2

บทที่ 2 ใกล้แค่นี้



2

ใกล้แค่นี้

 

วรุณรักษ์ค่อยๆ ยกมือที่มีเข็มน้ำเกลือปักอยู่ขึ้นประนมไหว้อัศวินและเทวี ที่แวะมาเยี่ยมเขาด้วยความคาดไม่ถึง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าคมคร้ามเองก็ค่อยๆ ซีดลงด้วยความตกใจ ก็จะไม่ให้ตกใจอย่างไรไหว ขนาดพ่อกับแม่ของเขายังไม่เคยโผล่มาเลย!

“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า”

“ไหว้พระเถอะลูก” เทวีรับไหว้เขา ร่างสูงที่ยืนเยื้องไปด้านหลังของท่านเองก็ยกมือรับไหว้พร้อมกัน ทว่าอัศวินไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงมองเขาด้วยสายตาประเมินเท่านั้น และสายตาที่ว่านั่นทำให้วรุณรักษ์วางตัวลำบากขึ้นมาทันที

ตั้งแต่เกิดมาวรุณรักษ์ไม่รู้สึกว่าเขาต้องเกรงกลัวใครมาก่อนเลย ไม่ใช่ว่าเป็นคนหยิ่งผยอง แต่บางอย่างในตัวเขาบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใครทั้งนั้น แต่กับอัศวิน วรุณรักษ์ไม่เข้าใจว่าเหตุเขาจึงกริ่งเกรงบุรุษผู้นี้...หรือจะเป็นเพราะว่าเขาคือบิดาของช้องนาง

“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ หมอเขาว่ายังไงบ้าง” เสียงเปี่ยมเมตตาของเทวีทำให้วรุณรักษ์หลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มยิ้มหวานหลังขยับตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่งเรียบร้อยแล้ว รอกระทั่งเทวีทรุดกายนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเขาจึงเอ่ยตอบ

“ไม่เป็นไรมากแล้วครับคุณป้า”

คราวที่แล้ววรุณรักษ์ไม่ได้มีโอกาสทำคะแนนเท่าไรเพราะเป็นลมไปก่อน แต่คราวนี้เมื่อเขาสบายดี แม้ว่าจะยังมีเข็มน้ำเกลือปักมืออยู่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทิ้งโอกาสแก้ตัวของตนไป เขากะพริบตามองบุคคลมาใหม่ทั้งสองแล้วพูดต่ออย่างเป็นกันเองแกมประจบหวังทำคะแนน “ขอบคุณคุณลุงคุณป้ามากนะครับที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยมผม”

“ไม่เป็นไร...พอดีจะกลับแล้วเลยแวะมา”

เสียงห้าวที่เอ่ยแทรกมานั้นไม่ทำให้วรุณรักษ์เคืองอย่างที่อัศวินต้องการ ผู้ที่หวงบุตรสาวยิ่งกว่าไข่ในหินนั้นจึงต้องกลายเป็นฝ่ายหน้าตึงเสียเอง ยิ่งเมื่อผู้เป็นภรรยาหันมาถลึงตามองอย่างที่ร้อยวันพันปีไม่เคยทำกับเขามาก่อนด้วย อัศวินก็ยิ่งเคือง

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมช้องนางจึงอยากกลั้นใจตายยามได้ยินชื่อวรุณรักษ์ ตอนนี้อัศวินเองก็รู้สึกไม่ต่างจากบุตรสาวสุดที่รักของเขาสักนิดเดียว!

“ถึงจะอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณคุณลุงกับคุณป้าอยู่ดีครับที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยมผม” วรุณรักษ์ยิ้ม เข้าใจว่าเหตุใดอัศวินจึงแสดงท่าทางเป็นอริกับเขาถึงเพียงนี้ นี่ขนาดว่าเขาเป็นลูกชายของเพื่อน อัศวินยังไม่คิดจะไว้หน้า วรุณรักษ์ไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาไม่ได้มีบิดาชื่ออาชวิณและมารดาชื่อพิมพ์ดารา เขาจะมีจุดจบเช่นไร

“ลุงเขานอนเฝ้าช้องนางทั้งคืนเลยหงุดหงิดไปหน่อย อย่าถือลุงเขาเลยนะลูก”

วรุณรักษ์ไม่ได้ยินความพยายามที่จะให้สถานการณ์ดีขึ้นของเทวี ดวงตาคมของชายหนุ่มเลื่อนขึ้นมองดวงหน้างามที่มีเค้าเดียวกับหญิงสาวชุดไทยในรูปวาดที่เขาเคยเห็น รู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงในรูปคนนั้นคงไม่พ้นเป็นบุตรีเพียงคนเดียวแห่งบ้านเทวารักษ์ชื่อว่า ช้องนาง ที่เทวีกำลังเล่าถึง

“น้องอยู่โรงพยาบาลหรือครับคุณป้า ไม่สบายหรือครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

สรรพนามเรียกแทนตัวช้องนางที่วรุณรักษ์ใช้นั้นทำให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงมีปฏิกิริยาที่ต่างกัน เทวีหัวเราะน้อยๆ อย่างถูกอกถูกใจ ขณะที่อัศวินนั้นหน้าขรึมหนัก คิ้วหนาที่เริ่มมีสีขาวแซมก็กระตุกยิกๆ อย่างน่าจะเป็นไม่ใช่เรื่องดี

“ไม่เป็นอะไรหรอกลูก” เทวีโบกมือปัดพลางส่ายหน้าเบาๆ ทว่าสายตาที่มองวรุณรักษ์กลับเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเอื้อเอ็นดู ดูสิ เพียงรู้ว่าช้องนางไม่สบายเขายังกังวลถึงเพียงนี้ น่าเอ็นดูจริงๆ “ก็เข้าโรงพยาบาลมาพร้อมเรานั่นแหละ หมอเขาบอกว่าเครียดสะสม แต่ไม่นานคงกลับบ้านได้แล้วละ”

“น้องพักอยู่ห้องไหนครับ เผื่อผมออกโรงพยาบาลก่อนจะได้แวะไปเยี่ยม” เดิมทีวรุณรักษ์ไม่ใช่คนที่จะผลีผลาม รุกสาวที่ไหนไฟแรงขนาดนี้มาก่อน อันที่จริงเขาไม่มีความคิดหรือความจำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่ายจีบใครก่อนด้วยซ้ำ เพราะสาวๆ ต่างชิงให้ความสนใจเขาก่อนทุกครั้ง

แต่กับผู้หญิงที่ชื่อช้องนางคนนี้ บางอย่างกระซิบบอกวรุณรักษ์จากเบื้องลึกว่า หากเขายังนิ่งนอนใจและไม่ทำอะไรเหมือนที่ผ่านมา เขาจะต้องเสียเธอไป...อีกครั้ง...

“ก็อยู่ห้องข้างๆ นี่แหละจ้ะ”

“คุณ...” อัศวินหันไปปรามภรรยาเมื่อเทวียอมบอกห้องพักของช้องนางแก่วรุณรักษ์ง่ายๆ ทั้งที่ยังไม่ทันได้รู้จักนิสัยใจคอของชายหนุ่มถี่ถ้วนดี เกิดเขาลุกขึ้นไปทำร้ายช้องนางกลางดึกขึ้นมาจะทำอย่างไร ถึงจะอยู่ที่โรงพยาบาลก็ใช่ว่าจะควรวางใจ

อีกอย่างดูจากสายตายามที่ไอ้หนุ่มนี่เอ่ยถึงช้องนางด้วยแล้ว อัศวินก็ยิ่งไม่สบายใจ เรียกว่าน้องอย่างโน้น น้องอย่างนี้ ได้ยินทีไรหัวอกคนเป็นพ่ออย่างเขามันคันยุบยิบ นึกชังขี้หน้าลูกชายเพื่อนขึ้นมาตงิดๆ !

“อะไรคะคุณ” เทวีเลิกคิ้วสูง หันมองสามีด้วยสีหน้าใสซื่อแสร้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำเสียงเข้มใส่ตนเพราะเหตุใด ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ หวังกลบเกลื่อนความผิดของตน แล้วแก้ตัวเมื่อสีหน้าดุดันของอัศวินยังไม่ดีขึ้น “โถ่ เรื่องแค่นี้เองค่ะ ตาวรุณก็ลูกคุณวิณ คนกันเองทั้งนั้น จะห่วงอะไรล่ะคะ”

ใช่ว่าอัศวินจะห่วงเพียงความปลอดภัยของช้องนาง ที่หน้าเขาหงุดหงิดอย่างนี้เพราะมองแผนการผูกดองของภรรยาออกอีกด้วย ทั้งๆ ที่ช้องนางประกาศชัดแล้วว่าแค่ได้ยินชื่อวรุณรักษ์ก็อยากกลั้นใจตาย ทำไมเทวีจึงดื้อดึงจะให้ลูกสนิทสนมกับเด็กคนนี้ให้ได้

วรุณรักษ์มีดีอะไรหนักหนาเชียว ก็แค่ผู้ชายที่ช้องนางเกลียดแหละน่า...

“คุณลุงคงห่วงน้องน่ะครับ” วรุณรักษ์ออกหน้าแทนอัศวิน แม้ว่าจะไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องทำอย่างนั้นสักนิดเดียว “ถ้าวันหนึ่งผมมีลูกสาวผมก็คงหวงลูกเหมือนที่คุณลุงห่วงน้อง”

อัศวินฟังแล้วก็ยิ้มที่เหมือนจะเป็นการแยกเขี้ยวเต็มที ไม่เข้าใจว่าทำไมคำพูดของวรุณรักษ์จึงทำให้เขารู้สึกอยากไปให้พ้นๆ จากที่นี่มันเสียเดี๋ยวนี้เลย

“อยากมีลูกก็รีบๆ แต่งงานเสียสิ” จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับช้องนางของเขา...อัศวินคิด ขณะที่คนโดนสกัดดาวรุ่งตั้งแต่ยังไม่ได้ทำอะไรนั้นหัวเราะน้อยๆ ทว่าประกายเจ้าเล่ห์ในแววตาคมกลับวิบวับอย่างคนที่มีแผนการ

“ผมก็อยากทำอย่างนั้นนะครับ ติดที่ว่ายังไม่มีแฟนนี่สิ”

“แบบนั้นก็แย่หน่อยนะ” เสียงของอัศวินเข้มจัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เมื่อชายหนุ่มไม่มีท่าว่าจะเกรงเขาเหมือนคนอื่น สีหน้าของสามีทำให้เทวีเริ่มเหงื่อตก ยิ่งหวนคิดถึงคำพูดของบุตรสาวที่ประกาศก่อนที่เธอและสามีจะออกมาห้อง เทวีก็ยิ่งลำบากใจ

ก็นะ...ช้องนางบอกชัดเสียขนาดนั้นว่าแค่ได้ยินชื่อวรุณรักษ์ก็อยากกลั้นใจตายแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเจอหน้าหรือคบหากัน ยิ่งการตบแต่งก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่ ต่อให้เธอจะพึงใจวรุณรักษ์เพียงใด แต่คงจะไม่สามารถบังคับช้องนางให้มาคบหากับวรุณรักษ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช้องนางมีอัศวินถือหางตั้งแต่ยังไม่เริ่มกระดิกตัวทำอะไรเลยขนาดนี้ด้วยแล้ว...

