13

บทที่ 13


13

ชาร้อนในกาใบสวยส่งกลิ่นหอมจนทิวเมธทำท่าสูดดมชื่นใจ ทำให้คนที่ยกมาเสิร์ฟหัวเราะเอ็นดูท่าทางนั้นแล้วนั่งลงตรงข้ามเขา

“พี่เมธทำท่าตลกจังค่ะ”

“ชาดีต้องดมก่อนดื่ม ไม่รู้รึไง” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างรื่นรมย์ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าแล้วดื่มโดยไม่เติมน้ำตาลที่เจ้าของร้านนำมาวางบริการ แต่หลังจากที่วางแก้วลง ดวงตาของเขาก็ทอดแววหม่นลงแต่พริบตาเดียวก็หายไป

“ทำหน้าเหมือนคนอกหักเลยนะคะ”

“ไม่หักก็เหมือนหักละ” เขาว่าแล้วรินชาอีกแก้ว “ดาด้า พี่ถามอะไรหน่อยสิ คุณไหมกับคุณอิฐ เขาเป็นแค่เจ้านายลูกน้องกันจริงเหรอ”

ระรินดาพยักหน้า เธอเขี่ยสปาเกตตีซอสดำตรงหน้าที่เพิ่งหัดทำ หมายจะเพิ่มเป็นเมนูในร้าน แล้วพบว่ามันยังมีจุดบกพร่องที่ต้องปรับปรุงรสชาติให้เข้าที่กว่านี้ หญิงสาวทำปากยื่น ก็คงเหมือนมาการองนั่นละ เธอพยายามหัดทำให้รสชาติของมันเหมือนกับที่เธอเคยบรรยายให้เพื่อนรักฟัง

“ทำไมพี่ถึงรู้สึกว่า สองคนนั้นเขา อะไรๆ กันอยู่”

“อะไรๆ นี่คือ อะไรคะ”

“ก็...คุณไหมไม่สบาย ทำไมคุณอิฐต้องพาไปหาหมอ”

คราวนี้ระรินดาเบิกตากว้าง ทิวเมธเลิกคิ้วเป็นเชิงย้ำแล้วพูดต่อ “แถมตอนนั้นนะ คุณไหมลืมถุงยาไว้ในรถเขา พี่แวะไปหาคุณไหม คุณอิฐกลับมาเจอ เขาทำท่าเหมือนหึงคุณไหมด้วย”

“อือ...” ระรินดาทำท่าครุ่นคิดแล้วยืดกายนั่งหลังตรงจ้องมองทิวเมธอย่างตื่นเต้น “หรือว่าเขาจะกลับมาแบบว่า...ถ่านไฟเก่าน่ะค่ะ”

“ถ่านไฟเก่า!” ทิวเมธทำเสียงสูงแล้วสูดปากเมื่อเผลอซดชาร้อนๆ เข้าไป มองหญิงสาวที่พยักหน้าทำท่ารำลึกความหลังตามประสาคนซื่อและช่างพูด ชนิดที่ความลับในโลกล้วนไม่อาจอยู่คู่กับระรินดาได้นาน

“ก็สมัยนู้นน่ะค่ะ พี่อิฐเขาเคยตามจีบยายไหม แต่ก็น้านนานมาแล้ว ไม่ได้เจอกันก็ตั้งนาน เพิ่งจะกลับมาคุยกันตอนที่ไหมมีปัญหาบางอย่าง แต่เรื่องนี้ด้าไม่รู้นะคะ เพราะดูไหมมันซีเรียส ถามทีไรก็เล่าอ้อมๆ จนด้าเลิกถาม คือ...ไหมเป็นคนค่อนข้างไม่พูดมากน่ะค่ะ รู้แต่ว่าพี่อิฐชวนยายไหมไปทำงานด้วย ไหมมันเป็นคนเก่งค่ะ พูดภาษาอังกฤษได้ดี เมื่อก่อนทำงานอยู่แผนกใหญ่ในห้างดัง พี่อิฐให้เงินเดือนเยอะกว่าที่เดิมตั้งเท่าตัวแน่ะค่ะ”

“แสดงว่า พวกเขาอาจจะกลับมารักกัน”

“ไหมมันไม่เคยชอบพี่อิฐ จริงๆ นะ ตอนนั้นพี่อิฐอกหักไปนานเลยละ ไหมมันเป็นคนเฉยๆ ไม่ค่อยพูดจาเล่นหัวกับผู้ชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หรือว่า...” ระรินดาทำท่าคิดแล้วชี้นิ้วไปที่ทิวเมธ “พี่อิฐจะรักเพื่อนด้าจริง”

