3

บทที่ 3 โลกกลม...พรหมลิขิต



3

โลกกลม...พรหมลิขิต

 

มุมปากของหลวงตาเพิ่มกดลึกลงอย่างมีลับลมคมใน แต่ช้องนางเลือกที่จะปล่อยผ่านไปเสีย อีกทั้งวันนี้เป็นวันที่เธอตั้งใจจะมาทำบุญ ไม่อยากให้สิ่งใดทำให้เธอไขว้เขวไปจากความตั้งใจแรกที่ก้าวออกมาจากบ้าน ร่างบอบบางขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนร่างในจีวรสีกรักจะเป็นผู้ทำลายความเงียบ

“มาคนเดียวหรือโยม”

“ค่ะ” ช้องนางประนมมือขึ้นจดอกก่อนตอบ พยักหน้าเล็กน้อยก่อนอธิบาย “พอดีเพื่อนไม่ว่าง หนูเลยขับรถมาคนเดียวค่ะ พอดีเจอเด็กวัดที่ลานจอดรถ เขาบอกให้มาหาหลวงตาที่นี่ค่ะ”

“เจอเจ้าโชคมันด้วย โชคดีเหมือนกันนะโยม ปกติมันไม่ค่อยออกมาให้ใครเจอหรอก...”

คำพูดนั้นเหมือนมีความหมายแอบแฝงอย่างไรชอบกลในความรู้สึกของคนฟัง ไหนจะรอยยิ้มขบขันและประกายในดวงตาของท่านอีกทำให้ช้องนางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและนิ่วหน้า เธอมาวัดแล้วเจอเด็กวัดมันจะแปลกอะไร หรือว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คน!

“ขลุกอยู่หลังวัดโน่น...”

“โธ่ หลวงตา...” ช้องนางผ่อนลมหายใจออกมาหลังจากได้ยินคำพูดสุดท้ายนั่น “อย่าเว้นวรรคแบบนี้สิคะ หนูใจหายใจคว่ำหมด นึกว่าโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ เสียแล้ว”

“อ้าว กลัวผีกับเขาด้วยหรือ”

“ก็ต้องกลัวสิคะ” หญิงสาวว่าเสียงดังฟังชัด เธอเป็นแค่คนธรรมดามีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนาเท่านั้น เรื่องผีสางเทวดาก็ต้องหวั่นๆ อยู่บ้างแหละ “หนูไม่ใช่หมอผีนี่คะจะได้ไม่กลัวผี”

“ฮ่าๆ เออๆ ตรงดี” หลวงตาเพิ่มหัวเราะจนน้ำหมากกระจาย

เฑียรที่เพิ่งเคลื่อนกายออกมานั่งข้างร่างบอบบางของช้องนางโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ก่อนจะเหลือบมองดวงหน้างามหยดด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย คิ้วเข้มของกามเทพหนุ่มนั้นค่อยๆ ขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อสัมผัสถึงผู้ที่ดูแลปกป้องช้องนางไม่ได้

ดวงนางมนุษย์นี่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่นัก คราวก่อนที่เขาพบเธอในนามอื่นก็งามเช่นนี้ หากจะมีสิ่งใดที่เปลี่ยนไปก็เห็นจะเป็นสีหน้าอันสดใส ไม่ซีดเซียวเหมือนคนอมโรคดั่งภพก่อนๆ อีกทั้งบารมีที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กนั้นเฑียรก็ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะชาติก่อนๆ นางมนุษย์ผู้นี้สิ้นบุญเร็วจึงไม่ได้ทำบาปกรรม พลังบุญจึงแรงกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบ แม้แต่วรุณรักษ์เอง บารมีของชายหนุ่มก็นับว่าน้อย หากเทียบกับนางมนุษย์ข้างกายของเขาตอนนี้

“นางมนุษย์นี่...อันตรายนัก”

เฑียรพึมพำ ยิ่งได้มาอยู่ใกล้ร่างบอบบางของช้องนาง เขาก็รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นกามเทพที่ต่ำต้อยและตัวเล็กนิดเดียว เมื่อต้องมาต่อสู้กับสิ่งที่ติดกายช้องนางมา คำสาปเมื่อกาลก่อนยังปรากฏให้เห็นชัด มันเป็นก้อนสีมืดหม่นที่ลอยเด่นเหนืออกงามของหญิงสาว ซึ่งพร้อมจะเล่นงานร่างบอบบางและวรุณรักษ์อย่างไม่ปรานีทันทีที่ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากัน

“น่าเวทนา...น่าเวทนา...”

“ขยับมาใกล้ๆ หน่อยโยม ให้อาตมาดูหน้าใกล้ๆ หน่อย” หลวงตาเพิ่มพิงไม้เท้าเอาไว้กับแคร่ ก่อนกวักมือเรียกช้องนาง หญิงสาวก็ยอมคลานเข่ากับพื้นดินแข็งๆ อย่างไม่เกี่ยงงอน กระทั่งพาตัวเองไปอยู่ตรงหน้าพระภิกษุเฒ่าเรียบร้อย ก่อนเงยหน้ามองท่านอย่างรอคอย

เป็นหลวงตาเพิ่มเสียอีกที่จ้องเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก และเงียบอยู่อึดใจหนึ่งเห็นจะได้ ก่อนท่านจะถอนหายใจแรงๆ อย่างคนที่มีเรื่องให้กังวล จากนั้นควานหาชายจีวรแล้วฉีกผ้าออกมาริ้วเล็กๆ แล้วจึงพูด

“ส่งแขนมาสิโยม”

ช้องนางส่งแขนให้ท่านผูกจีวรอย่างว่าง่าย เชื่อมั่นว่าสิ่งที่พระมอบให้อย่างไรก็ต้องเป็นของมีคุณ แม้ว่าจะเป็นพระที่เพิ่งพบกันแต่หากท่านอยู่ในวัดป่าที่ตั้งอยู่ห่างจากความเจริญเพียงนี้ ท่านก็คงไม่ได้เป็นพระที่รักสบายเห็นแก่ปัจจัยเท่าไหร่หรอกมั้ง

“ที่ผ่านมาลำบากกันมาเยอะ อดทนเอาหน่อยนะโยม”

“ค่ะ” ช้องนางผงกศีรษะรับ เธอไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่หัวใจของเธอถึงกับสั่นสะเทือนเพราะน้ำเสียงเวทนาของท่าน น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาคลอหน่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ หัวใจก็พลันปวดหนึบแปลกๆ เหมือนวันที่เธอได้ยินชื่อของวรุณรักษ์ครั้งแรกไม่มีผิด เหมือนกับคนที่โดนกรีดซ้ำตรงรอยแผลเป็นที่หายสนิทแล้ว

เกลียดเหลือเกิน...เกลียดเขาเหลือเกิน...