เมื่อช้องนางบอกว่า ‘ไม่’ ก็คือ ‘ไม่’ ยิ่งอัศวินเห็นพ้องด้วยแล้ว ก็เปลี่ยนจากคำว่าไม่เป็นคำว่า ‘ต้องห้าม’ ได้เลย

“แต่ผมคิดว่าไม่นานผมก็คงมีแฟนครับคุณลุง” วรุณรักษ์ไม่สนใจรังสีอำมหิตที่อัศวินแผ่ออกมาหวังข่มขวัญเขาสักนิดเดียว และไม่กลัวใบหน้ากับแววตาดุดันที่ว่านั่นด้วย ไม่เกรงกลัวสักนิดเดียวหากเป็นเรื่องของช้องนาง

“ขอให้สมหวังนะ” อัศวินอวยพรชายหนุ่มลอดไรฟัน แสดงออกชัดเจนว่าสิ่งที่เอ่ยมาขัดกับความรู้สึกที่แท้จริงของตน ทว่าวรุณรักษ์กลับหัวเราะอายๆ แล้วยกมือขึ้นไหว้รับคำอวยพรนั้นเสียนี่

“ขอบพระคุณครับ คุณลุงอวยพรอย่างนี้แล้ว ยังไงผมก็คงสมหวังแน่ๆ ครับ”

“เอ่อ...ป้าว่าป้ากลับก่อนดีกว่านะจ๊ะ วรุณพักผ่อนเถอะจ้ะ” เทวีเหงื่อตก รีบผุดลุกจากเก้าอี้เมื่อเห็นว่าสามีของตนกำหมัดแน่น ขบกรามจนได้ยินเสียงกรอดเมื่อเจอความกวนประสาทฉบับวรุณรักษ์

ไหนพิมพ์ดาราบอกว่าลูกชายไม่ช่างพูดอย่างไรล่ะ เหตุใดวรุณรักษ์จึงกวนประสาทสามีเธอให้เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนได้อย่างที่ใครก็ทำไม่ได้มาก่อนแบบนี้!

“เดี๋ยวผมจะแวะเข้าไปไหว้คุณลุงกับคุณป้าที่บ้านนะครับ”

กรอด...

“เอาไว้เราหายดีก่อนแล้วกันนะจ๊ะ ป้าก็อยู่ที่บ้านนั่นแหละ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก” เทวียิ้มอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ บีบข้อมือของสามีแน่นแทนการบอกให้เขาใจเย็นๆ

“ครับ เอาไว้ผมหายดีเมื่อไหร่ถึงจะเข้าไปกราบครับ”

“กลับกันเถอะคุณ อย่ารบกวนเวลาพักของเด็กมันเลย” อัศวินทนฟังคำพูดของวรุณรักษ์ต่อไปไม่ไหว อีกสักครึ่งคำที่หลุดออกมาจากของไอ้หนุ่มนี่เขาก็ทนไม่ได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมช้องนางจึงอยากกลั้นใจตายเพียงได้ยินชื่อของวรุณรักษ์ เพราะตอนนี้เขาก็รู้สึกแบบเดียวกันเป๊ะ ทั้งอยากเป็นคนที่เสียชีวิต และอยากเข้าไปทำให้ไอ้เจ้าของคำพูดกวนอารมณ์เสียชีวิตลงเดี๋ยวนี้เลย “ค่ะ” เทวีไม่ดื้อดึง แม้รู้ว่ากลับไปเธอคงไม่พ้นที่จะต้องได้ฟังสามีบ่นเรื่องวรุณรักษ์

“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า” วรุณรักษ์ไหว้ทั้งคู่อย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนที่อัศวินและเทวีจะผละไป แต่คราวนี้มีเพียงเทวีคนเดียวที่รับไหว้เพราะอัศวินมองเขาตาเขียว เมื่อเทวีปล่อยมือที่รับไหว้วรุณรักษ์ลงข้างตัวเรียบร้อยแล้ว อัศวินก็ฉวยข้อมือบางของภรรยาตนออกไปจากห้องพร้อมใบหน้าบูดบึ้งอย่างนั้น

เมื่อพ้นหลังของอัศวินและเทวีแล้ว รอยยิ้มบนหน้าคมคร้ามของวรุณรักษ์ก็ค่อยๆ หุบลง แววตากรุ้มกริ่มเมื่อครู่เองก็เปลี่ยนเป็นล้ำลึกอย่างคนที่กำลังมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้อยู่ในใจ

ความทรมานจากการเห็นรูปวาดเหมือนตัวจริงของช้องนางทำให้เขามาลงเอยอยู่บนเตียงโรงพยาบาล แล้วอะไรกันที่ทำให้ช้องนางต้องมาลงเอยอยู่ในห้องข้างๆ

ช้องนางเป็นอะไร เธอเจ็บปวดเพราะเขาเหมือนอย่างที่เขาเจ็บปวดเพราะเธออย่างนั้นหรือ...

เพราะเขาหรือเปล่า เธอจึงต้องทรมานเช่นนี้...

 

ท่ามกลางความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของวรุณรักษ์ โดยปราศจากการมองเห็นด้วยตาของมนุษย์คนใด จู่ๆ ร่างสูงในชุดไทยโบราณก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น จากภาพเลือนรางก็ค่อยๆ ชัดเจนเมื่อร่างนั้นขยับเข้าใกล้ร่างสูงของมนุษย์หนุ่มที่ภพนี้ได้นามว่าวรุณรักษ์

ความคิดของวรุณรักษ์ปรากฏให้เขาเห็นอย่างชัดเจน ในฐานะกามเทพของวรุณรักษ์ ‘เฑียร’ มีสิทธิ์รู้เห็นเรื่องราวของผู้ที่ถูกกำหนดให้มาเป็นเนื้อคู่ของวรุณรักษ์

เขาเห็นหญิงสาว เห็นเธอมาทุกภพทุกชาติ และจดจำความโทมนัสของคนทั้งคู่ได้อย่างชัดเจนเช่นกันว่า พวกเขาต้องทุกข์ทรมานเพราะการพลัดพรากมาทุกภพทุกชาติมากเพียงใด

แต่จะให้เขาแก้ไขอย่างไร...ในเมื่อเขาเป็นเพียงกามเทพ...จะให้ต่อสู้กับอำนาจของจิตอธิษฐานอันแรงกล้าที่เคยปรากฏเมื่อกาลก่อนได้อย่างไร...

หากเป็น ‘ยุพดี’ ก็ว่าไปอย่าง...

“นางเจ็บปวดเพราะเจ้า...นั่นล้วนถูกต้องแล้ววรุณรักษ์ แต่สิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ก็คือ ผู้ที่ต้องทรมานกว่าคือตัวเจ้าเอง ไม่ว่าภพใดชาติไหน เจ้าก็ต้องเป็นผู้ที่เจ็บปวดกว่านางที่เจ้ารักอยู่ร่ำไป...

“วรุณรักษ์เอ๋ย...เจ้ามิรู้ตัวดอกว่าสิ่งที่เจ้าปรารถนานั้นลำเค็ญเพียงไรกว่าจะได้มา...น่าเวทนา...ช่างน่าเวทนา...”

 

“ตกลงว่านี่แกเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้อยากจะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เนี่ยช้อง”

เสียงเล็กๆ ที่ฟังเพียงคำแรกก็รู้ว่าเจ้าของเสียงต้องเป็นผู้หญิงนั้น ทำให้ร่างสูงในชุดคนไข้ที่ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมคนไข้ห้องข้างๆ จำต้องหยุดเท้า วรุณรักษ์หยุดตัวเองไว้เพียงบานประตูห้องพักฟื้น แล้วมองลอดช่องกระจกออกไป เผื่อว่าจะได้เห็นใบหน้าเจ้าของน้ำเสียงหงุดหงิดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นช้องนางของเขาก็ได้

“เอาน่าไอ้เกด...ถือว่าช่วยๆ กัน”

เพียงเท่านั้น...โลกทั้งใบของวรุณรักษ์ก็เหมือนจะหยุดหมุนลงเสียดื้อๆ ลมหายใจหลุดออกจากปอดของชายหนุ่ม เมื่อดวงหน้างามของหญิงสาว ผู้ที่เขาเคยเห็นในรูปวาดซึ่งแขวนอยู่ภายในบ้านเทวารักษ์นั้นปรากฏขึ้นแก่สายตา

ช้องนาง...ช้องนางของเขาแน่...เป็นเธอแน่ๆ เขาจำเธอไม่ผิดหรอก

“ช่วยอะไรของแกมิทราบ” เพื่อนของช้องนางชักสีหน้า เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากเช่นเดียวกัน หากให้เขาเดาการแต่งกายของหญิงสาว วรุณรักษ์ก็พอบอกได้คร่าวๆ ว่าเธอคงเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองไม่น้อย แต่หากเขาเกิดเป็นผู้หญิงแล้วมีเรือนร่างสะโอดสะองเหมือนเธอ วรุณรักษ์คิดว่าเขาก็คงไม่เหนียมอายที่จะอวดเรือนร่างของตัวเอง และคงจะภูมิใจด้วยซ้ำที่สวยจัดได้ขนาดนี้

แต่ความสวยที่ว่านั้นกลับทำอะไรช้องนางของเขาไม่ได้ ในความคิดของวรุณรักษ์ ผู้หญิงคนนั้นเหมือนกุหลาบ สวยแต่ก็แฝงด้วยหนามอันตราย ผิดกับอีกคน...ที่ควรจะนอนพักอยู่ในห้อง ไม่ใช่หอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากลับบ้าน สำหรับวรุณรักษ์แล้ว หัวใจของเขาเอนเอียงไปหาความสวยเย็นตาของช้องนางมากกว่า จะบอกว่าลำเอียงก็คงไม่ผิดนัก

“ก็ช่วยพาฉันกลับไปส่งบ้านไงเล่า” เสียงเล็กของคนที่วรุณรักษ์แอบเทคะแนนให้หมดหน้าตักนั้นแข็งขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนเธอจะชักสีหน้าใส่เพื่อน กิริยานั้นทำให้หัวคิ้วของวรุณรักษ์ขมวดเข้าหากันนิดๆ ช้องนางของเขาชักสีหน้าด้วยหรือ...

...

“ฉันนอนป่วยอยู่ตั้งนานทำไมแกไม่มาเยี่ยมฉัน...ถ้าฉันไม่โทร. เรียกแกคงไม่คิดจะมาหาหรอก”

“แค่วันสองวันแกเรียกว่านานเหรอ แล้วฉันก็ส่งดอกไม้มาเยี่ยมแกตั้งแต่รู้ข่าวว่าแกเข้าโรงบาลแล้ว จะเอาอะไรอีก” เกศราอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าใส่ช้องนางคืน อะไร...เวลาเพียงเท่านี้ทำให้ช้องนางกลายเป็นคนไม่มีความอดทนไปตั้งแต่เมื่อไหร่

“เออๆ เอาน่า แกอย่าบ่นมากได้ไหมเล่า ฉันป่วยอยู่นะ” ช้องนางพยักหน้าอย่างขอไปที บอกตัวเองว่ายอมๆ เกศราไปเถอะ เกศราบ่นก็ดีกว่าเกศราต้อนให้เธอจนมุมว่าอะไรที่ทำให้เธอรีบร้อนจะกลับบ้าน ‘เดี๋ยวนี้’ เสียให้ได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วช้องนางคงลำบากใจไม่น้อย ก็คนที่ถือศีลห้าอย่างเธอโกหกได้เสียที่ไหนล่ะ!

“แกไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด” เกศราว่าแล้วมองค้อน ทีแรกที่เธอทราบข่าวช้องนางนั้นก็มือไม้อ่อน ทำงานต่อไม่ได้เพราะว่าเป็นห่วง แต่จะมาเยี่ยมเลยก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกันเพราะเกรงใจพ่อกับแม่ของเพื่อนสนิท อีกทั้งยังไม่รู้ว่าหมอเจ้าของไข้ของช้องนางอนุญาตให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเข้าเยี่ยมได้หรือไม่

“แล้วนี่ตกลงจะไปไหน กลับบ้านเลยเหรอ”

“กลับบ้านสิ” ช้องนางผงกหัว เรื่องอะไรเธอจะอยู่ที่โรงพยาบาลนี้นานกว่านี้ เกิดคนไข้ห้องข้างๆ เดินผ่านไปมาแล้วดันเจอกัน เธอจะไม่ใจขาดตายเพราะความชิงชังที่คับอกหรือ

แน่นอนว่าการนอนที่โรงพยาบาลนั้นช้องนางไม่ได้อยากอยู่ตั้งแต่แรก แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้มีปัญหาในเมื่อบิดามารดาต่างอยากให้เธอพัก รอดูอาการก่อนสักสองสามวัน แต่พอรู้ว่าใครคือเจ้าของห้องพักฟื้นห้องถัดไปเท่านั้นแหละ จู่ๆ ช้องนางก็ร้อนรุ่ม...ร้อนออกมาจากข้างใน จนตัดสินใจโทร. หาเกศราให้มาพาเธอออกจากโรงพยาบาลนี่แหละ!

“หรือแกจะพาฉันไปนอนที่คอนโดแกก่อนล่ะ...แต่ฉันว่าบ้านแกคงไม่ว่างหรอกใช่ไหม” ว่าแล้วช้องนางก็ปรายตามองเพื่อนสนิท ที่พักนี้ชอบทำตัวไม่ว่างเวลาเธอโทร. หาหรือชวนไปข้างนอกด้วยกัน

“อย่ามาหาเรื่อง บ้านของฉัน ฉันจะพาใครมานอนแล้วแกจะทำไม” เกศรามองเหลือบมองหน้างามของช้องนาง เบื่อแสนเบื่อที่ช้องนางมักรู้ทันเธออยู่เรื่อย เรื่องแบบนี้ก็ยังไม่เว้น นี่แหละหนาข้อเสียของการคบหาเพื่อนสักคนนานๆ

“เปล๊า...ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะ เชิญสวีตกับพ่อม่ายลูกติดของแกตามสบาย” ช้องนางไม่สามารถกล่าวโทษเกศราที่ครองตัวโสดเป็นเพื่อนเธอมาได้หลายปี ประโยคนี้จึงไม่นับว่าผิดศีลข้อสี่ แม้ว่าเกศราจะผิดคำสัญญาที่ว่าจะอยู่บนคานเป็นเพื่อนเธอไปจนตาย ช้องนางก็ไม่สามารถว่าโทษเกศราได้ เต็มที่ก็แค่เคืองเท่านั้นแหละ ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายจากทวีปไหนก็ดูจะติดอกติดใจเกศรามากกว่าเธอ

“เขายังไม่ได้เป็นของฉัน” เกศราอดที่จะหน้าม้านไม่ได้จริงๆ เมื่อโดนเพื่อนสนิทค่อนแคะ จริงอยู่ที่เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษยามที่อยู่กับหนุ่มตาน้ำข้าวที่ชื่อว่า ‘เอซ’ คนนั้น ทว่าก็ยังไม่ได้มีอะไรพิเศษจนสามารถเรียกเขาว่าเป็นของเธอได้เหมือนอย่างที่ช้องนางเพิ่งพูดมา “พูดแต่เรื่องของฉัน แกเถอะ สรุปแล้วอาหมอเขาให้แกกลับบ้านได้แล้วแน่นะ”

“ก็ต้องได้สิจ๊ะ” ช้องนางกลอกตาไปมาพอเป็นพิธี ก่อนจะเหลือบซ้ายแลขวาแล้วยกมือป้องปาก กระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น “เดี๋ยวออกไปจากที่นี่ก่อน ฉันมีอะไรจะเล่าให้แกฟัง”

“อะไร” เกศราขมวดคิ้ว เพียงเพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงมีลับลมคมใน เธอก็อยากรู้มากจนหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น พลอยหันซ้ายหันขวาตามช้องนางไปอีกคน

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง หรือว่าที่แกรีบออกจากโรงพยาบาลเพราะว่าแกโดนผีหลอก”

...

ผี?

พอได้ยินคำนั้นมันจึงช่วยไม่ได้ที่คิ้วเข้มของวรุณรักษ์จะขมวดมุ่นเข้าหากัน ก่อนจะแอบส่ายหัวในใจเบาๆ ด้วยความผิดหวัง เมื่อคิดว่าเพื่อนของช้องนางเป็นคนงมงายเชื่อเรื่องผีสางไร้สาระ เรื่องพรรค์นี้ยังมีคนเชื่ออยู่อย่างนั้นหรือ ในปีพุทธศักราชนี้ด้วยเนี่ยนะ

“ไม่ใช่...” ช้องนางปฏิเสธด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ ทำให้วรุณรักษ์อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้ ชายหนุ่มถามตัวเองอยู่ครู่หนึ่งว่าเขาควรจะเดินออกจากห้อง ก่อนที่หญิงสาวทั้งคู่จะเดินห่างออกไปกว่านี้ดีหรือไม่ แล้วถ้าตัดสินใจออกไปแล้วเขาจะแนะนำตัวกับพวกเธอว่าอย่างไร

บอกว่าวรุณรักษ์ลูกชายของเพื่อนพ่อ...หรือว่าจะเป็นวรุณรักษ์ที่เป็นลมในบ้านเธอ...คิดทบทวนกับตัวเองแล้วชายหนุ่มก็แอบส่ายหน้าเบาๆ อีกหน ไม่ว่าจะแนะนำตัวอย่างแรกหรืออย่างหลังก็ไม่เข้าท่าสักอัน

“แล้วแกอย่ามาพูดเรื่องผีสางเอาตอนนี้ได้ไหมไอ้เกด นี่มันโรงพยาบาลนะ” ความขุ่นเคืองในน้ำเสียงของช้องนางนั้นทำให้วรุณรักษ์ผละออกจากห้วงความคิดของตัวเอง ตามมาด้วยการขมวดคิ้วที่ทำให้กลายเป็นนิ่วหน้าไปโดยปริยาย

ช้องนางเอ่ยเช่นนี้หมายความว่ายังไง หรือเธอก็เชื่อเรื่องผีสางไร้สาระเหมือนเพื่อนของเธอด้วย?

“ก็แกทำท่าลับๆ ล่อทำไมล่ะ” ‘ไอ้เกด’ ของช้องนางขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิดบ้าง ตามมาด้วยการหันมองรอบตัวเหมือนสัมผัสถึงสายตาปริศนาที่จับจ้องทั้งคู่อยู่

...

“แล้วตกลงมีอะไร ทำไมต้องทำท่าแบบนั้น”

“เอาไว้ออกไปแล้วฉันจะเล่า” ช้องนางยืนยันคำเดิม ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณให้เกศราก้าวเท้าต่อไป อย่าหยุด

“เรื่องมาก”

“เอ๊ะ! แกนี่ยังไงเนี่ย ด่าฉันอยู่ได้” คนที่หายป่วยตั้งแต่วันแรกถอนหายใจแรงๆ ด้วยความขุ่นเคืองใจ คิดว่าที่เกศรามีท่าทางเช่นนี้คงไม่พ้นเรื่องที่เธอตามตัวมาตอนนี้ คิดดังนั้นดวงตากลมของช้องนางก็ค่อยๆ หรี่แคบลงอย่างจับผิด ก่อนจะใช้ไหล่กระแทกต้นแขนเพื่อนแล้วยิ้มกริ่มเมื่อเอ่ยถามกึ่งเย้า

“หรือว่า...ฉันโทร. ไปขัดจังหวะอะไรแกหรือเปล่า”

“จะขัดจังหวะอะไรล่ะ” เกศราค้อนขวับก่อนจะเดินต่อ แสร้งไม่เห็นแววตาพราวระยับของช้องนาง “แกนี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ผิดศีลข้อสี่นะรู้ไหม”

“แหม...” คนถือศีลห้าจีบปากจีบคอ แต่ก่อนเธอก็เคร่งเรื่องถือศีลห้าอยู่หรอก แต่ยิ่งอยู่กับเกศราและลูกน้องในบริษัทของเจ้าหล่อนนานเท่าไหร่ การรักษาศีลที่ว่าก็เหมือนจะยากเย็นตามไปด้วยทุกที “แกนี่เอะอะก็อ้างศีลข้อสี่ตลอด แค่บอกว่าไม่อยากเล่า ฉันก็ไม่ถามอยู่แล้ว”

“อย่างแกนี่เหรอจะไม่ถาม”

“ก็แกไม่ได้จริงจังอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” ช้องนางเอ่ยเหมือนจะเดามากกว่า แต่ก็เชื่อว่าเธอเข้าใจถูกต้องแล้ว เพราะตลอดมาเกศราเคยจริงจังกับหนุ่มๆ ที่เคย ‘คุย’ สักรายที่ไหน และรายนี้ก็คงจะไม่ต่างกันหรอก จะพิเศษกว่ารายก่อนๆ ก็แค่ตรงที่หล่อและมีลูกติดเท่านั้น

“เหรอ...” คนที่ไม่รู้ตัวว่าเธอจะจริงจังหรือไม่จริงจังกับชายหนุ่มรายล่าสุดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นเลิกคิ้วสูงมองหน้าเพื่อนสนิท “ฉันบอกแกเหรอว่าฉันจะไม่จริงจัง บอกตอนไหน ไม่เห็นจำได้เลย”

“ไอ้เกด...นี่แกจะบอกฉันว่าจริงจังกับหมอนี่อย่างนั้นเหรอ”

“เปล่า” เกศราที่ยังไม่มั่นใจเรื่องหนุ่มรายนี้ถอนหายใจแรงๆ ต่อให้เธอจริงจังกับเขาก็ใช่ว่าเขาจะจริงจังกับเธอเสียหน่อย... “ก็แค่พูดเผื่อไว้เท่านั้น”

“ไม่ต้องเผื่อหรอกน่า” พอได้ยินคำตอบที่ตรงใจช้องนางก็ยิ้มพราย สอดมือเข้าไปคล้องแขนกับเพื่อนสนิทแล้วจูงกันกะหนุงกะหนิง ปากก็อ้อนเกศราไปพลาง “ยังไงๆ แกก็คงต้องอยู่กับฉันไปจนตายนั่นแหละ”

“ฉันต้องอยู่กับแกไปจนตายเลยเหรอ” เสียงของเกศราฟังดูเหมือนอ่อนใจเต็มประดา ที่ตนต้องผูกติดกับเพื่อนอย่างช้องนางไปจนตาย

“ต้องงั้นสิ เอ้อ...แล้วก็ช่วยเคลียร์คิวของแกไว้ด้วยนะ”