“นี่ดาด้า สรุปสักทีเถอะ พี่รอฟังจนหัวใจจะหยุดเต้นอยู่แล้ว”

“แหม ถ้าพี่เมธชอบยายไหม พี่เมธก็ต้องจีบสิคะ มานั่งท้ออยู่ทำไม ดอกไม้งามย่อมมากมายด้วยหมู่แมลงอยู่แล้ว”

“อื้อหือ นี่มันสุภาษิตอะไรของเราเนี่ยฮะ”

“ก็...” ระรินดาทำท่าจะเถียงตามประสาคนช่างพูดและสนิทสนมกับคนได้ทุกประเภท แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นอัยย์ศยากำลังผลักประตูร้านเข้ามา ก็ทำตาโตมองทิวเมธ “บุพเพอาละวาดมาแล้วค่ะ เดี๋ยวด้าจะทำเป็นยุ่งๆ กับทุกสิ่งแล้วพี่เมธก็อาศัยจังหวะนี้ทำคะแนน โอเคนะคะ” ระรินดาทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค ยิ้มร่าหันไปทางอัยย์ศยา แต่แล้วต้องหุบยิ้มฉับเมื่อเห็นหน้าเพื่อนรัก

เจ้าของร้านสาวลุกพรวดปรี่เข้าไปแตะรอยช้ำและคราบน้ำตาที่ยังคงทิ้งร่องรอย แม้อัยย์ศยาจะเช็ดมันออกไปหมดแล้วก็ตาม

“ไหม! แกไปทำอะไรมา ทำไมถึง...”

“ฉันมีเรื่องนิดหน่อย อยากคุยกับแก ได้ไหม” อัยย์ศยาพยายามจะยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไร้ความสุขสิ้นดี

ระรินดายังไม่ทันได้พูด ใครบางคนก็เดินเข้ามาสะกิดเธอเพื่อทวงสัญญา เจ้าของร้านสาวอึกอัก ก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อถูกทิวเมธย้ำเตือน ความอยากเป็นแม่สื่อแม่ชักเอาชนะความห่วงใยในตัวเพื่อน แม้จะรู้สึกผิดเล็กๆ แต่ระรินดาก็เชื่อมั่นว่าทิวเมธเป็นสุภาพบุรุษ

“ฉะ...ฉันยุ่งมากเลยอะแก กำลังทดลองสูตรสปาเกตตีตั้งหลายเมนู กะ...แกคุยกับพี่เมธไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอไปเทสต์สูตรก่อน” ระรินดาบอกอย่างไม่สบายใจนัก เมื่อเห็นอัยย์ศยาพยักหน้าอย่างผิดหวัง แต่พอเงยหน้าไปสบตาทิวเมธ เธอก็มั่นใจว่าเขาจะดูแลอัยย์ศยาได้ดีกว่าคนที่พูดจาไร้สาระไปวันๆ แบบเธอแน่

ระรินดาหายเข้าไปหลังร้านพร้อมจานสปาเกตตีของเธอ ทิ้งให้อัยย์ศยายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เธอยังไม่พร้อมที่จะคุยกับคนอื่นตอนนี้ จึงกล่าวลาทิวเมธอย่างสุภาพ

“ไหมขอตัวก่อนนะคะคุณเมธ” หญิงสาวหันหลังเดินอย่างไม่รีบร้อน

 

ร่างเพรียวระหงในชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นสีดำเดินท้าทายสายลมที่กระโชกมาเป็นระยะ โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แสงฟ้าที่แลบแปลบปลาบซึ่งทุกครั้งเธอจะกลัว แต่ตอนนี้อัยย์ศยากลับไม่รู้สึกกลัวอะไรทั้งสิ้น เธอเดินไปเรื่อยๆ จนสายฝนเริ่มโปรยเม็ดจึงหยุดยืนท่ามกลางละอองเม็ดขาวพร่างพราว ความคิดแวบไปถึงขุนพลด้วยความปวดร้าวลึกแสนทรมาน

หลังจากที่เธอออกมาพ้นตรงนั้น เขาก็คงจะระเริงรักกับเปรมพลอยต่อโดยไม่ต้องระวังอะไรอีก คิดแล้วอัยย์ศยาก็สุดกลั้น เธอยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้จนไหล่สะท้านท่ามกลางสายฝนที่เริ่มลงหนาเม็ด จนกระทั่งรู้สึกถึงฝ่ามือหนักที่วางบนบ่าสั่นไหว หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมอง ในความหวังอันริบหรี่ เธอคิดว่าอาจจะเป็นเขา...

