“คุณพาเรามาที่นี่ทำไม”
แก้วกินรีไม่ยอมลงจากรถ ได้แต่เหม่อมองบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนหอแสนหวานของเธอกับผู้ชายข้างๆ แต่เธอขายมันไปแล้วเมื่อวันหย่า
“แปลกใจใช่ไหมที่มันยังอยู่”
ปราณกันต์เคลื่อนรถเข้าไปจอดหน้าเรือนหอที่ไม่เคยเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่น แค่ทำให้แก้วกินรีคิดว่ามันถูกขายไปแล้วเท่านั้น เขามองใบหน้าด้านข้างของอดีตภรรยาที่เคยคิดว่าชาตินี้เธอจะเป็นปัจจุบันของเขาไปตลอด ในใจเขาเจ็บไปพร้อมๆ กับมีความสุขลึกๆ ผุดขึ้นมา
ชายหนุ่มลงจากรถ แล้วอ้อมไปเปิดประตูให้อดีตภรรยาที่อุ้มเจ้าตัวเล็กมาตลอดทางอย่างทะนุถนอม
“ลงมาสิ ที่นี่มีผมอยู่คนเดียว” ถึงแก้วกินรีจะเอาแต่แน่นิ่งเขาก็พอรู้ว่าภายในใจของเธอคิดสิ่งใดอยู่ และเขายังรู้อีกว่าเธอจะไม่ยอมลงจากรถเด็ดขาด หากว่าเขาไม่ทำอะไรบางอย่าง...
“นี่คุณ!” แก้วกินรีตวาดแหว เมื่อลูกน้อยในอ้อมแขนถูกเขาแย่งไปอุ้มไว้เสียแล้ว
“ลงมาก่อน แล้วผมจะคืนลูกให้”
“ฉันไม่คิดว่าจะเหมาะที่ฉันจะเข้าไป คุณมีอะไรจะคุยก็ว่ามาได้เลย”
แก้วกินรีเคยสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก คนอย่างเธอไม่กลืนน้ำลายตนเอง
“ถ้าคุณไม่กลัวคนอื่นจะได้ยินก็ตามใจ เวลาย่ำค่ำแบบนี้คุณก็รู้ว่าพวกพี่ๆ น้าๆ อาๆ ทั้งหลายชอบจูงหมาจูงแมวออกมาเดินเล่นหรือไม่ก็วิ่งออกกำลังกาย ตั้งแต่วันที่คุณย้ายออกไปก็มีแต่คนสนใจเรื่องของเรา ไม่แน่นะ ไม่เกินห้านาทีคนทั้งหมู่บ้านอาจจะแห่กันมาดูเราคุยกัน ไม่ต่างจากดูอุรังอุตังแย่งฝรั่ง”
แก้วกินรีตวัดสายตาเอาเรื่องไปมองคนพูด อยากเปรียบตัวเองเป็นอุรังอุตังก็แล้วแต่สิ ทำไมต้องลากคนอื่นไปเป็นกับตัวเองด้วย และลูกสาวของเธอก็ไม่ใช่ฝรั่ง ไม่ใช่สิ่งของที่จะต้องมาแย่งกัน แก้วกัลยาเป็นสิทธิ์ขาดของเธอผู้เป็นมารดาแต่เพียงผู้เดียว
“ฉันไม่คิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันมากมายขนาดนั้น ฉันขอยืนยันว่าไม่เข้าไป”
“งั้นก็ออกมาคุยกันข้างนอก นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นในรถไม่เมื่อยคอรึไง”
“เมื่อยไม่เมื่อยก็เรื่องของฉัน เมื่อไหร่คุณจะคืนลูกให้ฉัน”
“บอกแล้วไงว่าจนกว่าคุณจะเลิกดื้อ ออกมาเถอะน่า ปิดแอร์แล้วร้อนจะตาย ลูกทำท่าจะหิวแล้วด้วย”