“ทำไม จะพาฉันไปหาหมอดูอีกแล้วเหรอ” เกศราขมวดคิ้ว หากช้องนางได้สั่งเธอเช่นนี้แล้วคงไม่พ้นมีแผนพาเธอไปหาหมอดู “บ้า” ช้องนางบริภาษเพื่อนแล้วค้อนพอเป็นพิธี “จะพาไปทำบุญ ล้างซวย”

“เข้าโรงพยาบาลเท่านี้แกถือว่าซวยจนต้องทำบุญใหญ่เลยเหรอ”

“เรื่องที่ซวยน่ะไม่ใช่เรื่องที่ป่วยหรอก” ช้องนางได้แต่ค้อนเกศราปะหลับปะเหลือก ขี้เกียจเล่าเรื่องของวรุณรักษ์ให้อีกฝ่ายฟัง เพราะรู้ว่าเล่าแล้วเธอก็คงไม่พ้นที่จะต้องอธิบายถึงสาเหตุของความชิงชังในหัวใจที่เธอมีต่อชายหนุ่ม และก็คงไม่พ้นที่จะโดนเกศราหาว่าเป็นคนงมงายไร้เหตุผลเหมือนเดิม

แต่เธอเกลียดเขานี่ ไม่เห็นจะต้องไปนั่งอธิบายเหตุผลให้ใครฟังเลย รู้แค่เกลียดและอยากให้เขาออกไปให้พ้นจากชีวิตเธอตลอดไปก็พอแล้ว

“เอาเป็นว่าแกไปทำบุญเป็นเพื่อนฉันนะ”

“แล้วพ่อกับแม่แกล่ะ” เกศราไม่วายสงสัย ปกติพ่อแม่ของช้องนางที่เกษียณแล้วทั้งคู่จะไม่ค่อยพลาดทริปทำบุญที่เจ้าตัวขยันจัดขึ้นเท่าไร ช้องนางจัดทริปทำบุญบ่อยชนิดที่ว่าทำบุญมากกว่าทำงานเลยทีเดียว

“พ่อกับแม่ก็ไปแค่วันแรกๆ เท่านั้นแหละ” ช้องนางทำปากยื่น นอกจากเกศราแล้วก็ไม่มีใครอยากตระเวนทำบุญเป็นเพื่อนเธอทั้งนั้นแหละ หรือต่อให้เกศราไม่อยากไป อย่างไรช้องนางก็จะไม่ยอมให้เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอหนีไปไหน เธอไปเกศราก็ต้องไป...เธอโสดเกศราก็ต้องโสด!

“แล้วนี่แกจะไปกี่วัน” เกศราฟังดังนั้นแล้วคิ้วขวาก็กระตุกแปลกๆ เห็นเค้าลางว่าทริปทำบุญของช้องนางคงต้องกินระยะเวลาหลายวันแน่

“สามวัน”

“สามวัน!”

“ก็ใช่สิ” ช้องนางเห็นสีหน้าตกใจเหมือนเห็นผีของเพื่อนแล้วอดที่จะกระทืบเท้าเร่าๆ อย่างขัดใจไม่ได้ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าของเกศราก็ยังไม่ดีขึ้น ช้องนางจึงเริ่มเกลี้ยกล่อมด้วยเหตุผล “มันต้องสามวันจริงๆ แก ไม่อยากนั้นฉันจะไล่ความซวยไปจากชีวิตไม่ได้”

“ตลอดชีวิตของแก แกเคยซวยที่ไหน” เกศราถลึงตามองช้องนางที่เอ่ยเหมือนชีวิตของตัวเองลำเค็ญเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงแล้วตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ช้องนางที่รู้ตัวว่าเธอโชคดีมาตลอดนั้นเถียงเกศราไม่ได้ จึงทำเพียงเม้มปากแน่น ที่ทำแบบนั้นก็เพราะว่าเธอไม่เคยดวงซวยเหมือนที่พูดไปเลยจริงๆ น่ะสิ ช้องนางดวงดีตลอดมา ดวงดีจนเธอรู้สึกกลัวเป็นบางครั้ง แต่พอย้อนมองเรื่องคู่ครอง...ซึ่งเธอไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง หญิงสาวก็อดที่จะก่นด่าฟ้าดินไม่ได้

ก็คนที่ทั้งสวย ทั้งรวย หน้าที่การงานดีอย่างเธอกลับไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้งในชีวิต...แบบนี้มันยุติธรรมตรงไหนกัน!

“หากอ้ายอี...คนใด...มันรักน้องได้ไม่เกินพี่...ก็อย่าให้มันผู้ใด...ได้เข้าใกล้ตัว...ใกล้ใจน้องเลย...”

เสียงที่แว่วมาตามลมทำให้คนที่กำลังคิดน้อยใจชะตาชีวิตตัวเองนั้นหันขวับ ช้องนางสอดสายตาหวาดระแวงของเธอไปทั่วโถงทางเดินของโรงพยาบาล หวังตามหาเจ้าของเสียงกระซิบที่เสียดแทงเธอไปถึงกระดูก เธออยากรู้...ว่าคนที่สาปแช่งใครสักคนด้วยน้ำเสียงชิงชังถึงเพียงนี้เป็นใคร ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายขนาดนี้

“แก...ได้ยินไหมไอ้เกด”

“ได้ยินอะไร” เกศราอดไม่ได้ที่จะหันมองรอบตัวเหมือนเพื่อน แม้จะยังไม่รู้ว่าช้องนางมองหาอะไรก็ตาม

“ก็...” ช้องนางเอ่ยค้าง ก่อนจะตัดสินใจเงียบลงเมื่อตระหนักได้ถึงคำสอนของคุณยาย ที่พร่ำสอนเธอยามที่เป็นเด็กว่าหากได้ยินเสียงอะไรตอนกลางคืนอย่าไปเอ่ยทัก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคุณไสยที่ถูกส่งมาทำร้ายเธอก็เป็นได้ “ไม่มีอะไรหรอก”

“อะไรของแก...”

...

‘ได้ยินสิ...พี่ก็ได้ยิน...’

คำพูดนั้นวรุณรักษ์เอ่ยกับตัวเองในใจ เขาไม่สามารถก้าวออกไปหาหญิงสาวที่เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักของเขาได้ ร่างสูงละล้าละลังด้วยความลังเล สุดท้ายชายหนุ่มก็นิ่งขึงหลังตัดสินใจที่จะไม่ออกไปหาช้องนาง พอดีกับเสียงที่เขาคุ้นเคยดีในความฝันนั้นดังขึ้นที่ข้างหู แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงเขาที่ได้ยิน...จากท่าทางของช้องนางที่เขาเห็น วรุณรักษ์เดาว่าเธอเองก็คงได้ยินบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน

ฝ่ามือหนาแตะที่บานกระจกใส แตะปลายนิ้วลงที่ดวงหน้างามของช้องนาง ก่อนที่หญิงสาวจะเดินพ้นไป เพียงเธอหายออกไปจากสายตา หัวใจของวรุณรักษ์ก็ปวดหนึบ ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเท่าไรนัก มันไร้เหตุผลสิ้นดีที่เขามีความรู้สึกรุนแรงกับผู้หญิงที่เพิ่งพบหน้าครั้งแรกถึงเพียงนี้ และไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะมาอธิบายว่าเหตุใดช้องนางจึงมีอิทธิพลต่อหัวใจเขามากมายถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยจะปรายตามองเขา หรืออาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในโลกใบนี้มีชายที่ชื่อวรุณรักษ์อยู่

แต่สิ่งที่วรุณรักษ์ไม่รู้เช่นเดียวกันก็คือเขาเองก็ขลาดเขลา และไม่รู้ว่ามีผู้ที่คอยปกป้องคุ้มครองเขาอยู่เช่นเดียวกัน

 

ร่างสูงของเฑียรซวนเซ ก่อนร่างที่โปร่งแสงของเขาจะค่อยๆ ซีดจางลงจนน่ากลัวว่าตัวตนของเขาในภพนี้จะสูญสลายไป ทั้งที่สะสมพลังมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ทว่าเพียงพยายามต่อสู้กับคำสาปที่ติดตัวของนางมนุษย์นั่นเพียงเสี้ยววินาที เขากลับสูญเสียพลังไปจนร่างจวนจะสลาย

ใบหน้าคมคร้ามอย่างชายที่เกิดในสมัยก่อนงุนงง ไม่ใช่ว่าเขาหลงลืมว่าคำสาปแช่งนี้มีอานุภาพรุนแรงเพียงใด แต่สิ่งที่เฑียรไม่เข้าใจก็คือเหตุใดพลังที่เขาสะสมมาตลอดหลายภพหลายชาติ จึงยังต่อสู้กับคำสาปแช่งที่ว่านั่นไม่ได้...หรือว่าภพนี้วรุณรักษ์ก็จะต้องพลัดพรากจากนางมนุษย์นั่นอีก

“นี่ยังไม่พออีกหรือ...”

ไร้ซึ่งเสียงตอบมาจากผู้ที่เฑียรร้องหาคำตอบ บางทีพลังของเขาอาจจะอ่อนแอจนไม่สามารถส่งข้อสงสัยไปถึงท่านที่อยู่เบื้องบนได้ นั่นจึงทำให้กามเทพหนุ่มหันไปมองหาตัวช่วย หวังว่าจะได้เจอสตรีนางหนึ่งซึ่ง ‘ควร’ จะอยู่ที่นี่กับเขาด้วย ทว่าส่งพลังออกไปเพียงไร ความหวังของเฑียรก็ริบหรี่ลงไปทุกที

รู้ว่าหากนางอยู่ที่นี่ด้วยเขาก็ย่อมต้องสัมผัสถึงพลังของนางอยู่แล้ว ยุพดีไม่ใช่กามเทพปลายแถวเหมือนเขา หากนางลงมาเคียงข้างนางมนุษย์ที่ชาตินี้ได้ชื่อว่าช้องนาง ไยเขาจะต้องเสียเวลาตามหา ที่ไม่เห็นก็เพราะนางไม่ได้อยู่บนภพนี้ด้วยต่างหาก

“ยุพดีเอ๋ย...ยุพดี...”

เฑียรส่งกระแสจิตออกไปตามหาเทพีสาว รอคอยอย่างเนิ่นนานเขากลับได้รับเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ทว่ากามเทพอย่างเขาก็ใช่ว่าจะย่อท้อ ยังคงเพียรตามหากามเทพอีกคนอย่างมุมานะ

“ยุพดี...เจ้าอยู่ที่ใด...”

เมื่อรออย่างอดทนแต่ก็ยังไร้สรรพเสียงตอบกลับมา เฑียรก็เริ่มจนใจที่จะตามหาเทพีสาว เขารู้จักยุพดีดีกว่าใครๆ ในฐานะผู้ที่รู้จักกันมานานและผู้ที่มีชะตากรรมร่วมกัน กี่ภพกี่ชาติที่มนุษย์ของเขาต้องพลัดพรากจากผู้ที่ถูกกำหนดมาให้เป็นเนื้อคู่ กามเทพและกามเทพอย่างเฑียรและยุพดีก็ต้องหวนกลับมาพบกันบ่อยเท่านั้น และทุกครั้งที่พบกันเฑียรก็รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของยุพดี รู้ว่านางนั้นถอดใจยอมแพ้ให้แก่คำสาปแช่งที่ติดตัวนางมนุษย์นั่นไปแล้ว

“กลับมาทำหน้าที่ของเจ้าเสียยุพดี หาไม่เราจะแจ้งพระพรหมท่าน”

“อย่ายุ่ง!”

