5

บทที่ 5 ก็เหมือนเดิม...เพิ่มเติมคือมีเธอ


5

ก็เหมือนเดิม...เพิ่มเติมคือมีเธอ


รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าคมคร้ามของวรุณรักษ์ในรอบหลายปี ขณะมองรูปวาดของช้องนางที่เขานำกลับบ้านมาด้วย และตอนนี้รูปนั้นก็แขวนอยู่ในห้องนอนของเขาเรียบร้อยแล้ว อาจจะน่าขนลุกไม่น้อยถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาเอารูปผู้หญิงที่ไม่แม้แต่จะพบหน้ากันมาก่อนมาแขวนในห้องนอน แต่จะให้วรุณรักษ์ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาอยากมองช้องนางของเขานานๆ นี่นา

ทั้งที่คิดว่าตัวเองมองรูปวาดนี้พอแล้ว แต่วรุณรักษ์ก็ไม่สามารถละสายตาจากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงหน้าได้อยู่ดี ทำไมความคิดถึงในหัวใจของเขามันถึงไม่ยอมคลายลงเลย ทั้งๆ ที่ได้มองใบหน้าของหญิงสาวนานเท่าที่ใจต้องการแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่...

เสียงสูดลมหายใจของวรุณรักษ์ดังแข่งกับเสียงเครื่องฟอกอากาศภายในห้องนอน ชายหนุ่มเตือนตัวเองว่าเขาควรจะผละจากรูปตรงหน้าและรีบไปอาบน้ำได้แล้ว หลังจากออกไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่นอกบ้านมาทั้งวัน หลังจากที่เตือนตัวเองแล้วพักใหญ่ วรุณรักษ์ถึงสามารถหักใจจากรูปของผู้หญิงที่เขาหลงใหล แล้วหมุนตัวหันหลังเพื่อเดินไปยังห้องน้ำ

“เฮ้ย!”

ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวพ้นพื้นต่างระดับตรงประตูห้องน้ำ วรุณรักษ์ก็เสียหลักหงายหลังล้มจนสะโพกกระแทกพื้นเสียงดังอักก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บบริเวณบั้นท้าย ใบหน้าคมคร้ามยับย่นเพราะความหงุดหงิด นึกเซ็งที่ตัวเองเผลอเรอทำความสะอาดห้องไม่เรียบร้อยขนาดที่ทิ้งเศษผ้าเอาไว้ จนมันย้อนมาทำให้เขาเจ็บตัว

ทว่านึกโกรธตัวเองได้ไม่นานวรุณรักษ์ก็ต้องนิ่วหน้าอีกหน หลังควานหาต้นเหตุที่ทำให้เขาหงายหลังล้มเจอ แล้วพบว่ามันคือที่ปิดตาที่ทำจากผ้าไหมสีชมพูยี่ห้อดังจากต่างประเทศ ซึ่งด้านบนนั้นมีตัวหนังสือปักไว้ว่า ‘Devil is sleeping’ และนั่นยิ่งทำให้วรุณรักษ์เกิดความสับสนถึงที่มาของเจ้าที่ปิดตานี่

“มาได้ไง”

นั่นคือสิ่งที่โผล่มาในหัวของวรุณรักษ์ มือแกร่งจับที่ปิดตานั้นพลิกดูอีกหลายครั้งเพื่อความแน่ใจว่ามันไม่ใช่ของเขาจริงๆ แน่นอนอยู่แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่มีทางที่จะเป็นของเขา ด้วยวรุณรักษ์รู้ตัวดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ที่ปิดตาแบบนี้เลยตั้งแต่เกิดมา ก็จะใช้ไปเพื่ออะไรในเมื่อปกติเขาต้องเปิดไฟนอน

แล้วไอ้นี่เป็นของใครกัน...มีใครเข้ามานอนของเขาอีกอย่างนั้นหรือ

คิดได้ดังนั้นวรุณรักษ์ก็ทะลึ่งตัวลุกพรวด หันมองรอบกายด้วยความหวาดระแวง หูก็พยายามฟังเสียงรอบกายเผื่อว่าผู้บุกรุกจะยังอยู่ในบ้าน ก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ตู้เก็บเสื้อผ้าภายในห้องนอนด้วยฝีเท้าเงียบกริบ และค่อยๆ ไล่เปิดประตูตู้ดูทีละบานเพื่อหาตัวผู้บุกรุก แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววกระทั่งร่องรอยการบุกรุก ความคิดที่ว่าอาจจะมีคนแอบเข้ามาในบ้านของวรุณรักษ์ก็เริ่มหายไป พลางคิดว่าที่ปิดตานี้อาจจะเป็นของคนใกล้ตัวเขาก็ได้ แต่สหรัถไม่พกเจ้านี่ตอนมาบ้านเขาแน่ ดังนั้นตัดเขาออกไปจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยได้เลย

“หรือว่าจะเป็นของคุณแม่...” วรุณรักษ์พลิกที่ปิดตาในมือดูอีกหน ก่อนจะย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจนัก ด้วยชายหนุ่มไม่เคยเห็นแม่ของเขาใช้ที่ปิดตาแบบนี้มาก่อนอีกเหมือนกัน แต่ทำไมเขาจะไม่หาคำตอบให้กับสิ่งที่ตัวเองสงสัยล่ะ คิดเสร็จร่างสูงก็เดินกลับมาในห้อง หยิบมือถือที่วางทิ้งไว้บนแท่นชาร์จแล้วจัดการต่อสายหาพิมพ์ดารา แม่ของเขาครั้งแรกในรอบปี

“แม่...ว่างคุยหรือเปล่าครับ” เสียงห้าวนั้นเอ่ยถามอย่างร้อนใจหลังจากเสียงรอสายตัดไป

“ว่างสิลูก มีอะไรหรือ ทำไมถึงได้โทร. หาแม่เอาป่านนี้”

“วันที่แม่มาบ้านผม แม่ได้ลืมอะไรไว้หรือเปล่าครับ” วรุณรักษ์อยากมั่นใจจริงๆ ว่าเจ้าที่ปิดตานี้ไม่ใช่ของแม่เขา แม้ว่าจะพอเดาคำตอบได้แล้วก็ตาม

“ไม่มีนี่จ๊ะ” พิมพ์ดาราตอบเสียงเบา ระหว่างนึกว่าเธอได้ทิ้งอะไรไว้ที่บ้านของบุตรชายหรือไม่ ครู่ใหญ่จึงย้ำคำตอบด้วยน้ำเสียงที่บอกชัดถึงความมั่นใจ “วันนั้นแม่ไม่ได้เอาอะไรไปนะ ทำไมหรือ แม่ทิ้งอะไรเอาไว้ที่บ้านลูกหรือจ๊ะ”

“ไม่มีอะไรครับ” วรุณรักษ์พึมพำ “มันคงเป็นของผมเองแหละ ผมคงลืมไป...”

