8

ปล่อยมือ

ปล่อยมือ

 

ปราณกันต์ผลักประตูเข้ามาภายในห้องที่ครั้งหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังคงเป็นพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับลูกน้อยของพวกเขา เขาวางร่างบอบบางของแก้วกินรีที่กระชับเจ้าตัวเล็กแนบอกลงนั่งบนที่นอนอย่างเบามือ ลมหายใจติดขัดเมื่อสบเข้ากับดวงตาโกรธเคืองปนเจ็บปวดจนเอ่อคลอด้วยน้ำตาของอดีตภรรยา ยิ่งเธอกวาดมองและเห็นทุกอย่างภายในห้องซึ่งยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ม่านน้ำตาที่ฉาบไว้ก็ไหลลงเป็นทางอีกครั้ง

ปราณกันต์กล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่จุกขึ้นแน่นตรงลำคอ เอ่ยขอแผ่วเบาขณะยื่นมือไปหาเจ้าตัวเล็ก

“เจ้ายาต้องอาบน้ำเพื่อลดไข้ ให้ผมทำเถอะนะ”

แก้วกินรีมองมือนั้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด มือของบิดาผู้ให้กำเนิดแก้วกัลยา มือของคนที่เธอเคยถวิลหาเพื่อมาโอบอุ้มลูกน้อยในอก แต่ตอนนี้...

“ถ้าฉันไม่ให้ คุณก็จะบังคับเอาไปอีกใช่ไหม” เหมือนที่เขาบังคับขืนใจเธอตั้งแต่เจอหน้ากันอีกครั้งจนบัดนี้

สีหน้ากล่าวโทษของอดีตภรรยาทำให้ก้อนแข็งๆ แล่นกลับขึ้นมาจุกตรงลำคออีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งกล้ำกลืนลงไปสุดแรง ปราณกันต์กัดริมฝีปากตนเองจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยถ้อยคำหนักแน่น

“ครั้งแรกอาจใช่แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้ ผมขอจากใจจริง”

“ฉันไม่ให้” ถ้านั่นคือใจจริงของเขา นี่ก็คือใจจริงของเธอ

“งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมน้ำให้”

ปราณกันต์ไม่คิดฝืนใจอีก เขายินยอมรับคำปฏิเสธถึงแม้จะผิดหวังมากมาย ร่างสูงผุดลุกเดินไปทางห้องน้ำโดยหยิบกะละมังเป็ดน้อยสีเหลืองซึ่งวางตั้งอยู่ด้านหนึ่งของตู้เสื้อผ้าเข้าไปด้วย เขาเปิดน้ำอุ่นใส่ในกะละมัง วัดอุณหภูมิด้วยข้อศอก เมื่อได้น้ำอุณหภูมิเหมาะสมกับผิวทารกแล้วจึงออกมาตามแก้วกินรีด้านนอก

“น้ำพร้อมแล้ว”

แก้วกินรีไม่ตอบอะไร เธออุ้มเจ้าตัวเล็กพาดบ่าเพื่อระบายลมในท้องหลังกินนม มือบางลูบแผ่นหลังเบาๆ จนได้ยินเสียงเรอติดๆ กันสองครั้งจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถึงไม่อยากอยู่ที่นี่อีกสักวินาที แต่แก้วกัลยาจำเป็นต้องอาบน้ำลดไข้อย่างที่ปราณกันต์ว่าจริงๆ แม้จะเจ็บปวดแต่แก้วกินรีก็บอกตัวเองว่าเพื่อลูก ขอแค่อาบน้ำให้ลูกเสร็จก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ต่ออีกแล้ว ทว่า...