เสียงกร้าวตอบกลับมาพร้อมพลังที่ซัดกระแทกจนร่างที่ซีดจางอยู่แล้วของเฑียรซีดจางยิ่งกว่าเดิม แต่มุมปากหนาของเขากลับค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแม้จะโดนยุพดีเล่นงาน แต่สุดท้ายเขาก็สามารถทำให้เธอโต้ตอบเขาได้เสียที

“กลับมาเถิด...แม่เทพีไม่เอางาน มาช่วยนางมนุษย์ของเจ้า”

 

กระจกเงาบานใหญ่ที่ถูกตั้งไว้ในห้องแต่งตัวของวรุณรักษ์นั้นสะท้อนร่างสูงของเขาเอง ซึ่งวันนี้อยู่ในชุดลำลองเรียบโก้ จะว่าสบายๆ ไหม ก็นับว่าสบายกว่าชุดทำงานที่เขามักจะสวมใส่ยามที่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก แต่ถามว่าดูเหมือนชุดที่เหมาะจะสวมใส่ในวันธรรมดาไหม...ราคาของมันก็อาจจะสูงเกินไปสักหน่อยสำหรับการซื้อมาใส่ในชีวิตประจำวัน แต่วรุณรักษ์ไม่สนใจ

เขาออกมาจากโรงพยาบาลหลังช้องนางเพียงหนึ่งวัน วรุณรักษ์ก็อนุญาตให้ตัวเองกลับมาทำงานและตากแดดดูแลดอกไม้ของเขาได้เหมือนปกติ แม้ว่าสหรัถผู้เป็นเลขาฯ จะทัดทานอยากให้เขาอยู่ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลให้แน่ใจก่อน แต่วรุณรักษ์กลับไม่สนใจจะฟัง ในเมื่อช้องนางไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะอยู่ที่นั่นต่อ สู้ออกมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไม่ดีกว่าหรือ

วันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับวรุณรักษ์ เพราะว่าเขากำลังจะไปดูบ้านของพ่อแม่ที่กำลังรีโนเวต และตั้งใจจะแวะไปไหว้อัศวินและเทวีที่อยู่บ้านหลังข้างๆ ด้วย ไม่อยากจะยอมรับ แต่เป้าหมายที่แท้จริงในใจของชายหนุ่มนั้นไม่ใช่แวะไปเพื่อทักทายเพื่อนของบิดา ทว่าอยากแวะไปที่บ้านนั้นเผื่อว่าจะได้พบคนหน้าหวานซึ่งอยู่บ้านหลังนั้นด้วยต่างหาก ถึงจะหวั่นๆ ว่าจะไปแล้วเก้อ แต่วรุณรักษ์ก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ

ร่างโปร่งเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เมื่อลงมาชั้นล่างของบ้านกลิ่นดอกไม้ก็ตลบอบอวลยิ่งกว่าตอนที่อยู่ชั้นบน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสวนดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ใกล้บ้านหรือเพราะเหตุผลใด วรุณรักษ์รู้เพียงว่าชั้นล่างของบ้านกลิ่นดอกไม้จะแรงกว่าที่อื่น โดยเฉพาะตรงโถงบันไดที่เชื่อมจากห้องรับแขกไปยังมุมเล็กๆ ที่มีเพียงโซฟายาวสำหรับอ่านหนังสือตั้งไว้ เป็นมุมที่มองออกไปจะเป็นสวนดอกไม้ที่เจ้าของบ้านเฝ้าทะนุถนอม ดูแลเองกับมือมาเป็นระยะเวลาหลายปี

ข้างนอกฝนยังตกปรอยๆ นั่นถือว่าเป็นวันที่อากาศสดใสสำหรับวรุณรักษ์แล้ว ชายหนุ่มยิ้มพรายออกมาพร้อมกับพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ แล้วบอกตัวเองเชิงให้กำลังใจว่าวันนี้คงเป็นวันที่ดีของเขาอีกวันแน่

“คุณวรุณครับ...”

เสียงห้าวอันคุ้นเคยนั้นทำให้วรุณรักษ์จำต้องเหลียวกลับไปมอง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าใครคือผู้บุกรุกถ้ำ ซึ่งหมีที่ชื่อวรุณรักษ์ใช้เป็นสถานที่จำศีลมาหลายปี

“มาทำไม” เจ้าของบ้านถาม คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความสงสัย จำไม่ได้ว่าเขานัดสหรัถให้มาที่บ้านวันนี้ “ฉันนัดนายหรือ”

“เอ่อ...คือว่า...” เลขาฯ หนุ่มเริ่มอึกอัก เหงื่อเม็ดโตผุดพรายที่ไรผมเมื่อโดนสายตาคมกริบของวรุณรักษ์จ้องมอง ชายหนุ่มไม่ใช่คนอารมณ์ร้ายก็จริงอยู่ แต่ใช่ว่าวรุณรักษ์จะโกรธไม่เป็น สหรัถรู้ดีกว่าใครว่าอารมณ์โกรธของวรุณรักษ์นั้นรุนแรงและอยู่นานเพียงใด ขนาดอาชวิณผู้เป็นบิดาแท้ๆ ของวรุณรักษ์ยังเกรงใจชายหนุ่ม นับประสาอะไรกับลูกน้องตาดำๆ อย่างเขา

“คือ...คุณผู้หญิงท่าน...”

“แม่สั่งให้เลขาฯ ลูกพาแม่มาเอง” พิมพ์ดาราที่ก้าวเข้ามาร่วมวงทีหลังสุดนั้นเอ่ยแทรกขึ้น นับว่าเป็นการช่วยชีวิตสหรัถเอาไว้อย่างเฉียดฉิว ทันทีที่ร่างบอบบางของคุณผู้หญิงแห่งบ้านพรหมวากรปรากฏตัว สหรัถก็วิ่งแผล็วหายออกไปจากห้อง ทิ้งเจ้านายเอาไว้กับมารดาที่คงความดุไม่แพ้ผู้เป็นลูกชาย “ก็ลูกหายออกมาจากโรงบาลดื้อๆ แม่ก็เป็นห่วงน่ะสิ”

“คุณแม่จะมาทำไมไม่โทร. มาก่อนครับ” วรุณรักษ์ถอนหายใจเสียงดัง ฟังเหตุผลที่มารดาเอ่ยมาแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่หมุนตัว เดินกลับเข้าไปยังส่วนที่เป็นห้องครัว

“นี่ลูกยังไม่ยอมจ้างแม่บ้านอีกหรือวรุณ อยู่คนเดียวลำบากแย่ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง เพื่อนบ้านก็ไม่มีกับเขา” พิมพ์ดาราไม่ตอบคำถามของบุตรชาย แต่เอ่ยถามวรุณรักษ์กลับเสียอย่างนั้น ใบหน้าซึ่งคงเค้าความงามจากสมัยสาวๆ หม่นราศีไปเล็กน้อยเมื่อ

เธอย่นจมูกใส่แผ่นหลังกว้างของบุตรชายเพียงคนเดียว ซึ่งตั้งแต่ย้ายออกมาอยู่เพียงลำพังจนป่านนี้แล้ว ยังยืนกรานที่จะไม่จ้างแม่บ้านไว้คอยดูแลทำความสะอาดบ้าน

“แม่จะมาทะเลาะกับผมเรื่องนี้หรือครับ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ส่งแก้วน้ำให้ผู้เป็นมารดาแล้วจึงถอยออกมามองพิมพ์ดาราด้วยแววตาที่อธิบายไม่ได้ เรื่องการจ้างแม่บ้านและเรื่องที่เขาเลือกที่จะสร้างบ้านเดี่ยวห่างไกลผู้คนนั้นถูกมารดาคัดค้านตั้งแต่เปรยให้ท่านฟัง ก่อนจะผ่านการโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนและหยาดน้ำตาของพิมพ์ดารา สุดท้ายก็ลงเอยด้วยชัยชนะของชายหนุ่มที่มีโลกส่วนตัวสูงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างวรุณรักษ์ เมื่ออาชวิณพยักหน้าสนับสนุนการตัดสินใจของบุตรชาย โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ‘ลูกเป็นคนอยู่ ลูกก็เลือกเองแล้วกัน’

“ไม่ได้ทะเลาะจ้ะ เพียงแค่พูดเพราะว่าเป็นห่วงเท่านั้น” พิมพ์ดาราจีบปากจีบคอว่า ค้อนบุตรชายอย่างขอไปทีหนึ่งครั้ง แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องเสียเมื่อเห็นสีหน้าของบุตรชาย “ตกลงว่ายังไง ทำไมจู่ๆ ถึงได้รีบร้อนออกจากโรงพยาบาลแบบนี้ แม่ตกใจแทบแย่ตอนที่อาหมอโทร. มาบอกว่าลูกเก็บข้าวของกลับบ้าน”

“ก็ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่ครับแม่ จะอยู่ให้เป็นภาระหมอเขาทำไม” วรุณรักษ์หัวเราะเบาๆ แต่แววตาของเขากลับเศร้าเกินกว่าที่จะทำให้ใบหน้าคมคายนั้นฉายแววความสุข รอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ นั้นทำได้เพียงทำให้ใบหน้าคล้ามของเขาอ่อนโยนกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้นเอง

“ก็น่าจะอยู่ต่ออีกสักวัน” พิมพ์ดาราถอนหายใจแรงๆ แล้วทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหารตัวที่ใกล้ที่สุด ปากก็บ่นไปตามประสาคนเป็นแม่ “นี่คุณป้าเทวีก็โทร. มาบ่นกับแม่ว่าหนูช้องก็หนีกลับบ้านไปก่อนเหมือนกัน ใจหายใจคว่ำกันทั้งบ้าน”

แค่ได้ยินชื่อของคนที่วรุณรักษ์อยากจะเจอ ดวงตาคมของเขาก็ฉายประกายบางอย่างออกมา ก่อนเขาจะซ่อนมันเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อหันมองมารดาประกายความรู้สึกที่ว่าก็ไม่มีให้เห็นแล้ว มีเพียงความไม่ยินดียินร้ายที่ประดับอยู่บนหน้าคมคายแทบจะตลอดเวลาเท่านั้น

“ช้องนาง...ลูกของคุณลุงอัศวินกับคุณป้าเทวี”

“รู้จักน้องด้วยหรือ วันนั้นไปยังไม่ทันได้เจอกันเลย” น้ำเสียงของพิมพ์ดารามีแววจับผิดระคนตื่นเต้นอยู่หน่อยๆ ด้วยปกตินั้นบุตรชายของเธอแทบจะไม่แยแสผู้หญิงคนไหนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาเลยด้วยซ้ำ หรืออาจจะมีแต่พิมพ์ดาราไม่รู้ก็ได้ แต่นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่วรุณรักษ์เอ่ยเรื่องผู้หญิงคนอื่นให้เธอได้ยิน ดังนั้นหัวอกคนเป็นแม่ที่อยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาใจจะขาดอย่างพิมพ์ดาราจึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

