“คุณพยาบาลคะ ฉันได้ยินว่ามีอาจารย์ชื่อเกล้าเศียรประจำอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหมคะ”
แก้วกินรีตะล่อมถามพยาบาลผู้เข้ามาดูแลแก้วกัลยา ระหว่างที่เดินนำพวกเธอสองแม่ลูกมาที่วอร์ดคนไข้ในเด็กของโรงพยาบาล
“ใช่ค่ะ คุณแม่มีอะไรกับอาจารย์หรือเปล่าคะ หรือว่าเป็นญาติ...”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากจะเปลี่ยนแพทย์เจ้าของไข้เป็นอาจารย์เกล้าเศียร รบกวนคุณพยาบาลเรียนอาจารย์ให้หน่อยนะคะ”
ก่อนจะเกิดเรื่องจนเธอต้องลาออกมา เกล้าเศียรยังทำงานที่โรงพยาบาลเก่า ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเมื่อปราณกันต์ย้ายมาที่นี่ เกล้าเศียรก็ตามมาในไม่ช้า
พวกเขาไม่ค่อยถูกกัน แต่พวกเขาทั้งคู่กลับสนิทกับเธอ
“คุณแม่มีปัญหาอะไรกับอาจารย์ปราณกันต์หรือเปล่าคะ อาจารย์ถือเป็นมือหนึ่งด้านกุมารเลยนะคะ”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่เชื่อมืออาจารย์เกล้าเศียรมากกว่า และอีกอย่างในสิทธิผู้ป่วยดิฉันมีสิทธิ์จะขอรับการรักษาจากแพทย์ได้ทุกคนไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ใช่ค่ะ งั้นเดี๋ยวจะเรียนถามอาจารย์ให้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ อืม...จะขอรบกวนคุณพยาบาลอีกสักเรื่องได้ไหมคะ รบกวนช่วยสั่งงดเยี่ยมให้หน่อย ถ้าไม่ใช่อาจารย์เกล้าเศียรและพยาบาลที่ต้องเข้ามาดูแลน้อง ขอไม่ให้ใครเข้ามาในห้องทั้งนั้นค่ะ”
“แต่อาจารย์เกล้า...”
“อาจารย์ต้องรับเคสแน่ค่ะ ถ้าคุณพยาบาลแจ้งอาจารย์ว่า...แก้วกินรี กิตติศักดิ์กุล คือญาติของคนไข้”
“งั้นถ้าได้คำตอบจากอาจารย์ จะทำตามคำขอคุณแม่นะคะ แต่ตอนนี้คุณแม่ต้องป้อนยาฆ่าเชื้อให้น้องก่อน อาจารย์กันกำชับว่าต้องให้ยาน้องทันทีที่มาถึงค่ะ” พยาบาลยื่นแก้วยาซึ่งมีหลอดยาสองหลอดอยู่ในนั้นมาให้
“ฉันจะทำตามทันทีค่ะ” แก้วกินรีไม่รีรอ เพราะอยากให้ลูกสาวได้ยารักษามากอยู่แล้ว เธอยื่นมือออกไปรับแก้วยาและยิ้มขอบคุณพยาบาลที่หันหลัง แล้วเดินออกจากห้องไป
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้ลูกได้รับการรักษาจากปราณกันต์ แต่เธอเพียงไม่อยากให้เขาเข้ามาวุ่นวายกับแก้วกัลยามากไปเท่านั้น เขากับเธอหย่ากันมาเนิ่นนาน ช่วงเวลาที่เธอปรารถนาและโหยหาเขาก็ได้หมดลงไปนานแล้ว นาทีนี้เธอสองคนแม่ลูกต้องการแค่กันและกันเท่านั้น เธอพอใจที่มีเท่านี้และไม่ปรารถนาให้มีใครอื่นเข้ามาทำลายความสุขนี้
แก้วกินรีเดินไปหย่อนสะโพกลงนั่งบนเตียงแล้วค่อยๆ ขยับลูกสาวตัวน้อยซึ่งหลับปุ๋ยไปแล้วในอ้อมแขนลงมานอนบนตัก ปากเล็กๆ มีน้ำลายไหลออกจากมุมปากเล็กน้อยเพราะก่อนหน้านี้งอแงจากอาการไม่สบายตัวและเพิ่งโดนเจาะมือมา
