9

หมอเด็กคนใหม่

หมอเด็กคนใหม่

 

เรียน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล

เรื่อง ขออนุมัติลาพักร้อนฉุกเฉิน

 

กระผมนายแพทย์ปราณกันต์ ชติโชติอนันต์ กุมารแพทย์ระบบการหายใจ ขออนุญาตลาพักร้อนฉุกเฉินเนื่องจากต้องไปต่างจังหวัดด่วนเพื่อง้ออดีตภรรยา หากไม่ไปตอนนี้โอกาสเท่ากับศูนย์ เอกสารไม่มีเป็นไฟล์แนบ ขออนุญาตแนบเป็นการ์ดแต่งงานหลังจากง้อสำเร็จ ตั้งแต่วันที่ 10-30 มีนาคม 2563

 

จึงเรียนมาเพื่อขอการอนุมัติ (ไม่อนุมัติก็จะไป)

นายแพทย์ปราณกันต์ ชติโชติอนันต์

 

จดหมายลาพักร้อนที่ไม่เป็นทางการใดๆ เลยเมื่อยี่สิบวันก่อนกลับถูกอนุมัติไปแล้วโดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ไม่มีใครทราบนอกจากเจ้าตัวและปราณกันต์เจ้าของจดหมายลา ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่เพียงหัวหน้ากับลูกน้อง แต่เป็นผู้อุปการะกับชายหนุ่มที่เคารพรักเช่นบิดา วันนี้บนหน้าอีเมลกลับปรากฏจดหมายลาอีกฉบับจากนายแพทย์คนเดิม

 

เรียน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล

เรื่อง ขออนุมัติลาออก

 

กระผมนายแพทย์ปราณกันต์ ชติโชติอนันต์ กุมารแพทย์ระบบการหายใจ ขออนุญาตลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากได้งานใหม่ใกล้บ้านอดีตภรรยาที่อยากดูแลไปตลอดชีวิต จึงจำเป็นต้องปักหลักเป็นการถาวร อันจะส่งผลกระทบต่องานและทำให้โรงพยาบาลเกิดความเสียหาย กระผมจึงขอพิจารณาตนเองด้วยการขอลาออกและยินยอมให้โรงพยาบาลดำเนินการตามกฎระเบียบอันสมควร เอกสารใบลาออกตามไฟล์แนบ

 

ด้วยความเคารพอย่างสูง

นายแพทย์ ปราณกันต์ ชติโชติอนันต์

 

“เกินไปแล้วนะเด็กคนนี้”

อนารุจ วิเศษกรกาญจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังตบฝ่ามือหนักๆ ลงบนโต๊ะทำงานและคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสาย หลังอ่านอีเมลซ้ำเป็นรอบที่สองจนแน่ใจกับเนื้อความการขอลาออก

เจ้าเด็กปราณกันต์คิดจะทิ้งอนาคตตนเองไปอยู่บ้านนอกคอกนาไร้การเติบโตทางสายอาชีพเพราะอดีตภรรยา คนที่เกือบทำให้เสียผู้เสียคน คนที่ถีบผู้ชายชื่อปราณกันต์จนเกือบจมอยู่ในนรกอันมืดมนไปตลอดกาลหากว่าเขาไม่ฉุดไว้สุดแรง เขาไม่ว่าหรอกหากจะไปมาหาสู่แต่ถ้าถึงกับจะทิ้งอนาคตตัวเองทั้งที่เพิ่งจะเริ่มก้าวหน้าอีกครั้งได้ไม่ถึงปีมันเกินไป

อนารุจรอเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ...