ปากเล็กๆ เริ่มเปิดกว้าง ขยับศีรษะเล็กควานหาหน้าอกมารดา แต่หน้าอกเขาแน่นไปด้วยมัดกล้ามเจ้าตัวเล็กจึงเริ่มทำหน้าเหยเกไม่พอใจ ดิ้นขลุกขลักทำท่าคล้ายจะส่งเสียงร้องในอีกไม่กี่วินาที
“ส่งแก้วกัลยามาให้ฉัน” คำว่าลูกมักจะทำให้เธอใจอ่อนเสมอ แก้วกินรียอมลงจากรถแล้วยื่นสองมือไปขอลูกสาวจากอ้อมแขนเขา
“ให้นมตรงนี้คงไม่ค่อยน่าดู ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว เข้าไปให้นมลูกในบ้านก่อนค่อยคุยกัน”
ปราณกันต์ตะล่อมด้วยเหตุผล ยังกอดแก้วกัลยาไว้แนบอกเพื่อเป็นตัวประกันให้มารดาเจ้าตัวเล็กยอมทำตาม เขารู้ว่าเธออยากโผเข้ามาแย่งลูกกลับไปใจจะขาด แต่ที่ไม่ทำเพราะกลัวว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้ลูกเจ็บ แก้วกินรีรักลูกเกินกว่าจะยอมให้แกเสี่ยงอันตราย เช่นที่เธอยอมมาที่โรงพยาบาลนี้ทั้งที่รู้ว่าอาจจะต้องเจอเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แก้วกินรีมีความเป็นแม่ที่เข้มข้นมาก เขาเลือกคนที่ใมาเป็นแม่ของลูกไม่ผิดจริงๆ
“ฉันขอบอกคุณตรงๆ นะปราณกันต์ ที่วันนี้เรากลับมาโผล่ในชีวิตคุณอีกเพราะเจ้ายาไม่สบาย ฉันไม่ได้มาเพื่อให้คุณเข้ามาวุ่นวายในชีวิต วันนี้ที่ฉันจะเข้าไปในบ้านของคุณเพราะเจ้ายาต้องการกินนม ไม่ใช่เพราะจะกลับเข้าไปในชีวิตคุณ”
“ผมรู้แล้วน่ะว่าคุณเกลียดผม”
“ขอบคุณที่รู้ค่ะ”
หญิงสาวไม่ปฏิเสธความรู้สึกที่มีให้อดีตสามี สำหรับเขา ให้บรรยายความรู้สึกนี้ในกระดาษเอสี่รีมหนึ่งยังไม่แน่ว่าจะพอให้บรรยายออกมาได้จนหมด เธอเดินนำเข้าไปในบ้านเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะยินยอมส่งแก้วกัลยากลับมาและไม่ยอมเดินนำเข้าไปด้วย
แก้วกินรีเดินเข้ามาตามความเคยชินในอดีต และช่างน่าแปลกที่ทุกอย่างแทบไม่เปลี่ยนไปจากอดีตแม้แต่นิดเดียว สิ่งของที่เคยวาง เคยตั้ง เคยเรียงไว้ตรงไหน บริเวณใด ทุกอย่างยังอยู่ที่เดิมเหมือนตอนที่เธอขายบ้านไป โดยไม่คิดจะขนอะไรติดตัวไปให้ย้ำเตือนถึงชีวิตครอบครัวที่ผิดพลาดสักอย่าง จึงแถมทุกอย่างในบ้านให้คนซื้อ แม้แต่เสื้อผ้าที่เคยใช้เคยซื้อร่วมกัน เขาจะทิ้ง จะบริจาค หรือเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่เลย ไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ขนาดนี้
“กุญแจยังอยู่ที่เดิม เปิดประตูสิ”
รองเท้าคู่ที่สาม ชั้นที่สอง ฝั่งซ้ายมือ...
