7
เรารู้จักกัน...จำได้ไหม
วรุณรักษ์ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางหมอกควันและความร้อนที่แผดเผาผิวกาย ร่างสูงสำลักควันไฟเข้าปอดจนตัวโยน ทว่าในตอนนี้เขากลับไม่สามารถหยุดเท้าของตัวเองได้ เขายังคงก้าวฝ่าเปลวไฟที่โหมกระพือราวกับคลื่นทะเลอันเข้าไปยังใจกลางกองเพลิง
ท่อนแขนที่ถูกไฟเผานั้นถูกยกขึ้นมาปิดจมูก แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่วรุณรักษ์จะหายใจต่อไป แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่ละความพยายาม ร่างของเขายังเดินเข้าไปในกองเพลิง...ลึกเข้าไป...ลึกไปกว่านี้...ลึกจนไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้แล้ว ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้ เขาในตอนนี้ยังคงมีความหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะเจอสิ่งที่ตนกำลังตามหา...
ความร้อนและเปลวไฟนั้นเข้ามาใกล้ร่างกำยำของวรุณรักษ์ทุกขณะ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่แสดงความเจ็บปวด วรุณรักษ์สัมผัสได้ถึงน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม รวมถึงเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งนั้นก็เป็นเสียงของเขาเอง แต่วรุณรักษ์ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ อยู่ในทะเลเพลิงแห่งนี้เพียงลำพังอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้
แล้ววรุณรักษ์ก็รู้สาเหตุ เมื่อเห็นสิ่งที่ทำให้ต้องมาอยู่ท่ามกลางกองเพลิงแห่งนี้ ท่อนขาแกร่งที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นก้าวเข้าไปหาร่างบอบบางที่นอนหายใจรวยรินอยู่ไม่ไกล เขาประคองเธอขึ้นมาก่อนจะกู่ร้องด้วยความเจ็บปวด และเพราะประคองร่างงามเข้ามากอดไว้แน่น วรุณรักษ์จึงเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้เขาในตอนนี้เจียนจะขาดใจลง
ผู้หญิงที่เขาฝ่ากองเพลิงเข้ามาเพื่อตามหาเธอนั้นมีใบหน้าพิมพ์เดียวกับช้องนาง ราวกับเป็นคนคนเดียวกัน วรุณรักษ์ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย ร่างระหงในชุดตัวสวยนั้นนอนนิ่ง เปลือกตาปิดพริ้มหลับคล้ายคนที่อยู่ในห้วงนิทรา ทว่าเมื่อมือของเขาคลำไปสัมผัสมีดที่ปักอยู่กลางแผ่นหลังเล็ก วรุณรักษ์ก็แทบสิ้นสติ
เป็นอีกครั้งแล้วที่เขามาช้า...เขาพบเธอช้าไปอีกแล้ว...
วรุณรักษ์ที่น้ำตานองเต็มใบหน้าประคองร่างไร้สติของหญิงสาวเข้ามากอด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสับสน แต่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ ชายหนุ่มในตอนนี้ทำได้เพียงร้องไห้อย่างคนที่อับจนปัญญา กดจูบไปตามผิวนวลของหญิงสาว ไม่สนว่าทั้งเขาและเธออยู่ในกองเพลิงทีไม่สามารถเอาชีวิตรอดออกไปได้แน่ แม้จะพยายามเพียงใดก็ตามที
ทว่าเขาในตอนนี้กลับรู้สึกยินดี เขาในร่างนี้รู้สึกมีความสุข ที่อย่างน้อยเขาก็สามารถอยู่กับผู้หญิงที่เขารักในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้ หลังจากที่พยายามตามหาเธอมานานเหลือเกิน
“คนดีของพี่...อย่ากลัวเลยเจ้าเอย...” ริมฝีปากแห้งผากของวรุณรักษ์กระซิบบอกคนในอ้อมแขน หยาดน้ำตาของเขาร่วงกระทบเปลือกตาสีมุกของหญิงสาว เรียกสติของเธอให้กลับคืนมาได้เล็กน้อย
“ใคร...” เสียงนั้นแผ่วเบาเหลือเกิน แต่กลับทำให้วรุณรักษ์น้ำตาไหลอีกครั้งด้วยความยินดี ครานี้เขาพบเธอทั้งที่มีลมหายใจ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ไม่สำคัญ
“นี่ใคร...”
