9

บทที่ 9 เขารักกัน


9

เขารักกัน

 

แววตาของอาชวิณนั้นมีแววกังขาอยู่ไม่น้อยหลังได้ยินเรื่องที่ภรรยาเล่าให้เขาฟัง ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ...แต่ส่วนมากจะเทไปทางไม่เชื่อมากกว่า วรุณรักษ์น่ะหรือจะมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าจนพิมพ์ดาราและคุณเทวีไปเจอเข้าด้วยความบังเอิญ แถมทั้งคู่ยังเห็นวรุณรักษ์กะหนุงกะหนิงกับช้องนาง ลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านเทวารักษ์อีก ฟังดูอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เลยในความคิดของอาชวิณ

“จริงนะคุณ” พิมพ์ดาราย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับเอื้อมมือไปบีบแขนสามี มองเขาด้วยสายตามีความหวัง “ฉันกับคุณเทวีไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ ตาวรุณกับหนูช้องมองยังไงเขาเป็นแฟนกัน”

“สองคนนั้นจะเป็นแฟนกันได้ยังไง ถ้าเป็นเราก็ต้องรู้แล้วสิ เขาจะไปรู้จักกันตอนไหน” อาชวิณนิ่วหน้า ถ้าแฟนวรุณรักษ์เป็นคนอื่นเขาก็คงพอจะพยายามเชื่อคำพูดของภรรยาได้ แต่นี่เป็นช้องนาง ลูกสาวของเพื่อนเขา ไม่มีทางที่เด็กทั้งสองคบหากันแล้วเขาจะไม่รู้

“ก็...อาจจะแอบนัดเจอกันไม่ให้เรารู้ก็ได้นี่คะ” พิมพ์ดาราปักใจเชื่อแล้วว่าบุตรชายและผู้ที่เธอเอ็นดูไม่ต่างจากลูกแท้ๆ อย่างช้องนางนั้นไม่พ้นเป็นคนรักกันแน่...ก็เล่นกอดกันกลมกลางห้างขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่คนรักกัน มีหรือวรุณรักษ์จะสวมกอดแน่นขนาดนั้น

“เด็กสมัยนี้เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ...แบบว่าไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหนไงคะคุณ”

“อ้าว แล้วไหนบอกว่าเขาเป็นแฟนกัน” ผู้เป็นสามีขมวดคิ้ว เมื่อจู่ๆ ภรรยาของเขาก็กลับคำ เดี๋ยวก็บอกว่าวรุณรักษ์และช้องนางเป็นแฟนกัน แต่นาทีถัดมากลับบอกว่าเพียงคบหากันแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน “แล้วถ้าคบกันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเป็นอะไรกัน วรุณก็อายุขนาดนั้นแล้ว ไม่มีทางที่จะทำอะไรซับซ้อนหรอก ถ้าวรุณคบกับหนูช้องจริงเราก็ต้องรู้”

“แต่ฉันไม่มีทางจำคนผิดแน่ค่ะ” พิมพ์ดาราค้านเสียงแข็ง เธอไม่มีทางจำลูกชายเพียงคนเดียวของเธอสลับกับผู้ชายอื่นแน่นอน และพิมพ์ดาราก็มั่นใจว่าคุณเทวีเองก็ไม่มีทางจำลูกสาวของเธอผิด “เป็นลูกเรากับหนูช้องนางแน่ๆ ค่ะ”

“บางทีสิ่งที่คุณเห็นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้นะ” อาชวิณโคลงศีรษะ เมื่อคิดตามคำพูดของภรรยาให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง “ต่อให้เป็นวรุณกับหนูช้องจริงแล้วมันยังไงล่ะ ตราบใดที่เขาไม่บอกเราแล้วทำเหมือนเป็นคนที่ไม่รู้จักกันอย่างนี้ต่อ เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีมั้ยล่ะคุณ”

“ก็คิดซะว่าฉันมาเล่าสู่กันฟังไงคะ” มารดาของวรุณรักษ์ยิ้มกว้าง สำหรับเธอแล้วขอเพียงวรุณรักษ์ชอบพอกับผู้หญิงและคนคนนั้นเป็นคนดีก็เพียงพอแล้ว ยิ่งหากผู้หญิงคนนั้นเป็นช้องนางก็นับว่าดีไปใหญ่ “ไม่ใช่ทุกวันนะคะที่เราจะรู้ว่าตาวรุณมีแฟน”

“เขาเป็นแฟนกันจริงมั้ยก็ยังไม่รู้เลยคุณ อย่าพูดซี้ซั้วสิ หนูช้องเขาเสียหายนะ”

“โอ๊ย คุณนี่ทำตัวโบราณจริง ไม่มีใครเขาสนใจหรอกค่ะ เรื่องขี้ปะติ๋วเท่านี้” พิมพ์ดาราค้อนสามี เด็กสมัยนี้เขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ไม่มีใครสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับอีแค่เรื่องที่เธอจะพูดว่าช้องนางและวรุณรักษ์คบหากันแล้วหรอก

“เดี๋ยวจะได้ขนสมบัติไปสู่ขอหนูช้องเพราะเรื่องขี้ปะติ๋วนี่ละ ลืมไปแล้วหรือไงว่ายายของหนูช้องเขาเป็นใคร” อาชวิณเตือนภรรยาของตน ที่บ้านพรหมวากรนั้นไม่ค่อยถือสา ‘เรื่องไม่เป็นเรื่อง’ อย่างที่พิมพ์ดาราพูดก็จริงอยู่ แต่บ้านเทวารักษ์ของช้องนางนั้นค่อนข้างจะหัวโบราณ เพราะสืบตระกูลมาจากเจ้าขุนมูลนาย หรือที่ใครๆ เขาเรียกว่าผู้ดีเก่านั่นแหละ ไหนจะคุณหญิงเยาวภาที่เป็นคุณยายของฝ่ายหญิงอีก หากวรุณรักษ์จริงจังเรื่องช้องนางเขาคงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะรอบตัวช้องนางมีปราการหลายด่านเหลือเกิน

“คุณหญิงเยาวภาน่ะหรือคะ ท่านไม่มายุ่งเรื่องของเด็กๆ หรอกค่ะ” พิมพ์ดาราไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหา จริงอยู่ที่ตอนแรกคุณหญิงเยาวภาคนนี้ไม่ชอบใจนักเมื่อเทวี บุตรสาวเพียงคนเดียวปฏิเสธที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่ท่านหาไว้ให้ แล้วบอกว่าจะแต่งงานกับอัศวิน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลายเป็นว่าคุณหญิงเยาวภานั้นถูกใจลูกเขยคนนี้มากกว่าผู้ชายคนแรกที่ท่านหามาให้ลูกสาวเสียอีก ด้วยเหตุนี้อัศวินและเทวีจึงเป็นคู่สามีภรรยาที่น่าอิจฉาอีกคู่ในวงสังคม ไม่เคยมีเรื่องบ้านเล็กบ้านใหญ่แม้ว่าอัศวินจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเพียงใดก็ตาม บ้างก็ว่าเพราะคุณหญิงเยาวภายังอยู่นี่แหละอัศวินจึงไม่กล้ากระดิกตัวทำอะไร