กะละมังเป็ดน้อยซึ่งชุดเต็มๆ ของมันจะมีเป็ดห้าตัวไล่ระดับเล็กสุดไปจนถึงใหญ่สุดเท่าฝ่ามือ กะละมังที่ได้มาเมื่อสองปีก่อนในงานมหกรรมสินค้าแม่และเด็กประจำปี

แก้วกินรีเบือนหน้าหนี อยากจะวิ่งออกไปเสียเดี๋ยวนี้...ที่นี่มีความทรงจำมากมายเหลือเกิน มันชักจะมากจนเธอรู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว สองมือที่เริ่มสั่นเพราะความทรงจำในอดีตแข่งกันทำหน้าที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยค่อยๆ วางแก้วกัลยาลงบนตัก หลังจากสะกดใจที่สะท้านเพื่อกลั้นความรู้สึกสุดกำลังได้ก็หย่อนสะโพกลงนั่งบนเก้าอี้สิงโตซึ่งเคยตั้งใจซื้อมาเพื่อนั่งอาบน้ำให้ลูกโดยเฉพาะ

เธอค่อยๆ เปลื้องผ้าแก้วกัลยาออกแล้วค่อยๆ หย่อนแกลงในน้ำโดยมีมือและแขนของตนคอยประคองอย่างพยายามให้มั่นคงที่สุด แต่นั่นก็ยังไม่สามารถประคองสัญชาตญาณธรรมชาติเมื่อสัมผัสถึงสิ่งรบกวนและกระตุ้นความไม่สบายในร่างกายของลูกได้ แก้วกัลยาร้องไห้จนปากเล็กๆ สั่น

“แง!”

“อดทนหน่อยนะคะคนเก่ง หม่ามี้แค่จะช่วยให้หนูหายป่วย อาบน้ำป๋อมแป๋มแป๊บเดียว”

เนื่องจากผิวทารกบอบบางมากจึงไม่อาจออกแรงมากได้ แก้วกินรีเช็ดจากมือและเท้าเข้าสู่หัวใจเพื่อเปิดรูขุมขนและข้อพับต่างๆ ทำซ้ำๆ โดยใช้น้ำหนักมือแค่ครึ่งเดียว เธอรู้ว่าแค่ครึ่งเดียวนั้นก็ทำให้เจ้าตัวเล็กเจ็บได้แล้ว แต่หากไม่ทำอาจจะส่งผลร้ายแรงยิ่งกว่า ถึงจะต้องฟังเสียงร้องไห้โยเยพร้อมกับไอแค็กๆ จนเจ็บปวดใจแทบขาดก็ตาม

ลูกเจ็บพ่อแม่เจ็บกว่าคือความจริง!

เห็นลูกร้องไห้จนปากและตัวสั่น ร่างกายของปราณกันต์ซึ่งยืนนิ่งทอดมองอดีตภรรยาและลูกอยู่ตรงกรอบประตูก็พลอยสั่นไปด้วย ยิ่งเสียงลูกกรีดแหลมเข้าไปในโสตประสาท ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาก็ทำงานพร้อมเพรียงกันอย่างรุนแรง หัวตาเขาร้อนผ่าวเสมือนว่าภายในนั้นกำลังต้มบางอย่างอยู่และพร้อมจะพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง

อดทนหน่อยนะครับเจ้ายาคนเก่งของปะป๊า ลูกสาวปะป๊าเก่งมากๆ เลย

เขาอยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเหลือเกิน แต่เขาก็ทำได้แค่ส่งเสียงในใจและรับฟังเสียงสั่นเครือของแก้วกินรีที่คอยปลอบโยน

“ใกล้แล้วค่ะคนดี เจ้ายาคนเก่งของหม่ามี้อดทนหน่อยนะคะ” แก้วกินรีปลอบเจ้าตัวเล็กเสียงอ่อนโยน ผิดกับแก้วกินรียามเมื่อยืนต่อหน้าอดีตสามี

ห้านาทีผ่านไปปราณกันต์จึงตัดสินใจเดินเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนูสีชมพูนุ่มนิ่มที่เคยถกเถียงกันเพราะเลือกสีไม่ได้ สุดท้ายเลยเป่ายิงฉุบแล้วได้สีชมพูมา

“อย่าอาบนานเกินไป”

“...” 