“พี่เองเจ้าเอย...” วรุณรักษ์กระซิบบอกคนในอ้อมแขน ประทับจูบหนักๆ บนหน้าผากมนของผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ “สามีของเจ้า”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะฟังคำพูดสุดท้ายของเขา ร่างเล็กของเธอก็กระตุกเฮือก สูดหายใจครั้งสุดท้ายที่มีแต่ควันไฟอันแสบร้อนเข้าปอด ดวงตากลมโตที่มีแต่หยาดน้ำตานั้นเบิกโพลง มองตอบเจ้าของอ้อมกอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนิ่งงัน...สิ้นใจในอ้อมกอดของวรุณรักษ์
วรุณรักษ์มองดวงหน้างามนั้นเนิ่นนาน เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปเมื่อผู้หญิงที่เขารักจากไป ความรู้สึกของชายหนุ่มด้านชา ไม่สนใจว่าร่างกายของเขาและเธอจะโดนเผากลางทะเลเพลิงแห่งนี้
อย่างน้อยเขาและเธอก็จะได้จากโลกใบนี้ไปพร้อมกัน อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องทนอยู่บนโลกนี้ต่อไปอย่างเดียวได้ เขาได้จากไปพร้อมกับเธอ...ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของหัวใจของเขา...ภรรยาของเขา...
การมองเห็นของวรุณรักษ์เริ่มเลือนราง ชายหนุ่มรู้ดีว่านั่นหมายความว่า วาระสุดท้ายของตัวเองใกล้มาถึง ทว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขา เขาบรรจงวางร่างงดงามของภรรยาของตัวเอง จับให้เธอหันหน้ามาหาเขา ก่อนจะเอนกายลงนอนข้างเธอ จ้องตาที่เบิกโพลงคู่นั้น เพราะดวงตาคู่นี้ของภรรยาเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นเป็นสิ่งสุดท้าย...
หากมองเลยร่างไร้วิญญาณของภรรยาเขาไปไม่ไกล...ถ้าพยายามมองผ่านม่านน้ำตาออกไป ชายหนุ่มจะเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับชายหญิงรูปโฉมงดงามสองคน กำลังร่ำไห้อยู่กลางกองเพลิงเคียงข้างพวกเขา ทว่าร่างกายของทั้งคู่กลับไม่มีส่วนไหนต้องฤทธิ์ของเปลวเพลิงเลย ไม่ว่าผมหรือเสื้อผ้าของทั้งคู่ ทุกสิ่งยังอยู่สมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ก่อนเสียงร่ำไห้ของฝ่ายหญิงจะดังเข้ามาในโสตประสาทที่ใกล้ดับของวรุณรักษ์
“ช่วยเขาสิเฑียร...ช่วยพวกเขาสิ...”
“เรามิอาจทำสิ่งใดได้แล้วยุพดี...ตัดอกตัดใจเสียเจ้า...”
วรุณรักษ์ผวาตื่นจากฝันร้ายอีกครั้ง พร้อมกับความทรมานและอาการคล้ายคนที่ขาดอากาศหายใจ ร่างสูงพลิกตกลงมาจากเตียงกว้างทั้งที่เหงื่อกาฬโซมกาย เหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายอย่างหนัก แต่วรุณรักษ์รู้ตัวว่าเขาไม่ได้ไปออกกำลังกายที่ไหนมา ชายหนุ่มอ้าปากพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุดเพื่อทดแทนช่วงเวลาในความฝัน ที่เขาต้องสำลักฝุ่นควันจนสิ้นใจตายเคียงข้างผู้หญิงที่เขาเรียกเธอว่าภรรยา
เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่ แต่วรุณรักษ์กลับจนปัญญาที่จะหาวิธีแก้ ฝันร้ายของเขามันจะเป็นเพียงความฝันจริงหรือเปล่าเขายังไม่แน่ใจเลย หากเขาเล่าเรื่องนี้ใครฟัง...เล่าถึงความฝันที่มีแต่ความเศร้าและการจากลาของเขาและช้องนางให้ใครฟัง วรุณรักษ์แน่ใจว่าเขาต้องโดนหาว่าเป็นโรคจิตหรือไม่ก็บ้า ที่เพ้อหาช้องนางขนาดที่เก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะ
แต่เขาจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ หากว่าเขาต้องฝันถึงความตายของช้องนาง หากเขาต้องทนเห็นเธอสิ้นใจในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งเดียว วรุณรักษ์คิดว่าเขาต้องเป็นบ้าไปจริงๆ แน่ แค่ฝันน่ะใช่...แต่ความเจ็บปวดแต่ละครั้งที่กอดร่างไร้วิญญาณของช้องนางในความฝันน่ะเป็นของจริง วรุณรักษ์สัมผัสได้
ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจของเขาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยยังคงอยู่ มันไม่ได้หายไปเหมือนฝันร้ายเหล่านั้นเมื่อเขาลืมตา เปลือกตาหนาปิดลงเผื่อว่ามันจะช่วยดับความเจ็บปวดที่ทำให้วรุณรักษ์ชาไปทั้งทรวงอกได้ ทว่ากลับไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเขาจะหลับตาแน่นสักเพียงไหน จะร้องไห้ฟูมฟายออกมาเหมือนดั่งในความฝันเพียงใด เขาก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี
สิ่งเดียวที่ต่างจากความฝันคือ ตอนนี้เขายังหายใจ ทั้งเขาและช้องนางต่างยังมีลมหายใจอยู่ และเขากับเธอตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกันไปมากกว่าคนที่รู้จักกันเพียงแค่ชื่อ
ดวงตาคมที่เปียกชื้นเพราะหยาดน้ำตานั้นค่อยๆ เคลื่อนไปยังรูปที่แขวนอยู่ภายในห้อง วรุณรักษ์รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เขาคุ้นเคยกับรูปนี้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก
เธอคือคนที่เขารัก...
ช้องนางในรูปนี้กับคนรักของเขาที่อยู่ในความฝันครั้งล่าสุดนั้นเหมือนกันแทบทุกอย่าง ทั้งชุดที่เธอสวมและดวงตาหม่นหมองที่มีแต่ความเศร้าคู่นี้ เหมือนกับในความฝันที่เขาเพิ่งจากมา เว้นแต่มีดที่ปักอยู่บนแผ่นหลังงามของหญิงสาวเท่านั้นที่หายไป
ร่างสูงที่ยังสวมชุดนอนนั่งพิงปลายเตียง แหงนหน้ามองรูปของช้องนางอยู่นานสองนาน และไม่มีท่าทีว่าจะละสายตาไปที่ไหนเลย วรุณรักษ์มองรูปวาดตรงหน้าอยู่อย่างนั้น มองดูฝีพู่กันและรายละเอียดการลงสีทุกเส้นบนผืนผ้าใบนี้...มองมันเหมือนอย่างที่เขามองหน้าภรรยาของเขาครั้งสุดท้ายในฝัน ดวงตาสวยคู่นี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่วรุณรักษ์ต้องการมอง
“นี่มันบ้า...บ้าสุดๆ”
กริ๊ง!
เสียงเรียกเข้าของมือถือที่ไม่ใช่ของวรุณรักษ์นั้นทำให้ชายหนุ่มจำต้องละสายตาจากรูปวาดของช้องนาง แล้วหันหน้าไปยังต้นเสียงซึ่งเป็นกระเป๋าถือที่หายวับมาโผล่ที่บ้านเขาเมื่อคืนนี้ วรุณรักษ์หยัดกายลุกเดินไปยังโซฟายาวในห้องนอนของตัวเอง เปิดกระเป๋าเจ้าปัญหานั้นแล้วหยิบมือถือที่ส่งเสียงไม่หยุดออกมารับสาย โดยไม่สนใจมารยาทเป็นครั้งแรก
ทันทีที่ได้ยินเสียงที่ดังลอดลำโพงออกมา ท่อนขาวรุณรักษ์ก็ไร้เรี่ยวแรงในบัดดล ร่างสูงชะลูดของเขาทรุดลงบนโซฟาข้างกระเป๋าถือใบเดิม ก่อนชายหนุ่มจะยกมือปิดปากพยายามซ่อนเสียงสะอื้นของตัวเองไว้สุดกำลัง
เสียงนี้แม้จะเกรี้ยวกราดกว่าเสียงในความฝันของวรุณรักษ์ ทว่าชายหนุ่มกลับจำมันได้ขึ้นใจ
“ใคร!”