“อีกอย่างตาวรุณก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ หน้าที่การงานก็ถือว่าไม่น่าเกลียด...แถมยังไม่เคยแต่งงานมาก่อนด้วย เหมาะสมกับหนูช้องยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก”

“พูดขนาดนี้เพราะว่าคุณเองก็อยากดองกับคนบ้านนั้นใช่ไหมล่ะ” อาชวิณปรายตามองภรรยาอย่างรู้เท่าทัน ที่พูดเรื่องช้องนางมายาวเหยียดเช่นนี้คงไม่พ้นถูกใจฝ่ายหญิง “อย่าเพิ่งได้ใจไปคุณ เราชอบหนูช้องก็จริงแต่บ้านนั้นเขาจะชอบลูกเราหรือเปล่า”

“ตาวรุณรักษ์มีอะไรที่ไม่ดีคะ ลูกของเราหน้าตาดีมีการศึกษา ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต ไม่เคยเสียประวัติเรื่องผู้หญิงด้วย” พอสามีพูดคล้ายกับว่าวรุณรักษ์เป็นสุนัขที่กำลังแหงนมองเครื่องบิน แม่ที่รักลูกชายไม่ด้อยไปกว่าใครอย่างพิมพ์ดาราก็ตาขวาง

“ลูกบ้านนู้นเขาก็ทั้งสวยทั้งรวยเหมือนกันนั่นแหละ” อาชวิณพึมพำเบาๆ

“ก็ถึงบอกไงคะว่าเด็กสองคนนี้เหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก”

อาชวิณเหนื่อยจะเถียงกับภรรยา รู้ว่าต่อให้เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ว่าอย่างไรพิมพ์ดาราก็จะดื้อดึง จับแต่งทั้งสองให้เป็นคนรักกันให้ได้ เขาในฐานะสามีก็คงทำได้ดีที่สุดคือเพียงปรามอยู่ห่างๆ เท่านั้น

“ตามใจคุณเถอะ แต่อย่าไปจุ้นจ้านมากล่ะ เดี๋ยวตาวรุณก็โกรธอีก”

“รู้แล้วค่ะ ฉันไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อหรอกน่า”

 

หลังฟังเรื่องที่ลูกเขยเล่ามาคุณหญิงเยาวภาก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด แม้ว่าหลานสาวคนเดียวของเธอจะอายุสามสิบห้าปีเข้าไปแล้ว หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในตัวช้องนางลดลง ยิ่งหลานสาวอายุเยอะแต่ยังไร้วี่แววว่าจะมีคนดูแลเธอก็ยิ่งกังวล ทว่าพอมาวันนี้กลับได้ยินว่าช้องนางกำลังสนิทสนมกับทายาทเพียงคนเดียวแห่งบ้านพรหมวากร คุณหญิงเยาวภากลับไม่ชอบใจเรื่องที่ได้ยินเท่าไรนัก

“ไอ้หนุ่มนั่น...มีลูกมีเมียหรือยัง”

“ยังครับคุณแม่” ลูกเขยที่เคยโดนแม่ยายตั้งแง่รังเกียจและเกือบโดนเกลียดขี้หน้าหากไม่ได้คำทำนายของเกจิชื่อดังช่วยไว้ว่าเขาและเทวีเป็นเนื้อคู่กันนั้นเป็นคนตอบ ลอบมองหน้าผู้เป็นภรรยา จากนั้นเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ไม่เคยแต่งงาน ตอนนี้มีบริษัทน้ำดื่มเป็นของตัวเอง”

“ลูกชายคนเดียวใช่ไหม” สายตาคมกริบของคุณหญิงเยาวภายังมีแววเข้มงวดอยู่เหมือนก่อน จะดีกว่าเมื่อก่อนหน่อยตรงที่ตอนนี้ท่านพยายามลดความเข้มงวดของตัวเองลง และพยายามเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมสมัยใหม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างนั่นแหละ...

“แต่ไปกอดกันกลางห้างแบบนั้นมันไม่เกินไปหรือเทวี ลูกชายเพื่อนเธอนี่ไม่รู้จักให้เกียรติผู้หญิงเลยหรือยังไง”

“หนูว่าพวกแกคงเป็นแฟนกันนะคะคุณแม่...”

“เหลวไหล!” เพียงได้ยินคำพูดขัดหู คุณหญิงเยาวภาก็ตวาดบุตรสาวเพียงคนเดียวของตนสุดเสียง “เห็นช้องนางของฉันเป็นดอกไม้ริมทางหรืออย่างไร ทำไมกล้าทำตัวรุ่มร่ามไม่อายฟ้าอายดิน”

“คุณแม่คะ...” เทวีทำหน้ายุ่งยากใจ หลังลอบมองหน้าสามี วันนี้เธอและอัศวินต่างโดนเรียกตัวให้มาที่บ้านของคุณหญิงเยาวภาแถวชานเมือง เนื่องจากมีผู้หวังดีโทร. มารายงานถึงพฤติกรรมอันน่าขายหน้าของทายาทเพียงคนเดียวอย่างช้องนาง ที่ตระกองกอดกับผู้ชายอยู่กลางห้างสรรพสินค้าเมื่อกลางวัน

“หนูไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไรเลย เรื่องของเด็กๆ น่ะค่ะ”

“เด็กสมัยนี้ทำตัวแบบนี้กันแล้วงั้นหรือ” นั่นไม่ใช่คำถาม ทว่าเป็นการตักเตือนบิดาและมารดาของ ‘เด็กสมัยนี้’ ทำให้ทั้งอัศวินและเทวีต่างพร้อมใจกันก้มหน้างุด หลบสายตาคมกริบของคุณหญิงเยาวภา ก่อนท่านจะถอนหายใจเสียงดังแล้วออกคำสั่ง

“บอกช้องนางให้มาทานข้าวเย็นที่นี่”

“คุณแม่ครับ เดี๋ยวผมคุยกับบ้านนั้น...”

