8

บทที่ 8


8
หลังจากที่ล่ำลาบรรดาผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว บุณฑริกและศารทูลก็ออกจากบ้านพัฒนามนตรีและตรงไปที่สนามบินเพื่อกลับกรุงเทพฯ ทั้งคู่ต่างก็นั่งทอดถอนใจกันหลายต่อหลายครั้ง
“ปิ๊กเป็นอะไรหรือเปล่า” ท่าทางซึมกะทือของคนที่ตนเองรักไม่ต่างจากน้องสาวทำให้ศารทูลอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเห็นกับตาว่าก่อนจะจากมา บุณฑริกกับสีหราชทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรง
“เปล่าหรอกค่ะ” บุณฑริกปฏิเสธเสียงเรียบ
“ยังจะมาโกหกอีก!” คนเป็นพี่ดุเสียงหนัก เขาหยุดนิดหนึ่งเหมือนจะชั่งใจแล้วตั้งคำถามอีกครั้ง “คิดถึงนายสีหราชอะไรนั่นเหรอ”
คนปากแข็งทำหน้าเชิดทั้งที่แก้มใสแดงก่ำเมื่อถูกจี้ใจดำ แต่ปากก็ยังไม่วายปฏิเสธ “เปล่าเสียหน่อย ธุระอะไรที่ปิ๊กต้องไปคิดถึงเขาด้วย ปิ๊กคิดถึงยายจุ๊บต่างหาก”
คนที่รู้จักบุณฑริกดีตั้งแต่เยาว์วัยแอบหัวเราะในใจ ยายปิ๊กจอมแสบน่ะเก่งกล้าสารพัด แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยก็คือการโกหก ไม่ว่าปากเธอจะปฏิเสธอย่างไร แต่ศารทูลก็รู้ดีว่าในใจเธอต้องผูกพันกับผู้ชายคนนั้นไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องของการข่มเหงน้ำใจ เพราะดูอย่างไรก็เต็มใจทั้งสองฝ่าย แถมไม่คิดว่าเป็นเรื่องของความเผลอไผล
บุณฑริกไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่เคยถูกผู้ชายเกี้ยวพาจนต้องหลงไปกับคารมของใคร ตรงกันข้าม มีเข้ามาไม่ขาดสายต่างหาก แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าเธอจะรักใคร่ชอบพอใคร จนพวกผู้ใหญ่ต้องจับใส่พานมาให้เขาดูแลนี่ละ แม้จะรู้ดี แต่ก็ยังไม่วายอยากแกล้ง
“ดีแล้ว อย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นจะดีกว่า ท่าทางนิสัยไม่ดีหรอก ดูอย่างนายคนน้องที่เป็นดารานั่นปะไร เอาตัวยายจุ๊บไปเฉยเลย”
“คือ...ความจริงเขาก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ” บุณฑริกอ้อมแอ้มแก้ตัวให้พี่น้องพัฒนามนตรีแบบไม่เต็มปากเต็มคำนัก
“ไม่จริงมั้ง พี่ว่าแย่อยู่นะ” คนเป็นพี่ยังคงยืนยัน
“นี่! อย่างพี่เดียวน่ะว่าคนอื่นได้ด้วยเหรอ ตัวเองก็ใช่ย่อยที่ไหน แล้วนี่ไปทำอะไรเกรซเขาล่ะ ไหนว่าพี่น้องบ้านนี้นิสัยไม่ดี แล้วพี่เดียวไปยุ่งกับเขาทำไม สารภาพมาเลยนะ ไปอยู่บ้านเขาแล้วยังไปลวนลามลูกสาวเขาอีก พี่เดียวแย่ที่สุดเลย!” จำเลยอย่างบุณฑริกพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายซักฟอกบ้าง แต่คนชั่วโมงบินสูงอย่างศารทูลนั้นมือหรือจะหวั่นเกรง
“เรื่องของผู้ใหญ่ เราจะมายุ่งทำไม”
“ผู้ใหญ่บ้าอะไรล่ะ! เกรซเขาอายุเท่าปิ๊กนะ” บุณฑริกแหวใส่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามเลี่ยง