“ครับพ่อ”

ปราณกันต์กรอกเสียงเมื่อกดรับสายผู้อุปการะที่เขาเรียกว่าบิดามาตั้งแต่เด็กจากจดหมายพูดคุยประจำเดือน บิดาที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้ว่าท่านเป็นใคร ไม่รู้มาก่อนว่าท่านเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล จนกระทั่งวันที่เขาตัดสินใจลาออกจากโรงพยาบาลเก่าเพราะข่าวฉาวครั้งใหญ่ของตนเองกับกานมณี วันที่เขาไม่เหลืออะไรทั้งสิ้นเพราะเอาแต่ดิ้นรนหาตัวภรรยาที่หย่ากันยังไม่ถึงเดือนอย่างบ้าคลั่ง ท่านจึงมาหาเขาและฉุดดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง ทำให้เขาได้คิดและปล่อยวางจากสิ่งที่ได้ทำลายลงไปจนหมดแล้ว 

“ไม่อนุมัติ” อนารุจกรอกเสียงเข้มๆ และมุ่งเข้าสู่ประเด็นในทันที

“ขอโทษครับพ่อ แต่ผมตัดสินใจแล้ว”

ปราณกันต์คาดไว้อยู่แล้วว่าบิดาจะต้องไม่เห็นด้วย เขาจึงต้องหนักแน่นให้ท่านเห็นว่าครั้งนี้เขาจะทำจริงๆ

“ไปเป็นครั้งคราวก็ได้ ทำไมต้องลาออก ตอนนี้อนาคตแกกำลังไปได้ดี ยังไงฉันก็ไม่อนุมัติ”

“อนาคตหมายถึงความสุขของผมไม่ใช่เหรอครับ พ่อเคยบอกว่าทำอะไรก็ได้ที่ผมทำแล้วมีความสุข ตอนนี้...ไม่ใช่สิครับ ผมรู้มาตลอดตั้งแต่ตัดสินใจแต่งงานกับกินรีว่าเขาคือความสุขของผม ที่ผมยอมปล่อยเขาไปเพราะผมคิดว่าตราบใดที่เขายังสามารถมีความสุขต่อไปได้ ต่อให้ไม่มีผมก็ยังดีกว่าต้องให้เขาทุกข์ระทมอยู่เคียงข้าง ผมก็คงจะมีความสุขไปกับเขา

“แต่วันนี้ผมพบว่ามันไม่ใช่ เขาไม่ได้มีความสุขแถมยังมีลูกของเราเพิ่มขึ้นมา ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีอนาคตอื่นอีกนอกจากกินรีและลูก ถ้าพ่อจะกรุณา ได้โปรดให้ผมได้อยู่ที่นี่ดูแลพวกเขาเถอะนะครับ ผมไม่เคยลืมพระคุณพ่อ ผมให้สัญญาว่าต่อให้อยู่ที่นี่ ผมก็จะก้าวหน้า จะทำให้ทุกคนเห็นว่าลูกชายของพ่อที่พ่อเก็บมาอุ้มชูสามารถเชิดหน้าชูตาให้พ่อได้ไม่แพ้คนอื่นๆ”

“ทำไมต้องพูดยาวขนาดนี้ รู้ใช่ไหมว่าพูดมาขนาดนี้ฉันจะไม่ปฏิเสธ นับวันชักจะร้ายขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ”

“ผมรู้ว่าพ่อรักผม ที่ผ่านมาพ่อก็ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของผมมาตลอด พ่ออนุมัตินะครับ” 

ปราณกันต์เอ่ยขอมาตามสาย เขารู้ว่าบิดาจะต้องใจอ่อนอย่างแน่นอนที่สุด แม้จะไม่ใช่สายเลือด แต่มันคือสายใยที่ถักทอแน่นหนามาร่วมสามสิบปี

“ฉันอยากเจอหลาน” เสียงอนารุจอ่อนลงเกือบครึ่ง

“ผมสัญญาครับว่าจะพาหลานไปกราบพ่อ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะครับ ผมทำผิดกับเขาไว้มาก ตอนนี้ยังได้แต่เหม่อมองหลังคาดูพวกเขาอยู่ห่างๆ แต่ผมขอสัญญาครับว่ามันต้องมีวันนั้น ถึงจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม”