แก้วกัลยาเหนื่อยมาก ใจคนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกได้นอนพักผ่อน แต่ด้วยเหตุจำเป็นทำให้ต้องปลุกแกให้ตื่นเพื่อป้อนยา
“แง แง...” เสียงเล็กๆ แหบพร่าเพราะไอและไข้ขึ้นดังขึ้นได้เพียงครู่เดียวก็หยุดลงด้วยหัวนมมารดา
แก้วกินรีค่อยๆ สอดหลอดยาเข้าไปทางมุมปากเล็กแล้วค่อยๆ บีบให้ยาออกจากหลอดทีละน้อยให้เจ้าตัวเล็กกลืนลงคอไปพร้อมน้ำนม เมื่อป้อนยาจนหมดเธอก็ขึ้นไปนอนกับลูกบนเตียงและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ภายในห้องพักแพทย์ เกล้าเศียร กานตินันท์ ลืมตาขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ เขาเพิ่งปิดตาลงได้ไม่ถึงสองชั่วโมงหลังจากที่ออกเวรดึกเลตไปหลายชั่วโมงจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่พอเห็นเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอสีหน้ายุ่งๆ ก็คลายลงแล้วกดรับทั้งที่ยังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง
“ครับพี่หลิน”
“ขอโทษที่โทร. มารบกวนเวลานอนค่ะอาจารย์ พอดีพี่มีเรื่องจะรบกวนเรียนอาจารย์ค่ะ”
“ว่ามาได้เลยครับ” กรอกเสียงแล้วหาวหวอดกว้างๆ ไปอีกสองที
“วันนี้มีคนไข้เด็กอายุห้าเดือนเข้ามาด้วยอาการไข้สูง ไอ อาจารย์กันรับไว้เป็นคนไข้ในแต่ญาติอยากจะเปลี่ยนแพทย์เจ้าของไข้ ระบุเป็นอาจารย์เกล้าค่ะ” หัวหน้าวอร์ดคนไข้ในเด็กรีบเอ่ยเมื่อได้รับการอนุญาต เพราะเสียงของคนปลายสายแสดงออกถึงอาการง่วงจัด
“ผม? คนไข้หมอกันคิดจะเปลี่ยนหมอเป็นผม ล้อเล่นกันเหรอครับพี่หลิน”
เกล้าเศียรตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน เขาไม่ได้ตื่นเต้นสักนิดเพราะไม่คิดว่าเป็นความจริงด้วยซ้ำ ระหว่างเขากับปราณกันต์ถ้าให้จัดอันดับแต่ไหนแต่ไรก็มีแต่เขาที่เป็นรอง หากบอกว่าคนไข้ของเขาขอเปลี่ยนแพทย์เป็นปราณกันต์ยังเป็นไปได้มากกว่า
“พี่หรือจะกล้าล้อเล่นกับอาจารย์ เรื่องจริงค่ะ อาจารย์จะรับเคสไหมคะ พี่จะได้แจ้งคนไข้”
“เขาบอกเหตุผลไหมครับว่าทำไม”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นก็ไม่รับครับ ผมไม่อยากมีปัญหา”
ตามหลักแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแพทย์เจ้าของไข้หากไม่ใช่กรณีจำเป็น หรือแพทย์ส่งต่อคนไข้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์
“รับทราบค่ะอาจารย์ อ้อ...เดี๋ยวค่ะ ญาติคนไข้แจ้งว่าชื่อ แก้วกินรี กิตติศักดิ์กุล อาจารย์รู้จักไหมคะ”
“ชื่ออะไรนะครับ”
“แก้วกินรี กิตติศักดิ์กุลค่ะ”
แก้วกินรี กิตติศักดิ์กุล...