“จากนี้ไม่ว่าจะเจออะไรก็ให้อดทนนะโยม อดทนกันให้มากๆ” ท่านยิ้มเหมือนเคย แต่ครั้งนี้รอยยิ้มนั้นผสมความเมตตาส่งมาให้เธอด้วย “อาตมาช่วยได้เท่านี้ ผูกกันเองก็ต้องแก้กันเอง”

“ระวัง...ฤทธิ์คำสาปยังแรงนัก” เฑียรหายตัวไปปรากฏข้างกายภิกษุเฒ่า เตือนเขาด้วยความหวังดีของคนที่โดนฤทธิ์คำสาปบนตัวช้องนางเล่นงานมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่พยายามช่วยทั้งคู่ให้ได้พบกัน “มันไม่ใช่กิจของอาตมา” คำพูดนั้นเหมือนหลวงตาเพิ่มจะเอ่ยกับกามเทพหนุ่มมากกว่าจะพูดกับคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ท่านมองหน้าช้องนางแล้วค่อยมองมวลสีดำที่ปรากฏอยู่เหนืออกของหญิงสาว ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ก่อนจะถอนหายใจแรงยิ่งกว่าเดิม เห็นแล้วว่าคำสาปที่ว่านั้นรุนแรงมากเพียงใด ไม่แปลกเลยที่ร่างทิพย์ของเฑียรจะซีดเซียวหลังโดนมันเล่นงาน

“แต่โยมเป็นคนดวงดี ไปไหนใครๆ ก็ช่วยเหลือ”

“อย่าว่าหนูอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะหลวงตา” ช้องนางลืมความเศร้าใจเสียสนิทเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ หลังจากนั่งฟังคำพูดปริศนาของหลวงตาจนเวียนหัวอยู่นานสองนาน “หลวงตาพูดเหมือนหลวงตารู้อะไรดีๆ ...”

“แล้วคนที่ไปเจอมาเขาไม่ได้บอกอะไรหรือ” หลวงตาเพิ่มเองก็พลอยอารมณ์ดีกับน้ำเสียงกระตือรือร้นของช้องนาง ร่างผอมเกร็งนั้นดึงกายกลับไปนั่งตัวตรงเท่าที่กระดูกสันหลังที่งองุ้มของท่านจะอำนวย แล้วหัวเราะร่วนเมื่อเห็นว่าดวงตากลมของหญิงสาวตรงหน้าเบิกโพลงขึ้นเพราะตื่นเต้นระคนตกใจ

“ใช่...” “คนนั้นแหละ เขาบอกอะไรบ้างล่ะ” ผู้ทรงศีลหัวเราะ เป็นฝ่ายถามช้องนางก่อนที่เธอจะได้คำตอบว่าคนที่ท่านกำลังพูดถึงนั้นใช่คนคนเดียวที่เธอกำลังคิดถึงอยู่หรือไม่

“เขาไม่ได้บอกอะไรเลยค่ะ เขาบอกว่ามองไม่เห็นอะไร” ช้องนางส่ายศีรษะ เธอไปพบกับ ‘มาสฟ้า’ หญิงสาวที่ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีตาทิพย์อย่างโน้นอย่างนี้ ทว่าเธอกลับได้รับเพียงคำพูดปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ ขณะที่เพื่อนสนิทที่ไปด้วยกันอย่างเกศรานั้นได้ผู้ชายตาน้ำข้าวไปครอง!

“พอหนูถาม...ก็บอกไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดได้ นี่ถ้าเขาไม่สวยแล้วก็รวยมากหนูคงคิดว่าเขาเพี้ยน...”

“แล้วเพี้ยนหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่เพี้ยนเลยค่ะ สวยแล้วก็รวยมากค่ะ พูดเพราะทุกคำ” ช้องนางส่ายหน้าดิก สำหรับเธอแล้วมาสฟ้านั้นดูไม่เหมือนคนสติเพี้ยนเลยสักนิด ออกจะสวยหยาดฟ้ามาดิน เสียอย่างเดียวก็เห็นจะเป็นตรงที่ชอบทำตัวลึกลับจนเขาเล่าลือกันไปผิดๆ ก็เท่านั้น แต่หากคิดภาพเธอเป็นมาสฟ้าแล้ว ช้องนางก็อดไม่ได้ที่จะย่นหน้าพลางคิดกับตัวเองว่า บางทีการเก็บตัวปลีกวิเวกออกไปแบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้ สำหรับคนที่มีสัมผัสพิเศษอย่างมาสฟ้า

“โชคดี” หลวงตาเพิ่มพยักหน้าเบาๆ ก่อนพูดต่อ “แล้วนี่มาทำบุญใช่ไหม”

“ค่ะ” ช้องนางพยักหน้า เกือบลืมไปเลยว่าเธอมาที่วัดป่าแห่งนี้เพื่อทำบุญ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ เมื่อรู้ตัวว่าคุยเพลินจนทำหลวงตาเสียเวลาไปมาก ยิ่งเหลือบเห็นเงาไวๆ ด้านในกุฏิท่าน ช้องนางก็ยิ่งมั่นใจว่าเสียงพูดคุยที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ต้องเป็นแขกของท่านอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นท่านยังนิ่งช้องนางจึงต้องถามเพื่อความแน่ใจ

“หลวงตามีแขกอยู่ใช่มั้ยคะ เมื่อกี้หนูได้ยินเสียงคนพูด”

“หลานชายน่ะ เขามาเยี่ยมเพราะรู้ว่าอาตมาเพิ่งกลับมาจากธุดงค์”

“อ้อ...หนูมารบกวนหรือเปล่าคะ”

“รบกวนอะไรล่ะโยม คนมาทำบุญจะถือว่ารบกวนได้อย่างไรล่ะ จริงมั้ย” คราวนี้เสียงหัวเราะแหบแห้งนั้นแฝงมาด้วยเสียงทุ้มลึกอีกเสียง ทว่าช้องนางไม่อยากจะใส่ใจ...อันที่จริงหญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวเราะนั้นแล้วยิ้มกว้าง กลบเกลื่อนความรู้สึกขนลุกเกรียวเหมือนมีคนจ้องมองเธอจากด้านหลัง

เพราะว่าช้องนางรู้...เธอรู้อยู่แก่ใจว่าด้านหลังเธอนั้นไม่มีใครอยู่!

เฑียรขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อจับสังเกตได้ว่าแผ่นหลังบอบบางของช้องนางนั้นตรงแน่ว รู้ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาเลยด้วยซ้ำว่าหญิงสาวกำลังเกร็งเพราะสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเขา แม้เธอจะยังมองเขาไม่เห็น แต่กามเทพหนุ่มก็พอจะรู้ว่าอีกไม่นานช้องนางก็จะรู้และสัมผัสได้ยิ่งกว่านี้

ว่าแต่อะไรล่ะที่ทำให้หญิงสาวสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้...เพราะผ้าสีกรักที่ผูกรอบข้อมือบางของเธออย่างนั้นหรือ

ก็แค่คนถือศีล...ไยถึงมีอำนาจเหนือเทพเช่นเขาได้ หากเป็นยุพดีเขาจะไม่ริษยาเช่นนี้เลย...

สายลมแผ่วพัดใบไม้แห้งส่งเสียงเบาๆ ชวนให้ขนลุก ราวกับพระพายท่านตอบรับความคิดเมื่อครู่ของกามเทพหนุ่ม และช่วยส่งความคิดที่ว่าไปถึงใครอีกคนที่อยู่เบื้องบน ผู้ที่ควรลงมาอยู่ข้างเขาตั้งนานแล้ว

“ยุพดี...ยุพดี...ยุพดี...กาลเวลาหมุนมาแล้วเจ้า...”

 

วรุณรักษ์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไรหยุดเขาไม่ให้ออกไปแนะนำตัวกับช้องนาง ทั้งที่หญิงสาวก็อยู่ใกล้เขาเพียงนี้ เธอมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วแท้ๆ ทว่าวรุณรักษ์กลับรู้สึกขลาดกลัวที่จะออกไปพบหญิงสาว แล้วบอกกับเธอว่าเขาเป็นใคร

หลังเดินกลับมาหาหลวงตาเพิ่มแล้วพบกับความว่างเปล่าในกุฏิ วรุณรักษ์จึงเดินตามเสียงพูดคุยอันสดใสที่แสนคุ้นหูออกมา ทว่าเขากลับเดินมาได้ถึงเพียงประตูหน้ากุฏิเท่านั้น ก่อนขาของเขาจะหมดแรงจนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้น แล้วแอบดูช้องนางพูดคุยกับหลวงตา ใบหน้างามของช้องนางยังคงสดใสไม่เปลี่ยน ดวงตาของเธอฉายประกายวิบวับที่ทำให้เขาปวดหนึบไปทั่วทั้งทรวงอก แต่เป็นความเจ็บปวดที่วรุณรักษ์ยินดีจะแบกรับไปจนตาย หากนั่นหมายความว่าเขาจะได้เห็นหน้าของช้องนางไปตลอดชีวิต

ช้องนางพูดเพราะ คะขาทุกคำไม่เคยขาด กิริยายามที่เธอคลานเข้าไปหาหลวงตาเพิ่ม แล้วส่งแขนให้ท่านผูกชายจีวรให้นั้นหญิงสาวทำด้วยความเคยชิน มันลื่นไหลเหมือนกับว่าเธอทำเช่นนี้มาเกินนับครั้ง ทุกวินาทีที่วรุณรักษ์มองช้องนางทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับหญิงสาวเหมือนกับรู้จักเธอมานานแสนนาน เหมือนเขาเห็นเธอเดิน นั่ง และพูดคุยเช่นนี้มาจนชินชา ทั้งที่ความจริงเขาเพิ่งเจอเธอเป็นครั้งที่สองเท่านั้น

แต่ทำไมช้องนางจึงทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างนี้...คุ้นเหมือนเคยเจอ...คุ้นเหมือนเคยรักเธอมานานแสนนาน...

“เขาไปตั้งนานแล้ว” เสียงของหลวงตาเพิ่มทำให้วรุณรักษ์หลุดจากภวังค์ที่เกิดขึ้นจากรอยยิ้มกว้างของช้องนาง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตรงลานโล่งหน้าแคร่ไม้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความงุนงง รู้สึกว่าช้องนางยังนั่งอยู่ตรงนี้เมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง ทำไมพอเงยหน้าขึ้นมา เธอจึงหายไปดื้อๆ อย่างนี้

“มัวแต่นั่งเหม่อ เขากลับไปครู่ใหญ่แล้ว”

“ผมไม่เห็นตอนเขาออกไป” วรุณรักษ์ลุกขึ้นมาหาหลวงตาเพิ่ม ทรุดนั่งตรงขอนไม้อันเดียวกับที่ร่างบอบบางของช้องนางนั่งเมื่อครู่ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงติดจะเสียดาย “ผมคงเหม่อเองถึงไม่ทันสังเกต”

“วาสนาเรามีเท่านี้น่ะ” หลวงตาเพิ่มยิ้มกริ่ม เหมือนกับว่าท่านรู้อะไรบางอย่าง ทว่าไม่เอ่ยมันออกมา “ได้เจอเขาเท่านี้ก็ถือว่าดีแล้ว คราวก่อน...ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้ง”

“ผมเจอเขาอยู่ครับ แต่เขาไม่เจอผม” วรุณรักษ์แก้ เข้าใจว่าหลวงตาเพิ่มคงหมายถึงคราวที่เขาและช้องนางอยู่โรงพยาบาล แม้จะยังไม่มั่นใจว่าท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ทว่าหลวงตาเพิ่มเพียงถอนหายใจยาวพร้อมกับผู้ที่นั่งเยื้องกันอยู่ไม่ไกล

เฑียรฟังแล้วก็ได้แต่รู้สึกเวทนามนุษย์ของเขา รู้ว่าเมื่อครู่นี้ที่ภิกษุเฒ่าเอ่ยนั้นหมายถึงชาติภพก่อนหน้าต่างหาก ที่วรุณรักษ์และช้องนางไม่ได้พานพบหน้าแต่กลับต้องจากกันเสียก่อน ทั้งคู่จากเป็นและจากตายกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ชาตินี้อีกฝ่ายได้เห็นหน้าอีกคนอยู่ฝ่ายเดียวจึงนับว่าดีกว่าทุกครั้ง

“คราวก่อนเขาอยู่กับเพื่อน ผมเลยไม่กล้าเขาไปทัก” วรุณรักษ์เล่าต่ออย่างอัดอั้น แม้จะรู้ว่าตนไม่ควรเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมากวนใจหลวงตา แต่ริมฝีปากของเขากลับขยับ เล่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกออกไปอย่างไม่อาจห้ามตัวเอง “คราวนี้เขามาอยู่ตรงหน้าผมแล้วแท้ๆ ผมกลับขี้ขลาดไม่กล้าเข้าไปทักเขา”

“อย่าฝืนวาสนาเลย...” แววตาที่มองมานั้นเหมือนจะรู้บางสิ่งบางอย่างมากกว่าที่หลานชายเอ่ยปากเล่า หลวงตาเพิ่มจ้องหน้าคมคายแล้วถอนหายใจด้วยความปลงตก รู้ว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทั้งสงสารและเวทนาคนทั้งคู่ “เป็นคนผูกก็ต้องเป็นคนแก้...”