“ก่อนจะคุยกับเขาก็ต้องคุยกับคนของเราก่อนสิ” คุณหญิงเยาวภาปรายตามองหน้าลูกเขย เจ้าของท่อนแขนที่เธอใช้เป็นหลักยึดในการเดินเล่นในสวน เคยมีบทเรียนคราวเทวีมาแล้วครั้งหนึ่งว่าบางครั้งต่อให้เธอกะเกณฑ์ หาคนที่ดีพร้อมเอาไว้ให้แล้วอย่างไร ก็สู้ให้เจ้าตัวเลือกคู่ชีวิตเองไม่ได้ อีกอย่างผู้ชายที่ลูกสาวเธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิตอย่างอัศวินก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอนึกกลัว

“ปกติไม่เคยปิดเรื่องอะไรกับฉันนี่ ไม่รู้ว่าคราวนี้เกิดอะไรขึ้น”

“ช้องนางคงอยากจะแน่ใจก่อนก็ได้ครับ” อัศวินออกตัวแทนลูกสาว แต่ในใจนั้นคิดว่าคงต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่เชื่อว่าช้องนางจะกำลังคบหากับวรุณรักษ์อยู่จริงๆ ก็ลูกบอกเขาเองนี่ว่าเกลียดไอ้หนุ่มนั่นจนอยากจะกลั้นใจตายเพียงแค่ได้ยินชื่อ ดังนั้นเรื่องที่เด็กทั้งสองแอบคบหากันอย่างลับๆ ที่เทวีสันนิษฐานไว้นั้นคงไม่พ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด

เทวีเห็นสีหน้าถมึงทึงของสามีก็ได้แต่ส่ายหัวในใจ พูดอย่างนี้คงไม่พ้นว่าหวงลูกสาว กลัวช้องนางจะคบหากับวรุณรักษ์จริงๆ มากกว่า ไม่รู้ว่าทำไมอัศวินจึงไม่ชอบหน้าวรุณรักษ์มากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มก็นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่งในสายตาของเทวี หากเขาลงเอยกับช้องนางจริงๆ เทวีก็มั่นใจว่าเขาจะดูแลบุตรสาวของเธอได้ แต่อัศวินคงไม่คิดแบบเดียวกับเธอกระมัง...

“เดี๋ยวหนูโทร. บอกให้ช้องนางมาที่นี่นะคะ” เทวีเอ่ยก่อนจะปลีกตัวออกไป จึงเป็นโอกาสดีของอัศวินที่จะได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกไป และหวังว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดีจากแม่ของภรรยา

“ผมไม่ชอบหมอนี่เลยครับคุณแม่...”

“หึ ทำไม...เขาทำอะไรให้แก แกถึงได้เกลียดเขานัก” คุณหญิงเยาวภาเหลือบมองหน้าลูกเขยก่อนจะยิ้มขัน เมื่อก่อนสามีของเธอก็เคยถามเธอด้วยคำพูดเดียวกันนี้ ก่อนที่เทวีพาอัศวินมาแนะนำในฐานะคนรัก แล้วจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่เธอนึกกลัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่ำรวยหรือมีนามสกุลดัง แต่เมื่อเขาเป็นเนื้อคู่ของเทวีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณหญิงเยาวภายอมรับ “เท่าที่ฟังมาเขาก็ไม่ได้เลวร้ายนี่ หน้าที่การงานก็ดี ไม่เคยมีเรื่องเสียๆ หายๆ เรื่องผู้หญิงด้วย”

“ไม่รู้สิครับ ผมแค่ไม่ชอบ เห็นหน้าแล้วไม่ถูกชะตายังไงไม่รู้” อัศวินเอ่ยในฐานะคนที่เคยลำบากเพราะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเขาคู่ควรและเหมาะสมที่จะเป็นสามีของเทวี แม้ว่าพ่อตาและแม่ยายจะให้ความเอ็นดู แต่อัศวินก็ไม่ลืมว่าเทวีนั้นมีเพื่อนและสังคมที่ต่างจากเขา การที่เธอแต่งงานกับเขาย่อมถูกเพื่อนของภรรยาดูแคลน ผู้ใหญ่ฝั่งภรรยาเองก็ใช่ว่าจะเอ็นดูเขาทุกคน อัศวินจึงตั้งใจว่าเขาจะไม่กลายเป็นผู้ใหญ่ที่รังแกเด็กและไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่แบบนั้นเสียเอง แต่สัญชาตญาณของความเป็นพ่อกลับย้ำเตือนเขาไม่ให้วางใจวรุณรักษ์มากเกินไป บางอย่างบอกเขาว่าวรุณรักษ์จะทำให้ช้องนางต้องช้ำใจและเขาไม่อยากให้แก้วตาดวงใจของเขาต้องเจ็บปวด

“แกไม่ชอบแล้วลูกสาวแกเขาคิดแบบเดียวกันมั้ยล่ะ” คุณหญิงเยาวภาปรายตามองลูกเขยแล้วยิ้มกริ่ม สะใจนิดๆ ที่เห็นลูกเขยหัวฟัดหัวเหวี่ยงทั้ง ๆ ที่ช้องนางและวรุณรักษ์นั้นยังไม่ทันแม้แต่จะคบหากัน หรือต่อให้ทั้งสองแอบคบกันก็ยังไม่มีใครในบ้านรู้ “ไหนเคยบอกว่าให้ปลูกเรือนตามใจคนอยู่ไง”

“ช้องนางไม่มีทางแต่งงานกับหมอนี่หรอกครับคุณแม่”

“ระวังเท้อ...ไม่เคยได้ยินที่โบราณเขาว่าเอาไว้หรือว่าเกลียดอย่างไรได้อย่างนั้นน่ะ” ผู้ที่เคยต้องกลืนน้ำลายตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่งเตือนอัศวิน ขนาดตอนนั้นเธอเพียงอิดออดเรื่องชาติตระกูลของอัศวินนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น จนกระทั่งเทวีแต่งงานมีลูก เธอก็ยังโดนสามีแกล้งย้ำเรื่องนี้ไม่หยุด และถ้าเขาไม่ชิงตายไปก่อน ตอนนี้เขาคงจะยังพูดอยู่นั่นแหละ “ไม่แน่นะ...บางทีนายวรุณอะไรนี่อาจจะเป็นเนื้อคู่ของช้องนางก็ได้

“ขอเถอะครับคุณแม่...” อัศวินโอดครวญ ใจจริงอยากจะกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยซ้ำหากคนพูดไม่ใช่แม่ยายสุดเนี้ยบของเขา “จะบอกว่าเป็นเนื้อคู่อย่างเดียวก็ไม่ไหวนะครับ นี่มันสมัยไหนแล้ว ผมก็อยากให้ลูกสาวผมเจอคนดีๆ คนที่ไม่ทำให้แกเสียใจ”

“แกนี่เพ้อเจ้อจริงนะ” คนหัวโบราณนั้นมองค้อนอัศวิน ทีแรกฟังก็เข้าท่าอยู่หรอก แต่สุดท้ายเขากลับเพ้อเจ้อยิ่งกว่าเธอเสียอีก “คนเราจะมีแต่ความสุขได้ยังไง มันต้องทั้งสุขทั้งทุกข์ผสมปนเปกันไปนั่นแหละ”

อัศวินคิดตามคำพูดของแม่ภรรยาแล้วก็ผงกศีรษะรับอย่างเห็นด้วยในตอนท้าย แต่ก็มิวายเอ่ยคล้ายกับกำลังต่อรองกับใครก็ตามที่มีอำนาจกำหนดความสุขและความทุกข์ในชีวิตของบุตรสาวคนเดียวของเขา

“แต่ก็ขอให้ช้องนางมีความสุขมากกว่าความทุกข์ได้มั้ยล่ะครับ”

“ฉันละเบื่อแกจริงๆ” คุณหญิงเยาวภาเป็นผู้ที่กลอกตาไปมาเสียเองหลังฟังสิ่งที่ลูกเขยต่อรอง “ของอย่างนี้มันขอร้องกันได้ที่ไหน มันต้องแล้วแต่เจ้าตัว...ต้องแล้วแต่ลูกสาวแกโน่นว่าจะเลือกแบบไหน”

