4

บทที่ 4 มีแต่คิดถึง


4

มีแต่คิดถึง

 

ลาภคิดว่าตัวเองโดนผีหลอกแล้ว หากว่าร่างกำยำที่ขาวซีดจนครั้งหนึ่งเขาเคยบอกผู้เป็นนายว่าชายหนุ่มอาจจะทานผงซักฟอกเป็นอาหารนั้นไม่ขยับตัว แล้วยิ้มเป็นมิตรส่งมาให้ คนสวนบ้านเทวารักษ์จึงต้องกุลีกุจอวางงานในมือลงแล้วรับไหว้คนข้างบ้าน

“สะ...สวัสดีครับคุณ”

“มีใครอยู่บ้านไหมครับลุง” วรุณรักษ์เอ่ยถาม แม้คนที่ต้องการเจอจะออกไปจากบ้านแล้ว แต่หากเมินเฉยไม่เข้าไปทักทายพ่อและแม่ของหญิงสาวก็จะไม่เหมาะเท่าไร ไหนๆ ก็มาถึงบ้านเขาแล้ว “หรือว่าออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว”

“อ่อ อยู่ครับๆ” ลาภหันมองในบ้านก่อนจะพยักหน้าแรงๆ ตอบคำถามของวรุณรักษ์ “คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายยังอยู่ครับ มีแต่คุณช้องที่ออกไปธุระ”

“ครับ เพิ่งสวนกันเมื่อกี้” วรุณรักษ์พยักหน้า ยิ้มนิดๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “งั้นรบกวนเข้าไปบอกคุณลุงอัศวินได้ไหมครับว่าผมมา”

“ได้ครับๆ” ลาภตกปากรับคำทันที บางอย่างในตัวคนคราวลูกทำให้เขากลายเป็นคนงกๆ เงิ่นๆ บางสิ่งที่เรียกว่าอำนาจนั้นแผ่ออกมาจากร่างสูงอย่างที่อัศวินก็ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ไม่ได้ ลาภก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น “ประเดี๋ยวผมกลับมานะครับคุณ”

“เรียกผมว่าวรุณก็ได้ครับ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากหรอก”

“ได้ครับคุณวรุณ”

 

รูปวาดของบุตรสาวคนเดียวของบ้านเทวารักษ์นั้นถูกวางลงแทบพื้นด้วยความระมัดระวังอย่างสุดความสามารถของคนงานในบ้าน โดยมีอัศวินคอยกำกับควบคุมอีกทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าหวงกรอบรูปราคาแพงหรือผ้าใบด้านในมากกว่ากัน อัศวินจู้จี้จุกจิกจนภรรยาที่ยืนดูห่างๆ อยู่เบื้องหลังนั้นอดที่จะถอนหายใจด้วยความรำคาญไม่ได้

ไม่รู้จะอะไรนักหนา ก็แค่ปลดรูปลงมา...

“คุณท่านครับ...”

“อ้าว ลาภว่ายังไง” เทวีเบือนหน้ากลับไปหาเจ้าของน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจเบื้องหลัง ก่อนจะร้องถามเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “เมื่อกี้นี้ช้องนางบีบแตรใส่ใครหรือ”

“อ้อ คุณวรุณรักษ์ครับ” ลาภที่อยู่ในเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียว ตอนที่รถซูเปอร์คาร์ของช้องนางพุ่งออกไปโดยไม่รั้งรอ แต่โชคดีที่รถคันใหญ่ของบ้านข้างๆ ชะลอทัน ไม่อย่างนั้นไม่อยากจะจินตนาการต่อเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“พอดีคุณวรุณเขามา...”

“มันมาทำไม” คราวนี้เจ้าของคำถามนั้นไม่ใช่เทวี แต่เป็นอัศวินที่หันขวับกลับมาทันทีที่ได้ยินชื่อของลูกชายเพื่อน แต่ก่อนก็เคยนับว่าอาชวิณและพิมพ์ดาราเป็นเพื่อนสนิทอยู่หรอก แต่หลังจากเจอความกวนประสาทของไอ้หนุ่มนั่นที่โรงพยาบาล เขาก็ไม่อยากจะเป็นเพื่อนสนิทกับคนทั้งคู่แล้ว

“คุณคะ...”

“คุณวรุณคงมาดูบ้านครับ” ลาภคาดเดา เพราะเห็นชายหนุ่มเข้าไปในบ้านตัวเองพักใหญ่ ก่อนจะมาทักทายและขอให้เขาเข้ามาเรียนอัศวินกับเทวี

“อย่าเพิ่งตาขวางจะได้ไหมคะคุณ” เทวีค้อนสามีที่คอยแต่จะจับผิดวรุณรักษ์ ดูสิ แค่เขาแวะมาบ้านเขายังทำมองตาเขียว ไม่รู้จะอะไรนักหนา “ตาวรุณก็คงจะแวะมาทักทายธรรมดาๆ”

“คิดว่าผมมองไม่ออกหรือไงว่ามันคิดอะไรอยู่ มองตาก็รู้ว่ามันคิดไม่ซื่อกับลูกเรา” อัศวินไม่เคยคัดค้านภรรยาของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เขาจะไม่เห็นด้วยกับเทวี แต่หากภรรยาของเขาคิดจะจับคู่ช้องนางกับลูกชายของเพื่อนอย่างวรุณรักษ์

นั้น ครั้งนี้คงจะต้องเป็นครั้งแรกที่เขาจะทัดทานภรรยา “คนไม่เคยเจอกันจะคิดไม่ซื่อได้อย่างไรคะ” เทวีบ่นอุบอิบ เท่านั้นแววตาของอัศวินที่เข้มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ขณะที่คุณนายของบ้านเทวารักษ์ทำเพียงส่งสายตาปรามสามี แล้วหันไปบอกคนสวนที่ยืนตัวสั่นอยู่ไม่ไกล

“ไปเชิญแขกเข้ามาในบ้านไปลาภ”

“ครับคุณผู้หญิง” รับคำผู้เป็นนายแล้วลาภก็รีบหมุนตัวเดินออกไปจากบ้าน โดยไม่แม้แต่จะสบตากับอัศวิน เจ้านายอันดับสองแห่งบ้านเทวารักษ์ พอดีกับที่เทวีเรียกหาแม่บ้านที่เป็นพี่เลี้ยงของช้องนาง

“ช่อ ช่อ”

“ขาคุณผู้หญิง” แม่บ้านร่างท้วมเดินออกมาจากห้องอาหาร สบตากับเทวีแล้วเงียบอย่างรอคอยคำสั่ง

“เดี๋ยวจัดโต๊ะเพิ่มอีกที่นะ จะมีแขกมาทานอาหารเช้าด้วย”

“ค่ะ” เสร็จแล้วช่อก็รีบหมุนตัวเดินไปจัดการตั้งโต๊ะอาหารเช้าเพิ่มอีกที่ หลังจากเก็บอาหารเช้าของช้องนางไปได้ไม่นาน

“คุณจะชวนมันมาทานข้าวที่บ้านเราทำไม ก็แค่คนข้างบ้าน” อัศวินอดไม่ได้จริงๆ ที่จะร้องขอคำตอบจากคู่ชีวิต ทั้งๆ ที่เขาก็แสดงออกชัดเจนแล้วว่าไม่ชอบหน้าไอ้คนที่ชื่อวรุณรักษ์นั่น ช้องนางเองก็เคยประกาศว่าแค่ได้ยินชื่อหมอนั่นก็อยากกลั้นใจตาย แต่ภรรยาของเขาก็ยังอยากผูกมิตรกับมันอยู่ได้ ก็แค่ลูกของเพื่อนจะอะไรกันนักหนา

“แล้วคุณจะจงเกลียดจงชังเด็กมันทำไม” เทวีอดไม่ได้ที่จะยกมือเท้าเอว มองหน้าคมเข้มของสามีที่แผ่รังสีความดุดันออกมาเพียงแค่ได้ยินว่าเธอจะชวนวรุณรักษ์ร่วมโต๊ะ “นั่นลูกของคุณอาชวิณกับคุณพิมพ์เชียวนะคะ” “ก็แค่ลูกชายเพื่อน” อัศวินเอ่ยเสียงขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยัน อย่างมากก็เป็นได้แค่ลูกเพื่อนนั่นแหละ เหอะ

“เก็บอาการด้วยนะคะ อย่าเสียมารยาทกับแขก ไม่อย่างนั้นจะโดนดี” เทวียกมือชี้หน้าสามีอย่างคาดโทษ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยผ่านประตูด้านหน้ามา

“นี่คุณเห็นผมเป็นคนยังไงกัน”

“เป็นคนดี...สมกับที่เป็นสามีฉันไงคะ” เทวีฉีกยิ้มหวานเอาใจ ก่อนจะหมุนตัวไปที่หน้าประตู รอรับการมาของวรุณรักษ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะที่สามีที่แสนดีของเธอกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างประชดประชัน กระทั่งร่างสูงของวรุณรักษ์ปรากฏขึ้นแก่สายตาของคนทั้งคู่ อัศวินจึงต้องข่มใจปั้นหน้านิ่งต้อนรับแขกของภรรยา

 

แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่วรุณรักษ์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาผิดหวังนิดๆ ที่ก้าวเข้ามาในบ้านเทวารักษ์แล้วไม่พบภาพวาดของช้องนาง...เอ่อ...ถ้าเอาความจริงก็ผิดหวังมากโขอยู่ เพราะอย่างน้อยเขาก็อยากพบดวงหน้าอ่อนหวานของช้องนางสักครั้ง ต่อให้จะเป็นการพบเธอผ่านภาพวาด ก็ยังดีกว่าต้องกลับบ้านไปโดยไม่ได้พบหน้าช้องนางเลย ทว่าชายหนุ่มก็จำต้องซ่อนความผิดหวังในแววตาเอาไว้ แล้วรีบยกมือไหว้ทักทายพ่อกับแม่ของช้องนาง

“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า”

“ไหว้พระเถอะจ้ะ” เป็นเทวีที่รับไว้เขาก่อน จากนั้นจึงเป็นอัศวินที่รับไหว้เขาอย่างขอไปที อันที่จริงหากเอ่ยปากไล่ตะเพิดเขาได้อัศวินคงทำไปแล้ว ที่ยังรั้งรอก็คงจะเป็นเพราะคุณเทวีที่ยิ้มหวาน มองเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาผิดกับสามีของเธอลิบลับ เพราะรายนั้นจ้องวรุณรักษ์ราวจะก้าวเข้ามาหักคอเขาให้ขาดเป็นสองท่อน

“ลมอะไรหอบมาล่ะวรุณ”

“ผมมาดูบ้านให้คุณแม่ครับ เลยแวะมาไหว้คุณลุงกับคุณป้า” วรุณรักษ์อธิบาย แต่ตาก็มิวายจ้องมองผนังว่างเปล่าที่เคยมีรูปของช้องนางแขวนอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาทีชายหนุ่มก็จำต้องละสายตามาสบตากับเทวี

“ขอโทษนะครับที่มาแต่เช้าโดยไม่ได้แจ้งไว้ก่อน”

“ไม่เป็นไร เรามาก็ดีแล้ว ทานข้าวเช้ามาหรือยังจ๊ะ ทานข้าวเช้ากับป้าก่อนมั้ย” เทวีโบกมือปัดก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาดุดันจากเบื้องหลังโดยไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมอง

“ยังไม่ได้ทานครับ” วรุณรักษ์ค้อมศีรษะเชิงขออภัยที่ต้องรบกวนเจ้าของบ้าน กิริยานั้นของชายหนุ่มทำให้เทวีถึงกับป้องปากหัวเราะเบาๆ

“อย่างนั้นทานข้าวไปคุยกันไปแล้วกันนะจ๊ะ” เทวีเป็นคนสรุป ก่อนจะจัดแจงหมุนกายไปคว้าแขนสามีของเธอ ดึงร่างสูงของอัศวินให้เดินตามเธอไปที่ห้องรับประทานอาหาร โดยมีแขกไม่ได้รับเชิญอย่างวรุณรักษ์เดินตามหลังไปเงียบๆ

“เรานั่งที่ของช้องนางเลยก็ได้จ้ะวรุณ เพราะวันนี้เจ้าตัวไม่อยู่”

เทวีชี้นิ้วพลางอนุญาตให้วรุณรักษ์นั่งเก้าอี้ประจำของบุตรสาวได้ ทำให้กรามของอัศวินบดกันเล็กน้อย ทว่าเขากลับเอ่ยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ถูกผู้เป็นภรรยากดไหล่ทั้งสองข้าง บังคับให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่หัวโต๊ะ แม้มองเผินๆ จะดูเหมือนการเอาใจใส่จากภรรยาที่แสนดี แต่สำหรับอัศวินแล้วนี่มันคือการบังคับชัดๆ

“รายนั้นแว้นออกจากบ้านไปแต่เช้า...”