“ผมรู้ว่ามันบ้า แต่ผมรักเขาจริงๆ นะครับหลวงตา ทั้งๆ ที่เขาก็ยังอาจจะไม่รู้ว่าผมเป็นใคร” วรุณรักษ์สารภาพออกไปด้วยความจนปัญญา ไม่รู้จริงๆ ว่าความรู้สึกที่ว่าเกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร ทั้งที่มั่นใจว่าหัวใจของเขาไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรักใคร แต่ทำไมมันถึงเต้นแรงทุกครั้งที่พบกับช้องนาง

“เขารู้” หลวงตาเพิ่มเอ่ยแทรก สบตากับหลานชายนิ่งแล้วพูดต่อ “เราก็รู้นี่ว่าเขารู้แล้วก็รู้ว่าเขาไม่ชอบเรามากๆ ด้วย”

“หลวงตา...” วรุณรักษ์โอดครวญ เขารู้ว่าอัศวินผู้เป็นบิดาของฝ่ายหญิงไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไร แต่เขามั่นใจว่าช้องนางไม่ได้เกลียดเขา...ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่พอจะเดาได้เท่านั้น “ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเลยครับ เขาจะเกลียดผมได้ยังไง”

“เอาเถอะ...แล้วนี่ใครโทร. มาล่ะ แม่เราหรือเปล่า”

วรุณรักษ์พอจะหายใจคล่องขึ้นเมื่อหลวงตาเพิ่มถามเรื่องอื่น แทนที่จะชวนเขาคุยเรื่องช้องนางต่อ

“เปล่าครับ เลขาฯ ของผมโทร. มา” วรุณรักษ์ส่ายหน้าก่อนอธิบายต่อ “พอดีเครื่องจักรที่โรงงานเสียพร้อมกันสองเครื่อง เขากลัวว่าจะทำตามแผนผลิตไม่ทันเลยโทร. มาบอก เผื่อเอาไว้หากมีอะไรเกิดขึ้น”

“ก็รอบคอบดี”

“แล้วเรื่องของช้องนางที่หลวงตาพูดเมื่อกี้...”

“ที่เขาเกลียดเราน่ะหรือ” หลวงตาเพิ่มเลิกคิ้ว แต่เพราะอยู่ในเพศบรรพชิตจึงสังเกตได้เพียงว่าหน้าผากของท่านย่นมากกว่ายามปกติ

“เปล่าครับ ที่บอกว่าให้เขาอดทน...เพราะว่าต้องลำบาก” วรุณรักษ์เอ่ยด้วยอึดอัด รู้ว่าบางเรื่องเขาก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าไปยุ่งวุ่นวาย และชายหนุ่มก็คงจะทำเช่นนั้นต่อไป หากคนคนนั้นไม่ใช่ช้องนาง “เขาจะเป็นอะไรหรือครับหลวงตา ทำไมหลวงตาถึงได้เตือนเขาแบบนั้น เขาจะประสบอุบัติเหตุหรือครับ”

“ก็ห่วงเขาเหมือนกันนะเนี่ย” หลวงตาเพิ่มถอนหายใจยาว ท่านพูดเท่าที่ท่านพูดได้เป็นหมดแล้ว จึงกวักมือเหี่ยวย่นเรียกหลานชาย กระทั่งวรุณรักษ์ไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าท่านท่าเดียวกันกับที่ช้องนางนั่งเมื่อครู่

“ส่งมือมา”

วรุณรักษ์ลอบมองเศษชายจีวรที่ถูกฉีกมาพร้อมกับชิ้นที่อยู่บนข้อมือของช้องนางด้วยความลังเล ก่อนตัดสินใจยื่นมือออกไป รอให้หลวงตาเพิ่มผูกเข้ากับข้อมือของเขาแล้วพึมพำบางอย่างเบาๆ กระทั่งเรียบร้อยแล้วท่านจึงดันมือของเขาออกจากตัว วรุณรักษ์จึงเอ่ยปากถามหวังคลายความสงสัย

“ผมก็ต้องผูกด้วยหรือครับหลวงตา”

“ทำไม กลัวหรือ”

“เปล่าครับ” วรุณรักษ์สั่นศีรษะ โดยปกติเขาไม่ใช่พวกกลัวเรื่องไม่ไม่เข้าท่า เพียงแค่ชายจีวรของหลวงตา ไม่เห็นมีอะไรให้เขาต้องกังวล “ผมแค่ไม่คิดว่าผมต้องพึ่งโชคลาภ”

“ก็รอดูไป” ท่านว่ายิ้มๆ แล้วเลื่อนดวงตาขึ้นมองท้องฟ้าเหนือศีรษะทั้งคู่ ซึ่งหมู่เมฆกำลังเคลื่อนตัวกลับมาปกคลุมอีกครั้งหลังจากล่าถอยไปไม่นาน

“ฝนจะมาแล้ว...”

“ครับ ฝนจะตกอีกแล้ว” เมื่อไม่มีช้องนางสักคน ชีวิตของวรุณรักษ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ยังเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา

มืดหม่น เฉื่อยแฉะ...และน่าเบื่อ

 

สิ่งสุดท้ายที่ช้องนางหวังว่าเธอจะตื่นมาพบหลังไม่ได้เจอกับเกศราสองสัปดาห์นั่นก็คือ ภาพของเพื่อนสนิทของเธอในโซเชียลมีเดียส่วนตัวของ ‘ผู้ชายอื่น’ และภาพของเกศรากับเด็กผู้ชายที่ยังอยู่ในชุดนอนทั้งคู่ ยิ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ช้องนางคาดหวังว่าเธอจะได้รับจากคนรู้จักในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้!