“อายุเท่ากัน แต่ว่าเขากำลังจะมาเป็นพี่สะใภ้เรา ปิ๊กก็ต้องนับถือว่าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าสิ” ศารทูลตอบหน้าตาย ในขณะที่บุณฑริกเบิกตากว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“พี่สะใภ้เหรอ! ตกลงพี่เดียวเอาจริงเหรอเนี่ย มันไม่ใช่อุบัติเหตุหรือความบังเอิญใช่ไหม ปิ๊กคิดว่าพี่ทำอย่างนี้เพื่อรักษาหน้าให้เกรซเขาเฉยๆ เสียอีก” หญิงสาวซักถามถี่ยิบ
“อ้าว! ก็ต้องจริงจังสิ ขืนพี่ทำเล่นๆ ปิ๊กก็จะลำบากไปด้วยนะ คงมองหน้ากันลำบากเพราะเราจะไปเป็นสะใภ้บ้านนั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นเราต้องหาทางให้เกรซเขาตกลงกับพี่ซะดีๆ ทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข” ศารทูลเอ่ยพร้อมทั้งยักคิ้วให้ รวบรัดเสร็จสรรพว่าอีกฝ่ายต้องร่วมมือกับเขา ทำเอาบุณฑริกตกตะลึงอีกรอบก่อนจะแหวใส่อีกครั้ง
“อย่ามาเอาปิ๊กไปอ้างนะ อย่างพี่เดียวน่ะเหรอจะยอมหมั้นยอมแต่งเพียงเพราะเห็นแก่ปิ๊ก” บุณฑริกใส่ไม่ยั้งก่อนจะเพ่งพิศคนตัวโตที่นั่งข้างๆ อย่างพินิจพิเคราะห์กว่าเดิม
ศารทูลนั้นลื่นยิ่งกว่าปลาไหล แถมยังมีผู้หญิงมาเกี่ยวพันด้วยจนนับไม่ถ้วน คนอย่างเขาไม่เคยปล่อยให้ใครจับได้ติดถ้าหากว่าไม่เต็มใจซะเอง แม้เหตุการณ์ระหว่างเขากับเกสรีจะมีพยานรู้เห็น แต่หากเขาไม่เต็มใจใครก็ลากให้ไปรับผิดชอบไม่ได้ ทีกับพวกผู้หญิงที่เขาเคยควงก็แทบจะเรียกได้ว่ามีพยานรู้เห็นทั้งประเทศ เขายังไม่แคร์สักนิด แต่นี่เจ้าทุกข์อย่างเกสรีไม่อยู่เอาเรื่อง ศารทูลก็ยังพาตัวเองไปหาเรื่องเสียเองด้วยการสัญญาว่าจะพาผู้ใหญ่ไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย สิ่งที่เกิดขึ้นมันบอกได้อย่างเดียวว่าศารทูลเต็มใจยิ่งกว่าเต็มใจที่จะให้ชีวิตของเขาผูกพันอยู่กับเกสรี
“นะ...นี่พี่เดียวชอบเกรซเขาเหรอ!” บุณฑริกสรุปความเข้าใจของตนเองแล้วยิงคำถามทันที
ศารทูลอมยิ้มแก้มตุ่ย ดวงตาขี้เล่นก็พราวระยับแล้วถามกลับบ้าง “รู้ได้ยังไง”
“ก็คนอย่างพี่เดียว ถ้าไม่รักไม่ชอบจะยอมหมั้นยอมแต่งเหรอ อย่าพูดถึงกรณีของปิ๊กนะ เพราะเราต่างก็รู้ดีว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร” บุณฑริกรีบดักคอเอาไว้ก่อน
ศารทูลแสร้งถอนหายใจเพราะกำลังยกตัวอย่างเรื่องนี้พอดี จึงส่งยิ้มให้เธอนิดๆ แล้วเลี่ยงไปอีก “ตอบแบบสุภาพบุรุษได้ไหม ประมาณว่าพี่อยากรับผิดชอบเพราะทำให้ชื่อเสียงเขาเสียหาย”
บุณฑริกแยกเขี้ยวใส่สุภาพบุรุษก่อนจะเอ่ยด้วยความหมั่นไส้ “แหม...ถ้าคนอย่างพี่เดียวชอบแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ป่านนี้คงมีเมียเป็นโขลงแล้ว เห็นแต่ทำตัวเป็นบุรุษที่ไม่สุภาพอยู่ตลอดเลย”
คนถูกเหน็บแนมทำเสียงจึ๊กจั๊กด้วยความขัดใจเมื่ออีกฝ่ายไม่คล้อยตามแถมยังดักคอตลอด จึงได้แต่ตอบเสียงสะบัด “เออๆ พี่ชอบเขามากกว่าคนอื่น พอใจหรือยัง”
คราวนี้บุณฑริกทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก ครางออกมาเหมือนไม่อยากจะชื่อ “นี่สมองพี่เดียวกระทบกระเทือนหรือเปล่า พี่เพิ่งเจอเกรซเขาไม่ใช่หรือไง”