นั่นคือที่เก็บกุญแจที่พวกเขารู้กันแค่สองคน แก้วกินรีอยากลืมเรื่องในอดีตไปให้หมดและเธอคิดว่าตนเองทำได้ดีมาโดยตลอด แต่ปราณกันต์เพียงแค่เอ่ยสั้นๆ สมองของเธอกลับประมวลคำตอบออกมาอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ย้ำเตือนว่าเรื่องราวในอดีตยังแจ่มชัดเพียงใด และนั่นทำให้แก้วกินรีรู้สึกเหมือนกำลังเดินย่ำกลับมาสู่แผลเก่าที่กลัดหนองจนกลายเป็นแผลเป็นอันใหญ่ในชีวิตไปแล้ว
แก้วกินรีสูดหายใจลึก สลัดภาพเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ก่อนจะทำใจแข็งไปหยิบกุญแจมาไขเปิดประตูบ้านท่ามกลางสายตาอ่านยากของปราณกันต์ เมื่อประตูเปิดออกไฟก็ถูกเปิดในเวลาอันรวดเร็วด้วยมือของแก้วกินรีตามความเคยชิน
“น้ำผึ้งมะนาวหวานๆ ในตู้เย็น ผมทำใหม่แช่ไว้ทุกวัน ดื่มสักแก้วก่อนค่อยให้นมไหม”
ปราณกันต์ตามมากระซิบถามชิดแผ่นหลังของคนที่ยืนนิ่งจ้องมองข้าวของภายในบ้าน เขาอยากบอกแก้วกินรีว่าอย่าตกใจกับห้องรับแขกเลย ทุกอย่างของบ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิมดั่งเช่นวันที่เธอตัดขาดจากมันไปโดยไม่เอาอะไรไปด้วยสักชิ้น เธอทอดทิ้งพวกมันไว้ตรงไหนที่ใด พวกมันก็ยังอยู่ที่นั่น ตัวเขาเองก็เช่นกัน
“ฉันไม่ดื่มของเย็น”
แก้วกินรีได้สติจากเสียงนั้น เธอเบี่ยงตัวหนีแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาเพื่อเตรียมทำหน้าที่มารดา จะได้ไปจากบ้านหลังนี้ที่ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอึดอัดและเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปีก่อนน้ำผึ้งมะนาวเย็นๆ เคยเป็นน้ำแก้วโปรดที่ไม่เคยขาดจากตู้เย็นของแต่หลังจากหย่าเธอก็ไม่แตะต้องมันอีก
“เลิกทุกอย่างที่เคยเป็นเลยสิ”
ปราณกันต์ตามมาหย่อนกายลงนั่งข้างๆ ใจที่เจ็บจุกทวีขึ้นเมื่อรับรู้ว่าความชอบความเคยชินของอดีตภรรยาถูกเปลี่ยนไปทั้งหมดเพราะเขา
“อะไรที่มันไม่ดีก็ไม่รู้จะคงไว้ทำไมนี่คะ จะคืนแก้วกัลยาให้ฉันได้รึยัง”
“ถ้างั้นอยากดื่มอะไร นมอุ่นๆ สักแก้วไหม”
ชายหนุ่มส่งเจ้าตัวเล็กที่ขยับปากน้อยๆ ควานหาหัวนมมารดาจนอกเสื้อเขาเปียกแฉะให้แก้วกินรีอย่างไม่อิดออดอีก เปลี่ยนไปก็เปลี่ยนไป เขายินดีจะทำความรู้จักแก้วกินรีคนใหม่
“ให้นมเสร็จก็จะกลับแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”
แก้วกินรีรับลูกสาวเข้าหาอก เธอสำรวจเนื้อตัวลูกรวมถึงแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิไปพร้อมๆ กับเบี่ยงตัวตะแคงข้างหลบสายตาสอดรู้สอดเห็นของปราณกันต์ ก่อนจะเปิดเสื้อให้นมลูก
เขาชอบภาพนี้ชะมัด!