“อ้อ โอเคจ้ะ”

“เท่านี้ก่อนนะครับแม่ พอดีว่าผมมีงานต้องทำ”

“จ้ะๆ ไปเถอะ”

หลังวางสายจากมารดาเรียบร้อยแล้ว วรุณรักษ์ก็กลับมามองที่ปิดตาปริศนาในมืออีกรอบด้วยสายตาสับสน พยายามคิดหาเจ้าของตัวจริงของเจ้านี่เท่าไรก็คิดไม่ออก จนสุดท้ายชายหนุ่มจึงจำต้องยอมแพ้ วางเจ้าที่ปิดตาสีหวานนั้นไว้ข้างแท่นชาร์จมือถือข้างเตียง แล้วจึงหมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยครั้งนี้ชายหนุ่มระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ บอกตัวเองจะไม่พลาดเหยียบอะไรก็ตามบนพื้นจนล้มกระแทกทำตัวเองเจ็บตัวอีกรอบแน่


“มันจะหายไปไหนได้คะ เมื่อเช้ายังอยู่อยู่เลย” ช้องนางเงยหน้ามองพี่เลี้ยงของเธอด้วยสีหน้ายับย่น บอกถึงความหงุดหงิด ตั้งแต่เรื่องที่วรุณรักษ์ได้รูปเธอกลับบ้านก็ทีหนึ่งแล้ว นี่ที่ปิดตาของเธอยังหายไปอีก

“มีใครเข้ามาในห้องนอนช้องแล้วหยิบออกไปหรือเปล่า”

“ไม่มีค่ะคุณช้อง” ช่อที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดห้องนอนของช้องนางทุกวันนั้นยืนยันเสียงแข็ง เมื่อเช้านี้ที่เธอเข้ามาก็ไม่เห็นที่ปิดตาอันโปรดของช้องนาง “พี่ว่าจะถามคุณช้องอยู่ว่าเอาที่ปิดตาไปทิ้งไว้ไหน เมื่อเช้านี้ไม่เห็นอยู่ในห้อง”

“จะไม่อยู่ได้ไงคะ ช้องถอดแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ” ช้องนางเถียงคอเป็นเอ็น เธอมั่นใจว่าเธอถอดที่ปิดตาทิ้งไว้บนพื้นแถวๆ นี้แหละ

“มันไม่มีจริงๆ นะคะคุณช้อง...”

“มันต้องมีสิคะ” ช้องนางค้านหัวชนฝา ที่ปิดตาอันนี้เธอรักมาก ต้องสวมทุกคืนไม่อย่างนั้นเธอจะนอนไม่หลับ แต่เมื่อเห็นสีหน้าท้อใจของพี่เลี้ยง ความดื้อดึงก่อนหน้าก็จำต้องลดลงด้วยรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมางอแง ให้คนในบ้านตื่นขึ้นมาช่วยกันตามหาที่ปิดตาของเธอ “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ช่อไปพักเถอะ เดี๋ยวช้องจะพักแล้วเหมือนกัน”

“แล้วคุณช้องจะหลับได้หรือคะ ต้องใช้ที่ปิดตาทุกคืนไม่ใช่หรือ”

“ก็มันหาไม่เจอนี่คะ” ช้องนางว่าเสียงอ่อยแต่ก็จำต้องรามือจากการค้นตู้และลิ้นชักทุกบานลงด้วยความเซ็ง ห้องเธอก็มีเท่านี้แล้วที่ปิดตามันจะหายไปไหนได้ “ช่างมันเถอะ ช้องเหนื่อยแล้ว”

“ไว้พรุ่งนี้พี่จะให้คนขึ้นมาหาให้นะคะ” ผู้เป็นพี่เลี้ยงให้คำมั่น ก่อนสะดุ้งโหยงเมื่อถูกจู่โจมด้วยอ้อมกอดจากช้องนาง

“ขอบคุณนะคะ” ช้องนางอ้อน ถูใบหน้าเข้ากับอกพี่เลี้ยงของตนเหมือนทุกครั้งที่ต้องการอ้อนทำคะแนน “ถ้าไม่มีพี่ช่อ ช้องต้องตายแน่ๆ เลย”

“พรุ่งนี้พี่จะขึ้นมาหาให้แต่เช้าค่ะ” พี่เลี้ยงคุณหนูบ้านเทวารักษ์ย้ำอีกครั้ง ก่อนประคองร่างบางของช้องนางออกห่างกาย คลี่ยิ้มอ่อนโยนให้คนอายุน้อยกว่าก่อนกระซิบเตือน “เข้านอนเถอะค่ะ ดึกแล้ว”

“ค่ะ” ช้องนางผงกศีรษะรับพอเป็นพิธี ก่อนจะหมุนตัวกลับไปปีนขึ้นเตียงหลังใหญ่ของตน โดยมีพี่เลี้ยงของเธอเดินตามหลัง พร้อมกับห่มผ้าให้เหมือนหญิงสาวยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ

“พรุ่งนี้อย่าลืมมาหาที่ปิดตาให้ช้องนะคะ”

“ไม่ลืมค่ะ” ช่อยิ้มกว้าง พยักหน้านิดเป็นการรับปาก ก่อนจะผละออกไปจากเตียงก็ไม่ลืมกระซิบบอกสาวน้อยในสายตาของเธอ “ฝันดีนะคะคุณช้อง”

“ฝันดีค่ะพี่ช่อ” สิ้นคำพูดของช้องนาง ไฟดวงสุดท้ายก็ดับลง พร้อมกันนั้นความมืดและความเงียบงันก็พร้อมใจกันคืบคลานเข้ามาแทนที่ ครู่ใหญ่ที่ภายในห้องนอนของช้องนางมีหญิงสาวอยู่เพียงลำพัง ร่างบอบบางของยุพดีจึงปรากฏขึ้น

ดวงหน้างามที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อนั้นเปี่ยมไปด้วยความกังวล ก่อนกามเทพสาวจำต้องถอดถอนใจออกมายาวเหยียด และละสายตาจากดวงหน้างามหยดของช้องนางขึ้นมาเพื่อกวาดตามองไปรอบตัว ห้องนี้รวมถึงบ้านหลังนี้ถูกดูแลปกป้องอย่างดีจากเทพอารักษ์ในอาณัติของเธอเอง

ทว่าบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป...บางอย่างที่มีอำนาจเหนือกว่ากามเทพอย่างเธอ

“ช้องนาง...ช้องนาง...”

เสียงกระซิบดังข้างใบหูคนที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา หลังจากที่ยุพดีโน้มกายทิพย์ของเธอลงไปหาช้องนาง หลับตาลงไม่ต่างกับนางมนุษย์ในความรับผิดชอบของตน แล้วเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ครั้งนี้แฝงด้วยแววของการขอลุแก่โทษจากหญิงสาว

“อย่าร้องไห้...อย่าร่ำไห้อีกเลยเจ้าเอย...”