“ครับ สวนกันตอนผมเข้ามา” วรุณรักษ์ผงกหัวรับคำ ไม่เอ่ยอะไรมากความ เพราะรู้ดีว่าคงจะไม่เหมาะนักที่เขาจะพูดถึงแต่เรื่องของช้องนาง ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยได้พบหน้าหรือแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ

“ที่ช้องนางบีบแตรใส่ลั่นบ้านก็คงเป็นเราเองสินะ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำแนะนำของเทวี ยิ้มมุมปากนิดๆ เมื่อเห็นด้ามจับช้อนทองเหลืองที่เป็นรูปกวางกับกระรอก เห็นทีเจ้าของที่นั่งจะชอบของสวยๆ งามๆ เป็นพิเศษ แม้กระทั่งช้อนส้อมก็ไม่เว้น

“คนขับรถของผมเหยียบเบรกแทบไม่ทัน ใจหายใจคว่ำกลัวว่าจะชนน้อง”

“ช้องนางก็เป็นอย่างนี้แหละจ้ะ ขับรถเร็ว พ่อเขาให้ท้าย ป้าบ่นก็ทีไรก็ทำหูทวนลมตลอด” เทวีถอนหายใจ ขณะที่อัศวินผู้เป็นสามีนั้นเหลือบมองหน้าคมคายของคนที่เพิ่งเรียกลูกสาวสุดที่รักของเขาว่า ‘น้อง’ หน้าตาเฉย ไอ้หมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มาเรียกช้องนางของเขาแบบนี้ “รถลูกดี ไม่มีอะไรต้องห่วง” อัศวินถอนหายใจเสียงดัง เหลือบมองวรุณรักษ์แวบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี ไม่อยากจะเสวนากับไอ้หนุ่มนี่มากเกินจำเป็น

“คุณก็ให้ท้ายลูกแบบนี้ตลอด” เทวีค้อนสามีของเธอพอเป็นพิธี รู้ดีว่าต่อให้เถียงเรื่องรถของช้องนางกับสามีไปเธอก็คงมิพ้นจะลงเอยเป็นผู้แพ้ ก็สองพ่อลูกนี่น่ะชอบเหลือเกินกับเรื่องรถรา รู้ทุกอย่างว่าต้องเอารถไปเช็กสภาพเมื่อไหร่ เปลี่ยนอะไรตอนไหน ขณะที่เธอรู้จักเพียงสัญญาณเตือนให้เติมน้ำมันรถเท่านั้น เพราะขับรถเองทีไรต้องเจอปัญหานี้ จนสามีสั่งห้ามไม่ให้ขับรถเองเพื่อตัดปัญหา

“ไม่ได้ให้ท้าย พูดความจริง” อัศวินแย้ง ก่อนถอนหายใจยาวเมื่อเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนหน้าคมของวรุณรักษ์ ทำให้อดที่จะค่อนแคะในใจนิดๆ ไม่ได้

ยิ้มอะไรนักหนา ไม่เห็นมีอะไรน่าตลกสักนิด

“เอาเถอะค่ะ” เทวีตัดบท แล้วหันไปทุ่มความสนใจให้แขกที่นั่งอยู่ตรงข้าม รอยยิ้มกว้างนั้นขยายกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าข้าวต้มฝีมือพี่เลี้ยงลูกสาวถูกปากวรุณรักษ์ไม่น้อย

“ข้าวต้มพอกินได้ไหมวรุณ”

“อร่อยครับ” ชายหนุ่มตอบไปตามจริง แม้บ้านเก่าของพ่อแม่จะไม่ขาดแคลนพ่อครัวแม่ครัวฝีมือดี แต่เมื่อแยกออกมาอยู่คนเดียวและไม่เคยจ้างแม่บ้านเลย ทำให้วรุณรักษ์ห่างหายไปจากการรับประทานอาหารเช้าที่ทำด้วยความพิถีพิถันอย่างข้าวต้มในชามตรงหน้า เป็นข้าวต้มปลาที่ไม่มีความคาวเลยสักนิด

“อย่างนั้นก็ทานเยอะๆ นะ เดี๋ยวคนแถวนี้เขาจะน้อยใจ เพราะวันนี้คุณหนูสุดที่รักไม่อยู่ทานข้าวเช้า” เทวีบอกก่อนหันไปพยักพเยิดมองแม่บ้านร่างท้วมของเธอที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แล้วหัวเราะเบาๆ อย่างคนที่กำลังมีความสุข “หมายถึงช้องนางหรือครับ ที่ว่าไม่อยู่ทานข้าวเช้า” วรุณรักษ์มีความกล้าที่จะเอ่ยถามถึงหญิงสาว คิดว่าคำถามของเขาคงไม่ทำให้พ่อแม่ของเจ้าของชื่ออึดอัดใจเท่าไรนัก

“ก็จะมีใครได้อีกล่ะ” คุณผู้หญิงของบ้านถอนหายใจแรงอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อคิดว่าช่วงนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอนั้นธุรกิจรัดตัวเหลือเกิน “แต่เรายังไม่เคยเจอน้องใช่ไหม”

“ครับ ยังไม่ทันได้เจอ” วรุณรักษ์ตอบอย่างสงวนถ้อยคำ ก่อนคลี่ยิ้มเมื่อคุณเทวีบอกในสิ่งที่เขารู้แก่ใจอยู่แล้ว

“เราทันเห็นรูปผู้หญิงที่แขวนไว้ในห้องมั้ยวันนั้น...”

“ทันครับ” คนอายุน้อยที่สุดผงกศีรษะรับ เพราะรูปวาดของผู้หญิงที่สวมชุดไทยนั้นเป็นสิ่งเดียวที่วรุณรักษ์จดจำได้ก่อนที่เขาจะเป็นลมแล้วฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล

“นั่นแหละช้องนาง ลูกสาวป้า”

“อ้อ...อย่างนี่นี่เอง...” เสียงห้าวของวรุณรักษ์หยุดไปจังหวะหนึ่ง ตามด้วยเสียงช้อนกระทบปากชาม “ไหนๆ ก็พูดถึงรูปแล้ว...รูปของน้องไปไหนแล้วเหรอครับ ตอนเข้ามาไม่เห็นเลย”

สองสามีภรรยาพร้อมใจมองหน้ากันและกัน ก่อนจะเป็นเทวีที่เลี่ยงสายตาหลุบลงมองชามข้าวต้มเสียก่อน แสร้งทำเป็นไม่เห็นสายคาดโทษของคู่ชีวิต ทว่าริมฝีปากอิ่มนั้นเม้มเข้าหากันแน่น พยายามซ่อนรอยยิ้มสมใจของตัวเองให้พ้นจากสายตาคมของอัศวิน

“ช้องนางไม่ชอบรูปนั้น ก็เลยให้คนปลดลงมา” เป็นอัศวินที่ตอบด้วยน้ำเสียงซังกะตายแบบเดียวกับสีหน้าที่แสดงออก เป็นจังหวะเดียวกับที่เทวีเงยหน้าขึ้นสบตากับคนรุ่นลูก ก่อนจะกล่าวต่อเชิงอธิบาย

“เรื่องรูปเนี่ยช้องนางบ่นมานานแล้วละ แต่เพิ่งได้ปลดลงมาวันนี้เอง”

“ปลดแล้วเอารูปไปไว้ไหนครับคุณอา”

“เอ่อ...” “ก็คงเก็บไว้ในห้องเก็บของนั่นแหละ” อัศวินตัดบทด้วยความรำคาญ เรื่องจะเก็บรูปไว้ไหนนั้นเขายังไม่ได้ตัดสินใจ ตอนนี้ขอแค่ไอ้หนุ่มนี่เลิกเรียกช้องนางของเขาว่าน้องอย่างนั้นน้องอย่างนี้ได้ก็เป็นพอ

“ถ้าคุณอาจะเก็บรูปน้องเอาไว้ในห้องเก็บของ ผมขอซื้อต่อได้มั้ยครับ”

สิ้นคำถามของวรุณรักษ์ พลันบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เปลี่ยนเป็นมาคุขึ้นมาทันทีทันใด แม้แต่เทวีเองก็ยังรู้สึกระย่อกับโทสะของสามี ที่นั่งหลับตากัดฟันอยู่ราวกับต้องการสงบสติอารมณ์ คงมีเพียงวรุณรักษ์คนเดียวเท่านั้นแหละที่นั่งนิ่งรอคอบคำตอบอย่างไม่กลัวตาย

“รูปลูกสาวฉันไม่ใช่ของซื้อของขาย...” น้ำเสียงเข้มจัดของอัศวินนั้นเต็มไปด้วยความพยายามที่จะอดกลั้น ทว่าวรุณรักษ์กลับมองข้ามมันอย่างผิดวิสัยปกติของตน บางอย่างผลักดันให้เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้รูปของช้องนางกลับไปบ้านด้วยในวันนี้

“ผมชอบครับ อยากได้จริงๆ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดกำกวมหรือเพราะสีหน้าว่างเปล่าของวรุณรักษ์ เหมือนกับว่าเขาพูดออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ทำให้อัศวินอยากจะจับลูกชายของเพื่อนโยนออกไปนอกบ้านมันเสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

ชอบมาก อยากได้งั้นหรือ...พูดออกมาได้ เฮงซวย!

“ผมหมายถึงรูปของน้องน่ะครับ ผมชอบมาก...ตั้งใจจะขอซื้อต่อจากคุณอาอยู่แล้วครับ”

 

กว่าช้องนางจะแบกร่างอันไร้เรี่ยวแรงของเธอกลับมาถึงบ้านได้ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ใบหน้างามของหญิงสาวอิดโรยอย่างคนที่เพิ่งโดนเพื่อนรักหักหลังมาสดๆ ร้อนๆ ร่างเล็กลากเท้าเข้ามาในตัวบ้านด้วยสีหน้าซังกะตายก่อนจะหยุดชะงัก เมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปบนผนังห้องนั่งเล่นว่ามันไม่ได้มีรูปเหมือนของตัวเองแขวนไว้อีกต่อไปแล้ว

“คุณช้องกลับมาแล้วหรือคะ ทานอะไรมาหรือยังคะ” แม่บ้านร่างท้วมอย่างช่อพุ่งเข้ามาหาผู้เป็นนายที่เธอเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกด้วยความเป็นห่วง หลังเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของช้องนาง ทว่าเจ้านายสาวตอบกลับด้วยคำถามเสียอย่างนั้น

“ใครเปลี่ยนรูปหรือคะพี่ช่อ ตอนเช้ายังเป็นรูปช้องอยู่เลยไม่ใช่หรือคะ” ช้องนางมองหน้าผู้ที่เป็นทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยงของเธอ

แม่บ้านมองตามเป้าสายตาของผู้เป็นนายก่อนจะร้องอ้อ ที่แท้ก็เรื่องรูปใหม่นี่เอง

“อ้อ คุณผู้ชายเป็นคนเปลี่ยนค่ะ รูปนี้คุณท่านบอกว่าเพื่อนท่านให้มาค่ะ...”