แก้วกินรีไม่ตอบอีกเช่นเคย เธอแค่เงยหน้าขึ้นรับผ้าขนหนูสีชมพูผืนนั้นมาห่อร่างเล็กในอ้อมแขน น้ำตาหยดเล็กหยดลงบนผ้าผืนนั้นยืนยันความทรงจำที่ไม่ลืมเลือน

“ผมไปเตรียมเสื้อผ้าให้นะ” เหตุการณ์นั้นไม่หลุดรอดไปจากสายตาจับจ้องของปราณกันต์ เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้อดีตภรรยาเลยออกไปเตรียมเสื้อผ้า

ปราณกันต์เปิดตู้เสื้อผ้าซึ่งละลานตาไปหมด เนื่องจากในอดีตพวกเขาซื้อเตรียมไว้ทั้งของใข้เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง มีตั้งแต่แรกเกิดจนอายุสองขวบ เดินผ่านร้านไหนถูกใจเป็นต้องหอบกลับมาบ้าน และพวกเขาสองสามีภรรยาก็ขยันกันนักช่วยกันซักรีดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จำได้ว่าพวกเขามีความสุขกันมากด้วยซ้ำ บางวันไม่มีเสื้อผ้าลูกมาให้ซักยังแอบมาหยิบตัวที่ซักรีดแล้วไปซักรีดใหม่

เอาชุดสีชมพูตัวนี้แล้วกัน สีหวานๆ เหมาะกับลูกสาวปะป๊า ผ้าก็ไม่หนามาก ไม่ทำให้อบความร้อน

ปราณกันต์หยิบชุดกระโปรงผ้าฝ้ายลายลูกโป่งน้อยสีชมพูหวานแหวว ถ้าจำไม่ผิดชุดนี้ได้มาจากเซ็นทรัลวันที่พวกเขาไปดูหนังเรื่อง “เฟรนด์โซน” เหมือนจะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่พวกเขาได้ดูด้วยกัน

ดูไม่ค่อยเป็นมงคลเลย เปลี่ยนชุดดีกว่า

ชุดสีเขียวมินต์นี่ละกัน สดใสที่สุด

ชุดนางฟ้าน้อยๆ สีเขียวมินต์ ผ้าหนากว่าตัวสีชมพูนิดหน่อย แต่เปิดมากกว่าแถมกระโปรงสั้นๆ เหมาะมากกับช่วงไม่สบายเพราะปิดช่วงหน้าอกและท้องไม่ให้โดนลมกับความเย็น

ปราณกันต์ถือชุดนางฟ้าตัวเล็กกลับมายื่นให้แก้วกินรีที่พาแก้วกัลยามาวางลงบนที่นอนและกำลังจะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมให้ลูก

“ชุดนั้นผ้าหนาไปหน่อย เปลี่ยนใส่ชุดนี้เถอะ”

แก้วกินรีมองชุดที่เขาส่งให้ เธอไม่อยากจำแต่ในสมองประมวลภาพออกมาราวกับฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูล มันแม่นยำจนร่างกายส่งกระแสสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ชุดนี้ได้มาตอนงานวันเกิดเธอเมื่อสองปีที่แล้ว วันเกิดปีสุดท้ายที่ได้ฉลองด้วยกัน

“แก้วกัลยามีเสื้อผ้าแล้ว ฉันจะให้แกใส่ชุดเดิม”

“ผมจะลงไปทำกับข้าว ใส่เสื้อผ้าให้ลูกเสร็จลงมากินข้าวด้วยกันนะ” ปราณกันต์ไม่บังคับ เขาวางชุดนางฟ้าน้อยลงบนที่นอนและถอยออกไปจากห้อง

เสียงปิดประตูเหมือนเสียงระฆังหมดยกระหว่างมวยคู่เอก มือสั่นๆ ที่พยายามเกร็งไว้สุดกำลังตอนนี้สิ้นเรี่ยวแรง เสียงสะอื้นดังออกมาจากปากที่เม้มเท่าไรก็ยังกลั้นเสียงไม่มิด

ปราณกันต์ทรุดลงนั่งพิงบานประตูที่ปิดลงด้วยมือตนเอง น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงอาบแก้ม ยิ่งเสียงสะอื้นดังออกมามากเท่าไร น้ำตาของเขาก็ยิ่งทะลักทลายเสมือนไม่มีวันหมด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนข้อทั้งสิบนิ้วปูดโปน