“กินรี!” เกล้าเศียรดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง ดวงตาที่ก่อนหน้านี้ยังถูกความง่วงงุนครอบงำอยู่ไม่น้อยเบิกกว้าง แล้วเอ่ยตอบไปอย่างหนักแน่น “รับ! ผมรับเคส!”
“งั้นพี่จะแจ้งให้ทางญาติทราบ ไม่ทราบอาจารย์จะสะดวกเข้ามากี่โมงคะ”
“เดี๋ยวนี้เลยครับ”
“ดะ...เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ”
“ครับ เดี๋ยวนี้เลย”
เกล้าเศียรไม่รอให้ปลายสายตอบอะไรกลับมาอีก เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วกระโดดพรวดพราดเข้าไปจัดการตนเองในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว มือหนาคว้าเสื้อกาวน์มาสวมและสางผมลวกๆ อีกสองสามทีก่อนจะวิ่งออกจากห้อง
แก้วกินรี กิตติศักดิ์กุล หรือกินรี พยาบาลประจำหน่วยตรวจกุมารเวชกรรม ใบหน้างดงามบวกรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตากลมโตของเธอเรียวรีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ผสานเป็นความงดงามตราตรึงใจผู้คนแต่แรกเห็นจนยากลืมเลือน เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น...ตั้งแต่วันแรกที่เจอจนกระทั่งวันนี้ก็ยังคงเป็นไม่เสื่อมคลาย
จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกันคือวันที่แก้วกินรีเข้ามาฝึกงาน เธอเป็นนักศึกษาพยาบาลที่พูดไม่เก่งแต่ยิ้มเก่ง ไม่ว่าพยาบาล แพทย์ หรือแม้แต่คนไข้ก็มักจะได้รับรอยยิ้มจากเธอมากกว่าคำพูด ในตอนนั้นเขากับปราณกันต์ต่างเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสอง ยังไม่ได้เป็นกุมารแพทย์เต็มตัว เรียกได้ว่างานยุ่งตลอดเวลา นอนโรงพยาบาลมากกว่าบ้าน เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด บ้างครั้งก็อยากจะถอนตัวไปเสียเลย แต่ก็ได้รอยยิ้มจากแก้วกินรีนี่แหละที่ทำให้รู้สึกว่าก็ยังมีอะไรดีๆ อยู่บ้าง ความอดทนที่ใกล้จะหมดจึงเหมือนได้ขุมพลังใหม่
มีครั้งหนึ่งเขาโดนอาจารย์แพทย์ตำหนิเรื่องตรวจวินิจฉัยคนไข้ไม่ถี่ถ้วนทำให้คนไข้อายุเจ็ดเดือนต้องกลับมาโรงพยาบาลซ้ำเพราะอาการแย่ลงจนเกือบช็อก วันนั้นเขาจำได้ดีทีเดียวเพราะเป็นวันแรกที่เขารู้หัวใจตนเองว่าไม่ได้แค่ชอบในรอยยิ้มของแก้วกินรี แต่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น
ขวดนมเปรี้ยวที่เธอยื่นให้เขาบนดาดฟ้าวันนั้น ทุกวันนี้ยังเป็นของล้ำค่าที่เขาเก็บรักษาไว้ในห้องนอน ถ้อยคำสั้นๆ ไม่กี่ประโยคทว่าถูกบันทึกไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