ตั้งแต่วันที่เขาปล่อยมือจากแก้วกินรีให้เธอได้เดินออกจากบ้านซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด เขาปล่อยเธอไปจริงๆ แต่ไม่ได้ปล่อยแล้วปล่อยเลย เขาแอบผูกสายป่านที่มองไม่เห็นไปด้วย ทันทีที่เธอจากไปปราณกันต์คนนี้ก็แอบตามจนมาถึงที่นี่ บ้านเมืองที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าแก้วกินรีจะย้ายมาปักหลัก อาชีพที่เขาไม่คาดคิดอีกเช่นกันว่าอดีตพยาบาลมือนิ่มๆ จะหยิบจอบจับเสียมทำสวนทุเรียน

ยี่สิบวันมานี้เขาจึงวนเวียนหาข้อมูลของอดีตภรรยาและลูกอย่างจริงจัง ศึกษาการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเธอและฝึกเป็นชาวสวนทุเรียน เขาตัดสินใจเช่าตึกแถวสามชั้นเพื่อเปิดคลินิกอย่างไม่ลังเล แอบขอให้เลขานุการของบิดาติดต่อไปที่โรงพยาบาลประจำอำเภอเพื่อเข้าทำงานในฐานะกุมารแพทย์ไปแล้วด้วย

โชคดีที่โรงพยาบาลกำลังต้องการกุมารแพทย์เพราะขาดมานานแล้วเกือบหนึ่งปีเต็ม สวนทางกับยอดคนไข้เด็กที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แพทย์เฉพาะทางที่จะมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดกลับน้อยลงทุกวัน เมื่อสองวันก่อนเขาจึงได้อีเมลตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว อีกสามวันข้างหน้าก็สามารถเข้ารายงานตัวในฐานะแพทย์ได้ทันที

“อย่าให้ฉันรอนานนักล่ะ แล้วถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทร.มาได้เลย” 

ถึงไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดแต่อนารุจก็เอ็นดูและรักเด็กชายปราณกันต์ตั้งแต่แรกพบ เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้จะต้องเติบโตมาเป็นคนดีจึงไม่ลังเลที่จะอุปการะส่งเสีย และปราณกันต์ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตเขามัวหมอง หากนั่นก็เป็นเพียงบททดสอบ ทองต่อให้ถูกสาดโคลนจนจมมิดก็ยังเป็นทองวันยังค่ำ

“ขอบคุณครับพ่อ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะปราณกันต์”

“ครับพ่อ พ่อก็ถนอมสุขภาพด้วยนะครับ แล้วสิ้นเดือนนี้ผมจะกลับไปหา”

ปราณกันต์คุยกับบิดาอีกสองสามประโยคแล้วจึงวางสาย วันนี้เขาเข้ามาเพื่อจัดการบ้านใหม่ ตึกแถวสามชั้นที่แบ่งชั้นหนึ่งกับชั้นสองเป็นคลินิก เหลือชั้นสามไว้เป็นบ้านหลังน้อยที่จากนี้จะเป็นที่พักของเขา...อาจจะห้าปี สิบปี หรืออาจจะตลอดชีวิต ตราบใดที่แก้วกินรียังไม่หนีไปไหน เขาก็คงจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเช่นเดียวกัน

ตัวตึกนับว่ายังใหม่และเจ้าของดูแลเป็นอย่างดี เขาจ้างคนมาทำความสะอาดไปรอบหนึ่งแล้ว แต่เพราะวันนี้ขนของเข้ามาหลายอย่าง ทั้งตู้ เตียง และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องมีสำหรับสถานประกอบการ รวมถึงอุปกรณ์ครัวซึ่งอย่างหลังนี้เขาตั้งใจจัดหามาเพื่ออดีตภรรยาโดยเฉพาะ อาจจะต้องทำความสะอาดดีๆ อีกสองสามรอบ เพื่อเตรียมการสำหรับการตรวจสอบจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด คาดว่าอย่างช้าสุดภายในสองเดือนจะสามารถเปิดให้บริการคลินิกได้

