8
เรื่องมันก็นานมาแล้ว
ความตั้งใจของช้องนางตอนที่บอกกับมารดาให้ท่านมั่นใจในตัวเธอ เรื่องการตามหากระเป๋าถือที่อันตรธานหายไปจากรถของเธอได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจนั้นถูกพักเอาไว้ชั่วคราว เนื่องจากสมองของหญิงสาวยังทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพนัก เหมือนเธอกำลังอยู่ในอาการเมาค้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุดในชีวิตของช้องนาง เธอไม่มีทางที่จะเมาค้างได้อยู่แล้ว เพราะเธอไม่ได้ดื่มเหล้า!
ปึ้ง!
มือเรียวกระแทกปากกาในมือลงกับตู้กระจกตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด ใบหน้างามของช้องนางก็พลอยบูดบึ้งไป จนพนักงานขายในร้านหลายคนต่างต้องลอบมองหน้ากันและกันอย่างปรึกษาหารือว่าจะเอายังไงกันต่อไป
กลัวเจ้านายคนสวยของตนหรือก็กลัว แต่หากปล่อยให้คุณช้องหน้าบึ้งต่อไปเช่นนี้คงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
“ทำไมวันนี้มันหนาวจัง” ผู้ที่ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนั้นเป็นช้องนาง ร่างเล็กสั่นเล็กน้อยเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หญิงสาวชะเง้อคอมองหาสาเหตุ เผื่อว่าจะมีใครเปิดพัดลมที่เธอซื้อมาทิ้งไว้ในยามฉุกเฉิน แต่เมื่อพบว่าพัดลมเครื่องนั้นไม่ได้ถูกเปิดอย่างที่เธอคิด ช้องนางจึงกลับไปหน้าบึ้งเช่นเดิม
“ฝนตกค่ะคุณช้อง” เสียงเล็กๆ ของ ‘ลูกแก้ว’ ผู้เป็นพนักงานขายกระซิบบอกเจ้านายสาวถึงสาเหตุที่ทำให้ช้องนางรู้สึกหนาวกว่าปกติ “ตกตั้งแต่เที่ยงแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด”
“แล้วมาตกอะไรเอาวันนี้” ช้องนางไม่ใช่คนที่เกลียดฝน แต่เธอก็ไม่ได้ชอบมันนัก เพราะสิ่งที่ตามมากับฝนนั้นก็คือรถติดและน้ำท่วม ซึ่งเธอเกลียดผลพวงที่ว่านั้นสุดๆ “วันอื่นมีเยอะแยะไม่ยักตก คนเขาจะทำมาหากินเนี่ย”
“ตกหนักด้วยนะคะ แก้วนึกว่าฟ้าจะถล่มแล้ว” “เวอร์แล้วลูกแก้ว อะไรมันจะขนาดนั้น” ช้องนางปรามพนักงาน ตั้งแต่มาที่ร้านช้องนางก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย หญิงสาวจึงไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของลูกแก้วนั้นไม่ได้เกินจริงแม้แต่นิด ท้องฟ้าเหนือห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มืดครึ้มเสียจนใครต่อใครต่างหน้าเสียด้วยความหวั่นใจ ทั้งฟ้าแลบฟ้าผ่าเหมือนพร้อมที่จะถล่มลงมาทุกเมื่อ
“น้อยไปสิคะคุณช้อง” ลูกแก้วส่ายศีรษะแรงๆ เธอไม่ได้พูดเกินไปสักนิดเดียว เพราะพายุด้านนอกนั้นรุนแรงจริง “ลมนี่พัดอู้ๆ จนเต็นท์เติ๊นที่ลานหน้าห้างปลิวกันให้ว่อนเลยค่ะ”
“แล้วไปรู้ได้ยังไงว่าเต็นท์ปลิวว่อน ก็เห็นอยู่ในร้านตลอดไม่ใช่หรือไง” ช้องนางหลิ่วตามอง จับผิดลูกน้องของตนอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก
“ก็ได้ยินเขาพูดกันตอนพักเที่ยงไงคะคุณช้อง” ลูกแก้วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะต้องละสายตาจากผู้เป็นนายแล้วฉีกยิ้ม เดินไปต้อนรับลูกค้าที่เพิ่งผลักประตูร้านเข้ามา ชายหญิงที่ช้องนางคาดเดาว่าเป็นคู่รักซึ่งเข้ามาในร้านคู่แรกนั้นไม่ใช่คนที่ทำให้เธอตาโตเป็นไข่ห่าน แต่เป็นร่างบอบบางของผู้หญิงที่เดินเข้ามาเพียงลำพังต่างหาก ที่ทำให้ช้องนางผุดลุกเต็มความสูง กุลีกุจอออกไปต้อนรับ
“คุณมาสฟ้า”
มาสฟ้าเดินเข้ามายังร้านจิวเอลรีของช้องนางโดยไม่ได้มีการนัดหมายล่วงหน้า แต่กระนั้นหญิงสาวก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้เป็นเจ้าของร้าน ช้องนางอยู่ในชุดกระโปรงเรียบง่ายเหมือนอย่างที่มาสฟ้าเห็นในนิมิตก่อนหน้านี้ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เธอต้องถ่อมาหาอีกฝ่ายถึงที่นี่ในวันนี้
“คุณมาส ไม่ทราบว่ามาวันนี้อยากให้ช้องช่วยอะไรคะ” ช้องนางกะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติได้ แล้วถามมาสฟ้าออกไป
“มาสอยากได้เครื่องประดับชุดเล็กๆ สักสองสามชุดค่ะ” มาสฟ้าเอ่ยอย่างสงวนถ้อยคำ รู้ดีว่าคำพูดของตัวเองทำให้แววตาของช้องนางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่หญิงสาวไม่ได้แปลกใจหรือรู้สึกว่าอีกฝ่ายควรจะเก็บงำความรู้สึกยินดีเอาไว้ เธอกลับยิ้มกว้างมากกว่าเดิมก่อนเอ่ยถามต่อ “คุณช้องพอจะช่วยมาสได้ไหมคะ”
“ได้สิคะคุณมาส” ช้องนางอยากจะหมุนตัวเต้นระบำเป็นวงกลม วันนี้ช่างเป็นวันดีของเธอจริงๆ ที่ได้ต้อนรับลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างมาสฟ้า หลังส่งสัญญาณให้พนักงานอีกคนไปนำเครื่องดื่มออกมาต้อนรับลูกค้าคนพิเศษของเธอ ช้องนางก็พามาสฟ้าไปนั่งที่โซฟาต้อนรับภายในร้าน พร้อมกับหยิบไอแพดติดมือมาด้วย
“ไม่ทราบว่าคุณมาสมีแบบในใจอยู่แล้วหรือยังคะ”
“ไม่มีค่ะ” มาสฟ้าตอบเสียงหวาน มองผู้ที่เคยไปเยี่ยมเธอที่บ้านถึงสองครั้งสองคราด้วยสายตาที่คล้ายกับมีอะไรในใจ แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา ทว่าช้องนางก็ไม่ใช่คนโง่ หญิงสาวรู้ได้ทันทีว่าการมาเยือนของมาสฟ้าในวันนี้คงไม่ใช่แค่ต้องการมาซื้อเครื่องประดับแน่
“ขอเป็นเครื่องประดับที่ใส่ออกงานกลางวันได้ ไม่เล็กไม่ใหญ่ไป”
“งานเลี้ยงประเภทไหนคะ” ช้องนางกะพริบตาถาม “งานหมั้น งานวันเกิด...หรือว่า...”