เป็นช้องนางของเขา...เป็นเธอจริงๆ
“ฉันถามว่านั่นใคร! แล้วมือถือฉันไปอยู่กับคุณได้ยังไง! ฮ้า!”
“...”
“ฮัลโหลๆ ได้ยินที่ฉันพูดมั้ยเนี่ย” เสียงแหลมนั้นแหวมาตามสาย บอกถึงอารมณ์ที่เริ่มไต่ระดับขึ้นของเจ้าตัว “ฉันถามว่านั่นใคร! ได้ยินมั้ย...”
“พี่เอง” วรุณรักษ์เอ่ยแทรกเสียงแหลมของช้องนาง เสียงทุ้มลึกของเขาสั่นเครือเพราะการร้องไห้อย่างหนัก ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความฝันเลยสักนิด
เสียงหอบหายใจจากปลายสายนั้นดังเสียจนวรุณรักษ์เห็นภาพหญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดตัวเอง ช้องนางคงจะตกใจและคาดไม่ถึงที่มือถือของเธอมาอยู่ที่เขาแน่ๆ ซึ่งนั่นเป็นเพียงความคิดของวรุณรักษ์...
ผิดกับความจริงที่มืองามของช้องนางซึ่งจับโทรศัพท์บ้านแนบหูตัวเองนั้นสั่นระริก เมื่อได้ยินเสียงที่ตอบกลับมาจากปลายสายชัดเจน...เหมือนชายหนุ่มมาพูดข้างๆ หูของเธออย่างไรอย่างนั้น ดวงตากลมโตเหมือนกวางของช้องนางพลันเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา เธอไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในความฝันคืนที่ผ่านมา เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนตระกองกอดเธออยู่ท่ามกลางกองเพลิง เธอไม่เห็นหน้าเขา...แต่เธอจำเสียงเขาได้...
“พี่เองช้องนาง...พี่เอง...”
เป็นเขาแน่ๆ เสียงแบบนี้ต้องเป็นคนคนเดียวกันแน่
“พี่เอง...วรุณรักษ์”
“ไม่!” ช้องนางตะโกนโต้ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด ก่อนจะกระแทกหูโทรศัพท์บ้านเพื่อตัดสาย สองครั้งแล้วที่เธอได้ยินเสียงนี้ ครั้งแรกเธอเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาก่อนเขาจะฆ่าตัวตายตามผู้หญิงที่เขารัก ส่วนครั้งที่สอง...เธอเจ็บตัวเพราะบาดแผลที่กลางหลังและจวนจะสิ้นสติท่ามกลางกองเพลิงอยู่แล้ว ทว่าเธอก็ได้ยินเสียงของเขาก่อนจะสิ้นใจ
เสียงที่ปลอบประโลมเธอ...เสียงที่บอกให้เธออย่ากลัว...เสียงที่กระซิบบอกว่าเขาเป็นสามีของเธอ...
“เป็นไปไม่ได้...” ช้องนางกระซิบบอกตัวเอง ศีรษะทุยสวยนั้นส่ายแรงๆ ไปมาเพื่อย้ำกับตัวเองอีกครั้ง “ก็แค่ความฝัน...มันต้องเป็นความฝันสิ ก็แค่ฝันร้ายเท่านั้น”
ช้องนางร้องไห้ออกมา ทว่าไม่ได้ฟูมฟายเหมือนในความฝัน เพราะเธอไม่ได้กลัวที่จะต้องตายเพียงลำพังท่ามกลางกองเพลิง แต่เธอร้องเพราะความเสียใจ...เธอร้องเพราะไม่ต้องการพบหน้าผู้ชายในฝันของเธอ ซึ่งเป็นเรื่องตลกร้ายสิ้นดี...