“ตอนที่คุณลุงอัศวินกับคุณป้าเทวีมาเยี่ยมผม ท่านบอกว่าลูกสาวท่านรักษาตัวอยู่ที่ห้องข้างๆ ครับ” วรุณรักษ์เล่าเท่าที่จำเป็น ต่อให้เป็นแม่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่สะดวกใจที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวของเขาให้ท่านฟังทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อช้องนางและความรู้สึกอันรุนแรงที่เขามีต่อเธอ

วรุณรักษ์ยังไม่พร้อมที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้ใครฟังทั้งนั้น ตราบใดที่เขายังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง

“อ้อ แบบนี้นี่เอง” คนเป็นเพื่อนของเทวีและอัศวินพยักหน้ารับรู้ นึกเคืองเพื่อนทั้งสองอยู่นิดๆ ที่ไม่เล่าเรื่องที่พวกเขาแวะไปเยี่ยมวรุณรักษ์ให้ฟัง ถ้ารู้ก่อนละก็เธอคงแวะไปเยี่ยมลูกสาวของบ้านนั้นบ้าง “แม่เคยเห็นครั้งสองครั้ง หน้าตาน่ารักนะหนูช้องนางคนนี้”

วรุณรักษ์ยิ้มมุมปากนิดๆ รู้ว่าเจตนาที่แท้จริงของมารดานั้นต้องการอะไร ความพยายามจับคู่ให้เขาของมารดาใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดหลายต่อหลายครั้งแล้วต่างหาก และทุกครั้งก็ลงเอยด้วยการที่เขาจะตัดการติดต่อกับท่านไปเป็นเดือนๆ

แต่ก็เหมือนว่าพิมพ์ดาราจะไม่คิดยอมแพ้เรื่องนี้ ยิ่งเห็นว่าบุตรชายนิ่งเฉยพิมพ์ดารายิ่งได้ใจ เล่าเรื่องของช้องนางต่ออย่างติดลม ซึ่งก็ตรงกับความใคร่รู้ของคนอยากฟังแต่ไม่อยากถามให้เสียหน้าอย่างวรุณรักษ์พอดิบพอดี

“ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันแค่นี้...เป็นคนกันเองแท้ๆ แต่ลูกกับน้องไม่ได้เจอกันเลยสักครั้ง” คำพูดนี้เหมือนบ่นวรุณรักษ์มากกว่า “นี่ถ้าลูกออกงานเป็นเพื่อนแม่ก็คงได้เจอใครต่อใครแล้ว นี่นะ หนูช้องนางเขาไปเรียนอังกฤษหลังลูกไม่กี่ปีเองรู้ไหม คลาดกันนิดเดียว...”

“เหรอครับ”

“จริงสิ ลูกกลับมาน้องเขาก็บินไปเรียนต่อเลย แม่ละเสียดาย ใจจริงนะอยากให้รู้จักกันเอาไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ช่วยเหลือเรื่องงานกันได้ หนูช้องน่ะเขาเพื่อนฝูงเยอะ...”

“ไม่เหมือนกับผมสินะครับ” คนเพื่อนน้อยมากถึงมากที่สุดนั้นหัวเราะหึๆ ในลำคอ ทว่าแววตากลับเข้มขึ้นอย่างลึกลับ จนคนที่เพิ่งเยินยอลูกสาวของเพื่อนเพลินรู้สึกผิด จึงกระแอมเบาๆ หวังให้บรรยากาศดีขึ้น

“ดูเหมือนว่าใครๆ จะรักน้องคนนี้กันมากนะครับ”

“หนูช้องนางน่ะเป็นเด็กน่ารัก” เสียงเข้มจัดของบุตรชายนั้นไม่ได้ทำให้พิมพ์ดาราเอะใจอะไร แม้แต่สรรพนามที่วรุณรักษ์ใช้เรียกช้องนางอย่างสนิทสนมทั้งที่ยังไม่เคยเจอกันมาก่อนก็ไม่ได้สะกิดใจคนฟัง ด้วยมัวแต่คิดถึงข้อดีของเด็กสาวที่หวังมานำเสนอ เผื่อวรุณรักษ์จะเปิดใจให้สาวหน้าหวานคนนี้บ้าง “พูดจาเพราะ รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ แถมยังชอบเข้าวัดทำบุญ”

หากเป็นเมื่อก่อนนี้อย่าหวังเลยว่าวรุณรักษ์จะเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของมารดา แต่นี่เขาได้ยินมาเองกับหูว่าช้องนางมีแผนจะตระเวนทำบุญถึงสามวัน ข้อที่ว่าหญิงสาวชอบเข้าวัดทำบุญก็น่าจะนับว่าเป็นเรื่องจริง สำหรับวรุณรักษ์แล้วเขาไม่ได้สนใจข้อดีหรือข้อเสียอะไรในตัวของผู้หญิงที่ชื่อช้องนางเลยสักนิด เพราะอย่างไรเสียความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอก็จะไม่มีทางเปลี่ยน

เขามั่นใจ...มั่นใจมากว่าอย่างไรเสียความรู้สึกไร้ที่มาที่ไปนี้ก็จะอยู่กับเขาไปตราบนานเท่านาน อาจจะนานจนกว่าเขาจะหาคำตอบให้ตัวเองได้นั่นแหละว่าไอ้ความรู้สึกที่เขามีให้เธอมันคืออะไรกันแน่

“แม่ยังไม่เลิกคิดจะจับผมใส่พานให้ลูกของเพื่อนแม่อีกหรือครับ” เสียงห้าวนั้นเอ่ยเรื่อยๆ ไม่มีอารมณ์ในน้ำเสียง พิมพ์ดาราจึงเพียงมองค้อนบุตรชายพอเป็นพิธีก่อนจะจีบปากจีบคอพูดต่อ

“ก็แม่รอให้ลูกพาแฟนมาไหว้ไม่ไหวแล้วนี่”

“ก็มันไม่มีนี่ครับ แฟนน่ะ” วรุณรักษ์ว่ายิ้มๆ ก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ลอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเสียดาย พิมพ์ดาราไม่มีท่าทีว่าจะกลับเร็วๆ นี้ เห็นทีแผนการไปเยี่ยมพ่อแม่สาวคงจะล่มไม่เป็นท่าเสียแล้ว

“แล้ววันนี้แม่มีอะไรหรือครับ ทำไมถึงได้แวะมาได้”

จะเรียกว่าแวะก็คงจะไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าพิมพ์ดาราตั้งใจที่จะมาบ้านของวรุณรักษ์โดยที่ไม่แจ้งให้เจ้าของบ้านรู้ล่วงหน้าก่อน ก็เพราะเธอกลัวว่าหากวรุณรักษ์รู้ก่อนเขาจะไม่ให้เธอเข้ามาพบ วันนี้ถ้าไม่ขู่เข็ญเลขาฯ ของวรุณรักษ์ให้พามา ก็อย่าหวังว่าเธอจะเข้าถึงตัวคุณชายบ้านพรหมวากรได้

“ทำไมจ๊ะ แม่แวะมาหาบ้างไม่ได้หรือ หรือว่าจะให้แม่เจอหน้าได้เฉพาะตอนเข้าบริษัท” พิมพ์ดาราเหล่มองหน้าคมที่นับวันยิ่งขาวซีดเหมือนไม่เคยออกไปข้างนอกให้ผิวต้องแสงแดดประเทศไทย

“เดี๋ยวนี้ผมคงไม่ค่อยได้เข้าบริษัทแล้วละครับ” วรุณรักษ์ไม่ได้สะทกสะท้านที่โดนมารดากระแนะกระแหน หากท่านไม่ค่อนขอดเขาสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก “คงให้รัถดูแลไป น่าจะได้แวะเข้าไปดูแค่โรงงาน แล้วตกลงว่าแม่มีอะไรครับ”

“ก็ที่วัดเขาโทร. มาบอกว่าหลวงตากลับจากธุดงค์แล้วถามหาลูก” พิมพ์ดาราบอกเรื่องธุระที่ทำให้เธอแจ้นมาหาวรุณรักษ์ถึงที่บ้าน ใบหน้าคมคายเองก็เผยความจริงจังให้เห็นเมื่อมารดาเอ่ยถึงพระสงฆ์ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยใช้นามสกุลเดียวกับเขา ก่อนจะละทางโลกแล้วหันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หลังจากบุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างพิมพ์ดาราเข้าพิธีวิวาห์ ถึงแม้จะชราภาพมากแล้ว แต่ ‘หลวงตาเพิ่ม’ ก็ยังแข็งแรงและยังออกธุดงค์ให้ลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นห่วงอยู่เสมอ

“ถามหาผมหรือครับ” วรุณรักษ์เลิกคิ้วนิดๆ อย่างแปลกใจ

ปกติหลวงตาเพิ่มไม่ค่อยถามหาคนในครอบครัวสักเท่าไหร่ นี่หากแม่ไม่สั่งเด็กวัดให้โทร. มาบอกเวลาหลวงตากลับวัด คนที่บ้านก็คงจะไม่รู้หรอกว่าท่านกลับมาจากธุดงค์เมื่อไหร่

“ก็ใช่สิจ๊ะ ถ้าท่านไม่ถามหาลูก แม่คงไม่กล้าถ่อมาถึงนี่หรอก”

วรุณรักษ์ฟังแล้วก็ได้แต่เม้มปากเป็นเส้นตรง หน้าเคร่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความลังเลระคนเสียดาย ที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้แวะไปบ้านเทวารักษ์เพื่อแนะนำตัวกับผู้ใหญ่อย่างที่เคยบอกพวกท่านไว้ เพราะคนที่ถามหาเขาเป็นหลวงตาเพิ่ม จะอย่างไรวรุณรักษ์ก็คงบ่ายเบี่ยงหาทางเลี่ยงที่จะไม่ไปพบท่านไม่ได้ รู้ว่าหากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรท่านคงไม่ออกปากถามหาตน

ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุดเมื่อตัดสินใจได้ “เดี๋ยวผมจะขับรถไปอยุธยาครับแม่”

 

ช้องนางไม่อยากเชื่อเลยว่าเกศราจะผิดคำพูดกับเธอ!