‘ผิดก็แค่แก้ตัวใหม่ ชีวิตยังไม่ได้จบวันนี้นะคะ’
‘ร้องไห้เหนื่อยจะตาย หัวเราะดีกว่านะคะ ไม่คัดจมูก’
‘ฉันพูดปลอบคนไม่เก่ง เอาเป็นว่าดื่มนี่หน่อยนะคะ เหรียญสิบสุดท้ายในกระเป๋าให้คุณเลยนะ’
แต่ช่างน่าเสียดาย เขารู้หัวใจตนเองช้าไปหน่อย ปราณกันต์ชิงแทรกซึมตัวเองเข้าไปในชีวิตและหัวใจแก้วกินรีก่อนแล้ว โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าหมอนั่นเริ่มตั้งแต่เมื่อไรและตอนไหน วันที่เขารู้ตัวว่ารัก หัวใจแก้วกินรีก็ถูกจับจองไปแล้ว เขาได้แต่เสียดายและเก็บความรู้สึกดีๆ นั้นไว้ในส่วนลึกสุดใจ
“อย่าเพิ่งไปนะกินรี อย่าเพิ่งหายตัวไปอีก”
เกล้าเศียรกระโดดลงบันไดทีละหลายขั้น นึกขอบคุณที่วันนี้เขาออกเวรเลตทำให้ไม่ได้กลับบ้าน ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์เช่นหนึ่งปีก่อนคงได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
หนึ่งปีก่อนเขารู้สึกเหมือนหัวใจอันมืดมนของตนพบแสงสว่างเมื่อได้รู้ว่าแก้วกินรีและปราณกันต์หย่ากัน เขาขับรถตามไปที่สำนักงานเขตด้วยหัวใจที่พองโตเช่นเดียวกับเวลานี้ แต่ตอนนั้นเพราะการจารจรที่ติดขัดทำให้เขาไปถึงช้าเกินไป แก้วกินรีไปแล้ว เธอไปทันทีที่จบสิ้นชีวิตแต่งงานกับปราณกันต์ ผู้ชายที่กล่าวคำปฏิญาณว่าจะรักและภักดีต่อแก้วกินรีไปจนวันตายต่อหน้าคนทั้งโรงพยาบาลตอนขอเธอแต่งงาน ผู้ชายที่ทรยศหัวใจผู้หญิงที่รักและซื่อสัตย์กับตนเพียงเพราะความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ จนเป็นข่าวฉาวไปทั่วโรงพยาบาล
“ห้องไหนครับพี่หลิน”
เกล้าเศียรหอบเล็กน้อยแต่ไม่คิดจะสนใจตัวเอง เขาอยากเจอญาติคนไข้ใจจะขาด
“หกห้าหนึ่งสองค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เป็นอีกครั้งที่เกล้าเศียรไม่คิดสนใจอะไรนอกจากญาติคนไข้ เขาวิ่งไปทางห้องที่ได้รับคำตอบจากหัวหน้าวอร์ดทันที ไม่สนแม้ว่าอีกฝ่ายจะหันไปหยิบแฟ้มคนไข้มาส่งให้แก่อากาศธาตุ
เกล้าเศียรวิ่งมาหยุดลงเบื้องหน้าห้อง ๖๕๑๒ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายหน้าห้องอีกครั้งให้แน่ใจพร้อมกับกุมหน้าอกด้านซ้ายที่เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมานอกอกได้อยู่แล้ว พลางใช้สมองครุ่นคิดถึงประโยคแรกที่จะเอ่ยกับหญิงสาวที่ไม่เจอกันมาเนิ่นนานถึงหนึ่งปีเต็ม
‘หายไปไหนมาน่ะกินรี’
หรือจะเป็น...
‘หนึ่งปีมานี้คุณเป็นยังไงบ้าง’
หรือ...