“แล้วรูปเก่าล่ะคะ เอาเก็บไว้ในห้องเก็บของหรือ” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ช้องนางถามหารูปเหมือนตัวเอง พร้อมกับเดินไปยังทิศทางที่เป็นห้องรับประทานอาหาร ซึ่งก็เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าเธอหิวพอสมควร “อ้อ เรื่องนั้น...” ช่อสาวเท้าตามหลังช้องนางมาติดๆ ก่อนจะลังเลเมื่อเจ้านายของตนถามถึงรูปวาดที่แต่ไหนแต่ไรไม่ยักจะชอบ แต่พอมันหายไปกลับอยากรู้เสียอย่างนั้นว่าหายไปไหน “คือว่าวันนี้มีแขกมาที่บ้าน แล้วเขาก็ขอซื้อต่อรูปนั้นจากคุณผู้ชายไปค่ะ”

“แล้วคุณพ่อก็ขายหรือ” ช้องนางอดที่จะนิ่วหน้านิดๆ ไม่ได้ ปกติแม้ว่าเธอจะไม่ชอบรูปนั้นมากมาย แต่พอมาได้ยินว่ามีคนซื้อรูปนั้นไป มันก็อดที่จะรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจและคิดไม่ได้ว่า นอกจากพ่อแม่ของเธอแล้ว ใครมันจะอยากได้รูปผู้หญิงแปลกหน้าไปแขวนในบ้านกัน

“ไม่ได้ขายค่ะ” แม่บ้านร่างใหญ่ถอนหายใจ ลอบมองดวงหน้างามของผู้เป็นนายแวบหนึ่งก่อนว่าเสียงเบา “คุณท่านยกให้เขาไปฟรี”

“อ้าว...” ช้องนางปากยื่น เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ารูปของเธอไร้ราคาค่างวดขนาดนี้ เธอว่าในรูปนั้นเธอก็สวยอยู่นะ อย่างน้อยคุณพ่อก็น่าจะโก่งราคาเสียหน่อย คิดเสียว่าเห็นแก่ค่าช่างค่าสีในรูปวาดก็ได้

“แต่ช่างเถอะ ปลดรูปนั้นลงได้ก็ดี ช้องก็เบื่อที่จะมองหน้าตัวเองทุกวันแล้วเหมือนกัน คนอะไรไม่รู้สวยเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ สวยเหมือนไม่ใช่คน”

“คุณช้อง...” ผู้ที่เลี้ยงช้องนางมาเองกับมือนั้นฟังก็ได้แต่ยิ้มขัน ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจแต่ก็เห็นด้วย เพราะที่ผู้เป็นนายเอ่ยมาก็ล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ก็คุณช้องนางของเธอน่ะสวยหมดจดจริงๆ นี่นา

“ว่าแต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านไปไหนกันล่ะคะ ทำไมบ้านเงียบๆ” คนสวยมากนั้นเงยหน้าขึ้นมาถามหาคนที่ปกติจะรอรับเธออยู่บ้าน

“อ้อ วันนี้เห็นว่ามีนัดทานข้าวกับที่บ้านคุณอาชวิณนะคะ” ช่อตอบพลางเดินไปตักอาหารเย็นที่เธอเตรียมไว้สำหรับช้องนาง จึงไม่ทันเห็นสีหน้ารังเกียจของผู้เป็นนายตอนที่ได้ยินชื่ออาชวิณ

เธอน่ะไม่ได้เกลียดอาวิณท่านหรอกนะ แต่เกลียดลูกชายของท่านต่างหาก!

“ดีนะ ที่วันนี้ช้องกลับช้า ไม่อย่างนั้นคงโดนคุณแม่บังคับให้ไปด้วยแน่ๆ” หญิงสาวเปรย พยักหน้ากับตัวเองเบาๆ ด้วยความพอใจ “อ้าว คุณช้องไม่อยากไปเจอคุณอาชวิณท่านหรือคะ”

“ไม่ใช่ไม่อยากเจออาวิณหรอกค่ะ ไม่อยากเจอลูกชายท่านมากกว่า” ช้องนางว่าพลางย่นจมูก ไม่เข้าใจเหมือนว่าทำไมเธอถึงได้เกลียดผู้ชายที่ชื่อวรุณรักษ์เข้าไส้เข้าพุงอย่างนี้ แต่เอาเถอะ ใช่ว่าจะหาทางเลี่ยงไม่ได้เสียหน่อยนี่นา “พอต้องเข้าใกล้เขาทีไรมีเรื่องแปลกๆ ทุกที”

“หรือคะ” ช่อตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อคิดว่าเป็นโชคดีแล้วที่วันนี้ช้องนางรีบร้อนออกไปข้างนอกแต่เช้าตรู่ ไม่อย่างนั้นนายของเธอคงไม่พ้นที่จะต้องเจอหน้าวรุณรักษ์แล้วเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นอีก

“อือฮึ” ช้องนางพยักหน้ารับระหว่างที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เมื่อวางแก้วลงหญิงสาวจึงหันไปถามพี่เลี้ยง ไม่รู้อะไรดลใจให้เธออยากรู้ว่าใครกันคือคนที่อัศวินยกรูปของเธอให้

“ว่าแต่ว่ารูปนั้นคุณพ่อยกให้ใครไปคะ”

“คุณช้องถามทำไมคะ”

“อ้าว ช้องอยากรู้ไม่ได้หรือคะ” ช้องนางย่นจมูก ตงิดใจแปลกๆ ที่พี่เลี้ยงของเธอไม่ยอมตอบคำถาม ทว่าย้อนถามเธอกลับเสียอย่างนั้น “ก็แค่สงสัยน่ะค่ะว่าใครจะอยากเอาหน้าช้องไปแขวนที่บ้าน ไม่หลอนบ้างหรือไงที่ต้องมองรูปผู้หญิงใส่ชุดไทยทุกวี่ทุกวัน”

ขนาดเธอเองมองรูปนั้นทีไรยังหลอนเลย สวยดีอยู่หรอกแต่ก็หลอน...เอ๊ะ ตกลงยังไง

“ก็...คนรู้จักของคุณท่านนั่นแหละค่ะ” พี่เลี้ยงของช้องนางหลบตา เห็นชัดว่ากำลังพยายามเลี่ยงที่จะบอกช้องนางว่าใครเป็นคนเอารูปนั้นกลับไป จนหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะต้องหรี่ตาจับผิดแล้วถามเสียงเข้มอีกครั้ง

“พี่ช่อ...”

“โธ่ คุณช้องอย่าทำแบบนี้สิคะ เกิดพี่บอกไปคุณช้องก็งอนพี่อีก” พี่เลี้ยงซึ่งควบตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านกระเง้ากระงอด แต่ก็ยอมยกอาหารมาวางตรงหน้าช้องนางอยู่ดี

“พี่ช่อขา...” คราวนี้ช้องนางถึงกับต้องใช้ท่าไม้ตาย นั่นก็คือการเอื้อมมือไปจับมือพี่เลี้ยงของเธอ พร้อมกับกระพือขนตา อ้อนช่อสุดฤทธิ์ “บอกช้องหน่อยสิคะ น่านะ ใครกันคะที่เอารูปของช้องไป”

“พี่บอกแล้วอย่าโกรธพี่นะคะ ตกลงมั้ยคะ” ช่อต่อรอง แม้จะพอเดาได้ว่าช้องนางคงจะต้องงอนเธอแน่ๆ ก็เถอะ “ถ้าจะโกรธให้ไปโกรธคุณท่าน พี่ไม่เกี่ยว ตอนที่ท่านยกรูปให้คุณเขา พี่ยืนเตรียมของว่างอยู่ในครัว”

“ออกตัวแรงขนาดนี้ช้องยิ่งอยากรู้เลยว่าใครเป็นคนเอารูปไป” ช้องนางยิ้มกริ่ม หากเป็นอีหรอบนี้คงไม่พ้นมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน “ตกลงว่าเป็นใครคะ”

“แน่ใจนะคะว่าอยากรู้”

“แน่สิคะ ไม่อย่างนั้นจะถามทำไม” ช้องนางว่าเสียงเข้ม ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นการเป็นงาน บอกถึงความจริงจัง

“สัญญามาก่อนว่ารู้แล้วจะไม่โกรธพี่”

“ไม่โกรธค่ะไม่โกรธ” ช้องนางรีบตกปากรับคำ ก็แค่บอกว่าใครเอารูปที่เธอไม่ชอบออกไปจากบ้าน เธอจะต้องโกรธใครที่ไหนให้เสียสุขภาพจิต “ทีนี้บอกได้หรือยังคะพี่ช่อคนดี”

พี่ช่อคนดีโดนลูกอ้อนของช้องนางเข้าก็ใจอ่อนยวบ จ้องหน้างามของคนอายุน้อยกว่าอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจอย่างคนที่ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเกิด

“คุณวรุณค่ะ”

“คะ?” ช้องนางร้องเบาๆ มั่นใจว่าเธอคงได้ยินผิดไปแน่ๆ

“ใครนะคะ เมื่อกี้นี้พี่ช่อพูดว่าใครนะคะที่เอารูปของช้องไป”

“คุณวรุณค่ะ”

เท่านั้นสีหน้าของช้องนางก็เปลี่ยนไป ปากงามอ้าแล้วหุบ อ้าแล้วหุบอยู่หลายต่อหลายครั้งอย่างคนที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา จนช่อต้องอธิบายหวังให้ผู้เป็นนายได้เข้าใจ

“วันนี้คุณวรุณเขาแวะมาที่บ้านหลังจากที่คุณช้องออกไปไม่นาน คุณผู้หญิงเลยชวนทานข้าวเช้าด้วยกัน คุยไปคุยมาก็วกมาที่รูป...”

“หมอนั่นขอรูปของช้องจากคุณพ่อหรือคะ” ช้องนางไม่ได้สนใจว่าใครจะมากินข้าวเช้าที่บ้านเธอและคุยเรื่องอะไรกับคุณพ่อคุณแม่เธอบ้าง ตอนนี้สิ่งที่เธอสนใจก็คือ ผู้ชายคนนั้นจะเอารูปของคนสวยอย่างเธอกลับไปทำอะไรที่บ้านของเขาบ้างต่างหาก

หรือว่าจะเป็นคุณไสย...หมอนั่นคิดจะทำคุณไสยใส่เธอหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงเธอจะสวยและรวยมาก แต่เขาก็ไม่น่าจะหลงใหลเธอจนต้องทำมนตร์ดำใส่ เรื่องนี้ยังพอวางใจได้อยู่

“เพิ่งเอาไปเมื่อเช้านี้เลยใช่ไหมคะพี่ช่อ”

“ค่ะ” ช่อพยักหน้างงๆ ใจหนึ่งก็โล่งที่ช้องนางไม่มีท่าทีว่าจะโกรธอะไรเธอ “ทำไมหรือคะ มีอะไรหรือเปล่าคะคุณช้อง”

“เปล่าหรอกค่ะพี่ช่อ” ช้องนางบอกทั้งที่ใบหน้าเคร่งเครียดผิดกับคำพูดลิบลับ “แค่กำลังคิดว่าถ้าช้องจะไปทวงรูปคืนจากหมอนั่นตอนนี้ ก็น่าจะยังทัน”

“คุณช้องจะไปทวงรูปคืนไม่ได้นะคะ”

“ทำไมจะไม่ได้คะ” ทีนี้น้ำเสียงของช้องนางมีแววท้าทายอยู่ในที หมายความว่ายังไงที่เธอจะไปทวงรูปของเธอคืนจากวรุณรักษ์ไม่ได้ อันที่จริงต้องถามว่าหมอนั่นมีสิทธิ์อะไรที่จะฉกรูปคนสวยอย่างเธอกลับบ้านเขาไปต่างหาก เพื่อนก็ไม่ใช่ ญาติก็ยิ่งไม่ใช่ แค่คนที่รู้จักกันห่างๆ มีสิทธิ์อะไรที่จะเอารูปเธอ หน้าของเธอกลับไปมองที่บ้าน เหอะ!