ผู้ชายในฝัน...คิดแบบนี้แล้วก็ถือว่าไม่เลวเลย ทว่าเมื่อคิดว่าความฝันทั้งสองครั้งที่เธอพบกับเขาและเธอต้องลงเอยด้วยการตายโหงทุกครั้ง ช้องนางก็อยากหนีวรุณรักษ์ไปให้ไกล แต่ก่อนอื่นเธอขอทุ่มเขาแรงๆ ด้วยกระถางธูปสักทีเป็นการเอาคืน จากนั้นเธอจะหนีเขาไปให้ไกล เอาแบบว่าชาตินี้ทั้งชาติเธอไม่ต้องพบหน้าเขาอีกเลยยิ่งดี
อุตส่าห์ไปทำบุญล้างซวยมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ทำไมถึงหนีผู้ชายคนนี้ไม่พ้นสักที...มันทำไมนักนะ เธอละอยากรู้จริงๆ ว่าตกลงมันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกับชีวิตอันสมบูรณ์แบบของเธอ!
เช้านี้ช้องนางตื่นมาพร้อมกับข่าวที่ว่าเธอโดนตำรวจจับด้วยข้อหาเมาแล้วขับ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในชีวิตคนที่ถือศีลห้าอย่างเคร่งครัดอย่างเธอ และแน่นอนว่ามันจะทิ้งรอยด่างพร้อยเอาไว้บนความสมบูรณ์แบบของคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกอย่าง ช้องนาง เทวารักษ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้เด็ดขาด!
“เมื่อคืนลูกเมาช้อง” น้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจนั้นเป็นของอัศวิน ผู้ที่ไปรับบุตรสาวกลับมาจากโรงพักเมื่อคืนนี้ด้วยตัวเอง “กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”
“ไม่จริงค่ะคุณพ่อ” ช้องนางค้านเสียงแข็ง ไม่มีทางที่เธอจะเมาเด็ดขาด เมื่อคืนนี้เธอดื่มแต่น้ำอัดลมเท่านั้น “หนูมั่นใจว่าหนูไม่ได้เมา มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“แล้วหนูไปโผล่ที่โรงพักได้ยังไงกันล่ะลูก” เทวีนั้นแม้ไม่เชื่อว่าบุตรสาวของตนจะเมามายจนไร้สติ ทว่าหลักฐานทุกอย่างยืนยันเช่นนั้นแล้ว เธอก็จนใจที่จะเถียง “เมื่อคืนนี้ถ้าแม่ไม่เห็นกับตาแม่ก็คงไม่เชื่อ แถมหนูยังทำกระเป๋าหายทั้งใบด้วย”
“พ่อไม่ว่าหรอกนะถ้าหนูจะเมา แต่เมาแล้วขับแบบเมื่อคืนรู้มั้ยมันอันตรายแค่ไหน” คราวนี้น้ำเสียงที่อัศวินใช้นั้นเข้มงวดกว่าทุกครั้ง “ต่อไปนี้หนูห้ามขับรถเองเด็ดขาด”
“แต่คุณพ่อคะ...”
“ไม่มีแต่” อัศวินตัดบทบุตรสาวของตนเป็นครั้งแรก เขารักช้องนางมากก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้เธอออกไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
“ถ้าหนูเมาแล้วเจ็บตัวหรือตายไป อย่างมากก็มีแค่พ่อกับแม่ที่เสียใจ แต่ถ้าหนูไปทำคนอื่นที่เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้เจ็บตัว ทำให้เขาตายเพราะความไม่รับผิดชอบของหนู พ่อกับแม่รับผิดชอบไม่ไหว”
“แต่ว่า...” ช้องนางอ้าปากพะงาบๆ เธอเข้าใจที่พ่อเป็นห่วงและเข้าใจสิ่งที่ท่านพูดมาดี เธอเกลียดคนเมาแล้วขับที่สุดดังนั้นไม่มีทางที่เธอจะกลายเป็นคนคนนั้นเสียเอง
“หนูไม่ได้ดื่มจริงๆ นะคะคุณพ่อ ให้หนูไปสาบานที่ไหนก็ได้”
“ถ้าหนูยังพูดแบบนี้ เราก็ไม่มีเรื่องต้องคุยกัน” ตั้งแต่อัศวินเลี้ยงช้องนางมา เรื่องอะไรเขาก็ยอมได้ แต่หากบุตรสาวไม่ยอมรับความผิดที่ตัวเองทำไว้ เขาก็ไม่อยากพูดกับคนที่ไม่รู้จักโต
“คุณพ่อ...” เสียงของช้องนางสั่นเครือ น้ำตาจวนจะไหลอยู่รอมร่อเมื่อบิดาใช้ไม้แข็งกับตน แต่จะให้เธอยอมรับได้อย่างไรในเมื่อเธอไม่ได้แตะเหล้าสักหยดจริงๆ ตอนขับรถออกมาจากงานวันเกิดของเพื่อนเธอยังมีสติอยู่ครบถ้วนดี ช้องนางจำได้แม่น
“หนูห้ามขับรถ ต่อไปจะไปไหนก็ให้คนรถไปส่ง” อัศวินยื่นคำขาด ทำให้ช้องนางต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดา เทวีก็เพียงส่ายศีรษะเบาๆ ให้เธอเป็นคำตอบ ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงลำบากใจ คนนั้นก็สามีคนนี้ก็ลูก จะให้เธอเลือกข้างได้อย่างไร
“ให้คนรถไปส่งเถอะลูก แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่หนูไม่ได้ดื่มจริงๆ นะคะ” ช้องนางน้ำตาหยดแหมะเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก “หนูพูดจริงๆ นะคะคุณแม่ คุณแม่เชื่อหนูนะคะ”
“ช้องลูก...” คุณเทวีมีสีหน้าลำบากใจ เหลือบมองสามีแวบหนึ่งก่อนจะวกกลับมาจ้องหน้าบุตรสาว “หนูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แม่เข้าใจนะลูก”
“แม่ขา...”