แต่ชีวิตจริงไม่ใช่ละคร เธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ขุนพลเป็นเพียงเจ้านายของเธอ เมื่อเหลือบขึ้นไปสบดวงตาเรียวรีของชายหนุ่มที่มีเชื้อสายจีนอยู่ในตัว รอยยิ้มจริงใจของทิวเมธทำให้เธอรู้สึกวางใจ โดยเฉพาะในตอนที่เธอไม่รู้จะหันหน้าไปพูดกับใคร

“ขึ้นรถเถอะครับคุณไหม”

อัยย์ศยาไม่รู้จะดื้อดึง หยิ่งจองหองไปทำไม เวลานี้เธอทั้งหนาวกายและยะเยือกที่หัวใจ จึงยอมให้ทิวเมธโอบประคองไหล่ข้างหนึ่ง กางร่มบังสายฝนพาเธอไปขึ้นรถที่จอดเยื้องออกไปเล็กน้อย

อัยย์ศยาไม่ได้ถามว่าทิวเมธจะพาเธอไปไหน และเหลือบมองนาฬิกาจากคอนโซลรถเห็นว่าเกือบสามทุ่มแล้ว หัวใจทรยศพานคิดไปว่าป่านนี้ขุนพลคงสุขสมและนอนหลับใหลอย่างสบายตัวอยู่บนเตียงกับเปรมพลอย พอคิดอย่างนั้นน้ำตาก็พานไหล จนกระทั่งทิวเมธจอดรถ สติถึงได้กลับคืน มองเห็นแสงไฟสีเหลืองสว่างไสวจากโคมไฟตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยไม้ประดับ

หญิงสาวกวาดตามองรอบบริเวณแล้วคิดว่า หากเป็นช่วงกลางวัน ที่นี่คงจะร่มรื่น มีสายลมพัดผ่านเย็นสบาย แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นยามค่ำคืนทำให้บรรยากาศดูไม่น่าไว้ใจเท่าไร

ทิวเมธคงสังเกตเห็นแววตาไม่วางใจของเธอ เขาจึงหัวเราะเสียงนุ่ม “มันไม่ได้กว้างมากหรอกคุณ แค่สองไร่เท่านั้น ลงไปดูไหมครับ” เขาหันมาจ้องหญิงสาวและโดยไม่รอให้เธอปฏิเสธ ชายหนุ่มก็เอ่ยคำตัดพ้อจากความรู้สึกน้อยใจที่แล่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “ผมดูเป็นคนเลวมากเลยเหรอครับ”

“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ คือว่า ไหมเห็นว่ามันมืด”

ทิวเมธยิ้มเนือยๆ แววตาเจือความหม่นหมองและทำให้อัยย์ศยาเกิดความสงสารเห็นใจ

“ไหมไว้ใจคุณเมธค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ทิวเมธเดินนำอัยย์ศยาไปที่รั้วเตี้ยๆ ปลดล็อกกุญแจแล้วเดินเคียงข้างเธอไปเรื่อยๆ สายลมเอื่อยพัดพาความเย็นจากเม็ดฝนที่ตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลปะทะร่างบอบบางจนหญิงสาวหนาวสะท้าน เดินผ่านพุ่มต้นโมกที่ปลูกเป็นแถวเป็นแนวอย่างสวยงาม เบื้องหลังนั้นมีลำคลองขุดไหลผ่าน สายน้ำยามถูกสายลมพัดเป็นระลอกคลื่นระยิบระยับต้องแสงไฟช่างสวยงาม

“คุณชอบไหม”

คำถามของเขาทำให้อัยย์ศยานึกไปถึงคำถามของใครอีกคน บนชิงช้าแบบนี้ริมทะเลสาบกว้าง...

“ค่ะ”

“ผมคิดว่าคุณคงมีเรื่องเครียด ถ้าคุณไม่อยากเล่าให้ผมฟังก็ไม่เป็นไร ผมจะนั่งเป็นเพื่อนคุณจนกว่าคุณจะอยากกลับ”

“คุณสร้างที่นี่ไว้เหรอคะ”

“ครับ” เขารับคำแล้วอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะทอดสายตาไปยังทิศทางเดียวกับอัยย์ศยา “ผมคิดถึงแม่ ผมก็จะมาที่นี่ เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมเคยไปอยู่บ้านคุณยายที่นครปฐมตอนปิดเทอม ผมจำได้ว่าผมมีความสุขที่สุดก็ตอนนั้น ไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร ลูกพี่ลูกน้องฝั่งแม่กินอยู่กันง่ายๆ เล่นน้ำในคลอง ผมได้ย่ำโคลน ได้ตกปลา ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมใครๆ ถึงพูดกรอกหูผมว่า โคลนตมมันสกปรก ชีวิตชนบทมันยากแค้นและลำบาก แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา หลังจากผมอายุสิบขวบ ผมก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก ผมเลยอยากมีสักที่หนึ่งเอาไว้นั่งพักอารมณ์”