เอ่ยได้เท่านั้นยุพดีก็จำต้องผละออกห่างจากร่างงามของช้องนาง มองดูร่างเล็กๆ นั้นปกคลุมด้วยพลังอำนาจอื่น...อำนาจของคนอื่นที่เธอไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่กระนั้นยุพดีก็ไม่ยอมละจากช้องนางไปไกล เทพสาวยังคงปักหลักอยู่ข้างเตียง จ้องมองร่างเล็กดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวดทรมานที่มาพร้อมกับความฝัน

คงจริงดั่งที่เฑียรว่า...กาลเวลาหมุนมาอีกครั้งแล้ว...ช้องนางเอ๋ย...เจ้าต้องเจ็บปวดอีกครั้งแล้ว...


มีแต่เสียงร้องไห้ที่ดังระงมรอบกายของเธอเมื่อช้องนางลืมตาขึ้นมา ก่อนที่เธอจะต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อตระหนักได้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่บ้าน หรืออยู่บนเตียงของตัวเองเหมือนความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนเข้านอน แต่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีแต่คนแต่งตัวประหลาดเต็มไปหมด

เสียงกรีดร้องของคนที่กำลังจะขาดใจนั้นทำให้ช้องนางต้องหันขวับ

“แม่...”

ช้องนางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมแขนของผู้ชายอีกคน ทั้งคู่ต่างมีหน้าตาเหมือนพ่อกับแม่ของช้องนางราวกับเป็นคนคนเดียวกัน พวกเขาตระกองกอดกันทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนฝ่ายหญิงจะดิ้นปัดๆ อย่างทุรนทุรายประสาแม่ที่หัวใจสลาย

“ลูก...ลูกแม่...”

“แม่ หนูอยู่นี่ไงคะ” ช้องนางร้องบอก ทว่าเหมือนกับอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ยินเธอ อันที่จริงเหมือนกับว่าไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอเลยสักคน จนช้องนางต้องตะโกน “แม่คะ! แม่เห็นหนูไหม...”

“ทำไมถึงทำแบบนี้...”

เสียงห้าวอย่างคนที่หัวใจสลายอีกคนดึงความสนใจของช้องนางจากคนที่หน้าตาเหมือนพ่อและแม่ของเธอ ไปยังต้นเสียงซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นหลังกว้าง ผู้ที่กำลังตระกองกอดร่างบอบบางของผู้หญิงที่นอนนิ่งเอาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในที่นี้

“ทำไมทำกับพี่แบบนี้...”

ช้องนางรู้สึกคุ้นเหลือเกิน ทั้งเสียงทุ้มที่สั่นเครือเพราะหยาดน้ำตา ทั้งแผ่นหลังกว้างตรงหน้าและอ้อมกอดที่กระชับแน่นรอบร่างบอบบางซีดเซียวที่นอนนิ่งไม่ไหวติง เธอยังไม่มีโอกาสมองให้ชัดว่าเจ้าของร่างนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหตุผลหนึ่งก็เพราะผู้ชายตัวยักษ์ที่เอาแต่กอดร่างนั้นแนบอกแน่นไม่ยอมปล่อย

คิดแล้วช้องนางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขยับเท้า เดินไปใกล้ร่างกำยำที่กอดผู้หญิงซึ่งถ้าให้เธอเดาก็น่าจะเป็นคนรักของเขานั่นแหละ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หญิงสาวพยายามชะเง้อคอ แล้วเพ่งสายตาดูใบหน้าของคนทั้งคู่อีกครั้ง ก่อนจะเป็นช้องนางเองที่นั่นผงะหงายหลัง เมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่นอนนิ่งเป็นศพเต็มตา

“กรี๊ด!”

ช้องนางหงายหลังล้มตึง ทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ความสับสนไหลบ่าเข้ามาในสมองของเธอ ไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...ทำไมผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงนั้นถึงได้หน้าตาเหมือนกับเธอราวกับแกะได้ขนาดนั้น แล้ว...แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้นิ่งเป็นศพอย่างนั้น

หรือว่า...ผู้หญิงคนนั้นเป็นศพแล้วจริงๆ

ใช้เวลาอึดใจใหญ่ทีเดียวกว่าช้องนางจะพยุงตัวเองให้ลุกยืนได้อีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวจำต้องกวาดตามองรอบตัวเองอีกหน มองดูบ้านไม้หลังใหญ่ มองดูคนที่หน้าตาเหมือนกับพ่อแม่ของเธอและผู้คนที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้คนอื่นๆ อีกครั้ง เพื่อความแน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเพียงความฝันเพ้อเจ้อของเธอเท่านั้น

แต่ถึงจะเป็นความฝัน ช้องนางกลับรู้สึกคุ้นเคย...ความรู้สึกลึกๆ ของเธอแย้งขึ้นมาว่านี่ไม่ใช่เพียงความฝัน แต่เป็นความทรงจำที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอต่างหาก ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าที่สุดในโลก

เธอจะมีความทรงจำแบบนี้มาจากไหนกัน เธอไม่เคยตายสักหน่อยแล้วอีตาผู้ชายที่ถือดีแตะต้องคนที่หน้าตาเหมือนเธอนั้นเป็นใครกัน คนรักของผู้หญิงคนนั้นงั้นหรือ น่าหมั่นไส้จริง...หญิงสาวค่อนแคะร่างสูงที่สะอื้นไห้อย่างน่าเวทนาอยู่ในใจ ก่อนจะเบ้ปากหนักหลังคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่พ้นเป็นต้นเหตุทำให้คนรักเขาตายแน่ๆ ร้องไห้ฟูมฟายได้ขนาดนี้ก็ต้องเป็นคนก่อเรื่องอยู่แล้วละ

ร่างบอบบางในชุดนอนลายหมีน้อยค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ชายหญิงคู่นั้นอีกครั้ง ครั้งนี้ช้องนางงัดความกล้าทั้งหมดในหัวใจมาใช้ เพราะครั้งนี้เธอต้องเห็นให้ได้ว่าผู้ชายปริศนาที่หันหลังให้เธอนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร อยากเห็นน้ำตาของเขา อยากรู้ว่าเขาทรมานแสนสาหัสด้วยตาของเธอเอง...

“ทำไมทำแบบนี้...น้องทำแบบนี้กับพี่ได้อย่างไร...น้องทิ้งพี่ไปง่ายๆ ได้อย่างไร...”

‘พูดกับคนตายไปแล้วเขาคงได้ยินหรอกย่ะ’ ช้องนางตอบแทนคนรักของเขา ย่นจมูกด้วยความรำคาญใจที่ไม่ว่าจะในความจริงหรือความฝันของเธอ ก็ไม่พ้นที่จะมีคนจำพวกชอบมาพูดพล่ามตอนที่สายไปแล้วอยู่เรื่อย

“พี่บอกให้ตื่น...ตื่นเดี๋ยวนี้ช้องนาง!”