 

ช้องนางไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตของเธอจะมีวันนี้ นั่นก็คือวันที่เธอโดนครอบครัวซักฟอกเรื่องชายหนุ่มที่เธอกำลังมีประเด็นอยู่ แต่มันก็กำลังเกิดขึ้นกับเธอ และผู้ชายที่ครอบครัวของเธอเข้าใจว่าเป็นคนรักของเธอนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากวรุณรักษ์ ผู้ชายบ้านั่นที่เธอเพิ่งบอกตัวเองว่าจะพยายามญาติดีกับเขาให้ได้ ด้วยอย่างไรก็เป็นคนที่ต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายร่วมกัน

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของช้องนางนั้นก็คือดวงตาคมกริบของคุณหญิงเยาวภาที่จ้องมองเธออยู่ตอนนี้ต่างหาก คุณยายของช้องนางยังคงมีคำพูดที่เหมือนจะดี แต่หากคิดให้ถี่ถ้วนและไม่โง่เกินไป ก็จะเข้าใจได้ว่าที่คุณหญิงเยาวภาพูดอยู่ขณะนี้น่ะ คือการตักเตือนและเป็นการยื่นคำขาดแก่ช้องนาง

“แล้วเขาว่ายังไงล่ะ ผู้ชายคนนั้นน่ะ...ทำไมถึงไปทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่กลัวชาวบ้านเขาเอาไปนินทาอย่างนั้น”

“มันไม่มีอะไรเลยนะคะคุณยายขา...เขาแค่เอากระเป๋ามาคืนหนูเฉยๆ” ผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำเรื่องประเจิดประเจ้อนั้นว่าเสียงอ่อย เธอไม่ได้โกหก ระหว่างเธอและวรุณรักษ์นั้นไม่ได้มีอะไรมากกว่าคนที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก อันที่จริงคงต้องบอกว่าวรุณรักษ์เจอหน้าเธอครั้งแรกคงจะถูกต้องกว่า เพราะเธอไม่ได้เห็นหน้าเขา

“แล้วกระเป๋าเราไปอยู่กับเขาได้ยังไง เขาไปงานวันเกิดเพื่อนของเราด้วยเหรอ” คราวนี้เป็นอัศวินที่ยิงคำถามมายังบุตรสาว เมื่อวานนี้ยังบอกว่าไม่รู้อยู่เลยว่าตัวเองไปวางกระเป๋าเอาไว้ที่ไหน แต่ทำไมมาวันนี้ถึงมาบอกว่าวรุณรักษ์เพียงเอากระเป๋ามาคืน

“หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะคุณพ่อ” อันนี้ไม่ได้โกหกนะ เธอไม่รู้จริงๆ นี่ว่าทำไมกระเป๋าของเธอจึงหายไปโผล่ที่วรุณรักษ์ได้ “เชื่อหนูเถอะนะคะ หนูไม่ได้เป็นอะไรกับนาย...เอ้อ...คุณวรุณอะไรนี่จริงๆ”

“ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กอดกันเหรอ อะไรกันลูก แม่งงไปหมดแล้ว” เทวีเห็นกับตาว่าลูกสาวสุดที่รักกอดกับวรุณรักษ์อย่างสนิทสนม ไหนจะสายตาที่ฝ่ายชายใช้มองช้องนางอีก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นได้แค่คนที่มีความรู้สึกเสน่หาให้กันและกันเท่านั้น

“เอาเป็นว่า...หนูกับคุณวรุณรักษ์อะไรนี่ไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะคุณแม่” ช้องนางยืนยันเสียงหนักแน่น ทำให้ผู้เป็นบิดาอย่างอัศวินนั้นเบาใจขึ้น ผิดกับคุณหญิงเยาวภาและเทวีที่พร้อมใจกันขมวดคิ้ว รู้สึกว่าคำพูดของช้องนางขัดกับการกระทำแปลกๆ ปากบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กลับไม่ปฏิเสธว่ากอดกันกลางห้างอย่างนั้นหรือ

“เราเจอกันเพราะความจำเป็นเฉยๆ ค่ะ หนูไม่ได้ชอบเขา”

“แล้วเขาชอบเราหรือเปล่าล่ะ” คุณหญิงเยาวภาเหล่มองดวงหน้างามของหลานสาวแล้วตักอาหารเข้าปาก บังคับให้ช้องนางต้องตอบคำถามอย่างไม่มีทางเลี่ยง “ลูกชายบ้านพรหมวากรใช่มั้ย พ่อคนนี้”

“แคกๆ!” คนโดนถามถึงกับสำลักอาหารฝีมือคุณยาย ต้องรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะหลบตาเจ้าของคำถาม จนปัญญาที่จะตอบคุณหญิงเยาวภาจริงๆ

วรุณรักษ์ชอบเธอไหมน่ะหรือ...ถ้าเป็นคนในความฝันช้องนางก็ค่อนข้างมั่นใจว่าชายหนุ่มรักเธอหมดหัวใจแน่ๆ แต่หากถามถึงวรุณรักษ์คนในชีวิตจริงของเธอคนนี้...ช้องนางคิดว่าเขาคงเพียงคิดไม่ซื่อกับเธอเท่านั้น ก็คนไม่เคยรู้จักกัน จะมารู้สึกอะไรกับเธอได้ยังไง

“ไม่รู้ค่ะ หนูไม่ได้ถามเขา”

เท่านั้นคนบนโต๊ะอาหารก็พร้อมใจกันถอนหายใจ แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

เทวีและคุณหญิงเยาวภานั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก...ช้องนางพูดอย่างนี้แสดงว่าวรุณรักษ์คงพอมีความหวังอยู่

ส่วนอัศวินนั้นถอนหายใจด้วยความไม่สบายใจ...ช้องนางพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง หมายความว่าต่อให้วรุณรักษ์รู้สึกอะไรกับเธอช้องนางก็ไม่ว่าอะไรอย่างนั้นหรือ

“แล้วเขาเป็นยังไงล่ะ พ่อวรุณรักษ์อะไรนี่...ใจดีกับหนูไหมช้อง” คุณหญิงเยาวภาสนใจเรื่องใหม่ แม้ช้องนางไม่ยอมรับว่าคบหากับวรุณรักษ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องหยุดซักถามเรื่องชายหนุ่มคนแรก ที่เข้ามาในชีวิตของหลานสาวเพียงคนเดียวของเธอนี่ “แต่คงจะไม่ใช่สุภาพบุรุษเท่าไหร่กระมัง ไม่อย่างนั้นคงไม่กอดกันกลมให้คนเขาเห็นไปทั่ว”

“แต่หนูก็กอดเขาคืนนะคะ” ช้องนางพลั้งปากเอ่ยออกไป ทำให้หัวอกคนเป็นพ่ออย่างอัศวินนั้นเจ็บแปลบทั้งที่ไม่ทั้งเตรียมใจ “เราไม่เสียเปรียบแน่นอนค่ะคุณยายขา”