“แค่ต้องใส่ติดตัวไว้ไม่ให้คอโล่งเกินไปน่ะค่ะ” มาสฟ้าโคลงศีรษะ การวางตัวสบายๆ ของเธอทำให้ช้องนางรู้สึกแปลกเล็กน้อย “พอดีว่ายายฝันต้องไปงานเลี้ยง...หลายวันน่ะค่ะ มาสเลยอยากหาพวกสร้อยพวกกำไลให้ยายฝันติดตัวไปใส่ตอนอยู่ที่โน่น”
“อืม...อย่างนั้นคุณมาสลองดูก่อนมั้ยคะว่าชอบแบบไหนมากกว่า แต่ถ้าไม่ชอบ ทางร้านมีบริการคัสตอมเมดนะคะ” ช้องนางเปิดไอแพดในมือ แล้วส่งให้มาสฟ้าเลือกดูแบบเครื่องประดับที่หญิงสาวชอบ
“มาสขอดูก่อนดีกว่าค่ะ” มาสฟ้ารับไอแพดเครื่องใหญ่มาวางบนตัก เลื่อนดูแบบเครื่องประดับของร้านอย่างใจเย็น แม้ปกติเธอไม่ค่อยได้ออกมาเลือกซื้อเครื่องประดับพวกนี้ ด้วยมีของเก่าที่เป็นของคุณย่าคุณยายให้เลือกสวม แต่มาสฟ้าก็พอมีแบบที่ต้องการในใจ ที่สำคัญคืองานเลี้ยงที่ ‘เหมือนฝัน’ น้องสาวฝาแฝดของเธอต้องไปนั้นค่อนข้างพิเศษ จึงต้องมาเลือกซื้อเครื่องประดับให้เหมือนฝันใหม่ทั้งหมด
“คุณช้องเฝ้าร้านมั้ยคะช่วงนี้”
“คะ?” คำถามที่ไม่มีที่มาที่ไปนั้นทำให้ช้องนางหลุดเสียงอุทานออกมาเบาๆ อย่างแปลกใจ ขณะที่ยุพดีซึ่งไร้ตัวตนในสายตามนุษย์มาตลอดทั้งวันนั้นหันขวับ จ้องหญิงแปลกหน้าที่เธอไม่เคยพบมาก่อนด้วยความระแวง ก่อนจะสรุปได้ทันทีว่านี่คงเป็นชาติภพแรก ที่ผู้หญิงซึ่งช้องนางเรียกขานนามว่ามาสฟ้านั้นมาปรากฏตัวในชีวิตของช้องนาง เพราะยุพดีจำได้ว่าไม่เคยเจอหญิงสาวมาก่อน
“คุณมาส...เห็นอะไรหรือคะ”
“มาสก็ไม่แน่ใจ”
ยุพดีฟังคำตอบนั้นแล้วก็หายวับมาโผล่ตรงหน้าหญิงที่ชื่อมาสฟ้า ก่อนกามเทพอย่างเธอจะผงะไปด้านหลัง เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของพลังอำนาจที่สูงกว่าเธอ ซึ่งทิ้งร่องรอยเอาไว้บนร่างของมนุษย์ชั้นต่ำตรงหน้า เห็นได้ชัดว่ามาสฟ้าผู้นี้เป็นที่โปรดปรานของผู้เป็นนายของเธอ จนถึงขั้นอนุญาตให้รู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรได้รู้
...น่าเสียดาย ที่พลังอันน่าอิจฉานี้มีราคาสูงลิ่วที่ต้องจ่ายตามมา...นังมนุษย์หน้าโง่
“มาสเห็นคุณช้องมาหลายวันแล้ว เลยแวะมาหาเพราะห่วง”
“เจ้าไม่ควรห่วงช้องนาง เจ้าควรห่วงตัวเอง” ยุพดีพึมพำเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ เธอไม่ได้อยากข่มขู่แม่มนุษย์ตัวน้อยนี่ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอเอ่ยนั้นล้วนออกมาจากความเวทนาและสงสาร มาสฟ้าพิเศษกว่ามนุษย์คนอื่นที่ยุพดีเคยพบพานมาก็จริงอยู่ แต่หญิงสาวก็ไม่ใช่คนแรกที่มาข้องเกี่ยวกับวิบากกรรมของช้องนาง ภพก่อนๆ ก็มีคนพยายามแทรกแซงโชคชะตาของช้องนางและวรุณรักษ์ และท้ายที่สุดคนพวกนั้นต่างมีจุดจบที่ไม่ดีสักคน
ทว่านางมนุษย์นี่คงไม่ได้ตายเพราะมาเกี่ยวข้องกับชะตารักของช้องนางหรอก แต่นางจะตายเพราะผู้ชายอื่นต่างหาก...
ยุพดีหลับตา ตรวจดูชะตารักของมาสฟ้าแล้วถอนหายใจ ก่อนจะยักไหล่นิดๆ อย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเพียงช้องนางที่มีชะตารักอันอาภัพ ขนาดคนโปรดของพระพรหมก็ยังอาภัพไม่ต่างกัน...หรือบางทีอาจจะเป็นมาสฟ้าที่มีชะตารักอาภัพกว่าช้องนางของเธออีกก็เป็นได้
“คุณมาสขา...ช้องละไม่อยากจะพูด” ช้องนางเอื้อมมือไปบีบแขนของมาสฟ้า พร้อมจ้องหญิงสาวด้วยแววตามีประกายความหวังประหนึ่งมาสฟ้านั้นเป็นความหวังสุดท้ายของเธอแล้ว “ช้องฝันร้ายมาหลายคืนแล้ว แถมเกิดเรื่องแปลกๆ อีกไม่หยุดไม่หย่อน คุณมาสรู้ไหมคะว่าเมื่อวานนี้...”