เสียงตวาดนั้นทำให้ช้องนางที่ยังไม่ตายสะดุ้งเฮือก จ้องเขม็งไปยังคนที่กล้าตะคอกศพที่มีชื่อเดียวกับเธอตาเขียว ก่อนจะยกมือเท้าเอวแล้วแยกเขี้ยว

หนอย...ไอ้คนโรคจิต กับคนตายก็ยังไม่ปล่อยให้เขาได้หลับสบาย จะเลวเกินคนไปแล้วนะ!

“ตื่นมาหาพี่เดี๋ยวนี้! ตื่นขึ้นมา!”

“ใครเขาจะอยากตื่นมาหาผู้ชายโรคจิตอย่างนายกัน ปล่อยให้เขาตายๆ ไปเถอะ” แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเธอ แต่ช้องนางก็ยั้งปากตัวเองไว้ไม่ไหวจริงๆ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจผู้ชายตรงหน้าเธอ ตอนเขาตายยังพูดจาแบบนี้กับเขา ไม่อยากคิดภาพตอนที่ผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นมีชีวิตอยู่เลย

“ตื่นขึ้นมา...อย่าคิดที่จะทิ้งพี่ไปง่ายๆ แบบนี้...” คราวนี้น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นอ่อนลงจนแทบจะเป็นคนละคนกับก่อนหน้า พร้อมกับอ้อมกอดที่รัดร่างซีดเซียวของช้องนางที่เป็นศพไปแล้วก็พลอยคลายออก และตอนนั้นเองที่ช้องนางได้เห็น ได้เห็นตัวเองในสภาพตายไปแล้ว...

ที่ลำคอมีปากแผลเหวอะหวะน่าสยดสยอง จนศีรษะห้อยต่องแต่งจวนจะขาดออกจากตัวอยู่รอมร่อ

“อย่าทิ้งพี่...อย่าตายไปจากพี่...”

“ไม่!” ช้องนางกรีดร้อง พลันรู้ถึงความเจ็บปวดบริเวณคอของตัวเอง ก่อนลมหายใจจะหายไปจากปอดของเธอ ร่างบอบบางทุรนทุราย กำลำคอเล็กของตัวเองแน่นก่อนร่างระหงจะล้มลงไปกองแทบพื้น กระตุกเฮือกทั้งที่ดวงตายังมองชายหญิงตรงหน้า จนสบตากับช้องนางอีกคนด้วยดวงตาเบิกโพลงไม่แพ้กัน

“อย่า!”

ช้องนางตะโกนสุดเสียงก่อนจะกรีดร้องออกมา เมื่อผู้ชายที่หันหลังให้เธอคว้ามีดที่ตกอยู่ข้างกายเขาขึ้นมาแนบลำคอแกร่ง แล้วปาดสุดแรง ทำให้หยาดเลือดของเขาสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าผู้หญิงที่ชื่อช้องนางทั้งสองคนไปพร้อมกัน ความสยดสยองตรงหน้าทำให้ช้องนางกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงอีกครั้ง

แต่มันสายไปแล้ว...ร่างสูงไม่เหลือลมหายใจอีกต่อไป เขาล้มซบลงกับศพของผู้หญิงที่เขารัก...หรืออย่างน้อยช้องนางก็คิดว่าเขารักผู้หญิงชื่อเดียวกับเธอคนนั้น เขาตามเธอไปอย่างที่เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เธอทิ้งเขาไปง่ายๆ

จากไปแล้ว...พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่มีชีวิตอยู่แล้ว...


ปังๆๆๆ!

“ช้อง! ช้องนางเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”

ร่างระหงผวาลุกขึ้นจากที่นอนในสภาพเหงื่อกาฬท่วมกาย ไหล่บางสะท้อนขึ้นลง ขณะที่ที่หญิงสาวพยายามอ้าปากเอาออกซิเจนเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ราวกับพยายามจะทดแทนช่วงเวลาที่เธอไม่สามารถหายใจได้ในห้วงความฝัน

“ช้องนางลูก เปิดประตูให้แม่หน่อย” เสียงอ้อนวอนนั้นดังมาจากอีกฟากของบานประตู เป็นสิ่งที่ดึงช้องนางให้หลุดออกมาจากความน่าสะพรึงกลัวในความฝัน ก่อนหญิงสาวจะรีบตลบผ้าห่ม ก้าวลงจากเตียงด้วยความรีบร้อน ทว่ายังไม่ทันได้เหยียบพื้นดีก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาอีกครั้ง เมื่อร่างเล็กเสียหลัก ลื่นล้มจนศีรษะงามกระแทกกับขอบเตียงเสียงดังปึก!

“โอ๊ย!”

“ช้องนาง!” เท่านั้นเสียงด้านนอกห้องนอนของหญิงสาวก็ดังลั่นด้วยความตื่นตระหนกที่เพิ่มเป็นสองเท่า และไม่กี่นาทีให้หลังประตูห้องของช้องนางก็เปิดผางออก พร้อมกับเทวีที่ยืนทำหน้าคล้ายคนที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ และอัศวินสามีของเธอที่มีสีหน้าย่ำแย่พอกัน

ยิ่งเห็นสภาพของลูกสาวสุดที่รักนอนคุดคู้อยู่ข้างเตียงโดยที่มือทั้งสองข้างยังกุมศีรษะ หัวใจคนเป็นพ่อและแม่ก็เหมือนจะขาดลงให้ได้ตรงนั้น

“ช้อง! เป็นอะไรลูก เป็นอะไร ไหนบอกแม่สิ” เทวีเข้าไปประคองช้องนางขึ้นมา ปากถามมือก็คลำหาบาดแผลบนร่างกายของลูกไปด้วย

“เจ็บค่ะ” ช้องนางหน้าเบ้ ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดตัวเองที่ขึ้นลงเตียงหลังนี้เป็นร้อยรอบได้แล้ว แต่ก็ยังสามารถทำให้ตัวเองลื่นล้มหัวฟาดได้ เธอช่างมีความสามารถจริงๆ

“หัวหนู...”