ปราณกันต์พับฝาโน้ตบุ๊กที่เพิ่งจะกดส่งอีเมลไปลาออกไม่ถึงห้านาทีเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาจับผ้ากันเปื้อนคล้องคอแล้วตวัดสายคาดเอวไปผูกไว้ด้านหลัง หลังจากจัดบ้านเสร็จสิ่งแรกที่อยากจะทำคือขนมเพื่อส่งไปให้อดีตภรรยาเช่นที่เคยทำตลอดยี่สิบวันมานี้ เสียดายที่ก่อนหน้านี้ได้แต่สั่งจากร้านเพราะยังไม่มีบ้านไม่มีอุปกรณ์

เมนูที่เขาจะทำวันนี้คือเค้กมะพร้าวอ่อน ของโปรดอีกอย่างของแก้วกินรี มะพร้าวน้ำหอมและวัตถุดิบทุกอย่างเขาไปเลือกอย่างพิถีพิถันที่ตลาดด้วยตนเอง เขาอยากทำเค้กวันนี้ให้อร่อยที่สุดเพื่อชดเชยเวลาหนึ่งปีที่เสียโอกาสทำให้

ยี่สิบวันมานี้เขาไม่แสดงตัว ไม่ไปรังควาน ไม่สร้างความรำคาญ ไม่ก่อความวุ่นวาย เขาแค่มาอยู่ที่นี่เฝ้าดูพวกเธอห่างๆ รถที่ซ่อมเสร็จก็ให้ทางโรงพยาบาลติดต่อส่งคืนเธอเอง ทำเหมือนไม่รู้ที่อยู่ของเธอ

เพราะอะไรน่ะเหรอ...เพราะเขารู้แล้วว่าการจู่โจมแก้วกินรีอย่างรวดเร็วเช่นที่ทำไปวันนั้นมีแต่ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้เธอ บาดแผลของเขาและเธอมันบาดลึกจนยากจะเยียวยา สิ่งที่พอจะทำได้คือเย็บปิดแล้วให้เวลาค่อยๆ รักษาให้หายไปเอง เมื่อแผลหายก็จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง การมาของเขาครั้งนี้จึงไม่ใช่เพื่อรื้อฟื้น แต่มาเพื่อคุ้มครองปกป้องรอวันเริ่มต้นใหม่อีกครา

ต่อไปนี้เขาจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยๆ เรียนรู้แก้วกินรีใหม่ และปรับตัวเข้าหาเธอแบบช้าๆ แต่มั่นคงและจริงใจ ดาวหงดาวหางที่เคยคิดดีดออกจากมันสมองไปแล้ว ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงพระจันทร์ที่ใช้เวลาทุกนาทีค่อยๆ โคจรรอบโลก เป็นบริวารมืดสนิทที่โลกจะมองเห็นได้ต่อเมื่อแสงอาทิตย์ส่องมากระทบเท่านั้น

ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เขาก็จะรออย่างอดทน รอวันที่โลกจะรับรู้ถึงความซื่อสัตย์ของพระจันทร์เช่นเขา

 

ณ บ้านสวนตากมล

แก้วกินรียกชามต้มจืดฟักใส่ไก่เข้ามาวางลงบนโต๊ะ ตามด้วยน้ำพริกกะปิ ผักสด ไข่เจียวชะอม และปลาทูทอดเป็นอย่างสุดท้าย

“อาหารบ้านๆ หวังว่าหมอเกล้าคงไม่รังเกียจ”

แก้วกินรีหันไปถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้ตรงโต๊ะด้านข้าง คลี่ยิ้มหวานให้แก่แขกที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งเกริ่นก่อนมาจะถึงบ้านเธอไม่กี่นาทีด้วยประโยคที่คัดค้านไม่ได้

‘ผมคิดถึงเจ้ายา มาธุระแถวนี้พอดี ขอไปพักด้วยคืนนึงนะครับ’

เธอไม่ได้ความจำสั้น วันที่เกล้าเศียรมาส่งพวกเธอแม่ลูกที่นี่ เขาขอพักอยู่ด้วยตั้งสามวัน เห็นทีหลังอาหารค่ำมื้อนี้คงต้องถามเขาให้รู้เรื่องว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือเปล่า ขืนเขายังเป็นแบบนี้จะกระทบทั้งกับตัวเขาและเธอ