“ตายๆๆ” คนแก่ที่สุดบนโต๊ะอาหารนั้นยกมือขึ้นทาบอก เพราะคำพูดเฮี้ยวๆ ของหลานสาวที่เธอเลี้ยงดูหวังให้เป็นกุลสตรี แต่ผลกลับออกมาเป็นอีกแบบ “เราเป็นผู้หญิงยิงเรือนะช้องนาง อย่าพูดแบบนี้อีกนะลูก ประเดี๋ยวหัวใจยายจะวายตายเอานะแม่คุณ”

“โธ่ สมัยนี้ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกันแล้วละค่ะคุณยายขา...” ช้องนางไม่เห็นว่าคำพูดของเธอจะเสียหายตรงไหน ที่พูดเมื่อกี้นี้ก็ความจริงทั้งนั้น “แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวช้องจะพูดบ่อยๆ คุณยายจะได้ชิน”

“ก่อนจะพูดบ่อยๆ ให้ยายชิน พาเจ้าหนุ่มนั่นมาให้ยายเห็นหน้าค่าตาบ้างให้ได้ก่อนเถอะแม่คุณ” คุณหญิงเยาวภาลืมตกใจแล้วเปลี่ยนมาเป็นมองค้อนหลานสาวตัวเองแทน “พักหลังนี้ไม่ค่อยแวะมาหาคนแก่หรอก คงเที่ยวสนุกกับเพื่อนจนลืมยายแล้ว”

“ไม่ลืมหรอกค่ะ ช้องน่ะหรือคะจะลืมใคร”

“เหรอจ๊ะ” คุณหญิงเยาวภาถามน้ำเสียงสะบัด

“จริงค่ะ ช้องจำได้ทุกอย่าง จำได้ทุกคนเลยค่ะคุณยายขา...”

 

หลังจากไปเจอช้องนางแล้ววรุณรักษ์ก็คิดว่าเขาอาจจะได้รับชีวิตอันปกติของเขากลับคืนมา หรืออย่างน้อยเรื่องเพี้ยนๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาอาจจะลดน้อยลง ทว่าหลังจากนั้นเพียงสองวัน วรุณรักษ์ก็ตระหนักได้ว่าทุกอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้นั้นไม่มีอะไรเป็นจริงเลยสักอย่าง เรื่องแปลกๆ ที่ว่ายังเกิดขึ้นกับเขาอยู่สม่ำเสมอ และเกิดขึ้นถี่กว่าปกติแถมหนักขึ้นกว่าเดิม

เรื่องที่เพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ ก็คือ เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน วรุณรักษ์ตั้งใจตัดดอกกุหลาบมาเข้าช่อเพื่อส่งไปให้ช้องนางที่ร้านของเธอ เพราะสืบรู้มาว่าวันนี้ช้องนางจะเข้าไปที่ร้าน แต่ตอนที่วรุณรักษ์วางตะกร้าใส่ดอกไม้ทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์ที่เขาเตรียมเอาไว้แล้วเดินกลับมา เจ้าตะกร้าที่ว่าก็อันตรธานหายไปทั้งใบ

พอเขาตั้งใจจะโทร. ไปถามช้องนาง อีกฝ่ายก็ชิงโทร. เข้ามา แล้วตวาดเขาจนต้องยกมือถือออกห่างจากหูเพื่อรักษาแก้วหูของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากดอกไม้เจ้ากรรมนั้นไปโผล่ที่ช้องนางอย่างวรุณรักษ์คิดจริง แต่วิธีการที่มันไปโผล่นี่สิ...ทำให้ชายหนุ่มโดนช้องนางคาดโทษ ก็เจ้าตะกร้าดอกไม้ของเขาร่วงใส่หัวช้องนางตอนที่หญิงสาวนั่งอยู่บนชักโครก ชวนให้วรุณรักษ์คิดถึงสภาพตัวเองวันที่มีน้ำเหม็นๆ ราดลงบนหัว ต่างกันเพียงช้องนางนั้นไม่เปียกและหัวเหม็นไปสองวันเหมือนอย่างเขา

คืนก่อนนี้ก็ไม่น้อยหน้ากันเท่าไร เพราะช่วงสองทุ่มที่วรุณรักษ์กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่นั้น ก็มีขนมไทยสีดำเข่งใหญ่มาโผล่ในตู้เย็นของวรุณรักษ์ พอโทร. ถามช้องนางว่าเจ้าขนมไทยสีดำเหล่านี้เป็นของเธอหรือเปล่า วรุณรักษ์ก็ได้รับคำตอบที่เขารู้อยู่แล้ว แต่มีของแถมเป็นเสียงบ่นจากหญิงสาวพร้อมกับข้อกล่าวหาว่า เขาเป็นคนทำพิธีไหว้ราหูของเธอล่มกลางคัน เพราะของไหว้ส่วนหนึ่งมาโผล่ที่บ้านของชายหนุ่ม

นั่นยิ่งทำให้วรุณรักษ์อยากเจอหน้าช้องนางอีก ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเขาจะยอมรับ และก้มหน้าก้มตาเป็นฝ่ายรอคอยให้เรื่องประหลาดๆ เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง เพียงเพื่อที่เขาจะได้มีข้ออ้างในการติดต่อหาช้องนาง ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูเหมือนพยายามตัดบท ส่งข้อความไปหญิงสาวก็จะตอบเขาเพียงสั้นๆ ทุกครั้ง ไม่ต้องบอกวรุณรักษ์ก็พอจะเดาได้ว่าช้องนางคงไม่ได้อยากคุยกับเขาเหมือนอย่างที่เขาอยากคุยกับเธอ

ระหว่างที่กำลังจัดการเอกสารที่สหรัถนำมาทิ้งไว้ หางตาของวรุณรักษ์ก็เพียรแต่จะเหลือบมองหน้าจอมือถือของตัวเองอยู่ทุกๆ สองนาที เผื่อว่าจะมีข้อความจากช้องนางเด้งขึ้นมาบนหน้าจอแล้วเขาอาจจะพลาดหรือลืมตอบ อ่านเอกสารเรื่องการจัดซื้อเครื่องจักรตัว

ใหม่ไปได้เพียงครึ่งหน้า วรุณรักษ์ก็ต้องวางงานลงเพราะสมาธิของเขาแตกซ่าน ก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมากดพิมพ์ข้อความหาช้องนางก่อน และเป็นครั้งแรกเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาและเธอ

พี่โทรหาได้ไหม

กดปุ่มส่งไปแล้ววรุณรักษ์ก็วางมือถือลงบนโต๊ะ จ้องจอสี่เหลี่ยมด้วยหัวใจลุ้นระทึก พอๆ กับเฑียรที่กำลังชะโงกหน้าผ่านไหล่แกร่งของวรุณรักษ์ ลุ้นคำตอบจากช้องนางพร้อมกับมนุษย์ในความดูแลของเขา แต่กามเทพหนุ่มนั้นลุ้นว่าเขาจะสามารถทำให้วรุณรักษ์และช้องนางใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิมได้หรือไม่