“มาสทราบแล้วค่ะ” ก็เพราะมาสฟ้าเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับช้องนางและชายปริศนาคนนั้นนั่นแหละ เธอจึงงัดตัวเองมาหาอีกฝ่ายถึงที่นี่ “คุณช้อง...รู้จักผู้ชายคนนั้นนี่คะ”
“พูดชื่อเขาออกมาเลยค่ะคุณมาส” ช้องนางไม่มีอารมณ์ขายของแล้วตอนนี้ หญิงสาวขยับเข้าใกล้มาสฟ้ายิ่งกว่าเดิม พอๆ กับยุพดีที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทั้งสอง เงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้ว่าพระพรหมท่านเมตตานางมนุษย์ที่ชื่อมาสฟ้านี่ขนาดไหน ท่านจะให้มันรู้เห็นสิ่งใดในชะตารักของคนอื่นบ้าง
“เขามีรูปคุณช้องแขวนในห้องนอน” มาสฟ้าเห็นว่าผู้ชายคนนั้นนั่งมองรูปของนางซึ่งแขวนอยู่ปลายเตียงของเขา “เขามีกระเป๋าของคุณช้องด้วย”
“คุณมาส!” ช้องนางอุทานเสียงหลง พร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตากลมเบิกโพลงด้วยความอัศจรรย์ใจและหวาดกลัวในคราวเดียวกัน แม้จะพอเดาได้ว่าคงไม่พ้นเป็นวรุณรักษ์ที่มีกระเป๋าถือของเธออยู่ แต่พอมาสฟ้าเอ่ยมาเช่นนี้ช้องนางก็อดกลัวไม่ได้
“ตกแล้วมันเกิดอะไรขึ้นคะ เขาทำของใส่ช้องหรือเปล่าคะคุณมาส”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” มาสฟ้ายิ้มขันเมื่อได้ยินข้อสันนิษฐานของช้องนาง ผิดกับยุพดีที่กลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหงุดหงิดเมื่อช้องนางเอ่ยสิ่งที่ไม่เข้าท่าเช่นนั้นออกมา
ทำของอะไรกัน...ช้องนางคิดหรือว่าของชั้นต่ำพรรค์นั้นจะช่วยแก้ไขชะตารักอันน่าเวทนาของเธอได้ ถ้าคุณไสยชั้นต่ำที่เกิดจากกิเลสของมนุษย์ทำเช่นนั้นได้ คงไม่ต้องเดือดร้อนกามเทพอย่างเธอหรือเฑียรให้ต้องลงมาทำงานกันงกๆ อย่างนี้หรอก พวกมนุษย์นี่มีปัญญาน้อยนิดกว่าที่เธอคาดเอาไว้เสียอีก
“แล้วทำไมมันถึง...”
“คุณช้องไม่คิดหรือคะว่าเขาอาจจะเป็นเนื้อคู่ของคุณช้องก็ได้” มาสฟ้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ช้องนางนั้นเบ้หน้าอย่างหนักเป็นคำตอบ ทำให้มาสฟ้าถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“เกลียดเขาขนาดนั้นเลยนะคะ” “คุณมาสไม่เข้าใจหรอกค่ะ”
ช้องนางหน้ามุ่ย เพียงคิดว่าวรุณรักษ์เป็นเนื้อคู่ของตัวเอง ช้องนางก็ครั่นเนื้อครั่นตัว
“ถ้ามีเขาเป็นเนื้อคู่ช้องขอตายดีกว่า” หญิงสาวค้อนลมค้อนแล้งไปตามประสาแล้วจึงพูดต่อ “คุณมาสรู้ไหมคะว่าในฝันน่ะ เวลาช้องเจอเขาช้องตายโหงทุกครั้งเลยนะคะ”
“ทราบค่ะคุณช้อง”
“ใช่มั้ยล่ะคะ” ช้องนางตาโต พยักหน้าแรงๆ อีกหนก่อนย้ำ “แล้วแต่ละครั้งนะคะ ช้องตายแบบทรมานทุกครั้งเลย ครั้งแรกหัวเกือบขาดออกจากตัว ครั้งที่สองโดนแทงและไฟคลอกตาย ไม่เอาแล้วค่ะคุณมาส ชาตินี้ทั้งชาติช้องขอไม่เจอเขาดีกว่า บอกตรงๆ ช้องกลัวต้องตายอีก”
“ก็จริงนะคะ” มาสฟ้าที่เห็นความตายของช้องนางมาถึงสองครั้งผ่านนิมิตนั้นถอนหายใจ “แต่มาสว่าคุณช้องคงไม่ได้พบเจอเขาหรอกค่ะ”
“หรือคะ” ช้องนางเลิกคิ้ว นึกว่าเธอจะหลีกเลี่ยงชายที่ชื่อวรุณรักษ์ไม่พ้นแล้วเสียอีก พอมาสฟ้าพูดแบบนี้เธอก็เบาใจขึ้นหน่อย “ช้องก็คิดอย่างนั้นแหละ เมื่อเช้านี้ช้องโทร. หาหมอเช้ง ท่านก็บอกว่าไม่มีอะไร ก็แค่ความฝัน...”
“หมอดูน่ะเหรอคะ” มาสฟ้าเหลือบมองหน้าช้องนางแวบหนึ่ง พลางพยายามนึกหาชื่อหมอเช้งในความทรงจำ “ซินแสดูฮวงจุ้ยใช่มั้ยคะ ถ้ามาสจำไม่ผิด”
“ใช่แล้วค่ะ” ช้องนางพยักหน้า เมื่อเช้านี้ไม่ได้มีแค่หมอเช้งคนเดียวหรอกที่เธอต่อสายตรงเพื่อขอคำตอบ ว่าคำทำนายที่ว่ายังไงเธอก็จะไม่เจอเนื้อคู่ในชาตินี้ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า เพราะยังมีหมอดูชื่อดังอีกหลายคนที่ต้องตอบคำถามเดียวกันนี้ของช้องนาง ซึ่งคำตอบที่ช้องนางได้รับนั้นล้วนเป็นคำตอบเดียวกันทั้งหมด
‘ไม่เจอหรอก ทำอย่างไรก็ไม่เจอ’
ถ้าเป็นแต่ก่อนช้องนางคงตีโพยตีพาย สั่งให้คนเตรียมของไหว้แก้เคล็ดสุดฤทธิ์ แต่วันนี้ช้องนางกลับรู้สึกสบายใจหลังได้ฟังคำยืนยันเหล่านั้น
เนื้อคู่เหรอ...ไม่เจอก็ไม่เจอสิ ถ้าเจอแล้วเป็นชายที่เจอวรุณรักษ์ ช้องนางขออยู่คนเดียวไปจนตายดีกว่า หากเจอเขาแล้วต้องเสี่ยงอายุสั้นแถมยังต้องตายโหงแบบในฝัน!
“หมอเช้งบอกช้องแล้วค่ะว่ายังไงก็ไม่ได้เจอเนื้อคู่หรอก เพราะฉะนั้นตัดนายวรุณรักษ์อะไรนี่ออกไปได้เลยค่ะ ช้องมั่นใจว่าไม่ใช่เขาหรอก”
ยุพดีเหลือบมองหน้าคนที่ประกาศด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะ หมอดูพวกนั้นพูดไม่ผิดที่ว่าช้องนางจะไม่ได้พบกับเนื้อคู่ของเธอ แต่การที่ช้องนางคิดว่าวรุณรักษ์ไม่ใช่เนื้อคู่นั้นผิดอย่างมหันต์ ชายหนุ่มเป็นเนื้อคู่ของหญิงสาวอย่างไม่มีข้อกังขา...แต่เพราะคำสาปแช่งรุนแรงที่เขาทิ้งไว้ในกายของช้องนาง ทั้งคู่จึงต้องพบกับความทุกข์และพลัดพรากตลอดมา
“ปากกาคุณช้องสวยจังค่ะ” มาสฟ้าทักเรื่องปากกาที่เสียบอยู่บนปกสมุดพกของช้องนาง มุมปากงามขยับโค้งนิดๆ เมื่อคิดถึงที่มาของเจ้าปากกาด้ามนี้ “มันไม่ใช่ของคุณช้องใช่ไหมคะ?”