“แค่ไม่คิดเงินผมกินได้หมดละ ต้องขอโทษคุณลุงด้วยนะครับที่มารบกวนอีกแล้ว”

“ถ้าไม่บ่อยเกินไปก็ไม่เป็นไรหรอก อย่ามาจนชาวบ้านเข้าใจผิดก็แล้วกัน” กมลตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำ หนึ่งปีมาแล้วที่เขาไม่ถูกชะตากับพวกหมอหน้าตาขาวสะอาดแต่ข้างในดำปี๋ไร้หัวจิตหัวใจ

“พ่อคะ พูดแบบนี้เดี๋ยวหมอเกล้าก็กินข้าวไม่ลงพอดี หมอเกล้าเขาเป็นเพื่อนรีนะ”

“พ่อบอกให้เลิกคบไอ้หมอพวกนี้ไปให้หมดก็ไม่เคยเชื่อ เจ็บแล้วไม่เคยจะจำ จะต้องรอให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยก่อนถึงจะเชื่อฟังหรือไง”

“หมอไม่ได้ดีบริสุทธิ์ไปหมดทุกคนแต่ก็ไม่เลวไปหมดเหมือนกันนะคะ มาๆ กินข้าวกันดีกว่า เอาเจ้ายาให้รีค่ะ”

บิดามีอคติกับอาชีพแพทย์ไปแล้วนับแต่วันที่เธอหอบความเจ็บปวดเจียนตายกลับมาหา เธอไม่โทษท่านเพราะบิดารักเธอมาก นับแต่มารดาจากไปตอนเธอยังเด็กก็มีแต่ท่านที่คอยดูแลรักใคร่

แก้วกินรีห้ามทัพด้วยการคดข้าวใส่จานให้ทั้งบิดาและเกล้าเศียร ก่อนจะเดินเข้าไปรับเจ้าตัวเล็กจากบิดามาอุ้มเสียเอง บิดาเธออายุมากแล้ว เวลารับประทานอาหารไม่อยากให้มีแก้วกัลยาจอมซนทำให้บิดาลืมตัวเคี้ยวข้าวไม่ละเอียด จนทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กโตขึ้นมากมักจะยื่นมือน้อยๆ คว้าสะเปะสะปะเพราะอยากจะลองกินอาหารดูบ้าง บางครั้งก็ปัดเสียจนช้อนในมือกระเด็น

‘ขอโทษนะคะ’

แก้วกินรีแอบส่งสายตาให้เกล้าเศียร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มละมุนมาให้ ทำให้คนหวงลูกสาวชักสีหน้าไม่พอใจ ต้องหาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจออกไป

“ต่อไปไม่ต้องพาลูกไปหาหมอถึงในจังหวัดแล้วนะเจ้ารี เมื่อเช้าพ่อนนท์บอกพ่อว่าอำเภอของเรากำลังจะมีหมอเด็กคนใหม่ย้ายเข้ามา แถมเขายังจะเปิดคลินิกด้วย ดีจริงๆ เจ้ายาของตาไม่ต้องเดินทางไกลๆ อีกแล้ว”

“หมอเด็กคนใหม่? ใครคะพ่อ” ถามบิดาแต่สายตากลับไม่คลาดจากเกล้าเศียร ในดวงตาเธอกำลังส่งคำถามว่า...คุณหรือเปล่า

เกล้าเศียรส่ายหน้ากลับไป หัวคิ้วเขาชนกันขณะขบคิด ในหัวใจพลันเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาครามครัน จนรอยยิ้มละไมหดหายในทันที

“พ่อนนท์ว่าหมอจากกรุงเทพฯ แต่พ่อก็ไม่ได้ถามว่าชื่ออะไร เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย เออ...ไม่ใช่สิ ชายหรือหญิง”

แรงมากกก

ขนาดไม่ได้หมายถึงเขาเกล้าเศียรยังเสียววูบที่สันหลัง เกิดมาไม่เคยรู้สึกว่าความเป็นหมอเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตมาก่อน กระทั่งวันนี้...