ร่างบอบบางที่อยู่หลังพวงมาลัยคิดกับตัวเองระหว่างเหยียบคันเร่ง พร้อมกับเข่นเขี้ยวและคาดโทษเพื่อนรักที่กำลังจะโดนเธอปลดออกจากตำแหน่งในเร็ววันนี้ เหตุเพราะเบี้ยวนัดเธอบ่อยเหลือเกิน

ยายเพื่อนทรยศ! ไม่รู้ว่าติดธุระจริงๆ หรือมุสาเธอกันแน่ เกศราน่ะชอบโกหกเธอ ยิ่งหลังจากมีพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวเข้ามาในชีวิต คนสวยแต่อาภัพอย่างช้องนางก็ยิ่งโดนเกศราเบี้ยวนัดบ่อยยิ่งขึ้น

นั่นไง...คิดถึงก็โทร. มาพอดีเลย อายุยืนจริงๆ

“ว่าไงยะ เปลี่ยนใจจะมาทำบุญกับฉันแล้วหรือไง” ช้องนางเอ่ยเสียงดังลั่นห้องโดยสารรถคันน้อยของตน ก่อนจะกลอกตาเมื่อเสียงหวานของเพื่อนสนิทดังลอดออกมาทางลำโพงรถ

“อ้าว ฉันนึกว่าแกทำบุญเสร็จแล้ว ว่าจะมาชวนไปทานข้าวเย็น เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” เสียงปลายสายนั้นบอกชัดว่าไม่มีเรื่องทำบุญของช้องนางอยู่ในหัว ทำเอาผู้ที่ทำบุญมากกว่าทำงานนั้นหน้ายุ่ง หากเกศรานั่งอยู่ด้วยกันในรถ ช้องนางก็คงมองค้อนเพื่อนจนคอหลุดออกจากบ่าไปแล้ว

“แหมๆ” ช้องนางว่าเสียงแหลม ขณะหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในวัดเล็กๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียง หญิงสาวมักจะทำเช่นนี้เสมอเวลาทำบุญ นั่นก็คือการตระเวนขับรถไปเรื่อย เจอวัดที่ไหนก็ทำที่นั่น ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องทำบุญกับวัดที่มีชื่อเสียง ด้วยเหตุผลว่าลึกๆ นั้นหญิงสาวก็ไม่สบายใจในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับพุทธพาณิชย์ที่สมัยนี้ทำกันจนเป็นล่ำเป็นสัน บางวัดก็มีเงินหมุนเวียนเป็นสิบๆ ล้าน จึงขอเลือกทำบุญในวัดเล็กๆ แบบนี้สบายใจกว่า

“เลี้ยงข้าวไถ่โทษที่เบี้ยวนัดฉันน่ะหรือนังตัวดี”

“ก็ใช่น่ะสิ” ฝ่ายนั้นยอมรับง่ายๆ รู้ตัวดีว่าเธอเป็นคนผิดเรื่องที่เบี้ยวนัดช้องนางในวันนี้ แต่จะให้เธอทำอย่างไร ในเมื่องานที่บริษัทของเธอมันรอไม่ได้จริงๆ นี่ลูกน้องก็ยังจะมาลาพักร้อนอีก “แล้วตกลงว่าจะไปไหม หรือว่าจะเล่นตัวอีกจ๊ะคุณช้อง”

“ไปสิยะ” คนที่เกลียดการทานข้าวคนเดียวเข้าไส้เข้าพุง แต่ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากไม่มีแฟนเหมือนคนอื่นเขานั้นรีบตกปากรับคำ ก่อนร้องบอกเพื่อน “แป๊บนึงนะไอ้เกด ฉันจอดรถก่อน”

“ได้สิ”

ช้องนางจัดการจอดรถใต้ร่มไม้ใหญ่ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือต้นอะไร ก่อนจะดับเครื่องแล้วหยิบมือถือขึ้นมาแนบหู ตามด้วยหยิบกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองติดมือมาอีกอย่าง สุดท้ายก็ก้าวลงไปจากรถ

“มาละ”

“ตกลงไปนะ ฉันจะได้จองร้าน วันนี้อยากกินอาหารญี่ปุ่น ไม่ได้ทานอาหารญี่ปุ่นมาจะสองอาทิตย์แล้วเนี่ย” เกศราขอคำตอบอีกครั้ง ช้องนางฟังแล้วก็ได้แต่กลอกตาไปมา เกศราเอ่ยราวกับว่าเธอจะมีคำตอบอื่นนอกจากตกลงอย่างไรอย่างนั้น

“แล้วใครใช้ให้แกถ่อไปอาบแดดถึงสเปนล่ะไอ้เกด” ช้องนางอดแขวะเพื่อนที่รวยมากจนหนีไปอาบแดดที่สเปนไม่ได้จริงๆ “กลับมาก็บอกว่างานยุ่งอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าช่วงนี้แกไปไหนกับใครบ้าง”

“แล้วไง ฉันจะไปไหนกับใครไม่ได้เหรอ ต้องขอแกอนุญาตก่อนหรือไง ฉันสามสิบห้าแล้วนะไอ้ช้อง ไม่ใช่อายุสิบห้า” เกศราไม่ยักจะหวั่นเมื่อโดนช้องนางจับผิด

“เบื่อๆ” คนที่อายุสามสิบห้าเหมือนเกศรานั้นหน้าง้ำ หากไม่ได้อยู่ในวัดช้องนางคงกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความขัดใจไปแล้ว “แค่นี้นะ ฉันจะไปทำบุญแล้ว”

“สรุปว่าไปนะ กลับมาก่อนทุ่มไหม”

“จะพยายามไปให้ทันแล้วกัน” ช้องนางตอบก่อนจะตัดสายเพื่อนสนิท ถอนหายใจแรงๆ กับตัวเองแล้วจึงทิ้งมือถือลงในกระเป๋า จากนั้นเดินอ้อมมาเปิดกระโปรงท้ายรถเพื่อหยิบสังฆทานที่เตรียมเองกับมือออกมา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อีกครั้งที่เธอทำเวลาไม่ได้ตามเป้า ทั้งที่ตั้งใจว่าจะทำบุญให้ครบสิบเอ็ดวัดก่อนบ่ายโมง แต่นี่จวนจะบ่ายสามแล้วเพิ่งถึงวัดที่สิบเอ็ด ไม่รู้ว่าจะขับรถถึงกรุงเทพฯ ก่อนเวลาที่รับปากเกศราไว้หรือไม่

“พี่มาหาหลวงตาหรือ หลวงตาอยู่ที่กุฏิริมน้ำโน่น...” เด็กชายร่างผอมที่สวมเสื้อบอลร้องตะโกนมาจากเบื้องหลัง ทำให้คนที่ตั้งใจจะมาทำบุญนั้นเหลียวกลับไปมองก่อนจะเลิกคิ้วสูง เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กชายที่...คุ้นตาแปลกๆ แต่ไม่รู้ว่าเคยเจอเขาที่ไหน แต่พอตรองดูอีกทีช้องนางก็ยิ้มกับตัวเองในใจ

เธอจะเคยพบเขาได้อย่างไร ในเมื่อเธอมาที่วัดนี้เป็นครั้งแรก

“พี่มาทำบุญ” ช้องนางบอกด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร พลางมองตามทิศทางที่เด็กชายซึ่งน่าจะอายุราวๆ สิบสามสิบสี่ปีชี้บอก “ต้องไปหาพระที่กุฏิหรือ”

“ใช่ครับ หลวงตาเพิ่งกลับจากธุดงค์”

“แล้วพระรูปอื่นล่ะ” ช้องนางขมวดคิ้ว เกรงว่าการมาของเธอจะรบกวนพระสงฆ์องค์เจ้า ยิ่งท่านเพิ่งกลับมาจากธุดงค์ด้วยท่านก็คงอยากจะพักผ่อน

“ไม่มีหรอกพี่ วัดนี้มีหลวงตาเพิ่มรูปเดียว” เด็กชายส่ายหน้าเบา แล้วจ้องช้องนางด้วยแววตาที่อธิบายไม่ถูก

“พี่มาถูกเวลา ท่านรอพี่อยู่...”

กริ๊ง...

มือถือในกระเป๋าดังขึ้นขัดจังหวะ ช้องนางจึงจำต้องละสายตาจากเด็กชายพลางควานหามือถือด้วยมือข้างเดียว เพราะอีกข้างหิ้วสังฆทานอยู่ ทว่ากว่าจะควานหามือถือเจอแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็อยู่เพียงลำพังแล้ว

สายลมพัดผ่านมาพร้อมเสียงหวีดร้องเบาๆ ชวนให้ขนบนตัวของช้องนางลุกเกรียว ไม่มีอารมณ์รับมือถืออีกต่อไป หญิงสาวมองหาเด็กวัดคนเมื่อครู่ เผื่อว่าเธอจะหลอนไปเองคนเดียว ก่อนจะพบกับความว่างเปล่า หญิงสาวจึงกวาดตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง มั่นใจว่าหากเด็กคนนั้นเป็นคนเขาก็ต้องอยู่แถวนี้แน่ ไม่มีทางที่คนปกติจะเดินไปไหนได้เร็วและเงียบขนาดนี้ เว้นแต่ว่าเขาเป็น...

“พี่!”

“ตาย! แม่ร่วง!” ช้องนางร้องลั่น เกือบจะปล่อยสังฆทานร่วง แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ทัน เมื่อสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ได้แล้วหญิงสาวจึงลืมตาขึ้นมาถลึงตาใส่เด็กวัดคนเดิม ก่อนว่าเสียงเขียว “ใจหายใจคว่ำหมด เด็กบ้า! แล้วเมื่อกี้นี้หายไปไหน พี่เกือบนึกว่าเราเป็นผีแล้วรู้ไหม”

“ผมคลานไปจับแมวใต้รถพี่ไง” เด็กชายชูลูกแมวในมือให้ช้องนางดูเป็นหลักฐานการหายตัวของเขาเมื่อครู่นี้ “มันชอบมุดไปอยู่ใต้รถบ่อยๆ ถ้ามีคนมาต้องคอยระวัง ไม่อย่างนั้นคงเดือดร้อนพี่ต้องขับรถพามันมาส่งที่วัดอีก”

ช้องนางขมวดคิ้ว เธอไม่ได้รักสัตว์เท่าไรก็จริง แต่หากเจ้าลูกแมวตาใสตัวนี้ติดรถไปด้วยจริง เธอก็คงจะฝืนใจเลี้ยงเอาไว้ดูเล่น ไม่ถ่อกลับมาอยุธยาให้เสียเวลาเป็นวันๆ หรอก

แต่ช้องนางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป หญิงสาวเพียงปรายตาเจ้าแมวตาใสตัวน้อยอยู่เสี้ยววินาทีก่อนถอนหายใจ แล้วถามต่อ

“ตกลงว่ากุฏิริมน้ำไปทางไหน”

“เดินไปทางนั้นครับ” เด็กชายชี้นิ้วไปทางทิศทางที่เขาเคยชี้ให้ช้องนางดูก่อนหน้า แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่เขาอธิบายเพิ่มให้ผู้ที่มาเยือนวัดป่าครั้งแรก “เดินเลียบน้ำไปก็เจอ ไม่ยากหรอกครับ”

“อ้าว แล้วนั่นจะไปไหน”

“ไปทำงานสิครับ เดี๋ยวหลวงตาดุ” พูดจบแล้วเด็กชายร่างผอมก็เดินอุ้มแมวหายไปอีกทาง ทิ้งให้ช้องนางขมวดคิ้วอยู่กับตัวเองคนเดียว ก่อนจะเหลียวมองรอบตัวอีกครั้งด้วยความระแวงที่ลดน้อยลง แต่ก็ใช่ว่าจะหายกลัวไปเลยทีเดียว

ก็แหม...วัดป่าแบบนี้เขาว่ากันว่าทั้งขลังทั้งผีดุ ไม่กลัวก็บ้าแล้ว...