“ก็คุณวรุณเขา...เขา...”

“เขาทำไมคะ...”

“เขาเอาต้นบอนไซที่เลี้ยงไว้มาให้คุณท่านแล้ว...” เสียงของช่อเบาลงยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของช้องนาง ก็ต้นบอนไซอะไรนี่เป็นของสะสมที่คุณอัศวินหลงใหลนักหนา ถึงขั้นมีเรือนกระจกเอาไว้ดูแลพวกมันอยู่หลังบ้านเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นช้องนางก็ไม่คิดว่าพ่อของเธอจะยอมแลกรูปวาดเธอกับเจ้าต้นไม้แคระพวกนั้นอยู่ดี

“นี่หมายความว่า...คุณพ่อแลกต้นไม้กับรูปของช้องหรือคะ”

“ก็...คุณช้องไม่ได้ชอบรูปนั้นไม่ใช่หรือคะ”

“ถะ...ถึงไม่ชอบ แต่ช้องก็ไม่ยอมให้นายวรุณอะไรนั่นเอารูปช้องไป!” ช้องนางว่าเสียงดัง เธอเกลียดเขา เรื่องอะไรจะยอมให้เขาเอารูปของเธอกลับไปง่ายๆ “หมอนั่นน่ะ...”

“ทำไมคะ คุณวรุณรักษ์ทำอะไรให้คุณช้องไม่พอใจหรือคะ” ช่อเริ่มเอะใจมาก ดูจากท่าทีของคนที่เธอเลี้ยงมาเหมือนกับว่าช้องนางจะไม่ชอบวรุณรักษ์มากกว่าที่เธอคิด ได้ยินเจ้านายสาวบ่นถึงสองสามครั้งเธอก็คิดว่าไม่ถูกชะตากันเฉยๆ แต่ลงได้ตาขวาง หอบหายใจแรงเพียงรู้ว่าเขาได้รูปวาดตัวเองไปแบบนี้ คงจะไม่ใช่แค่ไม่ชอบแล้วละ

“ไม่เคยเจอกันไม่ใช่หรือคะ ถ้าพี่จำไม่ผิด”

“กะ...ก็...”

“หรือว่าเจอกันแล้วคะ” ช่อพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว “เขาทำอะไรให้คุณช้องคะ หรือว่าเขาล่วงเกินคุณช้อง!”

“ไม่ค่ะ ช้องไม่เคยเจอเขา” ช้องนางกระแทกลมหายใจ รีบแก้ความเข้าใจผิดก่อนที่เรื่องมันจะไปกันใหญ่ “แต่ช้องแค่ไม่ชอบเขา ไม่อยากให้เขาได้รูปช้องไป”

“แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะ” ทีนี้ผู้เป็นพี่เลี้ยงจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิช้องนาง เห็นทำท่าไม่พอใจเสียใหญ่โต เธอก็นึกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่เสียอีก “คุณท่านเอ่ยปากยกรูปให้คุณวรุณไปแล้ว แต่คุณช้องจะวิ่งโร่ไปขอรูปคืนจากคุณวรุณเอง แบบนี้ไม่น่าเกลียดแย่หรือคะ”

“นี่พี่ช่อเข้าข้างหมอนั่นมากกว่าช้องหรือคะ”

“เปล่าคะ พี่เพียงแค่พูดให้ฟัง” ช่อถอนหายใจ ที่เธอพูดก็เพราะเป็นห่วงช้องนางทั้งนั้น “เพราะถ้าคุณช้องจะทำจริงๆ พี่คงห้ามอะไรไม่ได้ แต่ก็อย่าลืมว่าคุณวรุณเธอก็ให้ต้นไม้คุณท่านมาแล้ว ไม่ได้เอารูปไปฟรีๆ ...”

“ก็แค่ต้นไม้ ช้องซื้อให้คุณพ่ออีกกี่สิบต้นก็ได้” ช้องนางประกาศอย่างเหนือกว่า อย่างเธอหรือจะแพ้นายวรุณรักษ์ ต้นไม้แค่ต้นเดียวมันจะราคากี่หมื่นกี่แสนกันเชียว

“ทำไมคะ กับคุณวรุณรักษ์นี่มันทำไมนัก”

“ทำไมอะไรคะ...ถามแบบนี้หมายความว่ายังไง” ช้องนางเหลือบมองหน้าพี่เลี้ยงของเธอก่อนจะต้องรีบหลบตา เมื่ออีกฝ่ายจ้องเธอเขม็งราวกับต้องการจับผิด

“ก็ที่คุณช้องตีโพยตีพายเสียใหญ่โตแบบนี้ไงคะ ตกลงว่ามันเป็นเพราะรูป หรือเป็นเพราะคุณวรุณกันแน่”

“อย่าพูดชื่อนี้บ่อยๆ ค่ะพี่ช่อ เดี๋ยวช้องใจขาดตาย อย่าพูด อย่าพูด” ช้องนางหลับตาลงอย่างคนที่พยายามสะกดอารมณ์พร้อมกับยกมือห้ามพี่เลี้ยงของเธอ เพราะมัวแต่โมโหจึงลืมตัวไปว่าเธอได้ยินชื่อวรุณรักษ์เกินสามครั้งต่อวันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเธอจะรู้สึกพะอืดพะอม พานอยากตายเสียดื้อๆ

 

5

ก็เหมือนเดิม...เพิ่มเติมคือมีเธอ

 

รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าคมคร้ามของวรุณรักษ์ในรอบหลายปี ขณะมองรูปวาดของช้องนางที่เขานำกลับบ้านมาด้วย และตอนนี้รูปนั้นก็แขวนอยู่ในห้องนอนของเขาเรียบร้อยแล้ว อาจจะน่าขนลุกไม่น้อยถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาเอารูปผู้หญิงที่ไม่แม้แต่จะพบหน้ากันมาก่อนมาแขวนในห้องนอน แต่จะให้วรุณรักษ์ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาอยากมองช้องนางของเขานานๆ นี่นา

ทั้งที่คิดว่าตัวเองมองรูปวาดนี้พอแล้ว แต่วรุณรักษ์ก็ไม่สามารถละสายตาจากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงหน้าได้อยู่ดี ทำไมความคิดถึงในหัวใจของเขามันถึงไม่ยอมคลายลงเลย ทั้งๆ ที่ได้มองใบหน้าของหญิงสาวนานเท่าที่ใจต้องการแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่...

เสียงสูดลมหายใจของวรุณรักษ์ดังแข่งกับเสียงเครื่องฟอกอากาศภายในห้องนอน ชายหนุ่มเตือนตัวเองว่าเขาควรจะผละจากรูปตรงหน้าและรีบไปอาบน้ำได้แล้ว หลังจากออกไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่นอกบ้านมาทั้งวัน หลังจากที่เตือนตัวเองแล้วพักใหญ่ วรุณรักษ์ถึงสามารถหักใจจากรูปของผู้หญิงที่เขาหลงใหล แล้วหมุนตัวหันหลังเพื่อเดินไปยังห้องน้ำ

“เฮ้ย!”

ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวพ้นพื้นต่างระดับตรงประตูห้องน้ำ วรุณรักษ์ก็เสียหลักหงายหลังล้มจนสะโพกกระแทกพื้นเสียงดังอักก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บบริเวณบั้นท้าย ใบหน้าคมคร้ามยับย่นเพราะความหงุดหงิด นึกเซ็งที่ตัวเองเผลอเรอทำความสะอาดห้องไม่เรียบร้อยขนาดที่ทิ้งเศษผ้าเอาไว้ จนมันย้อนมาทำให้เขาเจ็บตัว

ทว่านึกโกรธตัวเองได้ไม่นานวรุณรักษ์ก็ต้องนิ่วหน้าอีกหน หลังควานหาต้นเหตุที่ทำให้เขาหงายหลังล้มเจอ แล้วพบว่ามันคือที่ปิดตาที่ทำจากผ้าไหมสีชมพูยี่ห้อดังจากต่างประเทศ ซึ่งด้านบนนั้นมีตัวหนังสือปักไว้ว่า ‘Devil is sleeping’ และนั่นยิ่งทำให้วรุณรักษ์เกิดความสับสนถึงที่มาของเจ้าที่ปิดตานี่

“มาได้ไง”

นั่นคือสิ่งที่โผล่มาในหัวของวรุณรักษ์ มือแกร่งจับที่ปิดตานั้นพลิกดูอีกหลายครั้งเพื่อความแน่ใจว่ามันไม่ใช่ของเขาจริงๆ แน่นอนอยู่แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่มีทางที่จะเป็นของเขา ด้วยวรุณรักษ์รู้ตัวดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ที่ปิดตาแบบนี้เลยตั้งแต่เกิดมา ก็จะใช้ไปเพื่ออะไรในเมื่อปกติเขาต้องเปิดไฟนอน

แล้วไอ้นี่เป็นของใครกัน...มีใครเข้ามานอนของเขาอีกอย่างนั้นหรือ

คิดได้ดังนั้นวรุณรักษ์ก็ทะลึ่งตัวลุกพรวด หันมองรอบกายด้วยความหวาดระแวง หูก็พยายามฟังเสียงรอบกายเผื่อว่าผู้บุกรุกจะยังอยู่ในบ้าน ก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ตู้เก็บเสื้อผ้าภายในห้องนอนด้วยฝีเท้าเงียบกริบ และค่อยๆ ไล่เปิดประตูตู้ดูทีละบานเพื่อหาตัวผู้บุกรุก แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววกระทั่งร่องรอยการบุกรุก ความคิดที่ว่าอาจจะมีคนแอบเข้ามาในบ้านของวรุณรักษ์ก็เริ่มหายไป พลางคิดว่าที่ปิดตานี้อาจจะเป็นของคนใกล้ตัวเขาก็ได้ แต่สหรัถไม่พกเจ้านี่ตอนมาบ้านเขาแน่ ดังนั้นตัดเขาออกไปจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยได้เลย

“หรือว่าจะเป็นของคุณแม่...” วรุณรักษ์พลิกที่ปิดตาในมือดูอีกหน ก่อนจะย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจนัก ด้วยชายหนุ่มไม่เคยเห็นแม่ของเขาใช้ที่ปิดตาแบบนี้มาก่อนอีกเหมือนกัน แต่ทำไมเขาจะไม่หาคำตอบให้กับสิ่งที่ตัวเองสงสัยล่ะ คิดเสร็จร่างสูงก็เดินกลับมาในห้อง หยิบมือถือที่วางทิ้งไว้บนแท่นชาร์จแล้วจัดการต่อสายหาพิมพ์ดารา แม่ของเขาครั้งแรกในรอบปี

“แม่...ว่างคุยหรือเปล่าครับ” เสียงห้าวนั้นเอ่ยถามอย่างร้อนใจหลังจากเสียงรอสายตัดไป

“ว่างสิลูก มีอะไรหรือ ทำไมถึงได้โทร. หาแม่เอาป่านนี้”

“วันที่แม่มาบ้านผม แม่ได้ลืมอะไรไว้หรือเปล่าครับ” วรุณรักษ์อยากมั่นใจจริงๆ ว่าเจ้าที่ปิดตานี้ไม่ใช่ของแม่เขา แม้ว่าจะพอเดาคำตอบได้แล้วก็ตาม

“ไม่มีนี่จ๊ะ” พิมพ์ดาราตอบเสียงเบา ระหว่างนึกว่าเธอได้ทิ้งอะไรไว้ที่บ้านของบุตรชายหรือไม่ ครู่ใหญ่จึงย้ำคำตอบด้วยน้ำเสียงที่บอกชัดถึงความมั่นใจ “วันนั้นแม่ไม่ได้เอาอะไรไปนะ ทำไมหรือ แม่ทิ้งอะไรเอาไว้ที่บ้านลูกหรือจ๊ะ”

“ไม่มีอะไรครับ” วรุณรักษ์พึมพำ “มันคงเป็นของผมเองแหละ ผมคงลืมไป...”