ได้ยินเสียงอ่อยๆ ของลูกสาว เทวีก็เปลี่ยนเป้าหมายมาจับศีรษะของช้องนาง ดึงหัวทุยสวยของลูกสาวเข้ามาใกล้ ก่อนจะหน้าเบ้เมื่อสัมผัสถึงรอยนูนเกือบเท่าลูกมะนาวที่หลังศีรษะงาม

“ไปทำอะไรมาลูก ทำไมหัวถึงได้โนขนาดนี้”

“หนูลื่นตอนลงเตียง” ช้องนางพึมพำ ค่อยๆ ยันกายขึ้นมานั่งกับพื้นแล้วระบายลมหายใจแรง ก่อนจะงุบงิบเอ่ยเชิงบ่นกับตัวเอง “เจ็บจัง”

“ร้อยวันพันปีไม่เคยซุ่มซ่ามนะเราน่ะ” เป็นอัศวินที่กวาดตามองร่างเล็กของลูกสาวเรียบร้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันมุ่น ก่อนมือจะไปสัมผัสเข้ากับความเย็นของโลหะแท่งเล็กๆ แล้วหยิบขึ้นมาดู

มันคือปากกาเหล็กด้ามสวยเงาวับท่ามกลางความมืดสลัวในเวลาย่ำเช้า

“เพราะวางของไม่เป็นที่ละสิ”

“คะ?” ช้องนางลืมตา จ้องปากกาไม่คุ้นตาที่พ่อยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตามีคำถาม ก่อนเสียงถอนหายใจของแม่จะดังขึ้นและตามมาด้วยข้อสันนิษฐาน

“คงเหยียบปากกาแล้วลื่นหัวฟาดแน่เลย”

“แต่ว่า...” ช้องนางอ้าปากจะค้าน บอกพ่อกับแม่ว่าปากกาด้ามนั้นไม่ใช่ของเธอ เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อนกระทั่งตอนที่พ่อของเธอยื่นมาตรงหน้านี่แหละ แต่แล้วหญิงสาวก็เปลี่ยนใจไม่เอ่ยอธิบายอะไร เพียงรับปากกาเจ้าปัญหานั้นมาถือไว้ แล้วถอนหายใจยาวเหยียดอย่างยอมแพ้

“หนูผิดเองค่ะที่วางของไม่เป็นที่”

“แล้วเมื่อกี้เป็นอะไร ร้องลั่นจนพ่อนึกว่าบ้านจะถล่มลงมาแล้ว”

“หนูร้องหรือคะ” คำถามของพ่อทำให้ช้องนางจำต้องละความสนใจจากปากกาปริศนานั้นขึ้นมามองหน้าพ่อ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวเข้าด้วยกัน “ร้องยังไงคะคุณพ่อ” “ก็ร้องบอกให้หยุด...อย่าทำ” เป็นเทวีที่เอ่ยตอบแทนสามี สีหน้าของผู้พูดกลับมากังวลอีกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องเสียงร้องลั่นบ้านของช้องนางที่ปลุกให้เธอและสามีตื่นขึ้นมา “หนูเป็นอะไรไหมลูก แม่ตกใจแทบแย่ นึกว่าโจรขึ้นบ้าน”

“หนูแค่...ฝันร้ายน่ะค่ะ ฝันว่ามีคนตาย...เหมือนจริงมากไปหน่อย ก็เลยละเมอมั้งคะ” ช้องนางถอยกายไปพิงกับขอบเตียง ตัวการที่ทำให้เธอมีลูกมะนาวอยู่บนหัวแล้วตอบด้วยสีหน้าที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวพยายามปั้นหน้ายิ้ม เพื่อให้พ่อแม่ของเธอสบายใจ

“แม่ก็ใจหายใจคว่ำหมด” ว่าแล้วเทวีก็ง้างมือหมายใจจะบิดเนื้องามของช้องนางให้เขียว โทษฐานที่กล้าทำให้เธอใจหายใจคว่ำแต่ไก่โห่ แต่แล้วก็ชะงักค้างเอาไว้กลางอากาศก่อนจะลดมือลงตามเดิม แต่ก็มิวายบ่นลูกสาวของเธอพอเป็นพิธี “ใจคอเราอยากให้แม่หัวใจวายตายสินะ”

“ขอโทษค่ะ” ช้องนางหน้าง้ำงอ รู้ตัวว่าผิดที่ร้องลั่นบ้านจนทำคนอื่นๆ ตกอกตกใจ แต่จะให้เธอทำอย่างไรได้ในเมื่อความฝันของเธอมันน่ากลัวมากจริงๆ “หนูไม่คิดว่าหนูจะละเมอ แต่หนูไม่ได้อยากจะฝันร้ายขนาดนี้เสียหน่อย”

“เอาเถอะๆ” อัศวินตัดบท ยันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งมือให้ผู้เป็นภรรยาจับ “ลูกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เราก็ไปอาบน้ำเถอะคุณ วันนี้วันพระนะ”

นั่นหมายถึงว่าเทวีจะต้องลงไปเตรียมของสำหรับใส่บาตรก่อนที่พระจะมา ซึ่งนี่ก็ถือเป็นกิจกรรมของบ้านเทวารักษ์ที่ต้องทำทุกวันพระ

“ค่ะ” เทวีรับความช่วยเหลือจากสามี ก่อนนาทีต่อมาร่างระหงของเธอจะยืนขึ้นเต็มความสูงเคียงข้างกับอัศวิน แต่ก็ไม่วายหันมาถามบุตรสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องล่างด้วยน้ำเสียงห่วงใย “หนูจะลงไปใส่บาตรพร้อมกับพ่อแม่ไหมช้อง แม่จะได้เตรียมของไว้ให้

ช้องนางเหลือบตาขึ้นมองพ่อกับแม่ของเธอแล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง จึงเห็นท้องฟ้าเริ่มมีประกายสีทองทอลงมาบ้างแล้ว และนั่นก็ทำให้ช้องนางตัดสินใจได้ รู้ตัวว่าต่อให้กลับไปนอนตอนนี้เธอคงนอนไม่หลับอยู่ดี สู้ลงไปใส่บาตรพร้อมกับพ่อแม่ดีกว่า

“ค่ะ” ช้องนางผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการตอบรับ “ขอหนูอาบน้ำก่อน แล้วจะรีบตามลงไป”

“ได้จ้ะ” เทวีพยักหน้ารับพอเป็นพิธีก็จริงอยู่ แต่มิวายเอื้อมมือมาลูบศีรษะบริเวณที่ปูดเป็นลูกมะนาวของช้องนางด้วยสีหน้าอาลัยปนสงสาร ลูกสาวของเธอนี่จริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยนอนดิ้น ทำไมถึงได้มาดิ้นจนตกเตียงเอาตอนนี้

“ไม่ต้องรีบมากนะลูก เดี๋ยวจะหัวร้างค้างแตก เจ็บตัวอีกเปล่าๆ”


นอกจากช้องนางที่ต้องเผชิญกับฝันร้ายแล้ว ยังมีอีกคนที่ต้องประสบกับชะตากรรมเดียวกันซึ่งก็คือ วรุณรักษ์ ชายหนุ่มที่ยังอยู่ในห้วงความฝันนั้นนอนกระสับกระส่าย น้ำตาไหลนองด้วยความเจ็บช้ำ ปากก็พร่ำตัดพ้อคนรักของเขาที่ตัดสินใจทำร้ายตัวเอง ก่อนร่างกำยำจะทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นจากเตียงนอน มือหนาปะป่ายขึ้นมาคว้าที่ปิดตาสีชมพูออกจากศีรษะพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง หลังจากต้องเผชิญกับความสยดสยองที่ชวนท้องไส้ปั่นป่วน วรุณรักษ์ยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความพรั่นพรึง