 

“แม่บอกว่าหลวงตาถามหาผมหรือครับ” วรุณรักษ์นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นกุฏิของหลวงตาเพิ่ม ที่เขามาเคยมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่จำความได้วัดป่าแห่งนี้ก็เป็นที่พำนักของหลวงตา หากพ่อหรือแม่อยากเจอท่านก็มักจะหิ้วเขามาด้วยตลอด กระทั่งถึงวันที่วรุณรักษ์

ต้องบวช ชายหนุ่มก็เลือกมาบวชที่วัดป่าแห่งนี้ จากแขกประจำของวัดก็กลายเป็นคนคุ้นเคย เรียกว่าหลังจากสึกก็แทบจะกลายเป็นเด็กวัดคนหนึ่งไปโดยปริยาย

“แม่เขาคงหาเรื่องมากกว่า อาตมาจะถามหาเราไปทำไม” พระสงฆ์ที่ชราภาพมากแล้วหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่า ตาฝ้าฟางนั้นมองผ่านร่างสูงของหลานชายที่ตอนนี้อายุแตะเข้าวัยกลางคนมาแล้วไปยังร่างสูงอีกร่างที่วันนี้ซีดจางกว่าครั้งก่อนที่ท่านเจอ จนอดที่จะขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“ไปทำอะไรมาล่ะนั่น” คำถามนี้ไม่ได้เอ่ยถามวรุณรักษ์ แต่ถามผู้ที่มาพร้อมกับเขา ทว่าวรุณรักษ์ไม่รู้ตัวมามีคนอื่นนอกจากเขาและหลวงตาเพิ่มอยู่บริเวณนั้น วรุณรักษ์จึงเอ่ยตอบหลวงตาเพิ่มอย่างพาซื่อ

“ไม่ได้ทำอะไรครับ...ก็อยู่บ้าน ทำงานเหมือนเดิม...”

“เราลองแล้ว...คำสาปบนกายนางมนุษย์นั่นยังรุนแรงนัก แต่วรุณรักษ์ก็ได้พบหน้านาง” เฑียรประนมมือไหว้มนุษย์ที่อยู่ในเพศบรรพชิต แสงที่เรืองรองออกมาจากร่างของผู้ที่วรุณรักษ์เรียกขานว่าหลวงตานั้น ทำให้กามเทพหนุ่มรู้ได้ว่าพระสงฆ์รูปนี้ถือศีลอย่างเคร่งครัดมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ หาใช่เพียงห่มผ้าเหลืองคลุมกายแล้วยังประพฤติชั่วช้า

“อย่างนั้นหรือ” หลวงตาเพิ่มพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้แสดงออกว่าตอบรับคำพูดของวรุณรักษ์หรือเฑียร

“นางมนุษย์นั่น...กำลังมา...” เฑียรกระซิบบอกพระสงฆ์ตรงหน้าผ่านกระแสจิต ฝ่ายนั้นพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเงยหน้ามองก้อนเมฆทะมึนด้านนอกกุฏิที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนออกไปจากบริเวณวัด ทำให้บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเมื่อครู่สว่างจ้าและร้อนระอุขึ้นมา ดีที่กุฏิตั้งอยู่ติดแม่น้ำจึงไม่ร้อนเท่าใดนัก กอปรเป็นวัดป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาจึงร่มเย็นจนใครที่แวะเวียนมามักติดใจ นั่งสนทนากับพระสงฆ์อยู่นานสองนานไม่อยากกลับบ้าน

“วันนี้ฝนไม่ยักตกนะวรุณ” หลวงตาเพิ่มทักด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนมันจะหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

“หรือครับ” วรุณรักษ์ไม่ทันสังเกตถึงสิ่งปกติที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มพลอยหันออกไปมองก้อนเมฆที่กำลังเคลื่อนออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดวันนี้ฝนจึงไม่เทลงมาเหมือนทุกครั้ง “แปลกจังนะครับหลวงตา ปกติไม่เคยพลาด”

“นั่นสิ แปลก...ปกติเราย่างเท้าไปไหนฝนก็ตกที่นั่นจนต้องตั้งให้ชื่อว่าวรุณ” ท่านว่าพลางหัวเราะร่วนเมื่อคิดถึงวันที่พิมพ์ดาราและอาชวิณอุ้มเด็กทารกมาหา จำได้ว่าวันนั้นเกิดพายุใหญ่ ทั้งฟ้าทั้งฝนจนท่านต้องให้ชื่อเด็กชายว่าวรุณรักษ์...อย่างที่เฑียรกระซิบบอก

“ไม่รู้ว่าเพราะชื่อที่หลวงตาตั้งให้หรือเปล่านะครับ มันเลยเป็นแบบนี้...ไม่หายสักที” ชายหนุ่มบ่น ยิ้มไม่ออกเสียทีเดียวเมื่อพูดเรื่องฝนประหลาดที่ตามเขาไปทุกที่ ไม่ว่าจะย่างเท้าไปที่แห่งไหน...ใกล้หรือไกลก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงหยาดพิรุณได้

“ก็หายแล้วไงนี่” หลวงตาเพิ่มชี้ให้ดูแสงแดดจ้าด้านนอกกุฏิ หัวเราะนิดๆ ก่อนเอ่ยต่อ “ไม่สังเกตหรือวรุณ”

“แปลกนะครับ ปกติไม่เป็นอย่างนี้” วรุณรักษ์ขมวดคิ้วมุ่น มั่นใจว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมีหรือท้องฟ้าจะสว่างสดใสแบบนี้ หรือว่าเกิดอาเพศอะไรขึ้นกับชีวิตเขา

“พูดอย่างนี้อยากให้ฝนตกมากกว่าหรือวรุณ” หลวงตาเพิ่มเหลือบตาขึ้นมองหลานชาย ยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนเอ่ยต่อ “แต่ก่อนพอฝนตกก็บ่นอย่างกับอะไร แม่เขามาบ่นให้ฟังว่าเราซื้อบ้านอยู่ชานเมืองเพราะเกลียดรถติดเวลาฝนตกเชียวนะ ตอนนี้ฝนไม่ตกแล้วไม่ดีใจหรือไง”

“ก็ดีใจครับหลวงตา แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำจู่ๆ ฝนถึงไม่ตก มันแปลก...” ชายหนุ่มพึมพำ เชิงพูดกับตัวเองมากกว่าตอบโต้กับหลวงตาเพิ่ม

“นางมนุษย์นั่น...มาแล้ว” เฑียรหันหน้าไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ถึงคำสาปที่ติดตัวของช้องนางมาเนิ่นนาน กามเทพหนุ่มถอนหายใจอย่างปลงตก รู้ว่าตนไม่ควรรู้สึกอาลัย ไม่ควรรู้สึกเวทนาคนทั้งคู่ แต่ยิ่งเขาตามติดทั้งคู่มานานเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะห้ามไม่ให้สงสารพวกเขา

“พวกเขาจะเจอกันไม่ได้...พลังของเราเหลือน้อยเต็มที”

“พระไม่ยุ่งเรื่องทางโลก มันไม่ใช่กิจของสงฆ์” หลวงตาเพิ่มพูดเบาๆ มีรอยยิ้มเย็นๆ ปรากฏบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา ทว่าวรุณรักษ์กลับขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าที่หลวงตาเอ่ยมาเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร

ก่อนที่วรุณรักษ์จะได้มีโอกาสเอ่ยปากถาม จู่ๆ มือถือในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของเขาก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มรีบล้วงขึ้นมาเพื่อดูว่าใครเป็นคนโทร. มารบกวนเวลาพักผ่อนของเขา ก่อนจะลอบถอนหายใจนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นเลขาฯ ของตน คงไม่พ้นเกิดเรื่องที่บริษัทแน่...

“ไปรับโทรศัพท์เถอะวรุณ แขกของอาตมากำลังมา” หลวงตาเพิ่มพยักพเยิดไปที่ประตูด้านหลังที่อยู่เยื้องไปทางขวา ซึ่งเป็นประตูที่สามารถทะลุออกไปที่ท่าน้ำด้านหลังได้ “คงไม่ว่างอีกพักใหญ่เลย”

“ครับหลวงตา” วรุณรักษ์ก้มลงกราบหลวงตาเพิ่มก่อนจะคลานเข้าออกไปทางประตูด้านหลังด้วยความคุ้นชิน

พ้นหลังชายหนุ่มออกไปไม่นาน หน้าประตูกุฏิก็ปรากฏร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งยืนละล้าละลังอยู่หน้าประตูคล้ายรออยู่นานแล้ว แต่ไม่กล้าเดินดุ่มๆ เข้าไปในกุฏิด้วยกลัวข้อครหา จึงทำได้แต่เมียงมองอยู่หน้าประตูแล้วเงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยเบาๆ อยู่นาน สุดท้ายช้องนางจึงตัดสินใจที่จะยื่นหน้าไปดู ว่านอกจากร่างผอมเกร็งของพระสงฆ์ที่ชราภาพมากแล้ว เจ้าของเสียงทุ้มอีกคนคือใครกันแน่ เพราะเสียงนุ่มนั้นฟังดูคุ้นหูเหลือเกินในความรู้สึกของเธอ เหมือนกับว่าได้ยินมันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าหญิงสาวก็ต้องขมวดคิ้วหลังกวาดตาดูแล้วเธอกลับเห็นเพียงพระสงฆ์กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเพียงลำพัง

“นิมนต์ค่ะหลวงตา” ช้องนางประนมมือ หลังทรุดกายลงนั่งพับเพียบอยู่แทบพื้นหน้าประตู ไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านในกุฏิเพราะเธอมาเพียงลำพัง

“อ้าว มาแล้วหรือโยม” หลวงตาเพิ่มร้องทักหญิงสาว ซึ่งคำนวณเอาจากสายตาน่าจะอ่อนวัยกว่าผู้เป็นหลานชายของท่าน ภิกษุเฒ่าพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น คว้าไม้เท้าเพื่อช่วยพยุงตัวแล้วเดินออกมาจากกุฏิ ปากก็กล่าวด้วยความยินดี

“ดีๆ มาเร็วดีนะคราวนี้”

“ขา?” ช้องนางรีบลุกขึ้นแล้วเดินลงมารอที่ลานหน้ากุฏิ ถอยห่างจนอยู่ในระยะที่เธอคิดว่าเหมาะสมแล้วระหว่างรอให้หลวงตาก้าวไปนั่งบนแคร่ไม้ด้านหน้าก่อน พลางเม้มปากแน่นเพื่อสะกดความสงสัยของตนเอาไว้ บอกตัวเองให้อดทน...อดทน

“เอ้า นั่งก่อนสิโยม”

“ค่ะ หลวงตา” ช้องนางได้แต่ยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนค่อยๆ ย่องไปนั่งที่ขอนไม้ที่ถูกตัดกิ่งก้านทั้งหัวท้ายแล้ววางเอาไว้แทนเก้าอี้ แอบย่นจมูกในใจอย่างไม่ชอบใจเล็กน้อย รู้อยู่หรอกว่าที่นี่เป็นวัดป่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะลำเค็ญจนถึงขั้นขาดแคลนเก้าอี้นั่งอย่างนี้

“มาไกลเลยนะโยม” หลวงตาเพิ่มทักหญิงสาวก่อนอีกครั้งด้วยรอยยิ้มกว้าง จนดวงตาที่เปลือกตาเหี่ยวย่นคล้อยมาแทบจะถึงโหนกแก้มนั้นหรี่แคบลงกว่าเดิม “ลมอะไรหอบมาไกลถึงนี่ล่ะ”

“อ้อ...หนูมาทำบุญค่ะ” ช้องนางกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจสิ่งที่ภิกษุตรงหน้าเอ่ยเท่าไร แต่หญิงสาวก็พยายามจับใจความให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระทั่งท่านถามเรื่องว่าลมอะไรหอบมานี่แหละเธอจึงพอจะมีคำตอบให้ท่าน ไม่ใช่นั่งอ้าปากเหวอมองท่านตาปริบๆ

“มาถึงนี่เลย?”

“ค่ะ ขับรถมาเรื่อยๆ ก็ถึงนี่เลย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น