทนการซื้อคอนโด ด้วยเห็นว่าสะดวกสบายดีกับการมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ทุกวัน อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายให้ลูกสาวเขาได้ใช้บริการ

 

“เดี๋ยวพอเอมิลี่ไปออกทริป ผมก็อยู่อีกแค่ไม่กี่วันก็จะบินกลับ ฝากคุณฌอนดูลูกสาวผมหน่อยนะ ถึงจะเดินทางทั่วโลกมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่เคยอยู่คนเดียวไกลหูไกลตา นี่ถ้าไม่ติดหมวยเล็ก...”

 

มิสเตอร์หวางมองลูกสาวคนเล็กที่เพิ่งขึ้นชั้นมัธยมปลาย “...ไม่งั้นผมก็ส่งแม่เขามาอยู่ด้วยแล้ว”

 

คนเป็นพ่อพูดจบก็หันมองชายหนุ่มที่เขาตั้งใจจะฝากผีฝากไข้ลูกสาวไว้เสียหน่อย แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีท่าทีอะไร จนมิสเตอร์หวางจำต้องยกไม้ตายขึ้นมาพูด

 

“แล้วยุ่งขนาดนี้ เรื่องโรงแรมที่เมืองจีนจะไหวเหรอ นี่ไม่ใช่ผมช่วยดูลู่ทางแล้วปลีกตัวไปทำไม่ได้นะ”

 

เท่าที่พูดกันคือทางตระกูลหวางจะเป็นคนลงทุนในส่วนของอาคารสถานที่ และเลือกบริษัทที่เหมาะสมเป็นผู้บริหารงานโรงแรม โดยบริษัทที่ถูกเลือกมาร่วมทุนจะต้องลงเงินบางส่วนเพื่อเป็นการหุ้นกันอย่างจริงจัง ซึ่งนอกจากฌอนฤทธิ์ยังมีคู่แข่งอีกรายที่คุณสมบัติค่อนข้างสูสี ที่สำคัญยังถือสัญชาติจีนเหมือนกันอีกด้วย ที่สำคัญคือคู่แข่งรายนั้นท่าทางจะต้องการตัวคุณหนูตระกูลหวางมากกว่าหุ้นในโรงแรมที่จะลงทุนทำกัน เลยหาทางใช้อำนาจกดดันหลายฝ่าย เพราะรู้ดีว่ามิสเตอร์หวางไม่ถูกใจตระกูลของเขา ยื่นข้อเสนอน่าเวียนหัว เช่น หากได้หุ้นในโรงแรมที่เซี่ยงไฮ้จะไม่วุ่นวายกับเอมิลี่ให้คนเป็นพ่อรำคาญใจ พอหนักๆ เข้าเมื่อมีฌอนฤทธิ์มาเป็นอีกตัวเลือก อีกฝ่ายก็เริ่มดิ้นพราดเพราะมิสเตอร์หวางแสดงกิริยาว่าเขามีสิทธิ์รั้งตำแหน่งว่าที่ลูกเขยด้วย

 

“เรื่องงานผมไม่มีปัญหาหรอกครับ ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว หากทางมิสเตอร์หวางจะกรุณา ถ้าทางเมืองจีนพร้อมเมื่อไหร่บอกผมได้เลย ผมจะให้ดนัยเคลียร์เวลาให้ ส่วนเรื่องคุณหนูหวาง ผมพอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับทางโน้น”

 

ฌอนฤทธิ์ตัดสินใจบอก เขาไม่ได้ทำธุรกิจแบบหูหนวกตาบอด จะสู้กับใคร จะลงทุนกับใครเขาก็ต้องรู้รายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่ยอมให้มายืมมือหลอกใช้กันได้ และถ้าหากเขาจะช่วย ชายหนุ่มก็ต้องมั่นใจว่าเขาจะได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม

 

“ดังนั้น ผมยินดีที่จะดูแลคุณหนูหวางเท่าที่พอจะทำได้ แต่มันจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการช่วยเหลือในฐานะที่ผมจะเป็นคนได้ร่วมทุนกับท่านอย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับคุณเอมิลี่ ผมวางใจให้ดนัยช่วยจัดการ”

 

พูดจบชายหนุ่มก็เงยหน้าสบตาเลขาฯ แบบที่อีกฝ่ายก็รู้ความนัย เดินปรี่เข้ามาก้มหัวคำนับผู้สูงวัย ก่อนจะเอ่ยปากบอกสิ่งที่ฌอนฤทธิ์กำลังต้องการ

 

“มิสเตอร์หวางครับ ผมดนัย ยินดีรับใช้เรื่องคุณหนูหวาง” ดนัยหันมองลูกสาวคนโตของตระกูลผู้มั่งคั่งที่ยังนั่งนิ่งไร้ปากเสียง ไม่ขยับแม้แต่จะเอาอาหารเข้าปาก

 

“ส่วนคุณฌอน เมื่อครู่ทางบัญชีโทร. มาครับ มีเรื่องด่วนอยากออกเช็คก่อนบ่ายโมง จะได้ขึ้นเงินได้ก่อนหยุดสุดสัปดาห์ แต่คุณฌอนยังไม่ได้สั่งอาหาร ผมเลยบอกให้ทางบัญชีรอก่อน”

 

จริงๆ ก็ไม่ได้ด่วนหรอก แต่เขาอ่านภาษากายและความต้องการของผู้เป็นนายออกอย่างชัดเจน รู้แก่ใจว่าตั้งแต่กาแฟเมื่อเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเจ้านายเลย ไอ้เรื่องอาหารว่างที่เจ้านายเอ่ยกับแขกโคตรวีไอพีก็เป็นข้ออ้างทั้งนั้น เพราะตั้งแต่เขาทำงานให้ฌอนฤทธิ์มา ไม่เคยเห็นอีกคนหยิบอะไรในห้องประชุมเข้าปากทั้งสิ้น

“ถ้าด่วนขนาดนั้นก็ต้องขอโทษมิสเตอร์หวางด้วยจริงๆ ครับ ไว้ก่อนกลับผมคงได้มีโอกาสทานข้าวกับท่านอีกสักมื้อนะครับ”

พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นทำความเคารพอย่างไม่เปิดโอกาสให้ใครได้โต้แย้ง ก้าวขายาวไวๆ ตั้งใจจะเดินให้พ้นรัศมีห้องอาหารนานาชาติให้เร็วที่สุด แต่กลับต้องชะงักขา เหลือบตามองตามเสียงหัวเราะกังวานที่ลอยเข้าหู เห็นผู้หญิงที่กำลังยิ้มสดใสเปล่งเสียงเรียกรอยยิ้มจากคนอื่นได้ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเนื้อความที่หล่อนคุยกับคู่สนทนาคือเรื่องอะไร ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะมีพนักเก้าอี้ทรงสูงบังไว้ อดคิดไม่ได้ว่าเสียงใสๆ นั้นหากได้ยินทุกวันคงทำให้คลายเครียดจากเรื่องหนักหัวได้ไม่น้อย มุมปากตั้งท่าจะยิ้มมากกว่าที่เคย แต่กลับต้องดึงกล้ามเนื้อหน้ากลับมาแทบไม่ทันเมื่อเสียงหวานผรุสวาทวาจาที่ไม่น่าจะออกมาจากผู้หญิงที่หน้าสวยปานนั้น

 

“อีแต๊บเพื่อนเลววว! สันดานกะหรี่แบบนี้ขอให้เป็นเอดส์ตาย!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น