“ใครบอกเรา พี่เจอเขาก่อนหน้านั้นอีก ไม่อย่างนั้นจะอยากอยู่ที่ไร่นั่นต่อทำไม แล้วเราน่ะว่าคนอื่นเขาได้ด้วยเหรอ เราเจอนายสีหราชนั่นกี่วันกันเชียว” ศารทูลย้อนเอาบ้าง เล่นเอาคนที่ซักฟอกเขาแต่แรกถึงกับจ๋อยบ้าง
“แหม...ปิ๊กก็แค่อยากรู้ ก็ปกติพี่เดียวน่ะเพลย์บอยตัวพ่อ ปิ๊กก็อยากรู้สิว่าทำไมถึงมายุ่งกับเกรซ เขาเป็นเพื่อนปิ๊กไง ปิ๊กไม่อยากให้พี่เดียวมาวอแวถ้าไม่จริงใจ”
ศารทูลยกมือขึ้นไปโยกศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู นี่เป็นข้อดีของบุณฑริกที่เขาทราบมาแต่ไหนแต่ไรจนยอมตามใจผู้ใหญ่ที่คิดจะให้เขาและเธอหมั้นกัน แม้จะเด็กและดูไม่อยู่กับร่องกับรอยในบางครั้ง แต่เรื่องของน้ำใจบุณฑริกไม่เป็นสองรองใครเลย
ดูแต่ตอนนี้ที่เรื่องของตัวเองก็ยังไม่ลงตัว แถมน่ากังวลกว่า เพราะดูท่าแล้วความสัมพันธ์ของเธอกับสีหราชคงเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน แต่บุณฑริกก็ยังออกรับแทนเขาจนขัดใจกับฝ่ายนั้น นี่ก็ยังมาห่วงเรื่องของเกสรีและตระการตาจนลืมห่วงตัวเองอีก คนเป็นพี่จึงได้แต่รับรองให้เธอสบายใจ
“ปิ๊กอย่าห่วงเลย เรื่องเกรซพี่จะจัดการเอง ไม่ทำอะไรชุ่ยๆ แน่นอน สบายใจได้เลยนะ ถ้าพี่ไม่แน่ใจพี่คงไม่คิดจะพาผู้ใหญ่มาพบพ่อแม่เขาหรอก อย่าห่วงเลยยายตัวยุ่ง” ศารทูลรับรองพร้อมทั้งทำทีเป็นหลับตาลงเพื่อตัดบทการสนทนาไปดื้อๆ
ยายตัวยุ่งของศารทูลค่อยยิ้มออกเมื่อคนเป็นพี่รับรองแข็งขัน แม้ชีวิตส่วนตัวจะค่อนข้างอีลุ่ยฉุยแฉก แต่ว่าเธอก็รู้ดีว่าคนอย่างศารทูลรับผิดชอบคำพูดของตัวเองเสมอ จึงเบาใจเกี่ยวกับเรื่องของเกสรีลงได้บ้าง และเมื่อเบาใจก็เริ่มอยากรู้ว่าอะไรทำให้เขารู้สึกว่าเกสรีต่างจากคนอื่นๆ จนอดเลียบเคียงถามไม่ได้ “พี่เดียวปิ๊กถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไรของเราอีกล่ะ!” คนเป็นพี่จึ๊กจั๊กเมื่ออีกฝ่ายไม่หยุดซัก
“พี่เดียวชอบเกรซตรงไหนเหรอ เขาต่างจากผู้หญิงคนอื่นของพี่เดียวยังไง” หญิงสาวซักอย่างอยากรู้อยากเห็น
ศารทูลถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนรำคาญคนอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ยอมตอบทั้งๆ ที่ไม่ยอมลืมตาขึ้นมา เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเห็นแววตาตัวเอง ปัดโธ่! ถามอะไรแบบนั้น คำถามนั้นเขาเองก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยเอาเหตุการณ์ประทับใจครั้งหลังสุดมาตอบบุณฑริก “ก็เขาจะเอาไฟมาชอร์ตพี่”
คำตอบของคนเป็นพี่ทำเอาบุณฑริกถึงกับเบิกตากว้าง นี่ศารทูลเป็นบ้าไปแล้วหรือไงที่ไปตกหลุมรักคนที่จะเอาไฟมาชอร์ตตัวเอง แต่พอนึกถึงวิธีการชอร์ตที่สีหราชเคยทำกับเธอก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ บางทีศารทูลก็อาจจะรู้สึกเหมือนกันกับเธอก็เป็นได้
หญิงสาวคิดด้วยความเขินอาย อดคิดไม่ได้ว่าพี่น้องพัฒนามนตรีช่างทำตัวเหมือนเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าก็ไม่ปาน!
เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ศารทูลกับบุณฑริกก็ร่วมกันจัดการปัญหาเรื่องตระการตาก่อนเป็นลำดับแรก โดยบุณฑริกอาสาจะชดใช้หนี้สินให้แทน แต่ตระการตาปฏิเสธ โดยอ้างเหตุผลว่าอยากรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองก่อ รวมถึงอยากหัดยืนด้วยลำแข้งตัวเองบ้าง ทำให้พวกเขาจำใจยอมตามใจให้เธอทำงานใช้หนี้นฤเคนทร์ต่อไป เพราะถือว่านี่เป็นการขอร้องอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิตของตระการตา
นอกจากนี้ทั้งสองคนยังปกปิดเรื่องของบุณฑริกกับสีหราชไม่ให้ผู้ใหญ่รับรู้อีกด้วย เพราะบุณฑริกขอร้องไว้เช่นกัน เนื่องจากจนป่านนี้สีหราชยังไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบในตัวบุณฑริกแต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้ศารทูลหัวเสียอย่างมาก อดเข่นเขี้ยวพี่น้องพัฒนามนตรีอยู่ในใจไม่ได้ที่มีทั้งประเภทไม่มีความรับผิดชอบ และประเภทไม่อยากให้ใครมารับผิดชอบ คนที่อยากรับผิดชอบในตัวแม่สิงห์สาวจึงอดหงุดหงิดงุ่นง่านไม่ได้
ศารทูลมองเบอร์โทรศัพท์ของคนฤทธิ์มากที่ขอมาจากแม่เลี้ยงรินรดาแล้วตัดสินใจโทร. ออกทันที นั่งฟังเสียงรอสายด้วยหัวใจระทึกราวกับหนุ่มรุ่นกระทงที่เพิ่งริลองจีบสาว
เกสรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองเมื่อมีสัญญาณเรียกเข้า แต่เบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอซึ่งไม่คุ้นตาทำให้ลังเลอยู่นานพอสมควร แต่ก็ตัดสินใจรับในที่สุด
“สวัสดีค่ะ” สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญากรอกเสียงทักทายตามมารยาท
“เกรซ”
คิ้วของเกสรีขมวดมุ่น เพราะเสียงที่เรียกชื่อเธอเมื่อกี้จะว่าคุ้นหูก็คุ้น จะว่าไม่คุ้นก็ได้เช่นกัน คล้ายกับว่าเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เสียงของคนคุ้นเคยที่จำได้ติดหู แต่ฝ่ายนั้นเรียกชื่อเล่นเธอ ก็เลยคาดว่าน่าจะเป็นคนรู้จักกัน อาจจะเป็นเพื่อนสักคนที่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ แต่ยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นใคร อีกฝ่ายก็ชิงพูดต่อก่อนราวกับกำลังร้อนใจ
“นี่ผมเองนะ เดียว”
“นาย!” เกสรีอุทานลั่นเมื่อทราบว่าใครโทร. มา “นี่นายไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหน!”