ในฝันของเขานั่นมันหมายความว่ายังไง มันไม่มีทางเป็นจินตนาการที่จิตใต้สำนึกของเขาสร้างขึ้นมาเองแน่ๆ วรุณรักษ์มั่นใจ เพราะสำหรับเขาแล้วไม่มีทางที่เขาอยากจะเห็นช้องนางในสภาพไร้วิญญาณในอ้อมแขนตัวเอง เขาไม่อยากให้หญิงสาวต้องเป็นอันตราย

ร่างสูงใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะสามารถดึงสติของตัวเองกลับมาได้ ใบหน้าคมคร้ามที่มีแต่คราบน้ำตาของวรุณรักษ์นั้นค่อยๆ เงยขึ้นมาจากผ้าห่ม จ้องมองรูปวาดของผู้หญิงที่ตามเข้าไปหาเขาถึงในความฝัน

ใช่คนคนเดียวกันแน่...เจ้าของดวงหน้าอ่อนหวานตรงหน้านี้เป็นคนคนเดียวกับคนรักของเขาในฝันแน่ หากถามทำไมวรุณรักษ์จึงมั่นใจว่าผู้หญิงที่ชื่อช้องนางในความฝันเป็นคนรักของเขา ก็เพราะความรู้สึกเหมือนจะตายตามเธอไปให้ได้อย่างไรล่ะ

ความรู้สึกเจ็บปวดมันรุนแรงเหมือนรอยร้าวที่บาดลึกไปถึงจิตวิญญาณของวรุณรักษ์เอง พร้อมกับทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ทุกครั้งที่คิดถึงเธอเขาจึงได้เจ็บปวด

นี่มันอะไรกัน...

สิ่งต่อมาที่ผุดขึ้นในหัวของวรุณรักษ์คือคำถามนับสิบ หรือว่าเขาชอบช้องนางมากจนคิดเพี้ยน มีจินตนาการเลื่อนเปื้อนไปเองจริงๆ แต่แบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า ฝันว่าช้องนางตายแล้วเขาฆ่าตัวตายตามนี่นะ? ไม่มีทางหรอก ไม่มีทางที่ช้องนางของเขาจะทำร้ายตัวเองแบบนั้นแน่ วรุณรักษ์ไม่เชื่อสิ่งที่เขาเห็นในความฝันแน่ๆ

กริ๊ง!

“เฮ้ย!” ร่างสูงหลุดเสียงอุทานพร้อมกับสะดุ้งโหยง ก่อนชายหนุ่มจะกระแทกลมหายใจ เมื่อเห็นว่าต้นเหตุที่ทำให้เขาหัวใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มแท้จริงแล้วคือ เสียงเรียกเข้าจากมือถือที่ทำลายความเงียบในห้องนอนที่ชวนขนหัวลุกมากกว่าความฝันของวรุณรักษ์ๆ

ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ กับความขวัญอ่อนของตัวเองขณะที่เอื้อมมือไปหยิบมือถือจากแท่นชาร์จ และระหว่างนั้นเองที่วรุณรักษ์นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนนี้ก่อนเข้านอน เขาวางที่ปิดตาไว้ข้างๆ แท่นชาร์จนี่...แล้วทำไมมันถึงได้มาอยู่บนหัวเขาได้...

“วรุณรักษ์พูด” เสียงแหบแห้งอย่างคนที่ตื่นนอนกรอกลงไปในลำโพง ไม่นานน้ำเสียงราบเรียบของปลายสายก็ตอบกลับมา ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่วรุณรักษ์ใส่ใจ เพราะชายหนุ่มกำลังกวาดตาหาที่ปิดตาเจ้าปัญหาที่ชอบโผล่ไปอยู่ที่โน่นที่นี่ และยังหาคำไหนมาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมันถึงแวบมาโผล่ที่บ้านของเขา...และทำไมเมื่อเขาตื่นมาจึงมีมันมาอยู่บนหน้า ทั้งที่ความจริงนั้นวรุณรักษ์เกลียดความมืดที่สุด ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาต้องนอนเปิดไฟอยู่ทุกคืน

“วรุณ...ตื่นหรือยังลูก” เป็นอาชวิณที่อยู่ปลายสาย ลมหายใจของเขาอยู่ในจังหวะปกติ ผิดกับคู่ชีวิตอย่างพิมพ์ดาราที่หอบหายใจ จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ในมือสามี

“ครับ ตื่นแล้ว” วรุณรักษ์ที่ตื่นเพราะฝันร้ายงึมงำตอบเบาๆ ปกติเขาตื่นเช้าอยู่แล้วแม้จะไม่เช้าเท่าวันนี้ก็ตาม “พ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมโทร. มาแต่เช้า”

“พ่อว่าจะชวนเราไปหาหลวงตา...ว่างไหมลูก”

“อ้อ ไม่รู้สิครับ...” วรุณรักษ์ตอบพร้อมถอนหายใจออกมายาวเหยียด วันนี้เขาไม่มีอารมณ์ออกไปที่ไหน แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากปฏิเสธอาชวิณ ด้วยบิดาของเขานั้นไม่เคยเอ่ยปากขอร้องสิ่งใดจากเขามาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเอ่ยปากชวนเขา จะให้บอกปัดก็กระไรอยู่

“จะไปตอนไหนหรือครับ ถ้าไม่เช้ามากก็น่าจะไหวอยู่ครับพ่อ”

“อา...คงเป็นหลังเพลแล้ว” อาชวิณเหลือบมองหน้าภรรยาอย่างขอความเห็น เมื่อเอ่ยแล้วพิมพ์ดาราพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน น้ำเสียงลังเลของเขาก็เปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “พ่อจะโทร. ไปถามคนที่วัดก่อน เผื่อหลวงตาท่านติดธุระ”

“ได้ครับ” วรุณรักษ์ขยับตัวลงมานั่งห้อยขา ฟังรายละเอียดเรื่องเวลาแล้วก็พอรับได้หน่อย “ถ้ายังไงโทร. กลับมาบอกผมอีกทีนะครับ”