“ทำไมคุณเมธไม่สร้างบ้านล่ะคะ”

เขาหัวเราะเก้อๆ “สร้างไว้อยู่กับใครล่ะครับ ผมอยากได้บ้านเรือนไทยแบบบ้านยาย แต่สร้างไว้ตอนนี้ กว่าผมจะมีครอบครัวมันคงจะผุพังซะก่อนน่ะสิครับ”

“คุณเมธรอบคอบจังนะคะ อืม...แต่ไหมไม่เห็นที่นี่มีไม้ดอกเลยนี่คะ” อัยย์ศยาถามจบก็มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอไม้ดอกเลยสักต้น สายลมที่พัดวูบมาทำให้ร่างเปียกชื้นของเธอหนาวสะท้านจนฟันกระทบกันดังกึก หญิงสาวยกมือขึ้นสวมกอดตัวเอง

อัยย์ศยาเห็นทิวเมธไม่ตอบคำถามจึงเบนสายตากลับมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนชิงช้าตัวเดียวกัน แต่ทิ้งระยะห่างอย่างให้เกียรติเธอ ทว่าสิ่งที่เห็นทำเอาหญิงสาวตกใจ เมื่อชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนหมดแล้วถอดเสื้อออกเหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวอวดกล้ามแขนเป็นมัด ภายใต้กลุ่มเมฆที่เริ่มเคลื่อนมาบดบังดวงดาวบนฟ้า

เขาเห็นแววตาตื่นตกใจจึงเดาความคิดหญิงสาวออก ทิวเมธจึงวางเสื้อลงบนไหล่บางแล้วยิ้มอ่อนให้ “ผมเคยได้ยินเขาพูดกันว่า ถ้าจะดูผู้หญิงว่าสวยจริงหรือเปล่าให้ดูตอนที่เธอเปียกฝน ผมเพิ่งรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง” เขาพูดออกมาจากความรู้สึก อัยย์ศยาตอนนี้ดูเหมือนเด็กสาว ไม่เหมือนหญิงสาวที่แต่งหน้างดงามแต่ดูเยือกเย็น ดวงตาของเธอชวนให้หัวใจเขาหวั่นไหวยิ่งกว่าเดิม เธอดูน่าทะนุถนอมจนทิวเมธคิดอยากปกป้องเธอด้วยชีวิตถ้าเธอต้องการ

“แสดงว่าไหมสวยใช่ไหมคะ” อัยย์ศยาพูดแก้เขินแล้วหัวเราะออกมา

“เปล่าครับ”

“อ้าว” ใบหน้างามส่อเค้าผิดหวังอย่างลืมตัว

ชายหนุ่มหัวเราะที่หยอกให้เธอลืมเรื่องร้ายๆ ไปได้ชั่วขณะ “ตอนที่คุณไหมแต่งหน้าสวยกว่ามากครับ แต่ผมกลับชอบมองคุณตอนนี้มากกว่า คุณดูไม่มีเปลือกเลย คุณดูไม่เย่อหยิ่ง และผมรู้สึกว่าผมจับต้องคุณได้มากกว่า”

                อัยย์ศยาหัวเราะให้ถ้อยคำแสนสุภาพจากหนุ่มหล่อที่เสียสละเสื้อให้เธอคลายหนาว หญิงสาวรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับทิวเมธ ก่อนที่เขาจะชวนเธอไปกินข้าวต้มรอบดึกด้วยกัน

                แม้อัยย์ศยายังไม่รู้สึกหิว แต่ก็ยอมไปนั่งกินข้าวต้มที่ร้านข้างทางแสนธรรมดา อดนึกแปลกใจไม่ได้ว่า คนอย่างทิวเมธทำตัวธรรมดาแบบนี้เป็นด้วยหรือ จากนั้นเขายังอาสาพาเธอขับรถเล่นรอบกรุงเทพฯ กว่าจะไปส่งเธอที่หน้าบ้านก็ปาเข้าไปตีสามกว่าจนหญิงสาวรู้สึกอ่อนเพลีย บอกตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้อีก

                “ขอบคุณนะคะ”

                “ผมโทร. หาคุณได้ไหม” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่ม พอเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสวยก็ใจเต้น รอยช้ำบนใบหน้าของอัยย์ศยาทำให้เขานึกห่วงและอยากรู้สาเหตุ แต่เมื่อเธอไม่บอก เขาก็ไม่ควรถาม เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะถอยห่างจากเขาไปเรื่อยๆ อย่างน้อยวันนี้เธอก็ยังทำให้เขามีความหวัง ถึงเวลาที่สวนริมคลองนั่นจะได้สร้างบ้านเสียที