ครั้งก่อนที่เฑียรทำให้วรุณรักษ์เห็นความทรงจำครั้งแรกสุดที่เขาและช้องนางต้องพลัดพรากจากกัน จนวรุณรักษ์บุกไปหาช้องนางอย่างไม่เกรงกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยนั้น เขาลุ้นสุดตัวแถมยังรู้สึกหวิวๆ อยู่เลย ก็หากวรุณรักษ์ไปเจอกับช้องนางแล้วทั้งคู่ต้องตายตกตามกันไปอีกชาติ เฑียรและยุพดีเองก็คงต้องรอตามทั้งคู่ไปใช้กรรมกันอีกนาน

แต่ดูท่าแล้ววรุณรักษ์จะฉลาดขึ้นกว่าชาติก่อนพอสมควร...เพราะเขาสามารถใกล้ชิดกับช้องนางได้โดยไม่ทำให้พวกเขาต้องจบชีวิตลง และยังสามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องเห็นหน้าอีกต่างหาก ปัญญาของพวกมนุษย์นี่น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ หากแต่ก่อนเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำภารกิจสำเร็จไปนานแล้วก็ได้

ติ๊ง!

เสียงแจ้งเตือนจากเจ้าอุปกรณ์สี่เหลี่ยมเครื่องน้อยเรียกความสนใจของเฑียรได้อยู่หมัด ดวงตาคมเหลือบมองหน้าจอมือถือในมือของวรุณรักษ์แล้วคลี่ยิ้มออกมา แต่กระนั้นรอยยิ้มของเฑียรก็ยังไม่กว้างเท่ารอยยิ้มบนหน้าของวรุณรักษ์อยู่ดี

มีอะไร

นั่นเป็นข้อความที่ช้องนางใช้เวลาหลายนาทีในการพิมพ์ตอบกลับมา แน่นอนว่าวรุณรักษ์ตอบแทบจะทันที ไม่คิดจะประวิงเวลาเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายทำ

ไม่มีอะไร พี่แค่อยากโทร. หา

พิมพ์ไปแล้ววรุณรักษ์ก็มองเจ้าจุดสามจุดที่ขยับไหวบนหน้าจอ บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ข้อความอยู่ สัญลักษณ์นั้นขยับอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยุดแล้วจึงขยับอีกครั้ง สุดท้ายวรุณรักษ์ก็ได้รับคำตอบที่เขารออยู่

ก็โทร. มาสิ

 

ช้องนางอยากจะกรี๊ดออกมาให้สมกับความอัดอั้นตันใจ วันก่อนพิธีไหว้ราหูของเธอก็ล่มเพราะวรุณรักษ์แล้วครั้งหนึ่ง เพราะว่าขนมดำของไหว้ที่เธอเตรียมไว้ดันไปโผล่ที่บ้านของชายหนุ่ม วันนี้สดๆ ร้อนๆ ตอนเธอเข้าห้องน้ำกำลังทำธุระอยู่ ดอกกุหลาบที่ไหนก็ไม่รู้ก็เทโครมลงมาบนหัวของเธอ ปิดท้ายด้วยตะกร้าใบใหญ่จนช้องนางร้องกรี๊ดลั่นห้องน้ำด้วยความโกรธ

‘นายวรุณ!’

ดอกกุหลาบจำนวนมหาศาลนั้นกองอยู่บนพื้นแทบเท้าของช้องนาง จนหญิงสาวมองไม่เห็นกระเบื้อง ร่างระหงกระวีกระวาดลุกขึ้น สวมกางเกงของตัวเองด้วยความรวดเร็วก่อนผลักประตูห้องน้ำออกมา ก่อนจะพบกับสายตาเป็นห่วงของบรรดาลูกน้องในร้าน ทว่ายังไม่ทันเอ่ยถามผู้เป็นนาย ช้องนางก็ยกมือ บอกให้พวกเขาหยุดอะไรก็ตามแต่ที่อยากจะถามเอาไว้เท่านั้น แล้วชิงออกคำสั่ง

‘ไม่ต้องถาม แล้วเก็บดอกไม้พวกนั้นไปทิ้งด้วย’

พูดจบช้องนางก็เดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกับกดมือถือต่อสายหาตัวการที่ก่อกวนเธอตั้งแต่หัววัน ซึ่งแทบจะไม่ต้องรอสายเลยด้วยซ้ำเพราะวรุณรักษ์กดรับสายของช้องนางแทบจะทันที เหมือนทุกครั้งที่หญิงสาวโทร. ไปโวยวายกับเขายามที่ข้าวของของเธอหายไป

เวลาช้องนางโวยวายใส่วรุณรักษ์ ชายหนุ่มก็มีปฏิกิริยาเหมือนเดิม นั่นก็คือขอโทษช้องนางแล้วรับคำง่ายๆ และถ้าให้ช้องนางเดา ตอนที่วรุณรักษ์พูดสายกับเธออยู่นั้น เขาคงไม่พ้นที่จะยิ้ม และนั่นทำให้ช้องนางโกรธวรุณรักษ์ยิ่งกว่าเดิมจนต้องชิงตัดสาย ก่อนจะไม่สามารถยั้งปากตัวเองไม่ให้พลั้งด่ากราดปลายสาย แล้วทำให้ตัวเองต้องมาเสียใจภายหลัง

แล้วหลังจากที่วางสายจากวรุณรักษ์พักใหญ่ ช้องนางก็หน้าบึ้ง หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่พักใหญ่ กระทั่งหญิงสาวได้รับข้อความ ที่ช้องนางไม่แน่ใจว่านี่คือการง้อหรือไม่ เพราะไม่เคยมีผู้ชายมาง้องอนเธอแบบนี้มาก่อน แล้ววรุณรักษ์มีความจำเป็นอะไรที่จะมาง้องอนเธอด้วย

พี่โทรหาได้ไหม

ช้องนางขมวดคิ้วอ่านข้อความนั้นอยู่หลายครั้งเพื่อความแน่ใจ เผื่อว่าเธออาจจะตีความจากตัวอักษรนั้นผิดเพี้ยนไป แต่ต่อให้คิดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองอย่างไร วรุณรักษ์ก็กำลังง้องอนเธออยู่เห็นๆ ช้องนางมั่นใจว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง

ริมฝีปากงามเม้มเข้าหากันเพื่อซ่อนรอยยิ้ม ก่อนจะล้มเหลว เพราะตอนท้ายช้องนางก็ระบายยิ้มเต็มไปหน้า พิมพ์ข้อความตอบไปแทบจะทันที ทว่าไม่ได้กดส่งเดี๋ยวนี้ หญิงสาวดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ รอกระทั่งผ่านไปแล้วห้านาทีจึงกดปุ่มส่ง จากนั้นเธอก็รอ...เพียงเสี้ยวนาทีช้องนางก็ได้รับข้อความถัดมาจากวรุณรักษ์

ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายทำให้ช้องนางอดที่จะยิ้มย่องกับตัวเองไม่ได้ ยิ่งอ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมา ช้องนางก็ยิ่งยิ้มกว้างอารมณ์งุ่นง่านก่อนหน้าเปลี่ยนมาเป็นสดใส ประหนึ่งเธอกำลังวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้