“ได้” ว่าแล้วอาชวิณก็วางสายไป จึงเหลือเพียงวรุณรักษ์กับความมืดอันคุ้นเคย ร่างสูงกวาดตามองบรรยากาศด้านนอกแล้วเม้มปากแน่นด้วยความหงุดหงิด เมื่อพบว่าท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้มและมีฝนตกอยู่ปรอยๆ ดั่งเช่นทุกวัน ทำให้วรุณรักษ์จำต้องภาวนากับตัวเองให้ท้องฟ้าสดใสกว่านี้สักนิดก็ยังดี เขาจะได้ไม่ต้องตัวเปียกมากนักตอนที่ลงไปตัดดอกไม้จากในสวน มาเปลี่ยนกับดอกเก่าในแจกันในบ้านซึ่งเริ่มเหี่ยวเฉาแล้ว

แม้วรุณรักษ์จะตื่นนอนแต่เช้ามืด ทว่ากว่าที่เขาจะลงมาที่สวนดอกไม้ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือทุ่งดอกไม้นั้นกลับเป็นช่วงสายแล้ว เนื่องจากชายหนุ่มต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลังด้วยตัวเองก่อน ซึ่งถือเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ของเขาไปแล้วเรียบร้อย

ทุกอย่างในชีวิตของวรุณรักษ์ถูกวางแผนไว้อย่างเป็นระบบ และแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยตลอดหลายปีที่เขาแยกออกมาอยู่คนเดียว ในวันธรรมดาเขาทำงาน ไปดูโรงงาน และเคลียร์เอกสารต่างๆ บ้าง ส่วนวันหยุดนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ชายหนุ่มจัดการงานบ้านทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดูดฝุ่นหรือซักผ้า วรุณรักษ์ก็ลงมือทำด้วยตัวเองมาตลอดเหมือนครั้งที่ไปเรียนต่างประเทศ

ระหว่างเก็บเครื่องดูดฝุ่นนั้น เขาได้รับสายจากคุณอาชวิณผู้เป็นบิดาซึ่งโทร. มายกเลิกการนัดหมายที่เขาและพ่อแม่จะไปเยี่ยมหลวงตาเพิ่มที่วัด เนื่องด้วยหลวงตาเพิ่มมีกิจนิมนต์ ดังนั้นแผนการใช้ชีวิตในวันเสาร์ของวรุณรักษ์จึงกลับมาเหมือนเดิมเช่นสัปดาห์ก่อน ชายหนุ่มในชุดลำลองสบายๆ ตามประสาชายโสดที่อยู่บ้านเดินเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าเชื่องช้า เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งรีบอะไร

ทั้งการแต่งตัวและกิจวัตรประจำวันของเขานั้นมองเผินๆ อาจจะดูน่าเบื่อไม่น้อยในสายตาใครหลายๆ คน แต่สำหรับผู้ที่อยู่กับวรุณรักษ์มานานจนไม่สามารถบอกได้แล้วว่านานเท่าไรอย่างเฑียรนั้น เขาเพียงแค่เหลือบมองร่างสูงของวรุณรักษ์เป็นครั้งคราว

แน่นอนว่ากามเทพหนุ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงระหว่างวรุณรักษ์กับเนื้อคู่ของเขาตั้งแต่คืนที่ผ่านมาแล้ว ความฝันของวรุณรักษ์และช้องนางนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทว่ามีคนต้องการให้ทั้งสองรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เคยเผชิญมาแต่ละชาติภพ แน่นอนว่าไม่ใช่เขา และไม่ใช่ยุพดีเช่นเดียวกัน เฑียรมั่นใจว่ายุพดียอมให้กายทิพย์ของตัวเองแตกสลายยังดีกว่าให้นางมนุษย์ที่ชื่อว่าช้องนางคนนั้นต้องเจ็บปวด แต่ใครเล่าที่อยากให้วรุณรักษ์และนางมนุษย์นั่นระลึกถึงความทรงจำครั้งเก่าก่อนได้ ที่สำคัญผู้ที่สามารถดลบันดาลให้มนุษย์ทั้งสองคนตกอยู่ในห้วงความฝันในเวลาเดียวกันได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดา และด้วยเหตุนั้นเฑียรจึงรับรู้ได้ถึงโทสะของกามเทพที่เขาคุ้นเคยมานานแสนนาน

ยุพดีกำลังโกรธ...และยามที่นางโกรธเกรี้ยวนั้นไม่เคยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลยสักครั้ง...

นอกจากเวรกรรมของวรุณรักษ์แล้ว ก็คงเป็นเวรกรรมของเขาที่ต้องพานพบกับกามเทพอารมณ์ร้ายเช่นยุพดีมาหลายภพหลายชาติ และพวกเขาคงจะหนีกันไม่พ้น หากไม่สามารถทำหน้าที่กามเทพให้ลุล่วงในชาตินี้ ซึ่งเท่าที่ดู...ก็ยังไม่เห็นวี่แววของความสำเร็จเลย

คิดถึงตรงนี้เฑียรก็รู้สึก...เซ็ง...ใช่ไหมนะ ที่พวกมนุษย์สมัยนี้ชอบกล่าวเวลาไม่ได้ดั่งใจ

ร่างโปร่งของผู้ที่เฑียรต้องร่วมแบ่งปันชะตากรรมและที่อยู่อาศัยนั้น กำลังเดินออกไปยังทุ่งดอกไม้ที่เขาเฝ้าดูแลจนมันขยายขนาด จากแปลงเล็กๆ กลายเป็นสวน และกลายเป็นทุ่งขนาดใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยทั้งความอดทนและความเอาใจใส่อย่างที่วรุณรักษ์คนเดียวเท่านั้นทำได้

มุมปากกามเทพหนุ่มนั้นขยับยกสูงขึ้นก่อนจะกลายเป็นว่าเขากำลังยิ้ม เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่าน ตัวตนของวรุณรักษ์เองก็เปลี่ยนไป แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถทิ้งนิสัยบางอย่างจากชาติภพก่อนไปได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเปลี่ยนนามที่เรียกขานไปอย่างไร แต่วรุณรักษ์ก็มักจะหลงใหลได้ปลื้มกับดอกไม้พวกนี้เสมอ โดยเฉพาะเจ้าดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักอย่าง กุหลาบ ที่เห็นจะเป็นสิ่งเดียวที่วรุณรักษ์ชอบ...ชอบถึงขนาดปลูกสวนดอกกุหลาบเอาไว้ที่บ้าน แทนการบอกว่าเขารักมันขนาดไหน

เฑียรมองตามหลังวรุณรักษ์มาจนสุดสายตา...เมื่อมองไม่เห็นมนุษย์ในความรับผิดชอบของตัวเองแล้ว เขาจึงกำหนดจิตพาตัวเองมาโผล่ที่ทุ่งดอกไม้ข้างกายวรุณรักษ์ ซึ่งกำลังมองหาดอกกุหลาบที่เหมาะจะตัดไปเสียบแจกัน...และตอนนั้นเองที่ความคิดบางอย่างแล่นเขามาในหัวของเฑียร ความคิดดีๆ ที่อาจจะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้ โดยไม่ต้องท้าทายคำสาปที่ติดอยู่กับตัวของช้องนางให้ตัวเองเจ็บตัว