“นี่มันบ้าไปแล้ว!” ช้องนางทะลึ่งตัวลุกพรวดจากที่นอน กระชากที่ปิดตาออกจากหัวอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนมันทิ้งไว้บนเตียง ก่อนจะตะกายลงจากเตียงหลังใหญ่ของตนเองโดยที่ในมือยังมีมือถือเครื่องบาง หน้าจอเป็นภาพของเพื่อนสนิทที่บรรดาคนรู้จักส่งมาเพื่อถามไถ่ว่าผู้ชายคนใหม่ของเกศราเป็นใคร

“ไม่ๆ นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว!” “ช้องนางลูก เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของคุณเทวีดังขึ้นก่อนเสียงเคาะประตูจะดังตามมา จากนั้นประตูห้องนอนของช้องนางก็ถูกแง้มออกด้วยฝีมือของผู้เป็นมารดา คิ้วของเทวีเลิกสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างบอบบางของบุตรสาวนั่นพับเพียบกองอยู่กับพื้น สีหน้าไม่สู้ดีจนน่าเป็นห่วง “ทำไมหน้าซีดแบบนั้นลูก เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรค่ะแม่ หนูแค่ฝันร้าย” ช้องนางตอบพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ทะยานเข้าไปในห้องน้ำ กระแทกประตูปิดดังปังจนร่างบอบบางของคุณเทวีผงะไปด้านหลังด้วยความตกใจ

“แม่จะเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้นะลูก อาบน้ำเสร็จแล้วรีบลงมา” เทวีตะโกนบอกคนในห้องน้ำ พูดจบก็ปิดประตูห้องนอนของบุตรสาวก่อนจะเดินจากมา แม้จะยังสงสัยกับท่าทางแปลกๆ ของช้องนาง แต่เมื่อเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน แล้วพบสามีกำลังยืนกอดอกสั่งคนให้นำรูปเหมือนบุตรสาวลงมา หัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนหน้าก็ขมวดแน่นขึ้น

“นั่นคุณจะทำอะไรคะ ปลดรูปลูกลงมาทำไม” ร่างระหงก้าวเร็วๆ ลงบันไดไปประชิดตัวสามี แววตาอ่อนโยนของอัศวินเหลือบมองหน้าคู่ชีวิตของเขาก่อนที่เทวีจะก้าวเข้าไปถึงตัว ทว่าสีหน้าและแววตาเปี่ยมรักของเขากลับไม่ช่วยให้สีหน้าบึ้งตึงของภรรยาดีขึ้น

“อย่าเพิ่งโมโหสิ ผมมีเหตุผลนะคุณ” อัศวินจุปากใส่สีหน้าบึ้งตึงของภรรยา ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มเทวีเป็นการเอาใจ แม้ว่าจะแต่งงานกันมาหลายสิบปีแต่เขาก็ไม่ขัดเขินที่จะแสดงความรักกับภรรยา ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือออกไปข้างนอก อย่างน้อยก็ต้องได้เห็นทั้งคู่จูงมือกัน หากมากหน่อยก็จะได้เห็นทั้งคู่หอมแก้มกันเช่นเมื่อครู่

แววตาและน้ำเสียงอ่อนโยนของอัศวินนั้นเหมือนเป็นคนละคนกับวันที่เข้าไปเยี่ยมลูกชายของเพื่อน ตอนนี้ใบหน้าดุดันของเขาแทบจะไม่เหลือความดุ ขณะที่ดวงหน้าหวานของภรรยานั้นเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะร้องขอคำตอบอีกครั้งจากตัวการที่ถือดีปลดรูปลูกสาวสุดที่รักของเธอลงมาจากผนังห้องรับแขก

“แล้วตกลงปลดรูปลูกลงมาทำไมคะ”

“ก็แค่หารูปที่เหมาะจะแขวนในห้องรับแขกได้แล้วเท่านั้น” อัศวินว่ายิ้มๆ ก่อนหันไปกำกับลูกน้องให้เบามือตอนวางรูปช้องนางลงแทบพื้น “ผมแค่เบื่อที่จะต้องคอยตอบคำถามใครต่อใครว่าผู้หญิงในรูปเป็นใครแล้วเฉยๆ”

“แขวนมาตั้งหลายปีแล้ว จะมาเบื่ออะไรเอาตอนนี้คะ” เทวีค้อนสามี ก่อนจะเบือนสายตาอาลัยอาวรณ์ไปที่รูปเจ้าปัญหา “หวงไม่อยากให้ใครเห็นก็พูดมาเถอะ”

“ถ้าคุณรู้แล้วจะมาถามผมทำไม” เสียงห้าวว่าแล้วหัวเราะหึๆ ถูกใจที่ภรรยารู้ทัน ไม่เสียแรงที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี “เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงลูก เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” ผู้เป็นภรรยาสั่นศีรษะ ถอนหายใจแรงด้วยความจนปัญญา “ฉันถามก็บอกว่าไม่เป็นอะไร แต่หน้าซีดมากเลยนะคะ”

“ไม่สบายหรือเปล่า...”

“ไม่น่าจะ...”

“ไม่จริง!!” เสียงกรีดร้องที่ดังมาจากชั้นบนทำให้ทุกคนในบ้านต่างพร้อมใจกันทิ้งงานในมือ แล้วหันมองบันไดไปดูอาการของเจ้าของเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ ไม่ทันที่เทวีจะได้ก้าวขึ้นไปชั้นบน ร่างบอบบางของคุณหนูช้องนางคนงามก็พุ่งลงมาในสภาพที่พร้อมออกไปข้างนอก ทั้งมือถือและกุญแจรถถูกกำแน่นในอุ้งมือเล็กของหญิงสาว ปากก็ก่นด่าตัวการที่ทำให้เธออารมณ์ขุ่นมัวแต่เช้า

“นังเกด นังเพื่อนทรยศ แกคิดว่าแกทำกับฉันอย่างนี้แล้วแกจะได้ไปเสวยสุขกับผู้ชายล่ำคนนั้นเหรอ...” คนที่พักหลังนั้นศีลขาดบ่อยๆ พ่นคำพูดแสลงหูออกมาอย่างผิดวิสัย แต่เมื่อคิดว่าใครมาเป็นเธอตอนนี้ก็ต้องโมโหจนปล่อยวางไม่ได้ทั้งนั้น

มีอย่างที่ไหน เกศราตัดหน้าเธอไปมีแฟน แถมยังมีรูปถ่ายที่ผู้ชายคนนั้นถ่ายลงโซเชียลส่วนตัวของเขา เพื่อหยามคนโสด สวย และรวยมากอย่างเธอ ช้องนางดูออกว่าผู้ชายล่ำคนนั้นกำลังพยายามประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเกศรา เขาถึงตั้งใจทำอย่างนี้

ยายเกดเพื่อนตัวดีของเธอนี่ก็อีกคน ปิดปากเงียบไม่ยอมเล่าเรื่องที่ไปอยู่บ้านผู้ชายให้เธอฟัง จนเธอต้องไปเห็นภาพนี้ด้วยตัวเอง ยังดีที่เธอพอมีบุญเก่าเหลืออยู่ จึงมีเพื่อนๆ ที่รู้จักส่งรูปนี้มาให้ดูพร้อมกับถามไถ่ถึงผู้ชายคนใหม่ของเกศรา ไม่อย่างนั้นช้องนางคงไม่รู้หรอกว่าเพื่อนตัวดีของเธอทำเรื่องงามหน้าอะไรเอาไว้บ้างเวลาอยู่ลับหลังเธอ!