“ผมต้องทำยังไงกินรี ผมต้องทำยังไงเราถึงจะผ่านความเจ็บปวดนี้ไปได้ ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยกโทษให้ผม”

สิ่งที่เขาพยายามรักษาไว้ มันไม่ใช่ความงดงามแต่มันคือคมหอกคมดาบที่คอยแต่จะย้อนกลับมาทิ่มแทงหัวใจ

"หรือผมต้องปล่อยคุณไปจริงๆ" 

หรือเขาต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ต้องปล่อยแก้วกินรีไป ปล่อยมือจากเธอเหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อนอีกครั้ง

ปราณกันต์ลุกขึ้นทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำ เขาได้ตัดสินใจแล้วอย่างแน่วแน่ ถ้าเจ็บปวดขนาดนี้ก็ไปเถอะแก้วกินรี เขาจะปล่อยมือจากเธอเอง เมื่อเสียงสะอื้นจากด้านในหยุดลง ประตูที่แก้วกินรีเปิดออกจึงไม่มีสิ่งใดขัดขวางการก้าวออกไปของเธออีก เธอสองคนแม่ลูกกำลังจะหลุดพ้นจากปราณกันต์อีกครั้ง

 

“กินรี!”

เกล้าเศียรกระแทกประตูรถเปิดออกกว้างสุดแขน เมื่อเห็นร่างบอบบางก้าวออกมาจากในบ้านของปราณกันต์อย่างคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง เธอโอบอุ้มเจ้าตัวเล็กแนบอก ทว่าสั่นสะท้านจนแม้แต่คนที่มองจากระยะไกลยังสังเกตเห็นได้

เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ ด้วย ปราณกันต์พาแก้วกินรีมาที่นี่ ไอ้หมอนั่นน่าตายนัก!

“หมอเกล้า”

แก้วกินรีแปลกใจจนหยุดนิ่ง ไม่คาดคิดว่าจะเจอเกล้าเศียรที่นี่ ไม่คิดว่าเขาจะรู้ด้วยซ้ำว่าเธอถูกพาตัวมา เธอละมือข้างหนึ่งจากเจ้าตัวเล็ก รีบยกขึ้นปาดน้ำตาที่ก้าวออกมาพ้นบ้านปราณกันต์แล้ว มันก็ยังคงไหลรินไม่หยุด

“ผมไปหาคุณที่ห้อง พยาบาลแจ้งว่าคุณพาเจ้ายาไปเดินเล่นแต่นานแล้วยังไม่กลับ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

เกล้าเศียรวิ่งมายืนเบื้องหน้าแก้วกินรีแล้วรัวประโยคคำถามยาวเหยียดแบบไม่พักหายใจ ดวงตคู่นั้นจับจ้องดวงหน้างดงามซึ่งบอบช้ำจากการหลั่งน้ำตาไม่วางตา เหมือนกำลังหาร่องรอยความเสียหาย และถ้าพบแม้แต่น้อยจะถลาเข้าไปกระชากเจ้าของบ้านออกมาจัดการให้รู้เรื่องรู้ราว

“รบกวนหมอเกล้าช่วยพาเราสองแม่ลูกไปจากที่นี่ได้ไหมคะ”

แก้วกินรีรู้สึกเหนื่อยจนเหมือนจะหมดแรงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้ว หรือเพราะเธอพยายามเข้มแข็งมากไปตอนอยู่ในบ้านปราณกันต์ สถานที่ซึ่งดูดซับพลังเหลือร้าย พอได้เห็นใบหน้าเกล้าเศียรผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จึงเหมือนได้พบแสงสว่างปลายอุโมงค์ เหมือนถ้อยคำที่ตะโกนฝากสายลมมาว่า..