ไม่มีอะไร พี่แค่อยากโทร. หา

“ไม่ธรรมดานะเนี่ย” ช้องนางพึมพำกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับผงกศีรษะสองสามครั้ง พลางกดมือลงบนหน้าจออยู่เสี้ยววินาที ในหัวก็นินทาชายหนุ่มว่า วรุณรักษ์นั้นเห็นท่าทางหงิมๆ เหมือนจะมีลูกไม้ไม่เยอะ แต่ชายหนุ่มกลับลีลาแพรวพราวไม่หยอก แถมหยอดเก่งจนสาวโสดสามสิบห้าปีอย่างเธออดใจเต้นแรงไม่ได้

ก็โทร. มาสิ

กดปุ่มส่งไปแล้วช้องนางก็รอสาย ถึงจะคิดว่าวรุณรักษ์คงไม่ปล่อยให้เธอรอนาน แต่ช้องนางก็ไม่คิดว่าเขาจะโทร. มา เดี๋ยวนั้นเลย หน้าจอของมือถือปรากฏเบอร์ของวรุณรักษ์ ช้องนางกะพริบตาปริบๆ อยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะกดรับสาย

“ฮัลโหล...”

“อื้ม พี่เองนะ” เสียงห้าวนั้นตอบกลับมา แล้วทั้งคู่ก็ต่างพร้อมใจกันเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน สุดท้ายเป็นวรุณรักษ์ที่เอ่ยต่อ

“เราทำอะไรอยู่ พี่กวนรึเปล่า”

“ถ้าบอกว่ากวนจะทำไงล่ะ จะวางสายเหรอ” ช้องไม่ได้มีนิสัยกวนประสาท แต่กับวรุณรักษ์นั้นหญิงสาวกลับรู้สึกว่าเธอกวนประสาทชายหนุ่มได้โดยที่จะไม่โดนเขาโกรธ

“ไม่” วรุณรักษ์ตอบมา น้ำเสียงของเขาทำให้ช้องนางรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ชายหนุ่มคงกำลังยิ้มกว้างอยู่แน่ๆ “แล้วตกลงว่าพี่กวนเราเหรอ”

“ไม่หรอก ฉันว่างอยู่” ช้องนางตอบแล้วถอนหายใจ เธอก็ไม่ได้อยากคุยกับวรุณรักษ์มากมายอะไรหรอกนะ เพียงแต่ถ้าเธอโกหกว่าไม่ว่าง เธอจะผิดศีลข้อสี่เฉยๆ หรอก “แล้วสรุปว่ามีอะไรหรือเปล่า”

“ถ้าบอกว่าคิดถึงจะเรียกว่ามีอะไรได้มั้ยล่ะ”

“อู้หู...เอาอย่างนี้เลยนะคุณ” คนโดนจีบซึ่งหน้าเป็นครั้งแรกนั้นร้องอู้ ทำตาโตอย่างเสแสร้ง เพราะใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าวรุณรักษ์กำลังจีบเธออยู่ จริงอยู่ที่ช้องนางไม่เคยมีผู้ชายมาสนใจ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้โง่จนมองไม่ออก

“มาขนาดนี้แล้วนะช้องนาง” ฝ่ายนั้นเอ่ยตอบมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เหมือนเขาและเธอนั้นผ่านเรื่องราวอะไรกันมามาก ซึ่งแน่นอนว่าหากมองมุมหนึ่งก็เป็นเช่นนั้น...ช้องนางและวรุณรักษ์ต่างพบเจอเรื่องชวนหลอนและชวนให้บ้ามาไม่น้อย

“พี่จะสี่สิบแล้ว...ไม่รอแล้วได้ไหม”

“อ้าว ก็นึกว่าอยากจะดึงเชงก่อน” ช้องนางหัวเราะคิกคัก ยกมือข้างที่ว่างวางบนตู้โชว์ของร้านเท้าคาง ปากก็พูดกับวรุณรักษ์ไปพร้อมกัน “ต้องเล่นตัวก่อนไงคุณ...จะได้น่าสนใจ”

“แล้วแบบนี้ไม่สนใจเหรอ”

“อะ ถามแบบนี้แล้วจะให้ฉันตอบแบบไหนล่ะคุณ” ช้องนางงุบงิบตอบด้วยสีหน้าง้ำงอ เรื่องอะไรจะตอบว่าสนใจให้เขาได้ใจ แต่จะให้โกหกก็ทำไม่ได้เพราะเธอดันถือศีลห้า “จะให้บอกว่าสนใจให้คนแถวนี้ได้ใจเหรอ”

“พี่”

“อะไรล่ะ”

“คนแถวนี้ที่เราพูดถึงเมื่อกี้น่ะพี่เอง...ที่เราบอกว่าถ้าตอบสนใจแล้วจะได้ใจน่ะ เป็นพี่ใช่มั้ยล่ะ”

คำพูดที่ตอบกลับมาทำให้ช้องนางอดเบ้หน้าไม่ได้ อะไรจะขยันป้อนคำหวานกันถี่ขนาดนี้พ่อคุณ ชาติที่แล้วเกิดเป็นขุนแผนหรือไงกัน

“ฉันละเบื่อพวกผู้ชายเจ้าชู้จริงเล้ย...”

“พี่ไม่ได้เจ้าชู้” คราวนี้น้ำเสียงของวรุณรักษ์เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ ในความรู้สึกของช้องนางนั้นหน้าคมคร้ามของวรุณรักษ์ไม่ได้มีรอยยิ้มกว้างอีกต่อไป เสียงเข้มจัดของเขาทำให้ช้องนางนั่งหลังตรงด้วยความรู้สึกกริ่งเกรง...รู้สึกเหมือนตอนโดนพ่อดุเลย

“พี่ไม่ได้มีใคร พี่มีเราคนเดียว”

“ก็ล้อเล่นมั้ยล่ะคุณ” ช้องนางตอบวรุณรักษ์ด้วยน้ำเสียงติดจะออดอ้อนเพื่อเอาตัวรอด ก่อนจะคิดได้ว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมจะต้องกลัวด้วย “ทำไมต้องกดเสียงต่ำใส่ฉันด้วยเนี่ย ตกลงจะว่ามาจีบฉันหรือมาควบคุมความประพฤติฉันกันแน่”

“พี่ไม่ชอบให้เราพูดเล่นเรื่องนี้ เรื่องนอกใจไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อกันเล่น พี่ไม่ชอบให้เราคิดหรือพูดว่าพี่มีคนอื่นนอกจากเรา” เสียงของวรุณรักษ์ยังเข้มจัดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความดุดันที่แฝงมา

“รู้แล้วว่าไม่ชอบ ใจเย็นหน่อยค่ะคุณวรุณรักษ์” ช้องนางว่าด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย รู้ว่าเธอมีส่วนผิดที่ล้อเล่นเรื่องที่วรุณรักษ์ไม่ชอบ แต่เธอไม่รู้นี่นาว่าเขาไม่ชอบให้ล้อเล่นเรื่องนี้ ดังนั้นจะมาโทษเธอทั้งหมดก็ไม่ได้ “ขอโทษค่ะ คราวหลังจะไม่พูดอีกแล้ว”