“อ้อ โอเคจ้ะ”

“เท่านี้ก่อนนะครับแม่ พอดีว่าผมมีงานต้องทำ”

“จ้ะๆ ไปเถอะ”

หลังวางสายจากมารดาเรียบร้อยแล้ว วรุณรักษ์ก็กลับมามองที่ปิดตาปริศนาในมืออีกรอบด้วยสายตาสับสน พยายามคิดหาเจ้าของตัวจริงของเจ้านี่เท่าไรก็คิดไม่ออก จนสุดท้ายชายหนุ่มจึงจำต้องยอมแพ้ วางเจ้าที่ปิดตาสีหวานนั้นไว้ข้างแท่นชาร์จมือถือข้างเตียง แล้วจึงหมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยครั้งนี้ชายหนุ่มระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ บอกตัวเองจะไม่พลาดเหยียบอะไรก็ตามบนพื้นจนล้มกระแทกทำตัวเองเจ็บตัวอีกรอบแน่

 

“มันจะหายไปไหนได้คะ เมื่อเช้ายังอยู่อยู่เลย” ช้องนางเงยหน้ามองพี่เลี้ยงของเธอด้วยสีหน้ายับย่น บอกถึงความหงุดหงิด ตั้งแต่เรื่องที่วรุณรักษ์ได้รูปเธอกลับบ้านก็ทีหนึ่งแล้ว นี่ที่ปิดตาของเธอยังหายไปอีก

“มีใครเข้ามาในห้องนอนช้องแล้วหยิบออกไปหรือเปล่า”

“ไม่มีค่ะคุณช้อง” ช่อที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดห้องนอนของช้องนางทุกวันนั้นยืนยันเสียงแข็ง เมื่อเช้านี้ที่เธอเข้ามาก็ไม่เห็นที่ปิดตาอันโปรดของช้องนาง “พี่ว่าจะถามคุณช้องอยู่ว่าเอาที่ปิดตาไปทิ้งไว้ไหน เมื่อเช้านี้ไม่เห็นอยู่ในห้อง”

“จะไม่อยู่ได้ไงคะ ช้องถอดแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ” ช้องนางเถียงคอเป็นเอ็น เธอมั่นใจว่าเธอถอดที่ปิดตาทิ้งไว้บนพื้นแถวๆ นี้แหละ

“มันไม่มีจริงๆ นะคะคุณช้อง...”

“มันต้องมีสิคะ” ช้องนางค้านหัวชนฝา ที่ปิดตาอันนี้เธอรักมาก ต้องสวมทุกคืนไม่อย่างนั้นเธอจะนอนไม่หลับ แต่เมื่อเห็นสีหน้าท้อใจของพี่เลี้ยง ความดื้อดึงก่อนหน้าก็จำต้องลดลงด้วยรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมางอแง ให้คนในบ้านตื่นขึ้นมาช่วยกันตามหาที่ปิดตาของเธอ “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ช่อไปพักเถอะ เดี๋ยวช้องจะพักแล้วเหมือนกัน”

“แล้วคุณช้องจะหลับได้หรือคะ ต้องใช้ที่ปิดตาทุกคืนไม่ใช่หรือ”

“ก็มันหาไม่เจอนี่คะ” ช้องนางว่าเสียงอ่อยแต่ก็จำต้องรามือจากการค้นตู้และลิ้นชักทุกบานลงด้วยความเซ็ง ห้องเธอก็มีเท่านี้แล้วที่ปิดตามันจะหายไปไหนได้ “ช่างมันเถอะ ช้องเหนื่อยแล้ว”

“ไว้พรุ่งนี้พี่จะให้คนขึ้นมาหาให้นะคะ” ผู้เป็นพี่เลี้ยงให้คำมั่น ก่อนสะดุ้งโหยงเมื่อถูกจู่โจมด้วยอ้อมกอดจากช้องนาง

“ขอบคุณนะคะ” ช้องนางอ้อน ถูใบหน้าเข้ากับอกพี่เลี้ยงของตนเหมือนทุกครั้งที่ต้องการอ้อนทำคะแนน “ถ้าไม่มีพี่ช่อ ช้องต้องตายแน่ๆ เลย”

“พรุ่งนี้พี่จะขึ้นมาหาให้แต่เช้าค่ะ” พี่เลี้ยงคุณหนูบ้านเทวารักษ์ย้ำอีกครั้ง ก่อนประคองร่างบางของช้องนางออกห่างกาย คลี่ยิ้มอ่อนโยนให้คนอายุน้อยกว่าก่อนกระซิบเตือน “เข้านอนเถอะค่ะ ดึกแล้ว”

“ค่ะ” ช้องนางผงกศีรษะรับพอเป็นพิธี ก่อนจะหมุนตัวกลับไปปีนขึ้นเตียงหลังใหญ่ของตน โดยมีพี่เลี้ยงของเธอเดินตามหลัง พร้อมกับห่มผ้าให้เหมือนหญิงสาวยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ

“พรุ่งนี้อย่าลืมมาหาที่ปิดตาให้ช้องนะคะ”

“ไม่ลืมค่ะ” ช่อยิ้มกว้าง พยักหน้านิดเป็นการรับปาก ก่อนจะผละออกไปจากเตียงก็ไม่ลืมกระซิบบอกสาวน้อยในสายตาของเธอ “ฝันดีนะคะคุณช้อง”

“ฝันดีค่ะพี่ช่อ” สิ้นคำพูดของช้องนาง ไฟดวงสุดท้ายก็ดับลง พร้อมกันนั้นความมืดและความเงียบงันก็พร้อมใจกันคืบคลานเข้ามาแทนที่ ครู่ใหญ่ที่ภายในห้องนอนของช้องนางมีหญิงสาวอยู่เพียงลำพัง ร่างบอบบางของยุพดีจึงปรากฏขึ้น

ดวงหน้างามที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อนั้นเปี่ยมไปด้วยความกังวล ก่อนกามเทพสาวจำต้องถอดถอนใจออกมายาวเหยียด และละสายตาจากดวงหน้างามหยดของช้องนางขึ้นมาเพื่อกวาดตามองไปรอบตัว ห้องนี้รวมถึงบ้านหลังนี้ถูกดูแลปกป้องอย่างดีจากเทพอารักษ์ในอาณัติของเธอเอง

ทว่าบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป...บางอย่างที่มีอำนาจเหนือกว่ากามเทพอย่างเธอ

“ช้องนาง...ช้องนาง...”

เสียงกระซิบดังข้างใบหูคนที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา หลังจากที่ยุพดีโน้มกายทิพย์ของเธอลงไปหาช้องนาง หลับตาลงไม่ต่างกับนางมนุษย์ในความรับผิดชอบของตน แล้วเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ครั้งนี้แฝงด้วยแววของการขอลุแก่โทษจากหญิงสาว

“อย่าร้องไห้...อย่าร่ำไห้อีกเลยเจ้าเอย...”

เอ่ยได้เท่านั้นยุพดีก็จำต้องผละออกห่างจากร่างงามของช้องนาง มองดูร่างเล็กๆ นั้นปกคลุมด้วยพลังอำนาจอื่น...อำนาจของคนอื่นที่เธอไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่กระนั้นยุพดีก็ไม่ยอมละจากช้องนางไปไกล เทพสาวยังคงปักหลักอยู่ข้างเตียง จ้องมองร่างเล็กดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวดทรมานที่มาพร้อมกับความฝัน

คงจริงดั่งที่เฑียรว่า...กาลเวลาหมุนมาอีกครั้งแล้ว...ช้องนางเอ๋ย...เจ้าต้องเจ็บปวดอีกครั้งแล้ว...

 

มีแต่เสียงร้องไห้ที่ดังระงมรอบกายของเธอเมื่อช้องนางลืมตาขึ้นมา ก่อนที่เธอจะต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อตระหนักได้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่บ้าน หรืออยู่บนเตียงของตัวเองเหมือนความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนเข้านอน แต่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีแต่คนแต่งตัวประหลาดเต็มไปหมด

เสียงกรีดร้องของคนที่กำลังจะขาดใจนั้นทำให้ช้องนางต้องหันขวับ

“แม่...”

ช้องนางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมแขนของผู้ชายอีกคน ทั้งคู่ต่างมีหน้าตาเหมือนพ่อกับแม่ของช้องนางราวกับเป็นคนคนเดียวกัน พวกเขาตระกองกอดกันทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนฝ่ายหญิงจะดิ้นปัดๆ อย่างทุรนทุรายประสาแม่ที่หัวใจสลาย

“ลูก...ลูกแม่...”

“แม่ หนูอยู่นี่ไงคะ” ช้องนางร้องบอก ทว่าเหมือนกับอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ยินเธอ อันที่จริงเหมือนกับว่าไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอเลยสักคน จนช้องนางต้องตะโกน “แม่คะ! แม่เห็นหนูไหม...”

“ทำไมถึงทำแบบนี้...”

เสียงห้าวอย่างคนที่หัวใจสลายอีกคนดึงความสนใจของช้องนางจากคนที่หน้าตาเหมือนพ่อและแม่ของเธอ ไปยังต้นเสียงซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นหลังกว้าง ผู้ที่กำลังตระกองกอดร่างบอบบางของผู้หญิงที่นอนนิ่งเอาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในที่นี้

“ทำไมทำกับพี่แบบนี้...”

ช้องนางรู้สึกคุ้นเหลือเกิน ทั้งเสียงทุ้มที่สั่นเครือเพราะหยาดน้ำตา ทั้งแผ่นหลังกว้างตรงหน้าและอ้อมกอดที่กระชับแน่นรอบร่างบอบบางซีดเซียวที่นอนนิ่งไม่ไหวติง เธอยังไม่มีโอกาสมองให้ชัดว่าเจ้าของร่างนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหตุผลหนึ่งก็เพราะผู้ชายตัวยักษ์ที่เอาแต่กอดร่างนั้นแนบอกแน่นไม่ยอมปล่อย

คิดแล้วช้องนางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขยับเท้า เดินไปใกล้ร่างกำยำที่กอดผู้หญิงซึ่งถ้าให้เธอเดาก็น่าจะเป็นคนรักของเขานั่นแหละ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หญิงสาวพยายามชะเง้อคอ แล้วเพ่งสายตาดูใบหน้าของคนทั้งคู่อีกครั้ง ก่อนจะเป็นช้องนางเองที่นั่นผงะหงายหลัง เมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่นอนนิ่งเป็นศพเต็มตา

“กรี๊ด!”