‘เจ้ารี ไม่ต้องเข้มแข็งแล้ว ปล่อยวางได้แล้ว’

ตอนนี้เธอคิดถึงบิดา คิดถึงอ้อมแขน คิดถึงอ้อมกอด คิดถึงคำปลอบโยน คิดถึงทุกอย่างที่ช่วยให้เธอยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้

“คุณจะไปไหน แค่บอกผมมาก็พอ” ไม่ต้องขอเขาก็จะทำให้ด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว

เกล้าเศียรถลาเข้าไปประคองร่างบางซึ่งทำท่าจะล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา ก่อนจะตวัดทั้งแม่ทั้งลูกขึ้นอุ้มพาไปขึ้นรถ เขาไม่บีบคั้นอีกเมื่อเห็นว่าแก้วกินรีไม่อยากอธิบายอะไร เธอคงเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะพูดถึงเรื่องที่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีในบ้านหลังนั้น 

“ให้ผมไปส่งคุณที่ไหนกินรี หรือคุณต้องการให้ผมพาไปแจ้งความไหม”

เมื่อรถเคลื่อนออกไปได้พักใหญ่เกล้าเศียรก็จอดข้างร้านขายยาเพื่อซื้อยาลดไข้ตามที่แก้วกินรีร้องขอมาให้ ก่อนจะออกรถอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาจากถนนมายังสองคนแม่ลูกซึ่งกำลังป้อนยาอยู่ข้างๆ ด้วยวิธีการแบบฉบับที่รู้ใจกัน ถึงจะรู้สึกว่าน่ามองเหลือใจ แต่เขาก็ไม่กล้าหันไปฉวยโอกาสนั้นทำตามใจตนเอง จิตสำนึกด้านดีเตือนเขาอยู่ตลอดว่าแก้วกินรีเปรียบดั่งแก้วที่แหลกละเอียดเพราะความรัก การจะไขว่คว้าหัวใจเธอต้องค่อยๆ ทำให้เธอเชื่อในความรักอีกครั้งเสียก่อน และวิธีที่เขาคิดว่าตนเองควรจะใช้ก็คือเก็บกวาดเศษเล็กเศษน้อยของเธอไว้บนฝ่ามืออย่างทะนุถนอม หลอมละลายเธอด้วยความจริงใจและมิตรภาพ ค่อยๆ เปลี่ยนเธอจากเศษแก้วเป็นแก้วใบใหม่ที่งดงามกว่าเดิม

“หมอเกล้าช่วยไปส่งเราที่โรงแรม...หน่อยนะคะ ฉันอยากพาเจ้ายากลับบ้านให้เร็วที่สุดค่ะ”

แก้วกินรีบอกชื่อโรงแรมที่เข้าพัก เธอไม่คิดแจ้งความเลยไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้น ไม่ใช่ว่าอ่อนแอ ขลาดกลัว แต่เพราะเธอไม่อยากข้องแวะกับผู้ชายที่ชื่อปราณกันต์อีก หากเธอแจ้งความนั่นก็เท่ากับว่าตำรวจจะมีข้อมูลของเธอผู้เป็นเจ้าทุกข์ และจะต้องถูกเรียกมาพบเจอกันบ่อยๆ อีกไม่จบไม่สิ้น กระบวนการยุติธรรมไม่เคยตัดสินชี้ขาดภายในวันเดียว

“คุณยังรักหมอกันอยู่ไหมกินรี...ขอโทษที่ผมถามแบบนี้ ผมอยากรู้จริงๆ” 

ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาไต่ถามเรื่องนี้ ไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมอย่างยิ่ง แต่หัวใจของเขาตะโกนประโยคนี้ก้องไปหมด จนไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป ยิ่งเห็นเธออ่อนแอจนเหมือนจะขาดใจ เขาก็ยิ่งอยากรู้จนใจสั่น จึงต้องถามออกมาทั้งที่รู้ว่าไม่เหมาะสม

รักหรือ...

“หึๆ...”