“ขอมาจากแม่คุณ” ศารทูลอ้อมแอ้มตอบ
เกสรีกลืนคำต่อว่าทั้งหลายลงไปเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมาจากไหน ได้แต่สอบถามเสียงห้วนราวกับมะนาวหน้าแล้ง “แล้วโทร. มาทำไม”
“ก็...” ศารทูลอึกอักพูดไม่ออก อยากจะบอกว่าคิดถึงแต่กลัวโดนด่าจึงเฉไฉไปเรื่องอื่น “ก็อยากรู้ว่าเรื่องของเราคุณจะเอายังไง”
“เรื่องของเราอะไรอีก คุณก็รู้เท่าที่ฉันรู้ว่ามันไม่มีอะไรสักหน่อย” เกสรีตวาดเสียงเขียว
“ทำไมจะไม่มี ก็ผมจูบคุณไง จำไม่ได้เหรอ ก็ต้องรับผิดชอบคุณสิ”
“กรี๊ด!!! อีตาบ้า เลิกพูดเรื่องนั้นสักทีได้ไหม” เกสรีกรีดเสียงไปตามสาย
“เรื่องไหน”
“ก็เรื่อง...เรื่อง...เรื่องจูบบ้าบออะไรนั่นแหละ เลิกพูดสักทีได้ไหม” เกสรีอายจนแทบพูดไม่ออก ตอนท้ายก็เลยใช้เสียงข่มแบบเดิม
“ก็ถ้าคุณยอมให้ผมรับผิดชอบคุณแต่โดยดี เราก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้กันซ้ำไปซ้ำมาหรอก” เสือหนุ่มตอบเสียงอ่อย
“โอ๊ย! ก็ไหนคุณบอกว่านี่มันเรื่องธรรมดาๆ แล้วจะมารับผิดชอบฉันทำไมไม่ทราบ” เกสรีเท้าความถึงวันที่เขากับเธอพบกันครั้งแรกที่คลับของชลธี ซึ่งตอนนั้นศารทูลยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าการจูบกันของเขากับลอร่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำกัน
“ผมจูบกับคนอื่นมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่กับคุณมันไม่เหมือนกันนี่” เสือเพลย์บอยแถไปอีกทาง
“ไม่เหมือนแบบไหน” เกสรีถามเสียงเขียว ใจนึกอยากจะวางสายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะตามตอแยไม่หยุด ทำราวกับว่าเขาเป็นสาวพรหมจรรย์ที่ตามทวงความรับผิดชอบจากเธออย่างไรอย่างนั้น ก็เลยคิดว่าควรจะพูดกันให้เคลียร์ไปเลยดีกว่า
“ก็คนอื่นมันเป็นแบบคนเคยๆ กัน แต่คุณไม่เคย ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ”
เกสรีอยากจะยกมือขึ้นมาทึ้งผมตัวเองอีกสักรอบเมื่อได้ยินคำว่ารับผิดชอบอีกครั้ง นึกโมโหศารทูลที่ทำตัวเหมือนแผ่นเสียงตกร่องที่เอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำๆ อยู่ได้ จึงพยายามตัดปัญหา “ฉันก็เคยแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องมารับผิดชอบฉันหรอก”
“จะโกหกอะไรก็ให้มันแนบเนียนหน่อยสิคุณ”
“อะ...อะไรนะ”
“ผมบอกว่าริจะโกหกก็ต้องให้มันแนบเนียนหน่อย ยังไม่มีประสบการณ์ยังแค่นจะมาคุย วันนั้นคุณแทบจะเป็นลมคาอกผมอยู่แล้ว ยังจะกล้าบอกว่าเคยอีก คนเคยแล้วเขาไม่เป็นแบบคุณหรอก ต้องแบบผมนี่ หายใจสบายดี ไม่ใช่ผมไม่ตื่นเต้นนะ จูบกับคุณผมตื่นเต้นมาก แต่ผมมีประสบการณ์ไงเลยยังสบายดีอยู่ แต่คุณน่ะไม่เคยถึงได้จะเป็นลม” ศารทูลเปิดโปงแบบไม่ไว้หน้า
เกสรีเบิกตากว้างอยู่อีกฝั่ง ใบหน้างดงามแดงแปร๊ดอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ตรงหน้า เธอแทบจะนึกภาพออกเลยด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไร ได้แต่ต่อว่าปากคอสั่น “อีตาบ้า! ตาคนหน้าไม่อาย”