ช้องนางหงายหลังล้มตึง ทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ความสับสนไหลบ่าเข้ามาในสมองของเธอ ไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...ทำไมผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงนั้นถึงได้หน้าตาเหมือนกับเธอราวกับแกะได้ขนาดนั้น แล้ว...แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้นิ่งเป็นศพอย่างนั้น

หรือว่า...ผู้หญิงคนนั้นเป็นศพแล้วจริงๆ

ใช้เวลาอึดใจใหญ่ทีเดียวกว่าช้องนางจะพยุงตัวเองให้ลุกยืนได้อีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวจำต้องกวาดตามองรอบตัวเองอีกหน มองดูบ้านไม้หลังใหญ่ มองดูคนที่หน้าตาเหมือนกับพ่อแม่ของเธอและผู้คนที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้คนอื่นๆ อีกครั้ง เพื่อความแน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเพียงความฝันเพ้อเจ้อของเธอเท่านั้น

แต่ถึงจะเป็นความฝัน ช้องนางกลับรู้สึกคุ้นเคย...ความรู้สึกลึกๆ ของเธอแย้งขึ้นมาว่านี่ไม่ใช่เพียงความฝัน แต่เป็นความทรงจำที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอต่างหาก ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าที่สุดในโลก

เธอจะมีความทรงจำแบบนี้มาจากไหนกัน เธอไม่เคยตายสักหน่อยแล้วอีตาผู้ชายที่ถือดีแตะต้องคนที่หน้าตาเหมือนเธอนั้นเป็นใครกัน คนรักของผู้หญิงคนนั้นงั้นหรือ น่าหมั่นไส้จริง...หญิงสาวค่อนแคะร่างสูงที่สะอื้นไห้อย่างน่าเวทนาอยู่ในใจ ก่อนจะเบ้ปากหนักหลังคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่พ้นเป็นต้นเหตุทำให้คนรักเขาตายแน่ๆ ร้องไห้ฟูมฟายได้ขนาดนี้ก็ต้องเป็นคนก่อเรื่องอยู่แล้วละ

ร่างบอบบางในชุดนอนลายหมีน้อยค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ชายหญิงคู่นั้นอีกครั้ง ครั้งนี้ช้องนางงัดความกล้าทั้งหมดในหัวใจมาใช้ เพราะครั้งนี้เธอต้องเห็นให้ได้ว่าผู้ชายปริศนาที่หันหลังให้เธอนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร อยากเห็นน้ำตาของเขา อยากรู้ว่าเขาทรมานแสนสาหัสด้วยตาของเธอเอง...

“ทำไมทำแบบนี้...น้องทำแบบนี้กับพี่ได้อย่างไร...น้องทิ้งพี่ไปง่ายๆ ได้อย่างไร...”

‘พูดกับคนตายไปแล้วเขาคงได้ยินหรอกย่ะ’ ช้องนางตอบแทนคนรักของเขา ย่นจมูกด้วยความรำคาญใจที่ไม่ว่าจะในความจริงหรือความฝันของเธอ ก็ไม่พ้นที่จะมีคนจำพวกชอบมาพูดพล่ามตอนที่สายไปแล้วอยู่เรื่อย

“พี่บอกให้ตื่น...ตื่นเดี๋ยวนี้ช้องนาง!”

เสียงตวาดนั้นทำให้ช้องนางที่ยังไม่ตายสะดุ้งเฮือก จ้องเขม็งไปยังคนที่กล้าตะคอกศพที่มีชื่อเดียวกับเธอตาเขียว ก่อนจะยกมือเท้าเอวแล้วแยกเขี้ยว

หนอย...ไอ้คนโรคจิต กับคนตายก็ยังไม่ปล่อยให้เขาได้หลับสบาย จะเลวเกินคนไปแล้วนะ!

“ตื่นมาหาพี่เดี๋ยวนี้! ตื่นขึ้นมา!”

“ใครเขาจะอยากตื่นมาหาผู้ชายโรคจิตอย่างนายกัน ปล่อยให้เขาตายๆ ไปเถอะ” แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเธอ แต่ช้องนางก็ยั้งปากตัวเองไว้ไม่ไหวจริงๆ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจผู้ชายตรงหน้าเธอ ตอนเขาตายยังพูดจาแบบนี้กับเขา ไม่อยากคิดภาพตอนที่ผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นมีชีวิตอยู่เลย

“ตื่นขึ้นมา...อย่าคิดที่จะทิ้งพี่ไปง่ายๆ แบบนี้...” คราวนี้น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นอ่อนลงจนแทบจะเป็นคนละคนกับก่อนหน้า พร้อมกับอ้อมกอดที่รัดร่างซีดเซียวของช้องนางที่เป็นศพไปแล้วก็พลอยคลายออก และตอนนั้นเองที่ช้องนางได้เห็น ได้เห็นตัวเองในสภาพตายไปแล้ว...

ที่ลำคอมีปากแผลเหวอะหวะน่าสยดสยอง จนศีรษะห้อยต่องแต่งจวนจะขาดออกจากตัวอยู่รอมร่อ

“อย่าทิ้งพี่...อย่าตายไปจากพี่...”

“ไม่!” ช้องนางกรีดร้อง พลันรู้ถึงความเจ็บปวดบริเวณคอของตัวเอง ก่อนลมหายใจจะหายไปจากปอดของเธอ ร่างบอบบางทุรนทุราย กำลำคอเล็กของตัวเองแน่นก่อนร่างระหงจะล้มลงไปกองแทบพื้น กระตุกเฮือกทั้งที่ดวงตายังมองชายหญิงตรงหน้า จนสบตากับช้องนางอีกคนด้วยดวงตาเบิกโพลงไม่แพ้กัน

“อย่า!”

ช้องนางตะโกนสุดเสียงก่อนจะกรีดร้องออกมา เมื่อผู้ชายที่หันหลังให้เธอคว้ามีดที่ตกอยู่ข้างกายเขาขึ้นมาแนบลำคอแกร่ง แล้วปาดสุดแรง ทำให้หยาดเลือดของเขาสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าผู้หญิงที่ชื่อช้องนางทั้งสองคนไปพร้อมกัน ความสยดสยองตรงหน้าทำให้ช้องนางกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงอีกครั้ง

แต่มันสายไปแล้ว...ร่างสูงไม่เหลือลมหายใจอีกต่อไป เขาล้มซบลงกับศพของผู้หญิงที่เขารัก...หรืออย่างน้อยช้องนางก็คิดว่าเขารักผู้หญิงชื่อเดียวกับเธอคนนั้น เขาตามเธอไปอย่างที่เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เธอทิ้งเขาไปง่ายๆ

จากไปแล้ว...พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่มีชีวิตอยู่แล้ว...

 

ปังๆๆๆ!

“ช้อง! ช้องนางเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”

ร่างระหงผวาลุกขึ้นจากที่นอนในสภาพเหงื่อกาฬท่วมกาย ไหล่บางสะท้อนขึ้นลง ขณะที่ที่หญิงสาวพยายามอ้าปากเอาออกซิเจนเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ราวกับพยายามจะทดแทนช่วงเวลาที่เธอไม่สามารถหายใจได้ในห้วงความฝัน

“ช้องนางลูก เปิดประตูให้แม่หน่อย” เสียงอ้อนวอนนั้นดังมาจากอีกฟากของบานประตู เป็นสิ่งที่ดึงช้องนางให้หลุดออกมาจากความน่าสะพรึงกลัวในความฝัน ก่อนหญิงสาวจะรีบตลบผ้าห่ม ก้าวลงจากเตียงด้วยความรีบร้อน ทว่ายังไม่ทันได้เหยียบพื้นดีก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาอีกครั้ง เมื่อร่างเล็กเสียหลัก ลื่นล้มจนศีรษะงามกระแทกกับขอบเตียงเสียงดังปึก!

“โอ๊ย!”

“ช้องนาง!” เท่านั้นเสียงด้านนอกห้องนอนของหญิงสาวก็ดังลั่นด้วยความตื่นตระหนกที่เพิ่มเป็นสองเท่า และไม่กี่นาทีให้หลังประตูห้องของช้องนางก็เปิดผางออก พร้อมกับเทวีที่ยืนทำหน้าคล้ายคนที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ และอัศวินสามีของเธอที่มีสีหน้าย่ำแย่พอกัน

ยิ่งเห็นสภาพของลูกสาวสุดที่รักนอนคุดคู้อยู่ข้างเตียงโดยที่มือทั้งสองข้างยังกุมศีรษะ หัวใจคนเป็นพ่อและแม่ก็เหมือนจะขาดลงให้ได้ตรงนั้น

“ช้อง! เป็นอะไรลูก เป็นอะไร ไหนบอกแม่สิ” เทวีเข้าไปประคองช้องนางขึ้นมา ปากถามมือก็คลำหาบาดแผลบนร่างกายของลูกไปด้วย

“เจ็บค่ะ” ช้องนางหน้าเบ้ ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดตัวเองที่ขึ้นลงเตียงหลังนี้เป็นร้อยรอบได้แล้ว แต่ก็ยังสามารถทำให้ตัวเองลื่นล้มหัวฟาดได้ เธอช่างมีความสามารถจริงๆ

“หัวหนู...”

ได้ยินเสียงอ่อยๆ ของลูกสาว เทวีก็เปลี่ยนเป้าหมายมาจับศีรษะของช้องนาง ดึงหัวทุยสวยของลูกสาวเข้ามาใกล้ ก่อนจะหน้าเบ้เมื่อสัมผัสถึงรอยนูนเกือบเท่าลูกมะนาวที่หลังศีรษะงาม

“ไปทำอะไรมาลูก ทำไมหัวถึงได้โนขนาดนี้”

“หนูลื่นตอนลงเตียง” ช้องนางพึมพำ ค่อยๆ ยันกายขึ้นมานั่งกับพื้นแล้วระบายลมหายใจแรง ก่อนจะงุบงิบเอ่ยเชิงบ่นกับตัวเอง “เจ็บจัง”

“ร้อยวันพันปีไม่เคยซุ่มซ่ามนะเราน่ะ” เป็นอัศวินที่กวาดตามองร่างเล็กของลูกสาวเรียบร้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันมุ่น ก่อนมือจะไปสัมผัสเข้ากับความเย็นของโลหะแท่งเล็กๆ แล้วหยิบขึ้นมาดู

มันคือปากกาเหล็กด้ามสวยเงาวับท่ามกลางความมืดสลัวในเวลาย่ำเช้า

“เพราะวางของไม่เป็นที่ละสิ”

“คะ?” ช้องนางลืมตา จ้องปากกาไม่คุ้นตาที่พ่อยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตามีคำถาม ก่อนเสียงถอนหายใจของแม่จะดังขึ้นและตามมาด้วยข้อสันนิษฐาน

“คงเหยียบปากกาแล้วลื่นหัวฟาดแน่เลย”

“แต่ว่า...” ช้องนางอ้าปากจะค้าน บอกพ่อกับแม่ว่าปากกาด้ามนั้นไม่ใช่ของเธอ เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อนกระทั่งตอนที่พ่อของเธอยื่นมาตรงหน้านี่แหละ แต่แล้วหญิงสาวก็เปลี่ยนใจไม่เอ่ยอธิบายอะไร เพียงรับปากกาเจ้าปัญหานั้นมาถือไว้ แล้วถอนหายใจยาวเหยียดอย่างยอมแพ้

“หนูผิดเองค่ะที่วางของไม่เป็นที่”

“แล้วเมื่อกี้เป็นอะไร ร้องลั่นจนพ่อนึกว่าบ้านจะถล่มลงมาแล้ว”

“หนูร้องหรือคะ” คำถามของพ่อทำให้ช้องนางจำต้องละความสนใจจากปากกาปริศนานั้นขึ้นมามองหน้าพ่อ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวเข้าด้วยกัน “ร้องยังไงคะคุณพ่อ” “ก็ร้องบอกให้หยุด...อย่าทำ” เป็นเทวีที่เอ่ยตอบแทนสามี สีหน้าของผู้พูดกลับมากังวลอีกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องเสียงร้องลั่นบ้านของช้องนางที่ปลุกให้เธอและสามีตื่นขึ้นมา “หนูเป็นอะไรไหมลูก แม่ตกใจแทบแย่ นึกว่าโจรขึ้นบ้าน”

“หนูแค่...ฝันร้ายน่ะค่ะ ฝันว่ามีคนตาย...เหมือนจริงมากไปหน่อย ก็เลยละเมอมั้งคะ” ช้องนางถอยกายไปพิงกับขอบเตียง ตัวการที่ทำให้เธอมีลูกมะนาวอยู่บนหัวแล้วตอบด้วยสีหน้าที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวพยายามปั้นหน้ายิ้ม เพื่อให้พ่อแม่ของเธอสบายใจ