“คอยก่อนเถอะนังตัวดี แกจะต้องโดนดียายเกด แกนะแก๊!”

“ช้อง...”

“อย่าเพิ่งค่ะคุณพ่อ” คนที่เขี้ยวงอกยาวเฟื้อยเพราะโทสะนั้นยกมือขึ้นปรามบิดาก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา พลอยทำให้มารดาของเธอต้องเงียบไปด้วย “หนูมีธุระด่วนมาก ต้องรีบไปแล้ว”

“โอเค” อัศวินฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ ปิดปากเงียบดังที่บุตรสาวร้องขอ ทว่าสายตาที่มองแผ่นหลังงามนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง พอๆ กับเทวีที่อ้าปากพะงาบๆ อยากจะพูดบางอย่างกับช้องนาง แต่เห็นทีจะสายไปเสียแล้ว เพราะไม่นานหลังจากที่ร่างบอบบางเดินพ้นไปจากประตูบ้าน เสียงล้อรถเบียดกับพื้นก็ดังมากระทบหู ก่อนเสียงแตรจะดังลั่นตามมาติดๆ

“อะไรอีกล่ะนั่น” อัศวินชะเง้อคอมองออกไปด้านนอก เงี่ยหูรอฟังเสียงร้องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกอย่างกลับเงียบ

“คงมีรถมาขวางทางละมั้งคะ” เทวีออกความเห็น เสียงแตรดังสนั่นใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น อันที่จริงมันเกิดขึ้นบ่อยทีเดียวโดยเฉพาะพักหลังๆ มานี้ ยามที่ช้องนางรีบร้อนออกไปข้างนอก แต่มีคนมาจอดรถขวางประตู แม้จะเพียงไม่กี่นาทีเสียงแตรก็จะดังสนั่นเช่นนี้เสมอ

ก็ในศีลห้ามันไม่ได้มีเขียนไว้ว่าห้ามบีบแตรดัง ห้ามขับรถเร็วนี่ ช้องนางจึงทำทั้งสองอย่างเต็มที่เหมือนเก็บกด

 

สหรัถกระทืบเบรกจนจมมิด ทำให้ร่างสูงที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถอย่างวรุณรักษ์นั้นหัวแทบทิ่ม ไม่ได้ตั้งตัวว่าเลขาฯ ของเขาจะเบรกกะทันหันเช่นนี้

“คุณวรุณเป็นอะไรไหมครับ” เลขาฯ หนุ่มหันมาถามเจ้านายของตนก่อนเป็นอย่างแรก และคำตอบที่เขาได้รับก็คือแววตาขุ่นขวางที่บาดลึกไปถึงกระดูก ก่อนเสียงเนิบนาบตามวิสัยวรุณรักษ์จะดังขึ้น

“หมาตัดหน้ารถหรือไง ทำไมถึงได้เบรกแบบนี้”

“เอ่อ...”

ปรี๊น!!

เสียงแตรดังลั่นนั้นเป็นของซูเปอร์คาร์คันงาม ไม่ใช่สุนัขอย่างที่วรุณรักษ์เพิ่งเอ่ย สหรัถจำต้องหันกลับมาสนใจรถคันน้อยตรงหน้า ยิ่งร่างบอบบางหลังพวงมาลัยทุบแตรดังสนั่นอีกครั้ง เลขาหนุ่มฯ จึงต้องรีบร้อนถอนเกียร์เพื่อถอยรถให้คนขับรถคันงามตรงหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมาแล้วเอาขวานทุบกระโปรงหน้ารถข้อหาที่เขาจอดรถขวางประตู

อันที่จริงจะพูดว่าจอดก็ไม่ถูกนัก ในเมื่อเขาจะไปบ้านหลังข้างๆ ย่อมต้องผ่านหน้าบ้านเทวารักษ์อย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

“ไม่ใช่หมานี่...” ‘แต่เป็นคนสวยมากต่างหาก’ วรุณรักษ์พึมพำแต่ประโยคหลังนั้นเขาเอ่ยกับตัวเองในใจ หลังรถคันงามเคลื่อนผ่านรถของเขาไป และพบว่าต้นเหตุที่ทำให้สหรัถต้องกระทืบเบรกเมื่อครู่นั้นคือคนที่อยู่บ้านหลังข้างๆ หาใช่สุนัขอย่างที่เขาเดาไว้ในตอนแรก

รู้อย่างนี้แล้ววรุณรักษ์ก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ ไปพูดว่าช้องนางเป็นสุนัขแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ถึงต่อให้ช้องนางจะเป็นสุนัขจริงหญิงสาวก็จะเป็นสุนัขที่น่ารักที่สุดในโลก

“ไม่ใช่หมาครับคุณวรุณ แต่เป็นเพื่อนบ้านของคุณท่าน” สหรัถยิ้มแหย เมื่อแววตาของเจ้านายอ่อนโยนขึ้นเขาจึงกล้าเอ่ยตอบโต้ด้วย “ไม่รู้ว่ารีบไปไหนแต่เช้านะครับ”

“นั่นสิ” วรุณรักษ์เอี้ยวตัวเพื่อมองตามรถคันน้อย ที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วจนเขาอดที่จะย่นหน้าไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถมองตามรถคันเล็กไปได้ไกลกว่านั้น วรุณรักษ์จึงหันหน้ากลับมาระบายลมหายใจเสียงดัง ก่อนจะพึมพำเบาๆ แต่คล้ายบ่นกับตัวเองมากกว่า

“อุตส่าห์รีบมาแต่เช้าแล้วแท้ๆ ...แต่เขาก็ออกไปที่อื่นแต่เช้าเหมือนกัน”

“เอ๊ะ...” สหรัถที่ถูกเรียกตัวมาขับรถแต่เช้านั้นอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความแปลกใจ ก่อนจะรีบก้มหน้างุดเมื่อสบตากับสายตาเย็นชาของผู้เป็นนาย แต่ก็มิวายบ่นในใจคนเดียว

ก็ไหนคุณวรุณบอกว่าจะมาดูความคืบหน้าเรื่องบ้านให้คุณท่านว่าตกแต่งไปถึงไหนแล้วอย่างไรล่ะ แล้วทำไมจึงพูดเหมือนกับตั้งใจมาเจอคนที่อยู่ข้างบ้านแทนเสียได้ หรือว่าเขาพลาดอะไรไปนะ...