“เอ๊ะ! ทำไมคุณมาสถึงรู้ล่ะคะ” ช้องนางหน้านิ่งก่อนจะหลับตาแน่น ตีตัวเองในใจเมื่อรู้ตัวว่าเธอเพิ่งถามคำถามไม่เข้าท่าออกไป “ขอโทษค่ะ ช้องไม่น่าถามอะไรโง่ๆ เลย”
“ก็ชื่อบนด้ามปากกามันไม่ใช่ชื่อคุณช้องนี่คะ” มาสฟ้าว่าพลางชี้นิ้วที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่สลักอยู่บนปลอกปากกา แล้วอ่านชื่อนั้นออกมาดังๆ
“วี พะ...พรหมวากร...ไม่น่าจะใช่ชื่อคุณช้องนะคะ”
“ทำไมช้องไม่เคยสังเกต” ช้องนางดึงปากกาออกมาจากปกสมุดพกของตัวเองทันที เธอสะเพร่าจนลืมสังเกตชื่อที่สลักหราอยู่บนปากกาเลยหรือนี่ “ช้องไม่เคยสังเกตเลยค่ะคุณมาส แหะๆ”
“แล้วใครกันคะ นามสกุลพรหมวากร...เพราะจัง”
“ก็...เอ๊ะ...” ช้องนางครุ่นคิดถึงนามสกุลที่เธอรู้สึกคุ้นมาก แต่ก็คิดไม่ออกว่าใครกันเป็นเจ้าของ จนหางตาเหลือบไปเห็นแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนหนึ่ง ช้องนางก็ถึงกับลืมเรื่องที่เธอกำลังพูดคุยกับมาสฟ้า หญิงสาวผุดลุกจากโซฟา ชะเง้อมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ก่อนละล่ำละลักขอตัวด้วยความรีบร้อน
“ช้องขอตัวสักครู่นะคะคุณมาส”
“เชิญค่ะ” มาสฟ้าเหลือบตาขึ้นมองดวงหน้างาม ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นการรับคำ ปากงามขยับโค้งเป็นรอยยิ้มเมื่อพ้นหลังของช้องนางที่พุ่งตัวออกไปจากร้านด้วยความรีบร้อน
จากนั้นดวงตาคมของมาสฟ้าก็เคลื่อนมาหยุดที่ยุพดี ทำให้เทพสาวถึงกับขมวดคิ้วมุ่นแล้วจ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัว ใจหนึ่งก็อยากท้าทาย อยากรู้ว่านางมนุษย์นี่จะแน่สักแค่ไหน จะแน่จนสามารถมองเห็นเธอได้เลยอย่างนั้นหรือ
ดวงตาสองคู่จ้องตอบกันและกันอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเป็นมาสฟ้าที่ละสายตาก่อน ท่าทางเหล่านั้นจึงไม่พอที่จะทำให้ยุพดีได้คำตอบในสิ่งที่เธอสงสัย พอดีกับที่เธอสัมผัสได้ถึงพลังของกามเทพตัวร้าย ซึ่งสองสามวันมานี้ขยันท้าทายโทสะของเธอ ยุพดีจึงต้องละความสนใจจากผู้หญิงที่ชื่อมาสฟ้าแล้วหายตัวไปหาช้องนาง
เพียงเพราะอยากแน่ใจว่าเป็นเขา...เป็นวรุณรักษ์ ช้องนางจึงรีบร้อนวิ่งตามเจ้าของแผ่นหลังปริศนามาด้วยความร้อนรน หญิงสาวชะเง้อคอมองร่างสูงนั้นจนสุดความสามารถ เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนตัดสินใจวิ่งเข้าไปให้ใกล้เป้าหมายที่สุดเท่าที่จะทำได้ เม้มปากแน่นอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนช้องนางจะตัดสินใจกับตัวเองได้
เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน
บอกกับตัวเองดังๆ ในใจแล้วร่างระหงก็ก้าวเข้าไปประชิดตัวชายหนุ่มที่เธอคาดว่าต้องเป็นวรุณรักษ์ มือเรียวเอื้อมไปจับแขนเสื้อของเขาแล้วออกแรงดึง บังคับให้ชายหนุ่มคนนั้นต้องหันกลับมาหาเธอ
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณ”
“เอ่อ เปล่าค่ะ” ช้องนางส่ายศีรษะ ยอมรับกับตัวเองว่าใจหนึ่งเธอก็โล่งใจ แต่ใจหนึ่งก็เสียดายที่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่วรุณรักษ์ แม้ว่าเธอไม่เคยเห็นหน้าของชายหนุ่มมาก่อน แต่เสียงทุ้มที่เธอได้ยินเมื่อครู่นี้ไม่มีทางเป็นเขาแน่ เสียงของวรุณรักษ์ในความทรงจำของเธออบอุ่นกว่านี้เยอะ
“พอดีทักคนผิดค่ะ ขอโทษด้วย”
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำขอโทษของช้องนาง หลังกวาดตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจดเท้าแล้ว คิดว่าผู้หญิงคนนี้ก็น่ารักดีอยู่หรอก “แฟนหรือครับ”
“คะ?” ช้องนางเหลือบมองหน้าคมคร้ามของชายแปลกหน้า ใจจริงเธออยากขอตัวกลับจะแย่ หากเธอไม่ใช่คนที่เสียมารยาทกับเขาก่อน “อ้อ ไม่ใช่หรอกค่ะ...คนรู้จักน่ะ มองจากข้างหลังแล้วคุณเหมือนเขามาก ฉันก็เลยทักผิด”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”
“ค่ะ” ช้องนางยิ้มจืดเจื่อนส่งให้ชายหนุ่มเจ้าของแผ่นหลังคล้ายคนในความฝันของเธอ พลันเธอก็รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ ยิ้มขันกับโชคชะตาของตัวเอง
ทั้งๆ ที่เคยประกาศว่าไม่อยากเจอ เธอขอตายเสียดีกว่าหากต้องเจอกับวรุณรักษ์ ทว่าความผิดหวังที่เธอรู้สึกอยู่ตอนนี้กลับทำให้ช้องนางอดที่จะรู้สึกสับสนไม่ได้ ทั้งๆ ที่เธอเกลียดเขามาก แต่ทำไมถึงต้องผิดหวัง ทำไมเธอถึงต้องวิ่งออกมาจากร้าน ทิ้งมาสฟ้าเอาไว้เพียงเพราะเห็นผู้ชายที่มีแผ่นหลังเหมือนกับวรุณรักษ์ด้วย
ทำไมกัน...ช้องนางไม่เข้าใจ...