“พี่ไม่ได้โกรธเรา...” วรุณรักษ์ตัดบทแล้วถอนหายใจ จนช้องนางได้ยินเสียงลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาอย่างชัดเจน “แต่อย่าพูดแบบนี้อีกได้มั้ย พี่ขอร้อง”

“ได้” ไม่มีเหตุผลอะไรที่ช้องนางจะดื้อดึง ถึงเธอจะเคยไม่ชอบหน้าวรุณรักษ์ แต่เธอก็ไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกของเขา “ไม่พูดแล้วค่ะ”

“ชวนพี่คุยเรื่องอื่นหน่อยช้องนาง” วรุณรักษ์พยายามสลัดความไม่พอใจของเขาออกไป แต่นั่นจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาว เพราะคำพูดเมื่อครู่ของช้องนางมันสะกิดเรื่องที่เขาพยายามลืมให้กลับมาในหัวของเขาอีกครั้ง และแน่นอนว่าช้องนางไม่เคยทำให้วรุณรักษ์ผิดหวัง

“ดอกไม้พวกนั้นคุณซื้อมาเหรอ” ช้องนางหมายถึงดอกกุหลาบจำนวนมากที่ตอนนี้น่าจะอยู่ในถังขยะด้านหลัง “เสียใจด้วยนะที่มันมาโผล่ในห้องน้ำร้านฉันน่ะ แล้วตอนนี้คงนอนอยู่ในถังขยะแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยมันก็ไปถึงเรา” เขาพูดเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลก

“พูดเหมือนคุณซื้อดอกไม้มาให้ฉัน”

“ไม่ใช่หรอก” ฟังดังนั้นช้องนางก็อดที่จะกลอกตาขึ้นฟ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรเท่าไหร่หรอกนะที่วรุณรักษ์ไม่ได้ซื้อดอกไม้พวกนั้นมาให้เธอ เหอะ...กะอีแค่ดอกไม้เธอซื้อให้ตัวเองก็ได้หรอก

“พี่ไม่ได้ซื้อหรอก ตัดมาจากสวนหลังบ้าน”

“เท่านี้เหรอ...ที่บอกว่าไม่ใช่เมื่อกี้นี้น่ะ”

“อื้อ” เสียงทุ้มตอบมาสั้นๆ จนช้องนางต้องกัดฟันเพื่อสะกดความหงุดหงิด นายวรุณรักษ์นี่ตกลงเป็นคนยังไงกันแน่ เดี๋ยวก็ลูกไม้แพรวพราวใส่เธอ เดี๋ยวก็ทำตัวใสซื่อตามเธอไม่ทัน

“ทำไมเหรอ”

“หมายถึงว่าคุณตั้งใจจะเอาดอกไม้พวกนั้นมาให้ฉันอย่างนั้นเหรอ” ช้องนางตัดสินใจแล้วว่าเธอจะพูดกับวรุณรักษ์ตรงๆ ไม่อย่างนั้นทั้งเธอและเขาจะเสียเวลากันทั้งคู่

“ก็ใช่สิ” และแน่นอนว่าวรุณรักษ์เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นเกมอะไรกับช้องนางเหมือนกัน เพราะเขาตอบมาแทบจะทันทีหลังช้องนางพูดจบ “พี่กำลังเอาเข้าช่อ แต่ว่ามันดันหายไปทั้งตะกร้า”

“โอ้โห...ใจคอนี่คุณ จะจีบฉันให้ได้ในวันเดียวเลยเหรอคะคุณวรุณรักษ์” ช้องนางเน้นเสียงหนักตรงชื่อของชายหนุ่ม “คิดว่าฉันจะใจอ่อนง่ายขนาดนั้นเลยหรือคะคุณ”

“เรื่องของเราคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” เสียงห้าวตอบก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ ครั้งนี้วรุณรักษ์ถอนหายใจแรงอย่างคนที่ปลงตก “เราก็น่าจะรู้”

“ก็รู้แหละ”

“พี่คิดถึงเรานะช้องนาง...”

เสียงของวรุณรักษ์นั้นฟังดูอาลัยอาวรณ์จนช้องนางรู้สึกเศร้าตามไปด้วย แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ลึกๆ ช้องนางก็รู้ว่าเธอเองก็คิดถึงเขามากไม่ต่างกัน

“อยากเจอเราอีกจัง”

“แต่ฉันไม่อยากหลับตาคุยกับคุณนะ”

เธออยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ว่าวรุณรักษ์ในความฝันและวรุณรักษ์ในชีวิตจริงของเธอนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร โดยไม่ต้องหวาดผวาว่าหากเจอเขาแล้วเธออาจจะต้องตายโหงเหมือนอย่างในฝัน

“อื้อ...”

“นี่” ช้องนางเรียกคนที่อยู่ปลายสาย กลัวว่าวรุณรักษ์จะเข้าใจเธอผิดเพราะประโยคก่อนหน้า “อย่าเงียบ”

“ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว แต่พี่ยังไม่อยากวางสาย พี่คิดถึงเรา” วรุณรักษ์บอกช้องนางตามตรง เขาคิดถึงหญิงสาวมากกว่าที่คิด และการได้ยินเสียงของเธอไม่เพียงพอกับความต้องการของเขาอีกต่อไปแล้ว

“รู้แล้ว ไม่ต้องพูดบ่อยๆ ก็ได้” ช้องนางว่าเสียงเบา เธอเองก็คิดถึงเขาเหมือนกันนั่นแหละ แต่ยังไม่อยากพูดออกไป เดี๋ยววรุณรักษ์จะหาว่าเธอใจเร็วด่วนได้ “ฉันไม่ใช่ปลาทอง จะได้ความจำสั้น”

“ก็คิดถึง...จะให้พี่ทำยังไง” วรุณรักษ์ย้อนถาม “เจอก็ไม่ได้...ชวนเราไปทานข้าวก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากโทร. คุยกับส่งข้อความหาเรา”

“อื้อ รู้แล้ว” ผู้เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์แทบจะทุกแขนงอย่างช้องนางเองก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน หมอดูชื่อดังที่ว่าแม่นนักแม่นหนาไม่มีใครให้คำตอบเธอได้ว่าทำไมเธอและวรุณรักษ์จึงต้องตายหากเจอหน้ากันเลยสักคน กระทั่งมาสฟ้าที่ดูเหมือนจะเก่งกว่าคนอื่นๆ ยังส่ายศีรษะให้เธออย่างจนใจ เมื่อเธออ้อนวอนขอความช่วยเหลือ

“นี่...คุณน่ะ รอมาตลอดเลยเหรอ”

“อื้ม...รอ”

วรุณรักษ์ตอบกลับมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด และเขาก็มั่นใจว่าช้องนางเองก็รอคอยเขาไม่ต่างกัน

“รอ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ารออะไร...รอใคร”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น