นอกจากวรุณรักษ์กับเลขาฯ ของเขาแล้ว ภายในรถคันใหญ่ยังมีผู้ร่วมทางอีกคน เฑียรนั่งอยู่บนเบาะข้างมนุษย์ในความดูแลของเขา ดวงตาคมกริบละจากรถคันน้อยของเนื้อคู่วรุณรักษ์แล้วเลื่อนไปยังบ้านหลังใหญ่ ที่หมายของพวกเขาในวันนี้

น่าแปลกที่ระยะหลังมานี้คำสาปที่ติดตัวช้องนางนั้นถอยฤทธิ์ลง ไม่สร้างความเจ็บปวดให้ทั้งคู่ยามที่พวกเขาอยู่ใกล้กัน มุมปากหนากดลึกเมื่อเฑียรมองเข้าไปยังบ้านเทวารักษ์ ซึ่งก็มี ‘เทวารักษ์’ สมชื่อจริงๆ ทั้งชั้นล่างชั้นบนต่างเต็มไปด้วยผู้ที่ต้องคอยดูแลรักษาบ้าน ขาดอยู่ก็เห็นจะเป็นกามเทพสันหลังยาวอย่างยุพดีเท่านั้น...

ไม่รอให้วรุณรักษ์เปิดประตูเจ้ายานพาหนะสมัยใหม่นี้ เฑียรก็ชิงเคลื่อนตัวออกมาก่อน กายทิพย์ของกามเทพหนุ่มไปปรากฏอยู่หน้าประตูรั้ว เขาเพ่งจิตเข้าไปทักทายเทพอารักษ์ที่อยู่ภายในบ้าน ไม่นานสตรีร่างแน่งน้อยในชุดไทยก็ปรากฏให้เขาเห็น

“สวัสดี...” เฑียรเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน คราวที่แล้วไม่ทันได้ทักทายก็ต้องรีบกลับ เขาจึงต้องพยายามคุมพลังของตัวเองให้คงที่ เกรงว่ามันจะทำร้ายแม่เทพอารักษ์ตัวน้อยเข้าโดยที่เขาไม่ตั้งใจ คิ้วหนาย่นเข้าหากันนิดๆ เมื่อสัมผัสบางสิ่งบางอย่างได้ “เจ้าเป็นเทพีรับใช้ในวิมานของยุพดีนี่”

“ท่านเทพีส่งข้ามาดูแลที่พำนักของท่านช้องนางเจ้าค่ะ” แม่เทพอารักษ์ชั้นล่างสุดก้มหน้างุด ตอบเสียงเบาด้วยเกรงบารมีของเฑียร ตระหนักถึงลำดับชั้นของกามเทพตรงหน้าดีว่าเขานั้นสูงส่งเพียงไร เฑียรนั้นเห็นจะเป็นรองก็แค่พระพรหมเท่านั้น เพราะเขาเป็นเทพลำดับเดียวกับนายของหล่อน

“นางไม่ได้เป็นท่านหญิงแล้วนี่” วรุณรักษ์ท้วง ในภพนี้ช้องนางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไร้ยศศักดิ์ แต่ยังเปี่ยมด้วยบารมีและเงินทอง ทว่าแม่เทพีสาวตรงหน้าเห็นจะคิดต่าง เพราะเธอตาขวางทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนั้นจนเฑียรต้องรีบเอ่ยขออภัย “ขออภัยด้วย...เรามิมีเจตนาหมิ่นเกียรติมนุษย์ของเจ้า”

“คำสาปยังรุนแรงอยู่...เห็นทีท่านต้องถอยออกไปก่อน” เทพอารักษ์เอ่ยเชิงเตือน ขณะที่เฑียรเห็นต่างจากอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

“คำสาปจวนหมดฤทธิ์แล้ว” กามเทพหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ทว่าแม่เทพอารักษ์กลับเบิกตาโต ผงกหัวขึ้นมองเขาด้วยสายตาไม่เชื่อถือ

“เรามิมุสา แม่เทพีน้อย”

“หากเช่นนั้น...” “เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปบอกนายของเจ้า...ถึงเวลาที่นางต้องทำหน้าที่กามเทพแล้ว” เฑียรผงกศีรษะเบาๆ แล้วถอนหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงที่หวดเขาจากด้านหลัง ใบหน้าคมคร้ามที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจนั้นแต้มรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหมุนกายกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่เขาเพียรเรียกหามาตลอดหลายปี

“ยุพดี...”

“พาอ้ายมนุษย์ของเขาไปให้พ้นที่ของเรา!”

โทสะของยุพดีเป็นที่หวั่นเกรงของทุกผู้ทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติของเธอ เว้นแต่เฑียรเท่านั้นที่ยังกล้าเผชิญหน้ากับเทพีสาว เทพอารักษ์ตัวน้อยหายวับไปทันทีที่สัมผัสได้ถึงการมาของผู้เป็นนาย ดวงหน้างามหยดของยุพดีสมกับเป็นเทพีชั้นสูงที่บำเพ็ญภาวนาอยู่บนสวรรค์มาหลายภพชาติ

แต่ทว่าตอนนี้ความงามที่ว่ากลับกำลังลดถอยลงเพราะโทสะอันดำมืด และหากมิโง่งมเกินไป เฑียรก็ควรจะตระหนักถึงพลังความโกรธอันรุนแรงนี้ เขาควรกลับไปเคียงข้างอ้ายมนุษย์ใจทรามที่ยุพดีเรียกขาน แล้วพาวรุณรักษ์ไปให้พ้นจากที่นี่เดี๋ยวนี้

“ที่นี่ไม่ใช่วิมานของเจ้า แม่เทพี แต่เป็นบ้านของนางมนุษย์นั่นที่ภพนี้ได้ชื่อว่าช้องนาง” น้ำเสียงของเฑียรยังคงเปี่ยมเมตตา สายตาที่เขาเพ่งมองยุพดีนั้นไม่เคยเปลี่ยนไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด “ที่ใดเป็นที่พำนักของนาง ย่อมเป็นที่พำนักของเรา”