‘อย่าถือสาพ่อเลยนะคะ’

อีกประโยคที่แก้วกินรีส่งให้เกล้าเศียรทางสายตา เธอรู้สึกได้ถึงความกดดันของเขาแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

“เขาจะเข้ามาประจำวันไหนคะพ่อ หนูจะได้แวะเอากระเช้าไปฝากเนื้อฝากตัวสักหน่อย เห็นทีต้องได้พึ่งบ่อยๆ แน่”

แก้วกินรีมักจะไปผูกมิตรกับพยาบาลและแพทย์หรือคนใหญ่คนโตในอำเภอเพื่ออาศัยพึ่งพากัน ก็เธอกับพ่อเป็นเพียงคนแปลกหน้าของที่นี่ หากไม่มีคนรู้จักไว้ช่วยเหลือก็จะลำบากมากกว่าคนพื้นที่พื้นถิ่น

“เดี๋ยวพ่อรบกวนพ่อนนท์ไปถามให้ รายนั้นขออะไรได้หมด ขยันขันแข็ง แถมเป็นคนดีใจซื่อมือสะอาดเหมาะเป็นลูกเขยตากมลที่สุด แกน่ะอย่าใจแข็งมากเจ้ารี พิจารณาเขาด้วยล่ะ”

กมลทิ้งไพ่ข่มให้แพทย์หนุ่มจากกรุงเทพฯ เมื่อเห็นว่าสองหนุ่มสาวยังแอบส่งสายตาให้กัน ให้รู้ไปเลยว่าตำแหน่งลูกเขยของบ้านนี้ได้ถูกหมายตาเอาไว้แล้ว แถมถูกใจว่าที่พ่อตาอย่างหาคนเปรียบได้ยาก ใครก็อย่ามาเสมอตัวสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเป็นอันขาด

“หัวใจคนเราบังคับกันไม่ได้นะคะพ่อ อีกอย่างรีก็ไม่คิดจะมีใครใหม่ทั้งนั้น”

“จะไม่เอาก็ได้ แต่อย่าไปหน้ามืดตามัวเอาหมอเลวๆ มาเป็นลูกเขยพ่ออีกก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นได้กินลูกปืนตั้งแต่หน้าประตูแน่”

“เข้าใจแล้วค่ะ กินข้าวได้แล้วนะคะ”

แก้วกินรีปะเหลาะบิดาอย่างเอาใจ สำนึกอยู่เสมอว่าความผิดพลาดของตนทำให้บิดาผูกเงื่อนปมเพิ่มขึ้นในชีวิต เธอจะโกรธใครก็ได้แต่ไม่ใช่บิดา ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ตาม

“พรุ่งนี้เช้าพ่อจะให้พ่อนนท์มากินข้าวที่บ้าน เตรียมกับข้าวเผื่อพ่อนนท์ด้วยล่ะ” ก่อนจะยอมทำตามกมลยังไม่วายทิ้งท้าย ซึ่งแก้วกินรีก็ทำได้แค่ตอบรับความต้องการของบิดา

“ค่ะพ่อ”

 

หลังมื้ออาหารแก้วกินรีปล่อยให้เกล้าเศียรได้เล่นกับแก้วกัลยาตามเหตุผลการมาของอีกฝ่ายพักใหญ่ ก่อนจะขอตัวพาเจ้าตัวเล็กขึ้นไปอาบน้ำและกล่อมนอนจนหลับ เธอจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมา กะว่าจะไปเคาะประตูห้องพักแขกเพื่อคุยกับเกล้าเศียรเรื่องที่ค้างคาใจ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงศาลาหน้าบ้าน แก้วกินรีจึงเดินลงบันไดไปหา

“อย่าเพิ่งโหม่งเสาเพราะคำพูดพ่อฉันนะคะหมอเกล้า”

“คุณยังไม่นอนอีกเหรอกินรี”

เกล้าเศียรหันกลับมา ใบหน้าเขาไม่ได้เปื้อนยิ้มเพราะยังขจัดเรื่องครุ่นคิดในสมองออกไปไม่หมด ทว่าก็มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นอยู่บางๆ