“แล้วถ้าหนูไม่เมา หนูก็ต้องรู้สิว่าหนูไปโผล่ที่โรงพักได้ยังไง” เทวีใช้เหตุผลกับบุตรสาว “กระเป๋าก็หาย มือถือก็หายหมด...ยังจะบอกว่าไม่เมาอีกหรือ”
“หนูไม่ได้ดื่มค่ะ ไม่ได้ดื่มสักหยดเดียว” ช้องนางยังคงยืนยันเสียงแข็ง จะถามอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง เธอก็จะตอบคำเดิม
“หนูจะบอกว่าเหล้าเบียร์พวกนั้นมันมาโผล่ในกระเพาะหนูเองหรือลูก อย่าเหลวไหลช้องนาง แม่ชักจะเหลืออดกับหนูแล้วนะ” เทวีนิ่วหน้า ไม่ดื่มแล้วจะเมาคอพับคออ่อนกลับมาบ้านขนาดนั้นได้อย่างไร
“อะ...” ช้องนางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะอ้าปากคล้ายคนที่มีเรื่องอยากจะพูด แต่สุดท้ายหญิงสาวก็เลือกที่จะเม้มปากแน่น เก็บความคิดที่แวบเข้ามาในหัวไว้กับตัวเองต่อไปเงียบๆ ทดมันไว้ในใจ
เห็นทีกระถางธูปกระถางเดียวจะไม่พอแล้วสำหรับการสั่งสอนวรุณรักษ์ให้รู้สำนึก เธอจะจุดธูปอีกสักกำใหญ่ๆ จี้หลังเขาเอาให้หายแค้น หากว่าเขาเป็นตัวการที่ทำให้เธอโดนตำรวจจับเมื่อคืนนี้ และทำให้พ่อพาลยึดรถเธอ...ถ้าเขาเป็นคนทำ เธอและเขาได้เห็นดีกันแน่
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา” อัศวินหรี่ตามองหน้างามของช้องนาง “ถ้าสารภาพพ่อจะไม่โกรธ”
“หนูไม่ขับรถแล้วก็ได้” ช้องนางผละจากโต๊ะรับประทานอาหาร ประกาศอย่างไม่ยี่หระทั้งที่เมื่อครู่ยังอ้อนวอนจะเป็นจะตายเพียงเพราะบิดาบอกว่าเธอจะไม่มีสิทธิ์ได้ขับรถเองอีกต่อไป
“ที่พ่อแม่พูดมาก็มีเหตุผล งั้นหนูไปตามหากระเป๋าหนูก่อน”
“ไหนว่าหนูจำไม่ได้ว่ากระเป๋าหายไปตอนไหนไง” เทวีท้วง ทว่าช้องนางหันมายกมือตบอกซ้ายเหนือหัวใจของตนแรงๆ สองครั้ง เป็นเชิงบอกให้มารดาเชื่อมั่นในตัวเธอก่อนว่า
“แม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ของของหนู...หนูจะตามหาจนเจอ”
“...จ้ะลูก”
ความคิดเห็น |
---|