‘ใครน่ะ ญาติหรือว่าหลาน’
น่าจะขอแฟ้มประวัติจากพี่หลินมาด้วย อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่าเด็กที่เขารับเป็นแพทย์เจ้าของไข้เกี่ยวข้องกับแก้วกินรีอย่างไร และสนิทชิดเชื้อกันมากแค่ไหน
เกล้าเศียรมองเลขหน้าห้องแล้วหันไปมองเคาน์เตอร์ประจำวอร์ดอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่าเขาไม่อาจปล่อยเวลาให้เสียไปได้อีกแล้ว หัวใจเขาตอนนี้ต้องการเจอแก้วกินรีให้เร็วที่สุด
๑ ๒ ๓ ลุย...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญค่ะ” เสียงหวานใสที่หัวใจเกล้าเศียรจำได้แม่นยำดังขึ้นจากด้านในตอบรับเสียงเคาะประตูของเขา แพทย์หนุ่มสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะผ่อนออกจนสุดแล้วเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูเปิดเข้าไป
“โอ๋ๆๆๆ เจ้ายาคนดีของหม่ามี้ไม่ร้องนะคะ คนดีของหม่ามี้เก่งที่สุด อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว”
ภาพตรงหน้ายังไม่กระแทกหัวใจผู้พบเห็นเท่าถ้อยคำที่เปล่งออกมาแสดงสถานะซึ่งเกล้าเศียรเพิ่งสงสัยไปก่อนหน้า ฝีเท้าอันหนักแน่นเซเล็กน้อยพร้อมๆ กับมือที่กำลูกบิดดันประตูออกไปขนาบข้างลำตัวอย่างหมดแรง
หม่ามี้...
คำคำนี้ยังจะหมายถึงอะไรได้อีกหรือ!
“คุณพยาบาล...”
แก้วกินรีละสายตาจากร่างเล็กซึ่งกำลังเช็ดตัวลดไข้แล้วเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าของเสียงเคาะประตูที่เธอมั่นใจว่าเป็นพยาบาล แต่ไม่ใช่...
“หมอเกล้า”
“มะ...ไม่เจอกันนานเลยนะ” ประโยคที่คิดไม่ได้เอ่ย ประโยคที่เอ่ยไม่ได้คิด
เกล้าเศียรขยับสองมือของตนมากุมกันไว้เบื้องหน้า เพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ยังเหลือคลี่ยิ้มกว้างให้แก่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปี
เพื่อน...เขาคงเป็นได้เท่านี้ตลอดไปแล้วสินะ
ก้อนเหนียวๆ จุกขึ้นมาตรงลำคอจนเกล้าเศียรต้องรีบกลืนน้ำลายลงไปอย่างฝืดฝืน
“ใช่ค่ะ ไม่เจอกันนานเลย หมอเกล้าดูสบายดีและแข็งแรงกว่าเดิมนะคะ”
แก้วกินรียิ้มตอบแบบไม่หวงไมตรีเช่นเดิม เธอกับเกล้าเศียรไม่เคยมีเรื่องหมางใจกัน แต่แค่พักหลังๆ ไม่ค่อยได้คุยกันมากนักเพราะปราณกันต์ไม่ชอบ เมื่อก่อนเธอก็ไม่คิดอะไรมาก แค่เขาไม่ชอบเธอก็ไม่ทำ แต่ตอนนี้มาคิดย้อนกลับไปตอนนั้นเธอไม่น่าเป็นเช่นนั้นเลย ไม่น่าตามใจจนยอมวางทุกอย่างในชีวิตไว้บนกำมือของผู้ชายที่ไม่มีอะไรสามารถการันตีความมั่นคงสัตย์ซื่อได้ หากย้อนเวลากลับไปได้เธอจะไม่เปลี่ยนใครทั้งนั้นแต่จะเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนให้เป็นคนที่รักตัวเองมากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งปวงบนโลกนี้ จะได้ไม่ถูกสิ่งอื่นปิดหูปิดตาจนกลายเป็นคนโง่ให้ผู้อื่นสวมเขา