                ทิวเมธมองตามร่างบอบบางที่หันมาโบกมือลาเขาก่อนจะหายไปหลังรั้วสูงพลางถอนใจ

                ‘บ้านของผมไม่ใช่ที่นั่น ผมจะพาแม่ไปอยู่ที่บ้านของเรานะครับ’

                ประโยคนี้เขาเคยพูดกับแม่ตั้งแต่อายุสิบสองขวบ ตอนที่เห็นแม่ถูกภรรยาอีกคนของพ่อทำร้ายตบตี แม่บอกเขาเสมอว่าเป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง แต่คนเป็นพ่อที่เขารักและเทิดทูนกลับตบหน้าแม่จนฟุบไปกองกับพื้น และประกาศก้องว่าแม่คือคนชั้นต่ำ ไร้การศึกษา

                แม่หนีไปอยู่บนฟ้าเสียแล้ว ทิ้งให้เขาต้องทำหน้าที่ลูกชายต่อบิดาผู้ไม่เคยรักแม่ของเขาเลย

                ทิวเมธขับรถออกไปด้วยความหวังพร่างพราย อัยย์ศยาคือผู้หญิงที่ทำให้เขานึกถึงแม่ เธอเยือกเย็น สุขุม และทำให้เขาอยากปกป้อง...

                ทิวเมธไม่มีทางรู้เลยว่า มีชายหนุ่มอีกคนที่จอดรถซุ่มมองเขากับอัยย์ศยาด้วยหัวใจที่ปวดร้าวอย่างไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะเรื่องที่เขาทำลงไปมันเกินกว่าที่อัยย์ศยาจะรับไหว

 

ปรนัยพร้อมคณะผู้บริหารมาตรวจสาขาประจำปี ระหว่างที่เขาขอแยกตัวหลังเสร็จหน้าที่แล้ว ชายหนุ่มเดินชนกับหญิงสาวคนหนึ่งเต็มเปาตรงหน้าร้านหนังสือ พอเห็นหน้าคนที่เดินชนชัดๆ หัวใจพลันเต้นตึกตักขึ้นมาทันที กาลเวลาสามปีทำให้เธอสวยผุดผาดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก

“น้องเอิง” หนุ่มใหญ่ครางชื่อหญิงสาวที่ท่าทางตกตะลึงยิ่งกว่าเขา

เธอพยายามจะหอบข้าวของเดินหนี แต่ปรนัยอดใจไม่ไหว คว้าเรียวแขนเอาไว้ ยิ่งได้สัมผัสเนื้อนุ่มเนียนที่ร้างลามานาน เขาก็ยิ่งทวีความต้องการในตัวเธอ

ตั้งแต่ปานธีราแทบจะฆ่าอัยย์ศยาตายคาร้านอาหาร อรชิสาก็ป่าวประกาศความน่ากลัวของภรรยาเขาจนแทบไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้ามาเป็นเหยื่ออันโอชะ จะมีก็แต่ผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดในโลกคนนี้

กันย์ณิตาใช้ชื่อพี่สาวจนรอดตัว ไม่ถูกปานธีราตบสักแปะ คิดดังนั้นเขาก็ยิ้มตาเชื่อมให้เธอ

“เอิงครับ ไม่เจอตั้งนาน เป็นไงบ้าง เรียนจบแล้วใช่ไหม”

“จะจบแล้วค่ะ พี่ต่อล่ะคะ โอเคดีอยู่หรือเปล่า” เธอแกล้งถามแล้วหัวเราะขึ้นจมูกเหมือนโกรธเคืองเขา จงใจให้ปรนัยรู้ว่าเธอโกรธที่ภรรยาเขาไปราวีพี่สาวเธอทั้งที่เรื่องจบไปนานแล้ว

“ไม่ค่อยโอหรอกจ้ะ เราไปหาข้าวเย็นกินกันดีไหม พี่หิวข้าว”

กันย์ณิตาทำเป็นไม่อยากไป เธอแบะปากน้อยๆ จนปรนัยต้องอ้อนวอนอยู่นาน กันย์ณิตาจึงยอมไปนั่งในร้านอาหารไทยภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น

 

 

ปรนัยสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ หวังเอาใจหญิงสาวด้วยความหวังใจว่าเธอจะยอมขึ้นเตียงกับเขาหลังมื้ออาหารจบลง จะจ่ายด้วยอะไรเขาก็ยินดีจ่ายละคืนนี้