ปราณกันต์ไม่พยายามใช้สายตาละลาบละล้วง เขาแค่ซึมซับในส่วนที่เธอเหลือไว้ให้มองและฝ่าเท้าน้อยๆ ของแก้วกัลยาที่พอเจ้าตัวงับหัวนมมารดาได้ก็เหวี่ยงไปมาแสดงออกถึงความยินดีเหลือล้น แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่เด็กกำพร้าอย่างเขาปรารถนาที่สุดในชีวิตก็คือครอบครัวที่สมบูรณ์ มีกันพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก แบบนี้ และต้องเป็นลูกจากผู้หญิงคนนี้ที่เขารักหมดหัวใจ
ปราณกันต์ไม่เคยบอกใครแต่ในใจเขากระจ่างดี ก่อนจะมาเป็นนายแพทย์ปราณกันต์ เขาเป็นเพียงไอ้กันเด็กที่ถูกนำมาทิ้งไว้ใต้ทางด่วน เป็นไอ้กันที่เนื้อตัวมอมแมม วันๆ ต้องขโมยของเพื่อประทังชีวิต จนกระทั่งเขาถูกส่งตัวไปที่สถานีตำรวจและถูกส่งต่อไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาจึงค่อยๆ ได้พบโลกใหม่และมีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะได้ผู้อุปการะที่คอยส่งเสียเขาจนจบแพทย์
ชีวิตเขาผ่านความเจ็บปวดมามากเกินกว่าจะสามารถให้ใครมาซ้ำรอยเดิม เขาจึงไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ เมื่อตอนที่รู้ว่ากานมณีตั้งครรภ์ ถึงจะยังไม่กระจ่างจนได้ข้อสรุป เนื่องจากการตรวจดีเอ็นเอด้วยชิ้นเนื้อจากรกซึ่งเป็นวิธีที่สามารถตรวจหาสายสัมพันธ์ได้เร็วที่สุดในทางการแพทย์ จะทำได้ต่อเมื่ออายุครรภ์สิบสัปดาห์ขึ้นไป ตอนนั้นการคาดคะเนครรภ์ของกานมณีเพียงหกสัปดาห์เท่านั้น
เขาเคยสาบานกับตัวเองว่าต่อให้พบเด็กที่ไม่ใช่ลูกถูกทอดทิ้งเขาก็จะช่วยเหลือให้ถึงที่สุด ตลอดเวลาหลายปีที่มีการมีงานทำมั่นคง เขาจึงรับอุปการะเด็กในบ้านเด็กกำพร้าไปแล้วถึงสองคน และยังส่งเงินไปสมทบช่วยเหลือสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นประจำทุกปี
จะว่าเขาโง่ก็ได้ แต่ตอนนั้นเขาเชื่อจริงๆ ว่าผู้หญิงที่นอนด้วยคืนนั้นคือกานมณี เพราะเช้าวันนั้นเขาตื่นมาพร้อมกับมีกานมณีนอนอยู่ข้างกาย ทุกอย่างไม่ได้แจ่มชัดนัก ความทรงจำที่เลือนรางทำให้เขาไม่กล้าปฏิเสธ เหมือนคนที่ในใจต่อต้านแต่กลับน้ำท่วมปากไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้นอกจากพยายามหาความจริงด้วยตนเอง
ทว่าทุกอย่างก็ตอกกลับมาว่าใช่ คนที่พยุงเขาออกจากร้าน คนที่พยุงเขาเข้ามาในห้อง คนที่เพื่อนๆ ซึ่งยังพอมีสติบอกว่ามารับเขาแทนภรรยาที่มาไม่ได้ล้วนคือกานมณี เมื่อเธอบอกว่าท้อง เขาจึงหาคลินิกที่ไว้ใจได้ทำการตรวจให้แน่ใจซึ่งเป็นที่มาของรูปที่ว่อนไปทั่วโรงพยาบาลในวันนั้น
ปราณกันต์สลัดภาพในอดีตที่ซ้อนเข้ามาทับภาพแสนประทับใจตรงหน้า เขาไม่อยากนึกถึงภาพความเจ็บปวดในอดีตอีกแล้ว อยากซึมซับภาพงดงามตรงหน้านี้นานเท่านาน