“แม่ก็ใจหายใจคว่ำหมด” ว่าแล้วเทวีก็ง้างมือหมายใจจะบิดเนื้องามของช้องนางให้เขียว โทษฐานที่กล้าทำให้เธอใจหายใจคว่ำแต่ไก่โห่ แต่แล้วก็ชะงักค้างเอาไว้กลางอากาศก่อนจะลดมือลงตามเดิม แต่ก็มิวายบ่นลูกสาวของเธอพอเป็นพิธี “ใจคอเราอยากให้แม่หัวใจวายตายสินะ”

“ขอโทษค่ะ” ช้องนางหน้าง้ำงอ รู้ตัวว่าผิดที่ร้องลั่นบ้านจนทำคนอื่นๆ ตกอกตกใจ แต่จะให้เธอทำอย่างไรได้ในเมื่อความฝันของเธอมันน่ากลัวมากจริงๆ “หนูไม่คิดว่าหนูจะละเมอ แต่หนูไม่ได้อยากจะฝันร้ายขนาดนี้เสียหน่อย”

“เอาเถอะๆ” อัศวินตัดบท ยันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งมือให้ผู้เป็นภรรยาจับ “ลูกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เราก็ไปอาบน้ำเถอะคุณ วันนี้วันพระนะ”

นั่นหมายถึงว่าเทวีจะต้องลงไปเตรียมของสำหรับใส่บาตรก่อนที่พระจะมา ซึ่งนี่ก็ถือเป็นกิจกรรมของบ้านเทวารักษ์ที่ต้องทำทุกวันพระ

“ค่ะ” เทวีรับความช่วยเหลือจากสามี ก่อนนาทีต่อมาร่างระหงของเธอจะยืนขึ้นเต็มความสูงเคียงข้างกับอัศวิน แต่ก็ไม่วายหันมาถามบุตรสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องล่างด้วยน้ำเสียงห่วงใย “หนูจะลงไปใส่บาตรพร้อมกับพ่อแม่ไหมช้อง แม่จะได้เตรียมของไว้ให้

ช้องนางเหลือบตาขึ้นมองพ่อกับแม่ของเธอแล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง จึงเห็นท้องฟ้าเริ่มมีประกายสีทองทอลงมาบ้างแล้ว และนั่นก็ทำให้ช้องนางตัดสินใจได้ รู้ตัวว่าต่อให้กลับไปนอนตอนนี้เธอคงนอนไม่หลับอยู่ดี สู้ลงไปใส่บาตรพร้อมกับพ่อแม่ดีกว่า

“ค่ะ” ช้องนางผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการตอบรับ “ขอหนูอาบน้ำก่อน แล้วจะรีบตามลงไป”

“ได้จ้ะ” เทวีพยักหน้ารับพอเป็นพิธีก็จริงอยู่ แต่มิวายเอื้อมมือมาลูบศีรษะบริเวณที่ปูดเป็นลูกมะนาวของช้องนางด้วยสีหน้าอาลัยปนสงสาร ลูกสาวของเธอนี่จริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยนอนดิ้น ทำไมถึงได้มาดิ้นจนตกเตียงเอาตอนนี้

“ไม่ต้องรีบมากนะลูก เดี๋ยวจะหัวร้างค้างแตก เจ็บตัวอีกเปล่าๆ”

 

นอกจากช้องนางที่ต้องเผชิญกับฝันร้ายแล้ว ยังมีอีกคนที่ต้องประสบกับชะตากรรมเดียวกันซึ่งก็คือ วรุณรักษ์ ชายหนุ่มที่ยังอยู่ในห้วงความฝันนั้นนอนกระสับกระส่าย น้ำตาไหลนองด้วยความเจ็บช้ำ ปากก็พร่ำตัดพ้อคนรักของเขาที่ตัดสินใจทำร้ายตัวเอง ก่อนร่างกำยำจะทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นจากเตียงนอน มือหนาปะป่ายขึ้นมาคว้าที่ปิดตาสีชมพูออกจากศีรษะพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง หลังจากต้องเผชิญกับความสยดสยองที่ชวนท้องไส้ปั่นป่วน วรุณรักษ์ยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความพรั่นพรึง

ในฝันของเขานั่นมันหมายความว่ายังไง มันไม่มีทางเป็นจินตนาการที่จิตใต้สำนึกของเขาสร้างขึ้นมาเองแน่ๆ วรุณรักษ์มั่นใจ เพราะสำหรับเขาแล้วไม่มีทางที่เขาอยากจะเห็นช้องนางในสภาพไร้วิญญาณในอ้อมแขนตัวเอง เขาไม่อยากให้หญิงสาวต้องเป็นอันตราย

ร่างสูงใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะสามารถดึงสติของตัวเองกลับมาได้ ใบหน้าคมคร้ามที่มีแต่คราบน้ำตาของวรุณรักษ์นั้นค่อยๆ เงยขึ้นมาจากผ้าห่ม จ้องมองรูปวาดของผู้หญิงที่ตามเข้าไปหาเขาถึงในความฝัน

ใช่คนคนเดียวกันแน่...เจ้าของดวงหน้าอ่อนหวานตรงหน้านี้เป็นคนคนเดียวกับคนรักของเขาในฝันแน่ หากถามทำไมวรุณรักษ์จึงมั่นใจว่าผู้หญิงที่ชื่อช้องนางในความฝันเป็นคนรักของเขา ก็เพราะความรู้สึกเหมือนจะตายตามเธอไปให้ได้อย่างไรล่ะ

ความรู้สึกเจ็บปวดมันรุนแรงเหมือนรอยร้าวที่บาดลึกไปถึงจิตวิญญาณของวรุณรักษ์เอง พร้อมกับทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ทุกครั้งที่คิดถึงเธอเขาจึงได้เจ็บปวด

นี่มันอะไรกัน...

สิ่งต่อมาที่ผุดขึ้นในหัวของวรุณรักษ์คือคำถามนับสิบ หรือว่าเขาชอบช้องนางมากจนคิดเพี้ยน มีจินตนาการเลื่อนเปื้อนไปเองจริงๆ แต่แบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า ฝันว่าช้องนางตายแล้วเขาฆ่าตัวตายตามนี่นะ? ไม่มีทางหรอก ไม่มีทางที่ช้องนางของเขาจะทำร้ายตัวเองแบบนั้นแน่ วรุณรักษ์ไม่เชื่อสิ่งที่เขาเห็นในความฝันแน่ๆ

กริ๊ง!

“เฮ้ย!” ร่างสูงหลุดเสียงอุทานพร้อมกับสะดุ้งโหยง ก่อนชายหนุ่มจะกระแทกลมหายใจ เมื่อเห็นว่าต้นเหตุที่ทำให้เขาหัวใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มแท้จริงแล้วคือ เสียงเรียกเข้าจากมือถือที่ทำลายความเงียบในห้องนอนที่ชวนขนหัวลุกมากกว่าความฝันของวรุณรักษ์ๆ

ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ กับความขวัญอ่อนของตัวเองขณะที่เอื้อมมือไปหยิบมือถือจากแท่นชาร์จ และระหว่างนั้นเองที่วรุณรักษ์นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนนี้ก่อนเข้านอน เขาวางที่ปิดตาไว้ข้างๆ แท่นชาร์จนี่...แล้วทำไมมันถึงได้มาอยู่บนหัวเขาได้...

“วรุณรักษ์พูด” เสียงแหบแห้งอย่างคนที่ตื่นนอนกรอกลงไปในลำโพง ไม่นานน้ำเสียงราบเรียบของปลายสายก็ตอบกลับมา ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่วรุณรักษ์ใส่ใจ เพราะชายหนุ่มกำลังกวาดตาหาที่ปิดตาเจ้าปัญหาที่ชอบโผล่ไปอยู่ที่โน่นที่นี่ และยังหาคำไหนมาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมันถึงแวบมาโผล่ที่บ้านของเขา...และทำไมเมื่อเขาตื่นมาจึงมีมันมาอยู่บนหน้า ทั้งที่ความจริงนั้นวรุณรักษ์เกลียดความมืดที่สุด ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาต้องนอนเปิดไฟอยู่ทุกคืน

“วรุณ...ตื่นหรือยังลูก” เป็นอาชวิณที่อยู่ปลายสาย ลมหายใจของเขาอยู่ในจังหวะปกติ ผิดกับคู่ชีวิตอย่างพิมพ์ดาราที่หอบหายใจ จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ในมือสามี

“ครับ ตื่นแล้ว” วรุณรักษ์ที่ตื่นเพราะฝันร้ายงึมงำตอบเบาๆ ปกติเขาตื่นเช้าอยู่แล้วแม้จะไม่เช้าเท่าวันนี้ก็ตาม “พ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมโทร. มาแต่เช้า”

“พ่อว่าจะชวนเราไปหาหลวงตา...ว่างไหมลูก”

“อ้อ ไม่รู้สิครับ...” วรุณรักษ์ตอบพร้อมถอนหายใจออกมายาวเหยียด วันนี้เขาไม่มีอารมณ์ออกไปที่ไหน แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากปฏิเสธอาชวิณ ด้วยบิดาของเขานั้นไม่เคยเอ่ยปากขอร้องสิ่งใดจากเขามาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเอ่ยปากชวนเขา จะให้บอกปัดก็กระไรอยู่

“จะไปตอนไหนหรือครับ ถ้าไม่เช้ามากก็น่าจะไหวอยู่ครับพ่อ”

“อา...คงเป็นหลังเพลแล้ว” อาชวิณเหลือบมองหน้าภรรยาอย่างขอความเห็น เมื่อเอ่ยแล้วพิมพ์ดาราพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน น้ำเสียงลังเลของเขาก็เปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “พ่อจะโทร. ไปถามคนที่วัดก่อน เผื่อหลวงตาท่านติดธุระ”

“ได้ครับ” วรุณรักษ์ขยับตัวลงมานั่งห้อยขา ฟังรายละเอียดเรื่องเวลาแล้วก็พอรับได้หน่อย “ถ้ายังไงโทร. กลับมาบอกผมอีกทีนะครับ”

“ได้” ว่าแล้วอาชวิณก็วางสายไป จึงเหลือเพียงวรุณรักษ์กับความมืดอันคุ้นเคย ร่างสูงกวาดตามองบรรยากาศด้านนอกแล้วเม้มปากแน่นด้วยความหงุดหงิด เมื่อพบว่าท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้มและมีฝนตกอยู่ปรอยๆ ดั่งเช่นทุกวัน ทำให้วรุณรักษ์จำต้องภาวนากับตัวเองให้ท้องฟ้าสดใสกว่านี้สักนิดก็ยังดี เขาจะได้ไม่ต้องตัวเปียกมากนักตอนที่ลงไปตัดดอกไม้จากในสวน มาเปลี่ยนกับดอกเก่าในแจกันในบ้านซึ่งเริ่มเหี่ยวเฉาแล้ว

แม้วรุณรักษ์จะตื่นนอนแต่เช้ามืด ทว่ากว่าที่เขาจะลงมาที่สวนดอกไม้ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือทุ่งดอกไม้นั้นกลับเป็นช่วงสายแล้ว เนื่องจากชายหนุ่มต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลังด้วยตัวเองก่อน ซึ่งถือเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ของเขาไปแล้วเรียบร้อย

ทุกอย่างในชีวิตของวรุณรักษ์ถูกวางแผนไว้อย่างเป็นระบบ และแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยตลอดหลายปีที่เขาแยกออกมาอยู่คนเดียว ในวันธรรมดาเขาทำงาน ไปดูโรงงาน และเคลียร์เอกสารต่างๆ บ้าง ส่วนวันหยุดนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ชายหนุ่มจัดการงานบ้านทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดูดฝุ่นหรือซักผ้า วรุณรักษ์ก็ลงมือทำด้วยตัวเองมาตลอดเหมือนครั้งที่ไปเรียนต่างประเทศ