กันย์ณิตาถ่ายภาพร้านอาหารและเมนูต่างๆ ที่ปรนัยสั่งมา โดยไม่ให้เห็นหน้าเธอกับปรนัย เธอจะทำให้ปานธีราคลั่งตายให้ได้ แต่แล้วเย็นนั้นปรนัยก็ต้องผิดหวังเมื่อกันย์ณิตายืนกรานไม่ยอมไปกับเขา ชายหนุ่มเก็บความหงุดหงิดคลุ้มคลั่งกลับบ้าน กินข้าวกินปลาแทบไม่ได้อยู่สามวัน จนได้พบกันย์ณิตาอีกครั้งโดยบังเอิญ เขาจึงตะล่อมพากันย์ณิตาเข้าโรงแรมม่านรูด แต่หญิงสาวโวยวายว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว

‘เอิง พี่คิดถึงเอิง เอิงอยากได้อะไรคะ บอกพี่นะ’ ปรนัยออดอ้อน แต่กันย์ณิตาทำท่าอึดอัด

‘เอิงก็คิดถึงพี่ต่อค่ะ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่’

กันย์ณิตาเรียกร้องให้ปรนัยพาเธอไปเปิดห้องพักในโรงแรมหรูระดับห้าดาวริมแม่น้ำเจ้าพระยา สั่งไวน์ราคาแพงสุดในโรงแรมมาดื่ม แล้วดับฝันเขาด้วยยานอนหลับ ก่อนจะถ่ายภาพวาบหวิวให้เห็นปลายคางกับแผ่นอกบึกบึนของเขากับเนินอกหมิ่นเหม่ของเธอที่นอนเบียดชิดกันอยู่บนเตียงส่งให้เพื่อนสนิทดู โดยย้ำว่าให้แท็กชื่อโรงแรมตอนที่อัปเดตลงเฟซบุ๊กด้วย

ปรนัยตื่นขึ้นมาพบว่าข้างกายว่างเปล่ามีเพียงกระดาษโน้ต

พี่ต่อเมาไวน์หลับไปก่อน แต่เอิงติดใจเตียงหรูๆ แบบนี้จัง ไว้เจอกันคราวหน้า พี่ต่อไม่ต้องกรอกไวน์ลงคอนะคะ เอามาเทราดตัวเอิงแล้วพี่ต่อก็...ค่อยๆ ดูดกลืน จะได้เมาช้าๆ ดีไหมคะ

ปรนัยทั้งหงุดหงิดทั้งเสียหน้าที่โดนท้าทายจากเด็กสาวที่เขาเป็นคนสอนเธอมาทุกสิ่งอย่าง ชายหนุ่มยังจำได้ไม่ลืมว่ากันย์ณิตาเคยไร้เดียงสาแค่ไหนตอนที่ขึ้นเตียงกับเขา เขารู้สึกเสียเชิงจนหัวอกร้อนรุ่ม เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรจะได้พบกันย์ณิตาอีก

“คุณต่อ!”

ปรนัยสะดุ้งโหยง แทบทำโทรศัพท์หลุดมือเมื่อปานธีราเดินเข้ามาหา เขาหันไปฝืนยิ้มทั้งที่ใจหนักอึ้ง

ปานธีรามองสามีอย่างจับผิด หลายวันมานี้เธอสังเกตเห็นปรนัยหงุดหงิด บางทีก็ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำจนดึกดื่นพร้อมโทรศัพท์มือถือ สาวใหญ่ไม่รอช้ากระชากโทรศัพท์มาจากมือสามีหนุ่ม แต่เขากลับยื้อไว้

“คุณปิดบังอะไรฉันอยู่! เอามานี่นะ”

“ไม่มีอะไรหรอกคุณ ผมคุยกับเพื่อนเก่าน่ะ ลงไปข้างล่างกันเถอะ” ปรนัยลุกขึ้น ยัดโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโอบปานธีรา แต่เธอสะบัดออกสุดแรงแล้วหันมาตบเขาจนหน้าหันชนิดที่ปรนัยอึ้งไปหลายวินาที

“คุณกำลังจะง้อนังไหมอยู่ใช่ไหม ยอมรับมาซะดีๆ นะ ไอ้คนสารเลว เลี้ยงไม่เชื่อง!”