“ผมแจ้งให้พยาบาลส่งยากับของใช้ส่วนตัวลูกมากับแกร็บแล้ว อีกสักพักก็น่าจะถึง แต่ในตู้มียาลดไข้เด็ก คุณให้ยาลูกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
ตลอดทางที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก เขาสัมผัสได้ถึงความอุ่นซ่านที่กำจายออกมาจากเจ้าตัวเล็ก หนึ่งเหตุผลที่เขาขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคือให้ช่วยตรวจสอบหารถของแก้วกินรีให้ เพราะเขารู้ดีว่าอดีตภรรยาเด็ดเดี่ยวนัก หากเธอไม่ยินดีกับสิ่งใดแล้ว เธอจะหาทางหนีจากสิ่งนั้นอย่างเร็วที่สุดและไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอาจจะส่งผลกระทบกับลูก แก้วกัลยายังจำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
“ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง ฉันจะรอแกร็บ”
แก้วกินรีหันไปมองนาฬิกาที่แน่นอนว่ายังอยู่ที่เดิม เธอเองก็ร้อนใจเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างเจ้าตัวเล็กส่งกระแสความอุ่นเพิ่มขึ้นจากตอนที่ถูกแย่งไปที่โรงพยาบาล ลูกสาวเธอไข้ขึ้นอีกครั้งแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งกินยาลดไข้ไปก่อนจะออกจากวอร์ดไม่ถึงยี่สิบนาที แต่ถึงอย่างนั้นแก้วกัลยาก็ยังรับยาเพิ่มไม่ได้อยู่ดีจนกว่าจะครบสี่ชั่วโมง อีกอย่างเธอยินดีรอแกร็บ ดีกว่าใช้ยาร่วมกับลูกอีกคนของเขา
“นี่คุณคงไม่ได้กำลังคิดว่ายาในบ้านนี้เป็นของคนอื่นหรอกใช่ไหมกินรี” น้ำเสียงแก้วกินรีบอกเขาแบบนั้น
“แล้วมันไม่จริงเหรอคะ”
ปราณกันต์มีลูกกับกานมณี ถึงจะไม่รู้ว่าคลอดเมื่อไร เดือนไหน และเป็นหญิงหรือชาย แต่พวกเขาก็มีลูกด้วยกัน ถ้าในบ้านของเขามียาเด็กจะเป็นของใครได้อีก
“หึ...”
ปราณกันต์เงยหน้าหัวเราะเบาๆ อย่างขมขื่น นี่เขาควรจะบอกแก้วกินรีดีไหมว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ถ้าเขาบอกไปเธอจะตีความเจตนาของเขาผิดไปไหม จะกล่าวหาว่าเป็นเพราะเขารู้ว่าเธอมีลูกเลยโกหกเพื่อให้ได้กลับเข้าไปในชีวิตพวกเธอหรือเปล่า เรื่องนี้อย่าว่าแต่คนอื่นจะเชื่อยากเลย เขาเองยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริง
“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยก็พูดมาเถอะค่ะ แก้วกัลยากินนมจะอิ่มแล้ว ฉันไม่อยากเสียเวลา”
“หนึ่งปีมานี้คงเหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
ปราณกันต์เปล่งคำถามเสมือนสกัดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ดวงตาที่ทอดมองภาพสุดประทับใจเข้มข้นขึ้นจนเจ้าของคงรู้สึกได้ หรือไม่ก็ขัดใจกับคำถามจนต้องหันกลับมา