“หึ...ใครบอกว่าผมสบายดีและแข็งแรง เหนื่อยยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” โดยเฉพาะตอนนี้ เกล้าเศียรต่อประโยคท้ายนั้นในใจ
สำหรับเขาและแก้วกินรีที่ผ่านมาก็เป็นเพียงเพื่อน เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกรักด้วยซ้ำ คิดแล้วก็เจ็บร้าวจนต้องส่ายศีรษะแรงๆ หนึ่งทีก่อนจะก้าวขาเข้าไปใกล้มากขึ้น
“เมื่อก่อนเคยคิดว่าพอพ้นจากนักศึกษาแล้วจะสบาย แต่ไม่เลย เหนื่อยกว่าเดิมอีก แล้วหนึ่งปีมานี้หายไปไหนมา รู้ไหมทุกคนที่โรงพยาบาลเป็นห่วงกันมากเลยนะ”
“ฉันสบายดีค่ะ มีความสุขมากๆ ด้วย”
แก้วกินรีเลือกที่จะไม่พูดอะไรที่พาดพิงถึงอดีต เธออยากนึกถึงแค่ตอนนี้และอยากให้ทุกคนเห็นเพียงตอนนี้เท่านั้น
“เพราะสาวน้อยคนนี้ใช่ไหม” ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งพิศมองใบหน้าทารกน้อยที่ถูกมารดาอุ้มขึ้นมาแนบอก เขายิ่งรู้สึกเจ็บร้าวจนด้านชา
เด็กคนนี้ไม่เพียงเหมือนปราณกันต์แต่ใช่เลย ใบหน้าเล็กๆ นั้นก๊อบปี้ปราณกันต์ออกมาราวจะบอกคนทั้งโลกที่พบเห็นว่าตัวเองเป็นผลผลิตจากใคร
มิน่าเล่า...แก้วกินรีจึงขอเปลี่ยนแพทย์เจ้าของไข้และยังเจาะจงว่าต้องเป็นเขา หากคำนวณเวลาดีๆ ตอนนี้สาวน้อยคนนี้อายุห้าเดือน แก้วกินรีหย่ากับปราณกันต์ได้หนึ่งปี นั่นย่อมหมายความว่าแก้วกินรีท้องก่อนจะหย่าและเธอไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ปราณกันต์ หรือไม่ก็เพิ่งจะรู้ว่าท้องตอนที่หย่ากันไปแล้ว
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ปราณกันต์ก็โชคร้ายแล้ว
“ชื่อเจ้ายาค่ะ จากนี้ต้องรบกวนหมอเกล้าช่วยดูแลหน่อยนะคะ คราวนี้อาการไม่ค่อยดีเลย”
“ผมจะทำเต็มที่ ไม่ต้องห่วง” เกล้าเศียรหยิบหูฟังแพทย์จากในกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกมา เสียบหูฟังด้านหนึ่งไว้กับหูตนเองและยื่นส่วนปลายไปวางทาบไว้บนอกนุ่มนิ่ม “ขอละลาบละล้วงสักเรื่องได้ไหม”
“ถ้าหมอจะถามถึงพ่อของเจ้ายา ไม่มีค่ะ เจ้ายาไม่เคยมีพ่อและจะไม่มีวันมี เขาเป็นลูกของฉันคนเดียว”
“คุณยังไม่ได้แต่งงานใหม่?”
“เจ็บครั้งเดียวพอแล้วไหมคะหมอเกล้า”
แก้วกินรีเอ่ยทีเล่นทีจริง แต่เนื้อในของคำตอบนี้คือความรู้สึกนึกคิดที่จารึกไว้ในใจไปจนตลอดชีวิตที่เหลือ นับจากวันที่หย่า
“ครั้งใหม่อาจจะไม่เจ็บอีกก็ได้ อย่ามองโลกในแง่ร้ายแบบนั้นสิ บางทีอาจจะมีคนที่รอคุณอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ได้นะ”
“ถ้าเป็นหมอเกล้าเมื่อไหร่จะพิจารณา”
คราวนี้แก้วกินรีตอบเล่นๆ ของจริง ไม่ได้คิดอะไรกับคำตอบใดๆ ทว่าคนฟังกลับชะงักมือที่ถือหูฟังและเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงตาเรียวรีเพราะรอยยิ้ม
“ผม...”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ความคิดเห็น |
---|