ความผิดหวังและความเศร้าทำให้ไหล่ทั้งสองข้างของช้องนางลู่ลง พร้อมกับที่หญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้า เพื่อซ่อนน้ำตาจากสายตาของคนที่สัญจรไปมาภายในห้องสรรพสินค้า ช้องนางไม่เคยอยากเป็นคนน่าสงสารในสายตาใคร แต่เธอกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหวแล้ว
ทำไมจู่ๆ เธอถึงได้คิดถึงผู้ชายที่ไม่เคยแม้แต่จะเจอหน้าขนาดนี้ เธอต้องรู้สึกอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน...
เธอต้องรอเก้อแบบนี้ ต้องผิดหวังแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน...
ในวินาทีที่ช้องนางร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน จู่ๆ อ้อมกอดปริศนาก็สวมกอดร่างบอบบางของเธอจากด้านหลัง ตามมาด้วยสัมผัสอบอุ่นบริเวณลาดไหล่บาง เมื่อเจ้าของอ้อมกอดซบหน้าลงกับไหล่ของช้องนาง
หญิงสาวรู้ตัวว่าเธอควรตกใจและดิ้นรนออกจากอ้อมกอดปริศนานี้ให้เร็วที่สุด ทว่าความรู้สึกอันคุ้นเคยทำให้ช้องนางเพียงนิ่งขึง ก่อนร่างกายของเธอจะโอนอ่อน ยอมรับอ้อมกอดนี้ตามสัญชาตญาณ หรือจะเพราะว่าหญิงสาวรู้จักผู้ที่สวมกอดเธออยู่ตอนนี้ก็เป็นได้
“อย่าร้อง...”
เสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือใบหูนั้นทำให้ช้องนางน้ำตาคลอ ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เอา พี่ไม่อยากเห็นเราร้องนะ” “ปล่อยเลย...” เสียงเล็กของหญิงสาวดังอู้อี้อย่างแง่งอน ทว่าอาการสะอื้นพร้อมกับมือน้อยที่เกาะท่อนแขนแกร่งแน่นนั้นกลับบอกไปในทางตรงกันข้าม “ปล่อยนะ ไอ้ขี้ขโมย”
“หลับตา อย่ามองพี่” หัวขโมยกระซิบบอกคนในอ้อมกอด ท่อนแขนที่ใช้สวมกอดร่างงามของช้องนางนั้นคลายออกข้างหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนขึ้นมาปิดดวงตางามที่ชื้นหยาดน้ำตาของช้องนาง “เดี๋ยวก็ตายอีกหรอก”
“ไอ้บ้า” ช้องนางบริภาษ แน่ใจแล้วว่าร่างสูงที่สวมกอดเธออยู่ตอนนี้เป็นวรุณรักษ์ หญิงสาวถึงกับตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งเพราะคำขู่ของเขา ก่อนจะยอมหลับตาลงอย่างว่าง่าย ถึงเธอจะไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง แต่ช้องก็ไม่อยากรีบตายตอนนี้ รู้ๆ กันอยู่ว่าทุกครั้งที่ชายหนุ่มเข้าใกล้เธอในความฝัน เธอต้องตายโหงตลอด
“พี่แค่จะเอากระเป๋ามาคืน อย่าโวยวายนะ” วรุณรักษ์กระซิบบอกก่อนยัดหูกระเป๋าใส่มือบาง ช้องนางจับหูกระเป๋าเอาไว้แน่น พร้อมกับสูดลมหายใจข่มความกลัวและความรู้สึกหลากหลายที่มาพร้อมอ้อมกอดอุ่นของวรุณรักษ์
อ้อมกอดนี้เหมือนในฝันของเธอเลย...ใช่แน่ๆ ผู้ชายที่อยู่ในความฝันทั้งสองครั้งของเธอต้องเป็นวรุณรักษ์อย่างแน่นอน
“อย่างนั้นก็เลิกกอดฉันได้แล้ว ฉันอายเขา” ช้องนางเม้มปาก พยายามสะกดความรู้สึกที่ตีกันให้วุ่นของเธอเอาไว้ในหัวใจ แล้วใช้สติในการเผชิญหน้ากับวรุณรักษ์
“เราหลับตาอยู่ จะอายทำไม” เสียงทุ้มของวรุณรักษ์มีแต่ความอ่อนโยนอยู่ในนั้น ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้คนฟังหน้าง้ำ เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร...จะบอกว่าเพียงแค่ไม่เห็นสายตาของคนอื่นๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องอายอย่างนั้นใช่ไหม
“ปัญญาอ่อน...” ช้องนางงุบงิบบริภาษชายหนุ่ม ทว่าคนโดนแขวะกลับยิ้มกว้าง ไม่รู้สึกว่าตัวเองโดนด่าสักนิดเดียว กลับกันตอนนี้หัวใจของวรุณรักษ์มีแต่ความยินดี...ยินดีที่ได้กอดช้องนางของเขา ยินดีที่เขาไม่ได้เห็นใบหน้างามนี้จากภาพหรือความฝันอีกต่อไป แต่ได้เห็นหน้าของหญิงสาวตัวจริงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ช้องนางคนที่มีเลือดเนื้อ...ช้องนางคนแสนงอน...
“ยอมรับ” สำหรับวรุณรักษ์แล้วไม่ช้องนางจะพูดอย่างไร เขาย่อมเห็นดีเห็นงามตามหญิงสาว เธอจะด่าว่าเขาอย่างไรวรุณรักษ์ก็ไม่ถือโทษอยู่แล้ว
เขาจะโกรธเธอได้อย่างไร ในเมื่อเขาทำผิดมหันต์กับเธอเอาไว้และยังไม่ได้ชดใช้เลย
“อย่าลืมตานะ...พี่ไม่อยากให้เราเป็นอะไรไปตอนนี้”
“ฉันไม่ได้โง่นะ” ช้องนางโต้เสียงแง่งอนยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อมือทั้งสองข้างของวรุณรักษ์จับต้นแขนของเธอ บังคับให้เธอหมุนตัวกลับไปหาเขา ลมหายใจของช้องนางก็สะดุดเพราะความกลัว
นี่เธอจะต้องตายแล้วอย่างนั้นหรือ...ไม่เอานะ...
“ไม่เอา...”