“ฉันไม่คิดว่าคุณลักพาตัวเราสองคนแม่ลูกมาเพื่อถามเรื่องไร้สาระ”
“ตอนท้องเจ้ายาแพ้ท้องมากไหม คลอดเองหรือผ่า ตอนคลอดเจ็บมากรึเปล่า”
อาจไร้สาระสำหรับแก้วกินรีแต่สำหรับเขามันคือสาระที่พยายามหาคำตอบจนใจเจ็บปวด ตั้งแต่ได้เจอหน้ากันอีกครั้งไม่เคยมีนาทีไหนที่เขาไม่คิดเรื่องพวกนี้ กระทั่งตอนนี้ในสมองของเขาก็มีแต่ภาพความลำบากยามไร้เขาคอยอยู่เคียงข้างตามที่เคยให้สัญญากัน
นัยน์ตาปราณกันต์แดงก่ำเมื่อพิศมองใบหน้าอดีตภรรยาชัดๆ แก้วกินรีขณะนี้แลดูบอบบางขึ้นแต่ก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน ใบหน้างดงามตอบลงอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรมาไม่ทันจะถึงหกเดือน คิ้วคมเข้มทั้งสองข้างที่ไม่ได้เขียนสีใดๆ เพิ่มเติมขมวดเข้าหากัน ดวงตาส่องประกายความแน่วแน่ทว่าอ่อนล้าอย่างชัดเจน จมูกโด่งที่ปลายเชิดรั้นมันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามัวพะวงกับลูกจนลืมดูแลตัวเอง ริมฝีปากซีดไร้ความอิ่มน้ำเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ
“ตอนท้องมีของบำรุงดีๆ กินไหม มีคนคอยนวดให้ตอนเป็นตะคริวหรือเปล่า ตอนเจ็บท้องใครเป็นคนพาไปหาหมอ ตอนแจ้งเกิดใครทำให้ เคยคิดถึงคนคนนี้บ้างไหม”
“นะ...นั่นไม่เกี่ยวกับคุณ”
แก้วกินรีคิดว่าตนเองหนักแน่นพอ เมื่อเจอเขาอีกครั้งจะไม่รู้สึกใจสั่นอีกแม้แต่น้อย แต่พอได้ยินถ้อยคำพวกนี้ หัวใจที่แน่นิ่งไปแล้วถึงหนึ่งปีก็เหมือนถูกกระชากออกมาเหวี่ยงลงบนพื้นซ้ำอีกครั้ง
“เสื้อผ้าลูกมีเพียงพอไหม ใครช่วยซักช่วยรีด ใครช่วยอุ้มตอนกลางคืน ใครช่วยดูแลตอนป่วย ตอนจะกินข้าวตอนอึตอนฉี่ใครเปลี่ยน ใคร...”
“พอเถอะปราณกันต์ อย่าพูดอีกเลย”
แก้วกินรีไม่อาจทนฟังได้อีกแล้ว เขาจะถามทำไมในเมื่อย่อมรู้แก่ใจดีว่าไม่มีใครช่วยทั้งนั้น ตอนแพ้ท้องก็ต้องอดทนคนเดียว ตอนไปหาหมอก็ไปเพียงลำพัง ตอนท้องแก่ตะคริวกินกลางดึกก็ได้แต่ลุกมาบีบนวดทั้งน้ำตาท่ามกลางความเดียวดายเพราะไม่อยากรบกวนบิดา ตอนเจ็บท้องคลอดร้องไห้แทบตายก็มีเพียงตนเองที่ต้องกัดฟันทน ตอนลูกเกิดมาเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง ฝืนไปได้วันต่อวันก็ด้วยความรักจากลูกเป็นแรงใจให้ชีวิต
ไม่คิดถึงเขาหรือ...ปราณกันต์ เธอคิดถึงเขาเป็นร้อยเป็นล้านรอบ แต่คิดถึงไปก็ไม่เคยช่วยอะไรมีแต่ยิ่งเจ็บปวด จนเธอค่อยๆ เคยชินกับความเจ็บปวดจนด้านชาและค่อยๆ สลัดเขาออกไปอย่างยากเย็น ความรักมันก็เหมือนรอยปากกาที่เขียนลงบนหัวใจ ยิ่งพยายามลบเลือนเท่าไรก็ยิ่งฉีกขาดและเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้น แล้ววันนี้เขาจะมาพูดเรื่องพวกนี้ทำไม