ยุพดีเป็นกามเทพชั้นสูง เครื่องแต่งกายทุกอย่างที่ปรากฏบนร่างทิพย์ของเธอจึงสูงค่า บอกถึงยศที่เธอได้รับจากพระพรหมผู้เป็นนายของเหล่าเทพและกามเทพทั้งหลาย ทว่าแม้จะอยู่ลำดับเดียวกัน พลังของยุพดีกลับมีมากกว่าที่เฑียรจะเทียบได้ หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ พลังของเฑียรก็เหมือนกับเกวียน ขณะที่พลังยุพดีนั้นเหมือนเรือบิน

“วางทิฐิของเจ้าลงก่อนสิเล่ายุพดี คำสาปจวนหมดฤทธิ์แล้วเจ้าเอย” เฑียรเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ภพชาติที่ผ่านมาเขาปล่อยวางทุกอย่าง เหลือเพียงหน้าที่บนบ่าที่ต้องทำให้มนุษย์ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยปล่อยวาง

ทั้งๆ ที่กายทิพย์เปี่ยมด้วยพลังและเมตตาจากพระพรหม แต่ยุพดีก็ยังเป็นเทพีที่เปี่ยมด้วยอารมณ์มิผิดไปจากตอนที่ยังเป็นมนุษย์

“คำสาปจักสิ้นฤทธิ์เมื่อผู้ร่ายคำสาปเอ่ยวาจา...คืนคำ”

ยุพดีเองก็อยู่กับคำสาปที่ว่านี้มาเนิ่นนานไม่แพ้เฑียร ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าไม่มีวิธีใดหรือใครจะทำให้ความปรารถนาสุดท้าย ที่เกิดขึ้นเพราะโทสะและความโทมนัสมลายหายไปได้ ไม่ว่าจะชาติภพหรือใครก็มิอาจทำลายคำสาปนี้ลงได้ เว้นแต่ผู้ที่เป็นเจ้าของมัน

“อ้ายมนุษย์ของเจ้ามันคืนคำแล้วหรือเล่า”

“วรุณรักษ์มิอาจคืนคำ”

“เช่นนั้นก็เลิกโป้ปดเรา” ยุพดีแทบจะแยกเขี้ยว และเกือบพลั้งมือซัดพลังใส่เฑียรเพื่อไล่เขาไปให้พ้นหน้าเธอ “อ้ายมนุษย์ของเจ้ายังต้องพบเจอกับความโทมนัส อย่าได้ให้มันเข้าใกล้ช้องนาง”

“เขาเป็นคู่กัน ความจริงข้อนี้เจ้าจงจำ” เฑียรถอนหายใจ ย้ำเตือนผู้ที่เขาเห็นว่าเธอไม่ต่างจากกัลยาณมิตรด้วยความหวังดี

“เราจำได้” ประกายในแววตาของยุพดีวาววับขึ้น เมื่อเฑียรย้ำเตือนสิ่งที่เธอตระหนักรู้มาเนิ่นนาน “แล้วก็มิลืมว่าเพราะอ้ายคนใด ทำให้ช้องนางต้องทรมานมาทุกภพทุกชาติเช่นนี้”

“ไม่มีสิ่งใดเนิ่นนานเป็นนิรันดร์ดอกยุพดี คำสาปในกายของนางมนุษย์นั่นก็ดุจเดียวกัน” เฑียรถอนหายใจยาว ความผิดที่เขาและยุพดีมิได้ไปที่ใดนั้นเป็นเพราะใคร เขาเองก็รู้ดีเช่นกัน

“นิรันดร์ของมนุษย์เช่นช้องนางก็เพียงหนึ่งภพเท่านั้นเฑียร...” เทพีสาวเอ่ย ทว่าดวงตาของเธอกลับมองไปที่มนุษย์ของเฑียร แววตาเย็นชาของยุพดีส่องประกายวาววับ เผยให้เห็นไฟโทสะที่โหมกระพือมานานแสนนาน

และต้นเหตุก็คืออ้ายมนุษย์เลวคนนั้น

“ภพแล้วภพเล่า...ที่นางต้องตายไปอย่างเดียวดาย เพราะคำสาปแช่งของอ้ายมนุษย์นั่น!”

“มิได้มีเพียงนางมนุษย์ของเจ้าที่ต้องตายไปอย่างเดียวดายยุพดี วรุณรักษ์เองก็ต้องทนทุกข์จนตายภพแล้วภพเล่าดุจเดียวกัน” เสียงของเฑียรแฝงไปด้วยความเห็นใจและเวทนามนุษย์ทั้งคู่

“เช่นนั้นก็ทำให้มันคืนคำเสียสิ เพียงมันคืนคำ ก็มิมีใครต้องทุกข์อีกแล้ว” เทพีคนงามคลี่ยิ้มเล็กๆ ที่เกือบจะทำให้เฑียรเข้าใจว่าเธอกำลังเย้ยหยันเขาอยู่ ซึ่งอาจจะไม่ผิดจากความจริงเท่าไรนัก

“ยุพดี...”

“เลิกขานนามเราได้แล้วเฑียร!” เจ้าของชื่อชักสีหน้า รู้สึกเบื่อหน่ายกับน้ำเสียงอิเหน็ดอิหน่ายใจของกามเทพหนุ่มเต็มที “ขานนามเราไปมันก็มิช่วยให้อ้ายมนุษย์ของเจ้าสมหวัง”

“เราอาจจะช่วยเขามิได้ แต่เจ้าช่วยได้นี่”

“เหตุอันใดเราจักต้องช่วยมัน”

มุมปากของเทพีสาวกดลึก คราวนี้เฑียรมั่นใจว่าเธอกำลังดูแคลนเขาและวรุณรักษ์แน่แล้ว

“อ้ายคนชั่วนั่นจักต้องทุกข์ จักต้องเฝ้ามองช้องนางเช่นนี้ไปทุกภพทุกชาติ จนกว่ามันจักยอมคืนคำ!”

“นี่เจ้า...” กามเทพหนุ่มจำต้องอ้าปากค้าง เมื่อยุพดีอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา ไม่รั้งรอที่จะฟังเขา เฑียรจึงทำได้เพียงถอนหายใจยาวอย่างคนที่กำลังมีเรื่องให้ต้องขบคิด ก่อนเสียงห้าวจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ตามหลังกามเทพคนงาม

“ยุพดี...แม่เทพีหัวดื้อ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น