“ไม่เป็นไรหรอก” วรุณรักษ์ให้คำมั่น ก่อนออกแรงบังคับให้ช้องนางหมุนตัวกลับมาหาเขา หลังจากหญิงสาวขืนตัว ไม่ยอมหันมาหาเขาแต่โดยดี “เราเห็นหน้าพี่ไม่ได้ แต่พี่เห็นหน้าเราได้ไม่ใช่เหรอ”
“รู้ได้ไง” ช้องนางย้อนถามเสียงสะบัด แต่ก็ยอมหมุนตัวกลับไปหาวรุณรักษ์แต่โดยดี “มีญาณทิพย์หรือคุณน่ะ”
“ไม่ต้องมีญาณทิพย์ก็เดาได้แหละ แต่ถึงพี่จะเดาผิดก็ไม่เห็นเป็นอะไร ต่อให้เราตายยังไงพี่ก็ตายตามอยู่ดี”
เพราะว่าช้องนางยังหลับตาอยู่ เธอจึงยังไม่เห็นแววตาโศกเศร้าของชายหนุ่ม
“ใครเขาอยากจะตายไปกับคุณ! อย่ามาโมเมนะ” ช้องนางบริภาษชายหนุ่มเสียงแหลม ถ้าเขาอยากตายตอนนี้ก็เชิญตายไปคนเดียวเถอะ เธอไม่เอาด้วยหรอก
“เห็นไหม เราสองคนไม่เป็นอะไร ไม่มีไฟไหม้...ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” วรุณรักษ์ไม่เสียเวลาทะเลาะกับช้องนาง สัมผัสอบอุ่นจากเรียวนิ้วหยาบกร้านของวรุณรักษ์บนใบหน้าของช้องนาง ทำให้ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวเม้มเข้าหากันอย่างไม่พอใจ
“เราคงไม่ตายเหมือนเดิมหรอก” ช้องนางพึมพำ เรียกรอยยิ้มกว้างจากวรุณรักษ์อย่างที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน “แล้ว...คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน”
“เราหมายความว่ายังไง พี่ไม่เข้าใจ” ปากเอ่ยถามก็จริง ทว่าสมาธิของวรุณรักษ์กลับอยู่ที่ดวงหน้างามของช้องนาง นัยน์ตาคมที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ของวรุณรักษ์ตรึงแน่น เขาจ้องช้องนาง...จ้องด้วยแววตาที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ “ก็...เรื่องความฝันไง” ช้องนางทำปากยื่น เธอกับเขาคงไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยๆ ดังนั้นช้องนางจึงตัดสินใจว่าเธอจะไม่เก็บงำความสงสัยของตัวเองเอาไว้ อีกอย่างฝันร้ายที่หลอกหลอนเธออยู่ขณะนี้ กับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นได้ไม่เว้นแต่ละวัน วรุณรักษ์เองก็คงจะต้องเจอด้วยเหมือนกัน
“แล้วก็...เรื่องที่ข้าวของของฉันไปโผล่ที่บ้านคุณด้วย”
“พี่ก็ไม่รู้” วรุณรักษ์หมายถึงเรื่องพิสดารเช่นข้าวของของทั้งคู่สลับกัน เขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ดังนั้นจะนับว่าเขาโกหกช้องนางไม่ได้ “อ้อ ที่ปิดตาสีชมพูนี่ก็ของเราใช่มั้ย พี่ใส่ไว้ในกระเป๋าแล้ว”
“อ้อ...” ช้องนางพ่นลมหายใจ เธอหรือก็ตามหาอยู่ตั้งนาน ที่แท้มันก็อยู่กับวรุณรักษ์นี่เอง “ปากกาคุณอยู่ที่ร้าน...ฉันจะให้คนส่งกลับไปให้”
“ไม่ต้องหรอก” วรุณรักษ์เพิ่งรู้ว่าปากกาที่เขาได้รับเป็นของขวัญวันเรียนจบนั้นหายไปเมื่อเช้านี้เอง “เราจะเก็บไว้ก็ได้ พี่ไม่รีบใช้”
“คุณคิดว่าเราควรจะทำยังไงต่อ ฉันไม่อยากฝันร้ายแล้ว”
“พี่ก็ไม่อยาก” วรุณรักษ์รับความเสียใจที่เขาและช้องนางต้องเจอในความฝันไม่ได้อีกต่อไป แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปแล้วเหมือนกัน “แต่เราคงทำอะไรไม่ได้หรอกช้องนาง”
“หมายความว่ายังไงที่ทำอะไรไม่ได้” กิริยาหน้านิ่วคิ้วขมวดของคนตัวเล็กทำให้วรุณรักษ์หลุดขำออกมา ภาพของทั้งคู่นั้นเหมือนคู่รักที่กำลังตกลงกันไม่ได้ ยิ่งช้องนางแหงนหน้าจนคอตั้งบ่าแม้จะหลับตาอยู่ ทว่าแววตาที่วรุณรักษ์ใช้มองหญิงสาวในเวลานี้หวานเชื่อมเสียยิ่งกว่าคู่แต่งงานใหม่ ทำให้สาวๆ ที่ผ่านไปผ่านมาล้วนมองทั้งคู่ด้วยความอิจฉา
“แล้วเราจะทำยังไงให้เลิกฝันร้ายล่ะ” วรุณรักษ์ย้อนถามเสียงเข้ม ผิดกับมือที่เคลื่อนไปลูบเรือนผมยาวของช้องนาง ตลบผมดำขลับของคนอายุน้อยกว่าไปด้านหลังเพื่อที่เขาจะได้มองหน้าเธอได้เต็มตา “มีวิธีอะไรแนะนำพี่ไหมล่ะช้องนาง”
“ถ้ารู้แล้วฉันจะถามคุณมั้ยล่ะ” ช้องนางที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่มีอะไรเหมือนในความฝันของวรุณรักษ์เลย เว้นแต่หน้าตา ทว่านั่นกลับไม่ทำให้วรุณรักษ์เอ็นดูหญิงสาวน้อยลง กลับกันเสียอีก ช้องนางในสายตาเขาตอนนี้แม้จะแสนงอนไปสักหน่อยทว่ากลับน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ดี
“แล้วใจคอจะให้ฉันหลับตาคุยกับคุณไปถึงเมื่อไหร่กัน เดี๋ยวคนเขาหาว่าฉันเพี้ยนแย่”
“ไม่มีใครกล้าว่าเราหรอก” วรุณรักษ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ถ้าช้องนางอยู่กับเขาแล้วใครก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าร้ายหญิงสาวทั้งนั้น “ขอโทษที่พี่เห็นแก่ตัว...อยากเห็นหน้าเราตอนนี้”
“ถ้าฉันลองลืมตา...คุณว่าเราจะตายจริงๆ เหรอ” ช้องนางถามแล้วเม้มปากแน่น ถามว่ากลัวตายไหมก็กลัว แต่เธอก็อยากเห็นหน้าวรุณรักษ์เหมือนกัน
“พี่ไม่กลัวตาย ถ้าเราอยาก...”