แก้วกินรีหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เสียงที่ดังออกมาไม่ใช่เสียงขบขันแต่เป็นเสียงแห่งความเย้ยหยัน ดวงตาทั้งคู่ที่หม่นหมองไร้สีสันอยู่แล้ว ซ้ำยังบวมเล็กน้อยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเรื่อขึ้นจนแดงก่ำ

“หมอเกล้าคิดว่าฉันจะยังสามารถรักปราณกันต์ได้อยู่อีกเหรอคะ ฉันเป็นคนไม่ใช่ควาย ฉันมีสมองไม่ใช่ขี้เลื่อย ฉันเจ็บแล้วจำ และฉันก็ไม่ใช่บูมเบอแรงที่ถูกขว้างออกไปแล้วยังจะย้อนกลับมาหาคนขว้างได้อีก จบคือจบ หมดคือหมด สำหรับฉันปราณกันต์เป็นได้แค่ทางผ่านที่สอนให้ฉันรู้จักความรัก ความทุกข์ และความเจ็บปวด นอกจากนั้นเขาไม่เหลืออะไรในหัวใจฉันอีกแล้ว”

นอกจากความเกลียดชังเธอไม่มีอะไรหลงเหลือให้ผู้ชายที่ชื่อปราณกันต์อีกแล้วจริงๆ แม้หัวใจจะเจ็บปวดกับความทรงจำมากมายที่ยิ่งถูกกระตุ้นก็ยิ่งร้าวรานหนักจนรู้สึกเสียดายช่วงเวลาสี่ปีมากมายเหลือเกิน ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่อาจทดแทนความเจ็บปวดที่เผชิญมาตลอดหนึ่งปีนี้ได้ เหมือนน้ำเน่าหยดหนึ่งที่ทำลายความบริสุทธิ์ของน้ำทั้งอ่างไปหมดแล้ว เสียดายน้ำอ่างนั้นอย่างไรก็ไม่อาจจะยกขึ้นอาบหรือดื่มได้อีก

“แล้วถ้าหมอกันเขายังรักคุณอยู่ เขาตามตื๊อคุณไม่หยุด คุณก็จะไม่ใจอ่อนใช่ไหม”

เกล้าเศียรเบือนหน้าจากถนนมาขอความจริงด้วยสายตากับอีกคำถามของหัวใจ เท้าค่อยๆ แตะเบรกจนรถหยุดลงข้างทางเพื่อรอฟังคำตอบของคำถามนี้โดยเฉพาะ มีบางอย่างที่เขากลัวเหลือเกินซ่อนอยู่ในหัวใจ กลัวว่าหากปราณกันต์ไม่หยุดและเผยสิ่งนั้นออกมาให้แก้วกินรีได้ทราบ เธอจะใจอ่อนและให้อภัยต่อความผิดทั้งหมดของปราณกันต์

“คุณจะไม่ใจอ่อนกับหมอกันใช่ไหมกินรี”

“ทำไมหมอเกล้าดูจริงจังจังเลยคะ”

แก้วกินรีปาดน้ำตรงหางตาแล้วหันมามองเขา ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนที่แสนดี กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ยังคงห่วงใยกัน แม้จะรู้สึกเหมือนว่าครั้งนี้จะมากผิดปกติ

“เพราะ...” ผมชอบคุณ

เกล้าเศียรอยากตอบออกไปแบบนั้นแต่เขาทำไม่ได้ หากเขาทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากปราณกันต์ที่กำลังบีบคั้นให้แก้วกินรีต้องพบหนทางลำบาก แพทย์หนุ่มค่อยๆ ยิ้มละไมแบบขบขันเล็กน้อย 

“อย่าคิดว่าผมจะบอกรักเชียวนะ ที่ผมจริงจังเพราะเราคือเพื่อนกัน ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บปวดเพราะหมอกันอีก ผมไม่อยากเห็นอีกจริงๆ”

“เส้นทางของฉันกับปราณกันต์สิ้นสุดลงแล้ว ไม่ว่าจะมองไปข้างหน้าหรือย้อนกลับไปเบื้องหลังก็ล้วนแล้วแต่เป็นขวากหนามแหลมคม ถึงฉันจะไม่ใช่คนฉลาดนัก แต่ฉันก็รู้ว่าหนามแหลมคมเหล่านั้นมันมีแต่กระชากเนื้อเถือหนังให้เจ็บปวด หมอเกล้าอย่าเป็นห่วงเลยนะคะ ฉันเข้มแข็งและไม่ใช่แก้วกินรีคนเดิมที่จะล้มลงเพราะความรักอีกแล้ว”