จังหวะที่วรุณรักษ์โน้มกายไปตัดดอกไม้ เฑียรจึงโบกมือ เป็นสาเหตุให้วรุณรักษ์นิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ ค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อครู่นี้เขายื่นกรรไกรไปตัดกิ่งกุหลาบดังฉับแล้ว แต่เหตุใดก้านของมันจึงยึดติดอยู่กับลำต้นได้อีก วรุณรักษ์ลองตัดกิ่งกุหลาบดอกเดิมอีกครั้งพร้อมกับสังเกตคมกรรไกรในมือของเขาไปพร้อมกัน และผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม นั่นก็คือ กิ่งของกุหลาบยังอยู่ดีเหมือนว่าเมื่อครู่นี้กรรไกรของวรุณรักษ์ตัดผ่านอากาศธาตุ ไม่ใช่กิ่งไม้

ขณะที่วรุณรักษ์ตาโตหันซ้ายหันขวาด้วยความระแวง กามเทพของเขากลับยิ้มขัน และหากวรุณรักษ์มีหูวิเศษ เขาก็คงได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ มาจากร่างกำยำด้านหลังเป็นแน่


ตัดมาที่เนื้อคู่ของวรุณรักษ์ซึ่งกำลังหมุนตัวดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกเงา ก่อนจะออกไปงานวันเกิดเล็กๆ ซึ่งจัดโดยหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ

แน่นอนว่าไอ้คำว่า ‘เล็ก’ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ความจริง เพื่อนของช้องนางคนนี้เป็นคนหน้าใหญ่ชอบโอ้อวด โดยเฉพาะคนรักของเจ้าหล่อนที่เป็นนักการเมืองชื่อดัง ยิ่งขยันอวดจนเรียกว่าอวดเช้าอวดเย็น อวดทุกแอปพลิเคชัน เล่นเอาคนไร้คู่อย่างเธอคันมือคันไม้ยิบๆ แต่ทำได้แค่บอกกับตัวเองเงียบๆ คนเดียวว่าหากเธอมีคนรักเมื่อไหร่ละก็ เธอจะอวดยิ่งกว่านี้อีก คอยดู๊!

แสงวิบวับของสร้อยเพชรบนคอทำให้ช้องนางลืมความหงุดหงิด หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ขณะที่ยกมือขึ้นลูบสร้อยน้ำงามบนคอ เอียงใบหน้าไปมาพลางจ้องเงาสะท้อนของตัวเองด้วยสายตาหวานเชื่อม คิดว่าในโลกใบนี้ยังจะมีใครเพอร์เฟกต์กว่าเธอได้อีก

วันนี้หญิงสาวเลือกสร้อยจากร้านของเธอเองออกมาสวม เพราะมันส่งเสริมบารมีความรวยของเธอให้พุ่งตำตาใครต่อใครดี ไม่ได้ตั้งใจจะอวดหรอกนะ แต่ในฐานะเจ้าของร้านเพชร จะให้น้อยหน้าคนอื่นๆ ที่ไปร่วมงานก็ไม่สมควรเท่าไหร่ ต้องถมทั้งต่างหู สร้อย และแหวนก็ห้ามขาด ใส่มันให้ครบทุกอย่าง เผื่อใครถามแล้วจะได้ถือโอกาสโฆษณาร้านเพชรของเธอไปในตัว ไม่แน่ว่าไปงานนี้เธออาจจะขายพวกแหวนหมั้นแหวนแต่งงานได้สักวงสองวง เท่านั้นก็นับว่าได้กำไรแล้ว

“สวมกำไลอีกอย่างจะเยอะไปไหมนะ” ช้องนางถามความเห็นตัวเอง ทว่ามือเรียวกลับเอื้อมไปหยิบสร้อยข้อมือจากกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทาบข้อมือ ก่อนจะร้องกรี๊ดเหมือนเห็นผี เมื่อสร้อยข้อมือเส้นงามนั้นขาดเป็นสองท่อนคามือ

“ตายแล้ว!” หญิงสาวอุทานเสียงหลงหลังเข่าทรุดลงไปแทบพื้นตามชิ้นส่วนของสร้อยข้อมือครึ่งหนึ่งที่ร่วงลงไปอยู่แทบพื้นก่อนหน้าแล้ว แต่ไม่ทันได้กลับมาหายใจเต็มปอด สร้อยคอของช้องนางก็ขาดเป็นสองท่อนอีกอย่าง ทำให้เธอร้องเสียงหลงเหมือนคนเสียสติออกมาอีกครั้ง นัยน์ตากลมโตมองทั้งสร้อยคอและสร้อยข้อมือที่ขาดเป็นท่อนๆ เหมือนมีใครเอากรรไกรล่องหนมาตัดทิ้งต่อหน้าต่อตาเธอ

บ้าที่สุด!

“แม่คะ! แม่!”

“อะไรกันช้อง...” เทวีวิ่งตามเสียงร้องของลูกสาวมายังห้องแต่งตัวของช้องนางอย่างรวดเร็ว มืองามของคุณผู้หญิงบ้านเทวารักษ์วางอยู่แนบอก ด้วยช่วงหลังมานี้ช้องนางขยันตะโกนร้องทำให้เธอใจหายใจคว่ำอยู่บ่อยๆ

“เรียกแม่ดีๆ ก็ได้ลูก จะตะโกนทำไม”

“ใครมาทำสร้อยขาดก็ไม่รู้” ช้องนางฟ้องมารดาพลางยื่นสร้อยเพชรมูลค่ามหาศาลที่เธอกอบขึ้นมาจากพื้นไปให้เทวีดู “ครั้งที่แล้วที่คุณแม่ใส่ยังดีๆ อยู่ใช่ไหมคะ”

“ใช่ลูก” เทวีพยักหน้าพลางรับชิ้นส่วนของเครื่องประดับหรูที่เธอและลูกสาวใช้ร่วมกันมาพิเคราะห์ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เธอสวมมันไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของผู้ใหญ่ที่รู้จักกันนั้น ทั้งสร้อยคอและสร้อยข้อมือยังไม่มีสภาพเช่นนี้ จะว่าเพราะความเก่าหรือก็ไม่น่าใช่ เพราะเครื่องเพชรชุดนี้เป็นของใหม่จากที่ร้านทุกชิ้น

“ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”

“หนูก็ไม่...แม้!!” ช้องนางหวีดร้องเสียงหลงอีกครั้ง ดวงตาที่มองชิ้นส่วนของเครื่องประดับในมือของมารดาโตเป็นไข่ห่าน เมื่อจู่ๆ สร้อยก็ขาดออกจากกันอีกครั้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ราวกับใครบางคนที่มองไม่เห็นใช้ของมีคมตัดมัน!

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”




รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น