“งั้นไม่เอา” ช้องนางตัดสินใจได้ก่อนที่วรุณรักษ์จะพูดจบ ศีรษะทุยส่ายแรงๆ จนผมยาวของเธอปลิวสะบัด “ฉันไม่ได้อยากรีบตาย”
วรุณรักษ์ฟังคำพูดของช้องนางแต่ละคำแล้วได้แต่ยิ้มขัน มันเขี้ยวหญิงสาวขึ้นมาติดหมัด จนอดไม่ได้ที่เอื้อมมือไปหยิกพวงแก้มนิ่มของหญิงสาว
“โอ๊ย! หยิกฉันทำไมเนี่ยคุณ”
“ก็ดูที่เราพูดสิ ไม่ให้พี่หยิกได้เหรอ”
“ฉันไม่มีพี่ เป็นลูกคนเดียว ไม่ต้องมานับญาติ” ความปากไวของช้องนางไม่สามารถทำให้วรุณรักษ์เคืองหญิงสาวได้ แม้ว่าคำพูดของเธอจะร้ายกาจเพียงใดก็ตาม
“ก็ไม่ได้อยากเป็นพี่เสียหน่อย” เสียงทุ้มที่ยังนุ่มละมุนไม่เปลี่ยนของวรุณรักษ์ทำให้พวงแก้มของช้องนางเห่อร้อน และไม่ใช่เพราะโดนชายหนุ่มหยิกเบาๆ เมื่อกี้ แต่เป็นเพราะคำพูดเรียบๆ ที่เอ่ยออกมาอย่างจริงใจเมื่อครู่ของวรุณรักษ์ต่างหาก
“โอ๊ย เลิกกวนประสาทฉันสักทีได้ไหมคุณ” ช้องนางแสร้งฟึดฟัดเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขิน ริมฝีปากอิ่มยื่นออกมาเหมือนทุกครั้งที่โดนขัดใจ “ถ้าไม่มีวิธีแก้ปัญหาดีๆ ก็ไปให้พ้นหน้า เสียเวลาทำมาหากิน”
“พี่อุตส่าห์รีบเอามือถือมาคืนนะ ใจคอจะไล่กันแบบนี้จริงเหรอ”
“แล้วคุณจะให้ฉันหลับตาคุยกับคุณแบบนี้ต่อไปถึงเมื่อไหร่” ช้องนางหน้าง้ำยิ่งกว่าเดิม ถึงการหลับตาคุยกับวรุณรักษ์จะไม่ได้ลำบาก แต่เธอก็ไม่อยากทำตัวพิลึกกลางห้างแบบนี้นะ “ฉันก็พอมีคนรู้จักนะคุณ เกิดใครผ่านมาเห็นคงว่าฉันเป็นบ้า”
“คนเราน่ะ อยากพูดอะไรเขาก็พูด ต่อให้เราระวังตัว แต่ถ้าเขาอยากจะนินทาเราก็ทำอะไรไม่ได้” วรุณรักษ์พึมพำ ทว่าดวงตากลับกวาดมองรอบตัวของพวกเขาด้วยความระแวง หากช้องนางกังวลว่าจะมีคนนินทาเธอ เขาก็คงต้องยอมตามใจหญิงสาว แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ความต้องการของเขาก็ตาม
“ก็จริง” ช้องนางชินชาแล้วกับการโดนนินทา ก่อนหน้านี้เธอก็มักจะถูกพูดถึงในฐานะคนสวยแต่ไม่มีใครเอา ก่อนจะถูกเปลี่ยนเมื่อเช้านี้จากคนที่ไม่มีใครเอา มาเป็นสาวปาร์ตี้ที่เมาแล้วขับจนโดนจับ พอคิดมาถึงตรงนี้แล้วคิ้วงามของช้องนางก็ขมวดแน่น หญิงสาวเงยหน้าขึ้น หากตอนนี้เธอลืมตาได้ ดวงตาของช้องนางคงจะวาววับเพราะโทสะ
“ฉันมีเรื่องจะถาม แล้วคุณก็ห้ามโกหกฉันเด็ดขาด”
“พี่ยังไม่มีแฟน” วรุณรักษ์ชิงบอกก่อนที่ช้องนางจะมีโอกาสได้เอ่ยถามเขาเสียอีก ทำตัวประหนึ่งคนที่มีชนักติดหลัง “โสด...ไม่มีแฟนเก่าด้วย”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นย่ะ! ให้ฉันถามก่อนสิ” ช้องนางคลำไปจนเจอแผงอกกว้างของวรุณรักษ์ ก่อนจะหยิกหมับเพราะความหงุดหงิดและรำคาญ
“ก็ได้” วรุณรักษ์ผิดหวังเล็กน้อยที่ช้องนางไม่ได้อยากรู้ว่าเขาโสดหรือไม่โสด แต่พอโดนหยิกชายหนุ่มก็ทำเพียงกุมมือที่ประทุษร้ายร่างกายเขาไว้หลวมๆ กดมันไว้เหนือหัวใจแล้วมองช้องนางอย่างรอคอย
“ถามมาสิ เราอยากรู้อะไรล่ะ” “เมื่อวานนี้คุณดื่มเหล้าใช่มั้ย”
“หืม?”
“เมื่อวานนี้น่ะ คุณดื่มเหล้าใช่มั้ยล่ะ” คราวนี้น้ำเสียงที่ช้องนางใช้มีแววปรักปรำเต็มที่ มือที่วรุณรักษ์กุมไว้ก็ออกแรงบีบมือหนากลับ จิกเล็บยาวๆ ของเธอลงบนอุ้งมือของชายหนุ่มเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ตามประสา
“ฉันรู้นะ เพราะคุณคนเดียวฉันเลยโดนจับข้อหาเมาแล้วขับ”
วรุณรักษ์หลับตาลง เม้มปากแน่นกับตัวเองอย่างสะท้อนใจ หลังรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมเมื่อวานนี้เขาดื่มไวน์ไปถึงสองขวด แต่ไม่เมา ที่แท้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ซัดเข้าไปมันไปตกกับคนตัวเล็กนี่เอง
“ใช่ไหม คุณวรุณ” เมื่อรออยู่อึดใจใหญ่แล้วยังไม่ได้รับคำตอบ ช้องนางจึงต้องคาดคั้นชายหนุ่ม “ฉันถามว่า...”
“พี่ขอโทษ” วรุณรักษ์ไม่เพียงเอ่ยขอโทษช้องนางเฉยๆ เขาขยับเข้ามาสวมกอดร่างเล็กแนบแน่นจนช้องนางเผลอตัวลืมตาโพลง และคงเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่วรุณรักษ์ชิงซุกหน้าลงที่ซอกคองาม ดังนั้นแม้ช้องนางจะลืมตาขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอก็ยังไม่เห็นใบหน้าคมคายของวรุณรักษ์อยู่ดี
“พี่ไม่ได้ตั้งใจทำให้เราเดือดร้อน...อย่าโกรธพี่เลยนะ” ช้องนางไม่รู้ว่าเธอจะโกรธวรุณรักษ์ได้ไหม เพราะหญิงสาวก็ไม่คิดว่าเรื่องของเขาและเธอจะพิสดารถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะเรื่องเมื่อคืน พอคิดว่าหากตัวเองเป็นคนดื่มแล้วอีกฝ่ายเป็นคนที่เมามายจนถูกจับ ช้องนางคงไม่อยากให้เขาโกรธ เพราะเธอไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันผิดเพี้ยนไปหมดจนช้องนางจับต้นชนปลายไม่ถูก และเธอเองก็เชื่อว่าวรุณรักษ์คงรู้สึกไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่นัก
“ต่อไปนี้ห้ามดื่ม” ช้องนางยกมือขึ้นโอบเอวสอบ ลืมความเกลียดชังพร้อมกับวางทิฐิของตัวเองชั่วคราว ให้นานพอที่เธอจะซุกหน้าลงกับอกอุ่นของวรุณรักษ์ได้อย่างที่ส่วนลึกในหัวใจต้องการ “ห้าม จนกว่าเรื่องเพี้ยนๆ พวกนี้จะหายไป”
“ได้สิ” ต่อให้ช้องนางไม่เอ่ยปากขอ วรุณรักษ์ก็ตั้งใจไว้แล้วว่า หากอะไรที่เขาทำแล้วช้องนางต้องเดือดร้อน เขาก็จะเลิกทำให้หมด...อย่างน้อยก็จนกว่าเขาและเธอจะหาคำตอบได้ว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับพวกเขา
“ถ้ามีเรื่องแบบเมื่อคืนนี้อีก ฉันเอาคุณตายแน่...” ช้องนางบ่นอุบชิดอกกว้างของชายหนุ่ม “ฉันจะมองหน้าคุณ ถ้าฉันตายคุณก็ต้องตาย”
“ได้” บอกแล้วว่าวรุณรักษ์ไม่กลัว หากเขาจะต้องตายพร้อมกับช้องนางดั่งในความฝัน
“ตามหาพี่นะ เมื่อไหร่ที่เราหมดความอดทน ก็ไปหาพี่...พี่จะรอ”
ร่างสูงของวรุณรักษ์นั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยประจำตำแหน่งคนขับ หลังจากที่เขาผละมาจากช้องนาง ชายหนุ่มหลับตาแน่นด้วยความอดสูในชีวิตของตัวเอง หัวใจของวรุณรักษ์เจ็บปวดไปหมดเมื่อหวนนึกถึงความฝันครั้งล่าสุดของเขา ความฝันที่ทำให้เขาไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้มาตามหาช้องนาง
มือกร้านยกขึ้นปิดหน้าตัวเองเพื่อซ่อนน้ำตา ทว่าอาการสะอึกสะอื้นจนไหล่กว้างของเขาสะท้อนขึ้นลงนั้นกลับไม่อาจเก็บซ่อนได้ สุดท้ายแล้ววรุณรักษ์ก็ลดมือที่ใช้ปิดหน้าตัวเองลง เปลี่ยนมาเป็นฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ ก่อนจะร้องไห้โฮเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก
“พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...”