“คุณจะไปไหน” ปราณกันต์ผุดลุกทันทีเมื่อเห็นแก้วกินรีน้ำตาร่วงเผาะและลุกขึ้นยืน
“ฉันไม่รู้ว่าที่คุณกำลังพยายามทำอยู่เพื่ออะไร แต่โปรดรู้เอาไว้ เราไม่ได้ลำบาก ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ เราไม่ได้น่าสมเพชขนาดนั้น เราอยู่กันได้มาตั้งแต่วันที่เหลือแค่กันและกัน และจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป”
“แม้ว่าผมจะขอโทษ จะขอร้องให้คุณให้โอกาสอีกสักครั้งก็ไม่ได้เลยใช่ไหม”
“คุณไม่คิดว่ามันช้าไปหน่อยเหรอปราณกันต์ ตอนที่ฉันร้องไห้เรียกร้องหาคุณ คุณอยู่ไหน วันที่ฉันเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจตาย คุณทำอะไรอยู่ วันนี้ฉันลุกขึ้นมาแล้ว ฉันหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนั้นแล้ว คุณยังจะดึงฉันกลับไปอีกทำไม ถ้าคุณรู้สึกผิดและอยากชดเชยให้เราก็ปล่อยเราไป อย่าเจาะเจอกันอีก หรือไม่ต่อให้เจอก็ทำเหมือนไม่รู้จักกัน”
ในอดีตก็เป็นเพราะประโยคนี้ที่ทำให้เขาตัดสินใจปล่อยเธอไป
‘ถ้ายังเหลือความรักและความสงสารต่อกันสักนิด ก็ปล่อยฉันไปเถอะปราณกันต์ อย่าให้ฉันต้องเห็นหน้าเด็กที่จะเป็นหนามยอกอกไปตลอดชีวิตเลย’
แก้วกินรี คุณอาจจะหาว่าผมเห็นแก่ตัว แต่ครั้งนี้ผมปล่อยคุณไปไม่ได้จริงๆ
ปราณกันต์เบือนหน้าหนีปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาแล้วปาดทิ้งโดยไม่ให้อดีตภรรยาเห็น
“งั้นก็ได้ แต่ตอนนี้ดึกแล้วและลูกก็กำลังไข้ขึ้น พาลูกไปอาบน้ำลดไข้ก่อน เดี๋ยวผมจะโทร. ให้ช่างมาเอารถของคุณไปซ่อมแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้เขาเอามาส่งที่นี่ คืนนี้คิดเสียว่ามานอนโรงพยาบาลเพื่อให้หมอรักษาเจ้ายาให้หายก็แล้วกัน”
“อย่าให้มันต้องลำบากเลยค่ะ รถแท็กซี่มีมากมาย ฉันจัดการเองได้ เอ๊ะ…คุณจะทำอะไร” แก้วกินรีถอยร่นแต่ยังช้ากว่าอ้อมแขนที่โอบเข้ามาช้อนเธอขึ้นอุ้ม
“ถึงยังไงเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผม ขอให้ผมได้ดูแลเขาสักครั้ง หรือไม่ก็ถือเสียว่าหมอกำลังช่วยดูแลคนไข้เถอะนะ”
ปราณกันต์ออดอ้อนน้ำเสียงอ่อนโยนและกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ก่อนขยับขาก้าวเดินขึ้นไปด้านบน ทุกย่างก้าวเสมือนเหยียบย่ำลงบนหัวใจ ย้ำเตือนถึงความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว จากนี้ไปคงไม่ใช่หนทางที่ง่าย แต่ขอให้เชื่อเถอะแก้วกินรี ทั้งชีวิตของผู้ชายคนนี้จะหมอบอยู่แทบเท้าเธอผู้เป็นดวงใจ จะไม่ให้ความผิดพลาดซ้ำสองเกิดขึ้นมาทำลายความรู้สึกของคนที่เขารักอีกแล้ว
ความคิดเห็น |
---|