“ยังไม่ได้ขอโทษหมอเลย จะนอนหลับได้ยังไงคะ”

“ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องขอโทษขนาดนั้น”

“มีสิคะ” แก้วกินรีเดินผ่านเกล้าเศียรไปนั่งบนม้านั่งไม้เคลือบเงาสีมะฮอกกานี ขยับสะโพกเข้าไปให้ขาทั้งสองข้างยกขึ้นจากพื้นและไกวไปมาเบาๆ เล่นกับสายลมยามกลางคืน “อย่างที่หมอเกล้าทราบ เรื่องของฉันกับปราณกันต์สร้างบาดแผลให้พ่อจนท่านอคติกับหมอทุกคนบนโลกนี้ จยกเว้นแค่หมอที่รักษาเจ้ายาเท่านั้น วันนี้ถ้าพ่อพูดอะไรไปหมอเกล้าอย่าถือโทษโกรธท่านเลยนะคะ ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันเอง ฉันผิดเอง”

“คุณจะผิดได้ยังไงกินรี และผมไม่ได้ถือโทษโกรธใครทั้งนั้น ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกว่าคุณลุงรักคุณมาก สิ่งที่ท่านทำสมเหตุสมผลอย่างยิ่งแล้ว ถ้าผมมีลูกสาวที่งดงามทั้งกายและจิตใจอย่างคุณ ผมก็รักและหวงเช่นเดียวกัน”

เกล้าเศียรตามมาหย่อนกายลงนั่งข้างๆ ไม่ได้ไกวขาไปมาเช่นเธอ เขาเพียงขยับสะโพกให้แผ่นหลังชิดกับพนักพิงแล้วยืดแขนทั้งสองข้างเหยียดยาวไปกับพนัก

เขากำลังแอบโอบแก้วกินรีทางอ้อม สำหรับเขาก็ทำได้เท่านี้...

เกล้าเศียรผ่อนลมหายใจเบาๆ กับชะตาด้านความรักของตนเองที่ทั้งน่าเศร้าและขบขัน

“ขอบคุณหมอเกล้าที่เข้าใจค่ะ ว่าแต่ทำไมหมอถึงมาที่จันท์ มันเหมือนจะบังเอิญเกินไปไหมคะ”

“ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

“ฮื้อ...ตอบแบบนี้ก็ได้เหรอคะ”

“หึ ถ้าผมสารภาพว่าวันนี้ตั้งใจมาหาจะโกรธไหม”

“ไม่โกรธค่ะ แต่ไม่เข้าใจ”

“คุณนี่ไม่เคยเข้าใจอะไรผมเลยจริงๆ นะกินรี หกปีก่อนจนกระทั่งตอนนี้” 

ปราณกันต์ใช้วิธีไหนจึงทำให้แก้วกินรีเข้าใจได้ บางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองช้าเกินไป ต้องทำให้เร็วกว่านั้นหรือเปล่า ยิ่งได้เห็นว่ามีหมอเด็กมาใหม่ ใจเขายิ่งรู้สึกร้อนรน

ใช่ เขากำลังกังวลว่าหมอเด็กคนใหม่คนนั้นอาจจะเป็นปราณกันต์! และถ้าใช่นั่นไม่เท่ากับว่าเขากำลังก้าวช้ากว่าปราณกันต์อีกครั้งหรือ

“ฉันจำได้ เมื่อหกปีก่อนบนดาดฟ้า หมอเกล้าบอกว่าฉันคือคนที่เข้าใจคุณที่สุด ทำไมตอนนี้มากลับคำอย่างนี้ล่ะคะ”

“ผมอยากให้คุณเข้าใจผมมากกว่านั้น”

“ยังไงคะ” ยิ่งฟังอีกฝ่ายพูดแก้วกินรีก็ยิ่งสับสน

“ผมอยากให้คุณเข้าใจผมเหมือนป...”

ตุ้บ!