“อ้าว ผมแค่อธิบายให้ฟัง” ศารทูลรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ไม่ต้องมาอธิบายอะไรให้ฉันฟังอีกแล้ว ฉันไม่อยากคุยกับคนหน้าไม่อายแบบคุณ ไม่ต้องโทร. มาหาฉันแล้ว” เกสรีแหวใส่ก่อนจะวางสาย เพราะสุดจะทนกับความหน้าด้านของอีกฝ่าย
คนโดนวางสายใส่กะพริบตาปริบๆ อยู่อีกฝั่ง ไม่รู้ว่าจะเอาใจคนขี้โมโหอย่างไรดี ปกติพวกผู้หญิงที่ผ่านมาของเขาล้วนแต่อยากให้ตัวเองดูบริสุทธิ์ผุดผ่องกันทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกทั้งสองฝ่ายว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่นี่เขาอุตส่าห์ยืนยันให้เกสรีด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องให้เธอลำบากอธิบายแบบคนอื่นๆ แล้วทำไมนอกจากเธอจะไม่ซึ้งแล้วยังมาด่าเขาอีกต่างหาก
โดนด่ายังไม่เท่าไร แต่โดนห้ามไม่ให้โทร. หาอีกนี่สิที่สาหัสกว่า ไม่ให้โทร. หาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะเอายังไงต่อ จึงได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอย่างเดิม
ในขณะที่เสือเมืองกรุงงุ่นง่าน สิงห์หนุ่มจากเชียงรายอย่างสีหราชก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน เพราะอยากจะแล่นไปรับตัวภรรยาตามพฤตินัยมาแต่งงานด้วยใจจะขาด แต่งานนี้ยังมีก้างชิ้นโตอย่างศารทูลซึ่งรั้งตำแหน่งคู่หมายขวางทางรักอยู่
เท่าที่เขาคุยกับบิดามารดาทราบมาว่าดูเหมือนฝ่ายนั้นเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นน้องสาวของเขาแล้ว แถมพวกท่านยังเกลี้ยกล่อมจนเขายอมเชื่อว่าไอ้หมอนั่นก็มีความดีอยู่พอสมควร ที่สำคัญก็คือศารทูลบังอาจมาแตะต้องไข่แดงของพวกเขาไปแล้วเสียด้วย งานนี้สีหราชจึงเห็นว่าควรจะยืมมือเกสรีมาดึงศารทูลออกไปให้พ้นๆ ทางรักของตัวเองเสียก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง คิดพลางรีบต่อโทรศัพท์ไปหาน้องสาวทันที
“เกรซ พี่มีเรื่องอยากให้ช่วย”
“เดี๋ยวๆ นี่มันอะไรกันคะ” เกสรีรีบเบรกไว้ก่อน เนื่องจากรับสายปุ๊บ คนเป็นพี่ก็พูดสวนมาปั๊บแบบไม่มีการเกริ่นนำหรือทักทายอะไรทั้งนั้น
“พี่อยากให้เกรซช่วยเรื่องปิ๊กหน่อย” สีหราชเอ่ยแบบไม่อ้อมค้อม
“เรื่องปิ๊ก?” เกสรีทวนคำเบาๆ หน้าสวยๆ เหยเกไปบ้างเมื่อคิดว่าก็เพราะเธออยากช่วยสีหราชกับบุณฑริกนั่นละเรื่องมันถึงได้ยุ่งแบบนี้ แต่น้ำเสียงร้อนใจของพี่ชายก็ทำให้ไม่อาจเพิกเฉยได้ “จะให้เกรซช่วยยังไงล่ะคะ”
“คือว่า...คือ...” สีหราชเองก็ลังเลไม่น้อย เพราะจะว่าไปก็หวงน้องสาวอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญก็รู้ว่าเกสรีไม่น่าจะสนใจศารทูลเท่าไรนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่เปิดหนีไปแบบนี้
“พูดมาเถอะค่ะพี่ราช” เกสรีเป็นฝ่ายกระตุ้นเมื่อเห็นคนเป็นพี่ลังเล ที่ผ่านมาสีหราชวางตัวเป็นพี่ใหญ่ มีแต่ดูแลเธอกับนฤเคนทร์ น้อยครั้งเหลือเกินที่จะออกปากให้น้องๆ ช่วยเหลืออะไรสักอย่าง ครั้งนี้ถ้ามีหนทางที่ดีกว่า เธอเชื่อว่าเขาคงไม่อยากรบกวนเธอ