ระหว่างเก็บเครื่องดูดฝุ่นนั้น เขาได้รับสายจากคุณอาชวิณผู้เป็นบิดาซึ่งโทร. มายกเลิกการนัดหมายที่เขาและพ่อแม่จะไปเยี่ยมหลวงตาเพิ่มที่วัด เนื่องด้วยหลวงตาเพิ่มมีกิจนิมนต์ ดังนั้นแผนการใช้ชีวิตในวันเสาร์ของวรุณรักษ์จึงกลับมาเหมือนเดิมเช่นสัปดาห์ก่อน ชายหนุ่มในชุดลำลองสบายๆ ตามประสาชายโสดที่อยู่บ้านเดินเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าเชื่องช้า เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งรีบอะไร

ทั้งการแต่งตัวและกิจวัตรประจำวันของเขานั้นมองเผินๆ อาจจะดูน่าเบื่อไม่น้อยในสายตาใครหลายๆ คน แต่สำหรับผู้ที่อยู่กับวรุณรักษ์มานานจนไม่สามารถบอกได้แล้วว่านานเท่าไรอย่างเฑียรนั้น เขาเพียงแค่เหลือบมองร่างสูงของวรุณรักษ์เป็นครั้งคราว

แน่นอนว่ากามเทพหนุ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงระหว่างวรุณรักษ์กับเนื้อคู่ของเขาตั้งแต่คืนที่ผ่านมาแล้ว ความฝันของวรุณรักษ์และช้องนางนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทว่ามีคนต้องการให้ทั้งสองรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เคยเผชิญมาแต่ละชาติภพ แน่นอนว่าไม่ใช่เขา และไม่ใช่ยุพดีเช่นเดียวกัน เฑียรมั่นใจว่ายุพดียอมให้กายทิพย์ของตัวเองแตกสลายยังดีกว่าให้นางมนุษย์ที่ชื่อว่าช้องนางคนนั้นต้องเจ็บปวด แต่ใครเล่าที่อยากให้วรุณรักษ์และนางมนุษย์นั่นระลึกถึงความทรงจำครั้งเก่าก่อนได้ ที่สำคัญผู้ที่สามารถดลบันดาลให้มนุษย์ทั้งสองคนตกอยู่ในห้วงความฝันในเวลาเดียวกันได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดา และด้วยเหตุนั้นเฑียรจึงรับรู้ได้ถึงโทสะของกามเทพที่เขาคุ้นเคยมานานแสนนาน

ยุพดีกำลังโกรธ...และยามที่นางโกรธเกรี้ยวนั้นไม่เคยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลยสักครั้ง...

นอกจากเวรกรรมของวรุณรักษ์แล้ว ก็คงเป็นเวรกรรมของเขาที่ต้องพานพบกับกามเทพอารมณ์ร้ายเช่นยุพดีมาหลายภพหลายชาติ และพวกเขาคงจะหนีกันไม่พ้น หากไม่สามารถทำหน้าที่กามเทพให้ลุล่วงในชาตินี้ ซึ่งเท่าที่ดู...ก็ยังไม่เห็นวี่แววของความสำเร็จเลย

คิดถึงตรงนี้เฑียรก็รู้สึก...เซ็ง...ใช่ไหมนะ ที่พวกมนุษย์สมัยนี้ชอบกล่าวเวลาไม่ได้ดั่งใจ

ร่างโปร่งของผู้ที่เฑียรต้องร่วมแบ่งปันชะตากรรมและที่อยู่อาศัยนั้น กำลังเดินออกไปยังทุ่งดอกไม้ที่เขาเฝ้าดูแลจนมันขยายขนาด จากแปลงเล็กๆ กลายเป็นสวน และกลายเป็นทุ่งขนาดใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยทั้งความอดทนและความเอาใจใส่อย่างที่วรุณรักษ์คนเดียวเท่านั้นทำได้

มุมปากกามเทพหนุ่มนั้นขยับยกสูงขึ้นก่อนจะกลายเป็นว่าเขากำลังยิ้ม เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่าน ตัวตนของวรุณรักษ์เองก็เปลี่ยนไป แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถทิ้งนิสัยบางอย่างจากชาติภพก่อนไปได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเปลี่ยนนามที่เรียกขานไปอย่างไร แต่วรุณรักษ์ก็มักจะหลงใหลได้ปลื้มกับดอกไม้พวกนี้เสมอ โดยเฉพาะเจ้าดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักอย่าง กุหลาบ ที่เห็นจะเป็นสิ่งเดียวที่วรุณรักษ์ชอบ...ชอบถึงขนาดปลูกสวนดอกกุหลาบเอาไว้ที่บ้าน แทนการบอกว่าเขารักมันขนาดไหน

เฑียรมองตามหลังวรุณรักษ์มาจนสุดสายตา...เมื่อมองไม่เห็นมนุษย์ในความรับผิดชอบของตัวเองแล้ว เขาจึงกำหนดจิตพาตัวเองมาโผล่ที่ทุ่งดอกไม้ข้างกายวรุณรักษ์ ซึ่งกำลังมองหาดอกกุหลาบที่เหมาะจะตัดไปเสียบแจกัน...และตอนนั้นเองที่ความคิดบางอย่างแล่นเขามาในหัวของเฑียร ความคิดดีๆ ที่อาจจะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้ โดยไม่ต้องท้าทายคำสาปที่ติดอยู่กับตัวของช้องนางให้ตัวเองเจ็บตัว

จังหวะที่วรุณรักษ์โน้มกายไปตัดดอกไม้ เฑียรจึงโบกมือ เป็นสาเหตุให้วรุณรักษ์นิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ ค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อครู่นี้เขายื่นกรรไกรไปตัดกิ่งกุหลาบดังฉับแล้ว แต่เหตุใดก้านของมันจึงยึดติดอยู่กับลำต้นได้อีก วรุณรักษ์ลองตัดกิ่งกุหลาบดอกเดิมอีกครั้งพร้อมกับสังเกตคมกรรไกรในมือของเขาไปพร้อมกัน และผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม นั่นก็คือ กิ่งของกุหลาบยังอยู่ดีเหมือนว่าเมื่อครู่นี้กรรไกรของวรุณรักษ์ตัดผ่านอากาศธาตุ ไม่ใช่กิ่งไม้

ขณะที่วรุณรักษ์ตาโตหันซ้ายหันขวาด้วยความระแวง กามเทพของเขากลับยิ้มขัน และหากวรุณรักษ์มีหูวิเศษ เขาก็คงได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ มาจากร่างกำยำด้านหลังเป็นแน่

 

ตัดมาที่เนื้อคู่ของวรุณรักษ์ซึ่งกำลังหมุนตัวดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกเงา ก่อนจะออกไปงานวันเกิดเล็กๆ ซึ่งจัดโดยหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ

แน่นอนว่าไอ้คำว่า ‘เล็ก’ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ความจริง เพื่อนของช้องนางคนนี้เป็นคนหน้าใหญ่ชอบโอ้อวด โดยเฉพาะคนรักของเจ้าหล่อนที่เป็นนักการเมืองชื่อดัง ยิ่งขยันอวดจนเรียกว่าอวดเช้าอวดเย็น อวดทุกแอปพลิเคชัน เล่นเอาคนไร้คู่อย่างเธอคันมือคันไม้ยิบๆ แต่ทำได้แค่บอกกับตัวเองเงียบๆ คนเดียวว่าหากเธอมีคนรักเมื่อไหร่ละก็ เธอจะอวดยิ่งกว่านี้อีก คอยดู๊!

แสงวิบวับของสร้อยเพชรบนคอทำให้ช้องนางลืมความหงุดหงิด หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ขณะที่ยกมือขึ้นลูบสร้อยน้ำงามบนคอ เอียงใบหน้าไปมาพลางจ้องเงาสะท้อนของตัวเองด้วยสายตาหวานเชื่อม คิดว่าในโลกใบนี้ยังจะมีใครเพอร์เฟกต์กว่าเธอได้อีก

วันนี้หญิงสาวเลือกสร้อยจากร้านของเธอเองออกมาสวม เพราะมันส่งเสริมบารมีความรวยของเธอให้พุ่งตำตาใครต่อใครดี ไม่ได้ตั้งใจจะอวดหรอกนะ แต่ในฐานะเจ้าของร้านเพชร จะให้น้อยหน้าคนอื่นๆ ที่ไปร่วมงานก็ไม่สมควรเท่าไหร่ ต้องถมทั้งต่างหู สร้อย และแหวนก็ห้ามขาด ใส่มันให้ครบทุกอย่าง เผื่อใครถามแล้วจะได้ถือโอกาสโฆษณาร้านเพชรของเธอไปในตัว ไม่แน่ว่าไปงานนี้เธออาจจะขายพวกแหวนหมั้นแหวนแต่งงานได้สักวงสองวง เท่านั้นก็นับว่าได้กำไรแล้ว

“สวมกำไลอีกอย่างจะเยอะไปไหมนะ” ช้องนางถามความเห็นตัวเอง ทว่ามือเรียวกลับเอื้อมไปหยิบสร้อยข้อมือจากกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทาบข้อมือ ก่อนจะร้องกรี๊ดเหมือนเห็นผี เมื่อสร้อยข้อมือเส้นงามนั้นขาดเป็นสองท่อนคามือ

“ตายแล้ว!” หญิงสาวอุทานเสียงหลงหลังเข่าทรุดลงไปแทบพื้นตามชิ้นส่วนของสร้อยข้อมือครึ่งหนึ่งที่ร่วงลงไปอยู่แทบพื้นก่อนหน้าแล้ว แต่ไม่ทันได้กลับมาหายใจเต็มปอด สร้อยคอของช้องนางก็ขาดเป็นสองท่อนอีกอย่าง ทำให้เธอร้องเสียงหลงเหมือนคนเสียสติออกมาอีกครั้ง นัยน์ตากลมโตมองทั้งสร้อยคอและสร้อยข้อมือที่ขาดเป็นท่อนๆ เหมือนมีใครเอากรรไกรล่องหนมาตัดทิ้งต่อหน้าต่อตาเธอ

บ้าที่สุด!

“แม่คะ! แม่!”

“อะไรกันช้อง...” เทวีวิ่งตามเสียงร้องของลูกสาวมายังห้องแต่งตัวของช้องนางอย่างรวดเร็ว มืองามของคุณผู้หญิงบ้านเทวารักษ์วางอยู่แนบอก ด้วยช่วงหลังมานี้ช้องนางขยันตะโกนร้องทำให้เธอใจหายใจคว่ำอยู่บ่อยๆ

“เรียกแม่ดีๆ ก็ได้ลูก จะตะโกนทำไม”

“ใครมาทำสร้อยขาดก็ไม่รู้” ช้องนางฟ้องมารดาพลางยื่นสร้อยเพชรมูลค่ามหาศาลที่เธอกอบขึ้นมาจากพื้นไปให้เทวีดู “ครั้งที่แล้วที่คุณแม่ใส่ยังดีๆ อยู่ใช่ไหมคะ”

“ใช่ลูก” เทวีพยักหน้าพลางรับชิ้นส่วนของเครื่องประดับหรูที่เธอและลูกสาวใช้ร่วมกันมาพิเคราะห์ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เธอสวมมันไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของผู้ใหญ่ที่รู้จักกันนั้น ทั้งสร้อยคอและสร้อยข้อมือยังไม่มีสภาพเช่นนี้ จะว่าเพราะความเก่าหรือก็ไม่น่าใช่ เพราะเครื่องเพชรชุดนี้เป็นของใหม่จากที่ร้านทุกชิ้น

“ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”

“หนูก็ไม่...แม้!!” ช้องนางหวีดร้องเสียงหลงอีกครั้ง ดวงตาที่มองชิ้นส่วนของเครื่องประดับในมือของมารดาโตเป็นไข่ห่าน เมื่อจู่ๆ สร้อยก็ขาดออกจากกันอีกครั้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ราวกับใครบางคนที่มองไม่เห็นใช้ของมีคมตัดมัน!

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น