เสียงคร่ำครวญที่วรุณรักษ์มั่นใจว่าไม่มีใครได้ยินแท้จริงแล้วชายหนุ่มคิดผิด
เฑียรที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับนั้นเหลือบตามองร่างสูงของวรุณรักษ์ สายตาที่กามเทพหนุ่มใช้มองมนุษย์ในความดูแลของตนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่อยากให้วรุณรักษ์ต้องมีสภาพเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก วรุณรักษ์ต้องรู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาและช้องนางต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ให้มันไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ
หลังจากโดนช้องนางตัดสายไป วรุณรักษ์ก็หลับผล็อยไปอีกครั้ง ความฝันครั้งล่าสุดเป็นความฝันที่มีเพียงเขาและช้องนางเช่นเคย และแน่นอนว่าเขายังมีช้องนางอยู่ในอ้อมแขนเหมือนเดิม ทว่าต่างกันตรงที่ครั้งนี้ช้องนางยังมีชีวิตอยู่ และเธอจ้องมองหน้าเขาด้วยสายตาเกลียดชังสุดหัวใจ ขณะที่วรุณรักษ์นั้นร้องไห้จวนขาดใจ...ร้องไห้เพราะความรู้สึกผิดที่ท่วมท้น แต่ร่างบอบบางในอ้อมแขนของเขากลับมีเพียงความรู้สึกเดียดฉันท์ที่มอบให้เขา
วรุณรักษ์ประคองช้องนางมากอดแน่น อ้อนวอนขอให้เธอเมตตาเขา...
‘พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...’
ใบหน้างดงามแหงนมองคนรัก ก่อนรอยยิ้มระโหยโรยแรงจะคลี่ออกเมื่อเธอเห็นหยาดน้ำตาของผู้ที่หักหลังเธอ หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายในกาย เพื่อยกมือขึ้นทาบซีกหน้าที่เปรอะไปด้วยหยาดน้ำตาของวรุณรักษ์ ชายหนุ่มก็ช่วยประคองมือเล็กที่เปื้อนหยดเลือดมาทาบแก้มตัวเอง หลับตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสจากคนรักของเขาด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง เพราะรู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกัน
‘พี่ขอโทษ...พี่ไม่ได้ตั้งใจ’
‘น้องขอสาบาน...’
เสียงกระซิบแผ่วนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องลดใบหน้าลงไปหาริมฝีปากงาม ที่กำลังขยับพูดด้วยความพยายามครั้งสุดท้าย
‘ไม่ว่าชาตินี้หรือว่าชาติไหน...น้องจะไม่ขอพบกับคนทรยศอย่างพี่อีก...น้องขอให้พี่ทุกข์อย่างน้อง เจ็บอย่างน้อง...อึก...ทรมานเหมือนอย่างที่พี่ทำกับน้อง...’
‘ไม่...อย่าทำแบบนี้กับพี่...’ วรุณรักษ์ส่ายศีรษะ ต่อต้านคำอธิษฐานครั้งสุดท้ายของคนรักของตน แม้จะรู้ว่าไร้ประโยชน์ ก่อนจะกู่ร้องด้วยความแค้นใจที่หญิงสาวไม่รั้งรอที่จะฟังคำอธิบายของเขา
‘น้องจะสาบาน สาปแช่งเราเช่นนี้มิได้ช้องนาง!’
‘พอแล้ว...คนชั่วอย่างพี่ น้องเจอเพียงชาติภพเดียวก็พอแล้ว...หากต้องพบกันอีก น้องขอยอมตาย...’ แม้เสียงหวานจะอ่อนระโหยโรยแรง แต่ช้องนางกลับยังทำร้ายหัวใจของวรุณรักษ์ให้ย่อยยับกว่าที่เป็นอยู่ได้ เหมือนกับว่าการที่เขาต้องเห็นคนที่เขารักตายตกไปต่อหน้าต่อตานั้นยังไม่สาแก่ใจเธอ
‘หากชาติหน้ามีจริง...น้องขอไม่รักคนอย่างพี่อีก...’
วรุณรักษ์ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูนด้วยความโกรธ เมื่อคนรักเอ่ยคำสัตย์สาบานว่าจะไม่รักเขาอีกไม่ว่าจะภพชาติไหน แม้แต่จะเจอหน้าเธอก็ไม่ขอพบเจอเขา
ช่างใจร้ายกับพี่เสียจริงหนาเจ้าเอย...
ท่ามกลางความเสียใจ ความโกรธ และความสับสน วรุณรักษ์ก็เอ่ยสิ่งที่จะทำให้เขาและหญิงสาวต้องเสียใจไปด้วยกันอีกนานแสนนานออกมา...
‘น้องเอ่ยสาบานอย่างไรพี่ก็คงไม่อาจห้าม...’
เจ้าของเสียงห้าวนั้นเอ่ยทั้งน้ำตา ก่อนชายหนุ่มจะเอ่ยลอดไรฟัน ด้วยน้ำเสียงมุ่งร้ายและโกรธเคืองคนในอ้อมแขนอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
‘แต่หากอ้ายอี...คนใด...มันรักน้องได้ไม่เกินพี่...ก็อย่าให้มันผู้ใด...ได้เข้าใกล้ตัว...ใกล้ใจน้องเลย...’
ความคิดเห็น |
---|