“สัญญาได้ไหมว่าหากมีอะไรที่แบกรับไม่ไหวคุณต้องบอกผม บอกผมเป็นคนแรก”

“ไม่ให้คิดว่าจะบอกรัก แต่การกระทำของหมอเกล้ากำลังทำให้ฉันคิดนะคะว่าคุณรักฉัน” คราวนี้เป็นแก้วกินรีที่ค่อยๆ คลี่ยิ้มละไมทั้งดวงตาที่แดงก่ำ ยืมความขบขันของเขามาใช้บ้างเมื่อเธอไม่อยากให้สัตย์สัญญาอะไร

“แล้วถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ ถ้าผมรักคุณจริงๆ ล่ะ” ดวงตาเกล้าเศียรฉายแววจริงจัง เขารู้สึกเจ็บจนร้าวรานเมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังอ่อนแอสุดชีวิตพยายามคลี่ยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตา

“ฉันก็จะบอกว่าขอโทษนะคะหมอเกล้า คุณดีเกินไป เป็นไงคะ นางเอกพอไหม”

“ไม่ใช่นางเอก นี่มันนางฟ้าชัดๆ” 

สำหรับเขา แก้วกินรีเป็นนางฟ้าเสมอ นางฟ้าชุดขาว นางฟ้าแห่งรอยยิ้ม นางฟ้าโศกเศร้า นางฟ้าที่สามารถกระชากหัวใจเขาเพียงแค่ยิ้มหรือร้องไห้

“วันนี้ไม่มีนมเปรี้ยว แต่ในกระเป๋ายังมีเงินมากกว่าสิบบาท อยากกินอะไรคะ แก้วกินรีถูกใจสิ่งนี้ อยากโดเนต”

“ยิ้มหวานๆ แบบนี้อีกนาทีพอแล้ว” แต่อย่ายิ้มเคล้าน้ำตาอีกเลย ใจเขามันจะขาด...

เกล้าเศียรอยากเอื้อมมือไปวางบนศีรษะแล้วโยกเบาๆ ปลอบโยนเธอ อยากดึงร่างบอบบางที่พยายามยิ้มท่ามกลางความเจ็บปวดและน้ำตามากอดกระชับในอ้อมแขน แล้วกระซิบบอกเธอว่า...

ผมจะปกป้องคุณ ผมจะอยู่ข้างคุณ ต่อให้จะไม่ได้อะไรเลย ผมก็จะไม่ไปไหน

แต่เพราะรู้ว่าทำไม่ได้จึงต้องกำพวงมาลัยแน่นขึ้น ใช้เพียงสายตาและหัวใจซึมซับรอยยิ้มจนดวงตาคู่งามโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว บีบคั้นให้น้ำตาหยดเล็กไหลลงมาค้างอยู่ตรงปลายคาง

แก้วกินรีช่างไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของตัวเองมีค่ามากกว่าน้ำหนักทองร้อยบาท ยิ่งน้ำตาของเธอ...ต่อให้เขาต้องขายบ้านขายรถมาแลกก็ไม่เสียดายสักนิด

คุ้มค่ามากที่สุด...

เกล้าเศียรหักใจเบือนหน้ากลับไปมองถนน แล้วขยับปลายเท้าแตะคันเร่งออกรถอีกครั้ง แต่แล้วเขากลับได้สิ่งที่คุ้มค่ามากกว่านั้นจากประโยคนี้

“ขอบคุณนะคะหมอเกล้า”

บรรยากาศภายในรถที่กำลังเคลื่อนต่อไปท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกของมิตรภาพ โดยที่คนในรถไม่ได้รับรู้เลยว่าเบื้องหลังมีรถคันหนึ่งเคลื่อนตามพวกเขาห่างๆ เพื่อไม่ให้คลาดจากสายตาจนลับหายไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น