“คุณป่าน!” ปรนัยเจ็บแก้มที่ถูกตบ เขาโกรธจนเผลอเงื้อมือจะตบภรรยาแก่คืน

แต่ปานธีรากลับเชิดหน้าขึ้นแล้วฉวยโอกาสผลักเขาจนล้มไปนั่งบนโซฟาริมหน้าต่างตัวเดิม แล้วตามมาชี้หน้าด่ากราด “คุณเอาเงินไปซื้ออีตัวมานอนด้วย ฉันยังไม่เจ็บเท่าที่คุณรวมหัวกับอีไหมสวมเขาให้ฉัน ฉันอดทนมองคุณมาหลายวันแล้ว วันนี้ฉันจะให้คุณทวงศักดิ์ศรีของฉันคืนมา”

“คุณพูดอะไรของคุณ! ผมไม่รู้เรื่อง ไหมอะไร ผมจะบอกให้นะ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณไหมเลย แล้วผมก็ชักจะอดทนให้คุณทำพฤติกรรมต่ำๆ แบบนี้ไม่ไหวแล้วนะคุณป่าน!”

ปานธีราปรี่เข้าไปตบหน้าสามีฉาดใหญ่ ปรนัยดวงตากร้าว กัดฟันจนอุ้งปากสั่นสะท้าน ยิ่งมองใบหน้าถมึงทึงของภรรยาเขาก็ยิ่งเบื่อหน่ายและใกล้หมดความอดทนขึ้นมาทุกที ปานธีราเปิดบางอย่างก่อนหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอใส่หน้าปรนัย

“คุณพามันไปเปิดโรงแรมคืนละแสน แล้วนี่! คุณดูซะ ใช่รูปคุณไหม คุณคิดว่าฉันโง่มากนักเหรอ จะบอกให้นะ ต่อให้เห็นแค่ปลายนิ้ว ฉันก็จำได้ว่าเป็นคุณ!”

ปรนัยใจหายวูบ ก่อนจะรู้สึกว่าเขาควรจะต่อต้านปานธีราเสียบ้าง จึงทำเป็นโกรธกลบเกลื่อน มองปานธีราแล้วแค่นหัวเราะใส่ผู้หญิงที่กำลังเป็นบ้า “เพราะคุณเป็นอย่างนี้ไง รูปแค่นี้คุณก็ทึกทักเอาเอง ทำไมครับคุณป่าน คุณไหมเป็นคนส่งรูปมาให้คุณหรือไง”

“ไม่ใช่มัน แต่ฉันรู้ว่ามันจงใจให้ฉันเห็น”

“อ้อ สุดท้ายคุณก็ยอมรับว่าคุณเป็นบ้าไปเองคนเดียว” ปรนัยเค้นเสียงใส่ภรรยารุ่นพี่แล้วทำท่าจะเดินหนีปัญหาไปให้พ้นๆ แต่ครั้งนี้ปานธีราตามมากระชากคอเสื้อเขาจากด้านหลังแล้วตบหน้าเขาอีกฉาด

“นี่คุณ!” ชายหนุ่มโมโห ลืมตัว เพราะความเจ็บและโกรธที่ถูกเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพลั้งมือตบหน้าปานธีราไปหนึ่งที พอได้สติ ปรนัยก็เริ่มคิดถึงความไม่มั่นคงในชีวิตหากต้องเลิกร้างกับปานธีราในตอนนี้ เขาก็ยังไม่พร้อม “คุณกล้าทำแบบนี้กับฉันเหรอ!” ปานธีราระเบิดอารมณ์สุดเสียง ไม่เกรงกลัวว่าคนใช้หรือใครจะมาได้ยิน พอตั้งหลักได้เธอก็พุ่งเข้าไปทุบตี ด่าทอปรนัยอย่างบ้าคลั่ง “คนสารเลว คุณกำลังถูกนังนั่นมันปั่นหัว คนชั่ว!”

“ผมขอโทษคุณป่าน ผมไม่ได้ตั้งใจ” ปรนัยพยายามควบคุมอารมณ์โกรธ เขาปัดป้องฝ่ามือของปานธีราที่ซัดลงเต็มแรงไม่หยุด ร้ายกว่านั้นปานธีรายังควบคุมสติไม่ได้ คว้าที่เสียบกระดาษบนโต๊ะทำงานใกล้ๆ มาแทงต้นแขนปรนัย “โอ๊ะ! คุณป่าน! หยุด หยุดได้แล้วผมขอโทษ ผมรักคุณนะ แต่คุณต้องฟังผมบ้างสิ” ปรนัยเอามือกุมบาดแผลที่ถูกปลายแหลมของที่เสียบกระดาษปักคา

ปานธีราพอได้ยินสามีหนุ่มบอกรักก็เริ่มหยุดอาละวาด ยิ่งเห็นผลงานตัวเองที่ทำร้ายเขาจนเลือดไหลก็ยิ่งรู้สึกผิดจนมือไม้สั่น “คุณต่อ ฉันขอโทษ”

ปรนัยเห็นว่ายอมเจ็บแค่นี้ไม่ถึงตาย เพราะอย่างน้อยปานธีราก็หยุดอาละวาด เขาทำสีหน้าเหยเกแล้วเดินเข้ามาสวมกอดร่างสั่นสะท้านของปานธีราไว้