ก้อนหินจากไหนไม่รู้ตกกระทบกระเบื้องหลังคาศาลาจนเกิดเสียงดัง ขัดคำพูดสุดท้ายของเกล้าเศียรได้จังหวะพอดิบพอดี คนในศาลามองหาต้นเหตุแห่งเสียงทันทีแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าท่ามกลางความมืด พวกเขาจึงหันมองหน้ากันแบบเลิ่กลั่ก

“บีหนึ่งกำลังคิดเหมือนบีสองไหม”

“บีสองคิดว่าเราควรจะเข้าบ้านได้แล้ว บีหนึ่งว่าไหม”

“บีหนึ่งเห็นด้วย เข้าบ้านกันเถอะ”

เกล้าเศียรเห็นพ้องและชักชวน ก่อนจะถือโอกาสนั้นจับมือเล็กพาเดินเข้าไปในบ้าน เขาไม่ได้กำลังกลัวสิ่งลี้ลับ เขาคิดว่าท่ามกลางความมืดนั้นตนเองเห็นบางอย่างไหววูบอยู่หลังต้นไม้ เสียงเมื่อครู่เกิดจากฝีมือมนุษย์และนั่นยิ่งทำให้ความกลัวของเขาเพิ่มพูน

“ฉันไม่คิดว่าหมอเกล้าจะกลัวผี”

แก้วกินรีไม่คิดว่าเกล้าเศียรจะคว้ามือเธอแบบทันทีทันใด เธอจึงไม่ทันได้ระวัง รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขาจูงเข้ามาถึงในบ้าน จึงค่อยๆ แกะออกเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากเกินไปกับคนที่กำลังกลัว แต่ก็ไม่คิดว่าคนอย่างนายแพทย์เกล้าเศียรจะกลัวสิ่งลี้ลับ...

“เปล่า” เกล้าเศียรปฏิเสธหน้าตาเฉย

“เอ้า...แล้วทำไมเมื่อกี้หมอเกล้าถามว่ารู้สึกเหมือนกันไหมล่ะคะ”

“ผมหมายถึงมีกิ่งไม้ร่วงมาใส่ คุณไม่ได้คิดแบบนี้เหรอ”

“นี่หมอล้อเลียนฉันเหรอคะ”

แก้วกินรีเผลอฟาดฝ่ามือไปบนต้นแขนเขาอย่างลืมตัวเมื่อเกล้าเศียรทำสีหน้าอึ้งทึ่ง เธอเองก็ไม่ได้กลัวสิ่งลี้ลับจำพวกผีเหมือนกัน ความที่ขาดมารดาแต่เด็กทำให้เธอแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไป ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นซิงเกิลมัมยิ่งทำให้เธอมองเรื่องลี้ลับเป็นเรื่องเด็กน้อย เมื่อครู่ก็แค่ตกใจ หรือจะให้บอกตรงๆ คือกลัวว่าจะเป็นฝีมือคนมากกว่าผี

“ผมแค่จะบอกว่ากลางค่ำกลางคืนอย่าออกไปข้างนอกคนเดียว ฟ้ามืดก็รีบเข้านอน คนสมัยนี้ไม่ได้ใจดีเหมือนอดีต อันตรายเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งในรั้วบ้านตนเอง”

“เหมือนที่หมอฉวยโอกาสจับมือฉันใช่ไหม” ได้ทีแก้วกินรีก็ล้อเลียนเขากลับบ้าง ทว่าเกล้าเศียรกลับยอมรับหน้าตาเฉยเช่นเดียวกับตอนปฏิเสธเรื่องกลัวสิ่งลี้ลับอีกครั้ง

“ผมรอโอกาสนี้มานานแล้วต่างหาก ขึ้นไปนอนได้แล้วและอย่าออกมาอีกนะ” พูดจบร่างสูงก็หันหลังเดินไปทางห้องรับแขก ไม่รอให้เจ้าของบ้านเอ่ยตอบแต่อย่างใด

กว่าหนึ่งนาทีทีเดียวกว่าแก้วกินรีจะเรียกสติตนเองกลับคืนมาและรีบสาวเท้าขึ้นด้านบนอันเป็นห้องนอนตนเอง

เกล้าเศียรไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อนงั้นหรือ!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น