“ไม่เป็นไรครับ แต่ทีหลังคุณป่านอย่าทำผมอีกนะครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงสั่น

ปานธีรารีบพยักหน้าหงึกๆ แล้วกระวีกระวาดพาสามีไปโรงพยาบาล ตลอดทางเขาต้องทนฟังเสียงคร่ำครวญของปานธีราที่นั่งประคองเขาอยู่บนเบาะหลังของรถหรูด้วยความคิดต่างๆ นานา ครั้งนี้ปานธีรากล้าทำร้ายเขาขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าครั้งต่อไปหากมีเรื่องมีราวกันอีก เธออาจควบคุมสติไม่ได้ อาจถึงขั้นคว้าปืนมายิง คว้ามีดมาแทง แล้วเขาจะทำอย่างไร ในสมองของปรนัยมีแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ สดใสของกันย์ณิตา

ชายหนุ่มเหลือบมองภรรยาวัยสี่สิบเจ็ดปีของตนอย่างหมายมาดวาดแผนการในหัว เขาจะไม่เอาชีวิตมาทิ้งกับผู้หญิงแก่ขี้หึง ไร้เหตุผล และยังใกล้บ้าแบบนี้นานนักหรอก

 

ปานธีราเดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย ใจร้อนรุ่มแทบเป็นบ้า เฝ้าโทษตัวเองที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้อัยย์ศยาปั่นหัวจนทำร้ายปรนัย ทั้งที่ยังไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้ดีเสียก่อน แต่สุดท้ายใจสาวใหญ่ก็เต็มไปด้วยความแค้นจนแทบกลัดหนอง ความแค้นที่เธอยกให้อัยย์ศยาเพียงคนเดียว

“นังไหม ต่อต้องเจ็บตัว เสียเลือดเพราะแก ฉันจะเอาคืนแกให้สาสม!” สาวใหญ่พึมพำคนเดียวขณะเดินไปมาไม่หยุด จนเกือบจะชนกับร่างสูงในชุดกาวน์ที่เดินเร่งรีบมายังห้องฉุกเฉิน

“ขอโทษครับ” นายแพทย์หนุ่มกล่าวขอโทษอย่างสุภาพ แล้วเหลือบมองปานธีราที่กลับไปนั่งอย่างกังวลบนเก้าอี้สำหรับญาติผู้ป่วยหน้าห้อง

ดลยุทธ์ผลักประตูหน้าห้องฉุกเฉินเข้าไป เขามีเคสด่วนเป็นหญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอดที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วมีอาการแน่นหน้าอกและเสียดท้องน้อยเป็นระยะ ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นหน้าปานธีรา หลังจากตรวจอาการคนไข้ของเขาแล้ว คุณหมอหนุ่มสั่งผ่าตัดทำคลอดด่วนให้หญิงคนดังกล่าว ขณะเดินผ่านเตียงผู้ป่วยรายอื่น ดลยุทธ์ก็ถึงบางอ้อ เมื่อเห็นปรนัยนอนเลือดโชกอยู่บนเตียง มีพยาบาลกำลังทำแผลให้

“เป็นอะไรมาครับ” ดลยุทธ์เงยหน้าถามพยาบาลสาวขณะที่เขาแวะเซ็นเอกสารอยู่แถวๆ นั้น

“ถูกที่เสียบกระดาษแทงมาค่ะ เข้าลึกด้วยค่ะคุณหมอ มาโรงพยาบาลทั้งที่ที่เสียบกระดาษปักแขน ห้ามเลือดไปสองรอบแล้วยังไม่หยุด สงสัยต้องนอนโรงพยาบาลคืนนี้ค่ะ” พยาบาลสาวบอกพลางทำหน้าหวาดๆ

“เมียแทงมาหรือเปล่า” เขาแกล้งพูดติดตลกจนพยาบาลสาวๆ พากันหัวเราะ

“หมอบอยนี่เดาถูกเป๊ะเลยนะคะ”

ดลยุทธ์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องฉุกเฉิน เขายังเห็นปานธีราผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นสุข นายแพทย์หนุ่มส่ายหน้าหลังจากที่เดินพ้นมาแล้ว ถึงแม้ชายหนุ่มจะมีจรรยาบรรณแห่งความเป็นแพทย์เปี่ยมล้น แต่เขาก็ทนเก็บเรื่องนี้เพียงลำพังไม่ได้จริงๆ คุณหมอหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทร. ถึงขุนพลเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รู้เห็นด้วยความรู้สึกสมน้ำหน้าปรนัยอย่างที่สุด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น