“เกรซก็รู้ใช่ไหมว่าพ่อแม่ปิ๊กอยากให้เขาแต่งงานกับนายเดียวนั่น” สีหราชเริ่มเกริ่น
“ค่ะ ทราบ แม่บอกเกรซแล้ว” เกสรีตอบไปตามจริง ถ้าไม่รู้เธอคงไม่ไปอาละวาดศารทูลจนเรื่องบานปลายขนาดนี้หรอก
“ถ้าเป็นไปได้ พี่อยากให้เกรซช่วยกันหมอนั่นออกไปหน่อย” สีหราชอ้อมบอก
“ยังไงล่ะคะ อีตานั่นหน้าด้านจะตาย ขนาดคราวที่แล้วเกรซบอกให้เขาหลีกทางให้พี่ราชกับปิ๊ก เขายังไม่ฟังเลย แถมยัง...” เกสรีปล่อยให้ประโยคนั้นขาดหายไปเฉยๆ เมื่อนึกถึงบทสรุปของการปะทะกันระหว่างเธอกับศารทูลในครั้งนั้น ยกมือขึ้นมาถูริมฝีปากด้วยความขัดใจเหมือนอย่างทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้
“พี่รู้เรื่องปิ๊กกับไอ้หมอนั่นแล้ว”
ประโยคนั้นทำให้ใบหน้าของเกสรีร้อนวูบขึ้นมาอีก ไอ้ที่เขาว่าความลับไม่มีในโลกคงจะเป็นแบบนี้สินะ เรื่องที่เธอจูบกับศารทูลถูกบุคคลที่สาม สี่ ห้า รับรู้ต่อกันไปเรื่อยๆ จึงได้แต่เอ่ยกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงแง่งอนเพื่อข่มความอาย “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยค่ะ เกรซจะบ้าตายอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าอีตานั่นถูกผีอะไรเข้าถึงได้เอาแต่พล่ามว่าจะรับผิดชอบเกรซ เมื่อกี้ก็เพิ่งโทร. มาพูดเรื่องนี้แหละ แม่ไปให้เบอร์โทร. เกรซกับหมอนี่ทำไมก็ไม่รู้”
“ก็เพราะอย่างนี้แหละพี่ถึงอยากให้เกรซช่วย”
“พี่ราชหมายความว่ายังไงคะ”
“คือ...พี่อยากให้เกรซรับปากหมอนั่นไปก่อน อย่างน้อยก็ให้เขายอมปล่อยมือจากปิ๊กจริงๆ พี่ว่าตอนนี้คนที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คงมีแต่เกรซ” สีหราชเอ่ยแบบไม่เต็มเสียงนัก
“มะ...หมายความว่าพี่ราชจะให้เกรซแต่งงานกับอีตานั่นแทนปิ๊กเหรอคะ” เกสรีถามคนเป็นพี่ปากคอสั่น
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ก็แค่อยากขอให้เกรซยอมเออออกับเขาไปก่อน บอกว่าจะหมั้นหรืออะไรก็ว่ากันไป ขอแค่ให้ผ่านช่วงที่พี่กับปิ๊กปรับความเข้าใจกันได้ก่อนก็พอ”
เกสรีอึ้งไปพักใหญ่ ไม่สามารถรับปากคนเป็นพี่ได้ทันทีเพราะเรื่องมันกะทันหันเกินไป ที่ผ่านมาทุกคนในครอบครัวค่อนข้างหวงเธอพอสมควร มีก็แต่คราวอีตาศารทูลนี่ละ ที่ใครๆ ก็เหมือนจะสนับสนุนอยู่กลายๆ ทำราวกับว่าเธอพลาดท่าเสียทีอีตานั่นไปแล้วอย่างนั้นละ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะลองหาวิธีอื่นดู” สีหราชเอ่ยเสียงอ่อนเมื่อเห็นว่าคนเป็นน้องเงียบไป
“ไม่ใช่ค่ะ! พี่ราช เกรซแค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อยเองค่ะ เกรซจะไม่ช่วยพี่กับปิ๊กได้ยังไงล่ะคะ” เกสรีละล่ำละลักบอก
“ถ้ามันทำให้เกรซไม่สบายใจจนเกินไป พี่ก็ไม่อยากให้ฝืน แต่ว่าพี่กับปิ๊ก...ปิ๊กเขา...”
สีหราชอึกอักพูดไม่ออก เขาเพิ่งได้บทเรียนจากการพูดพล่อยด้วยแรงอารมณ์มาหมาดๆ จนไม่กล้าพูดจาให้บุณฑริกเสียหายอีกแล้ว ถึงแม้ว่าคนที่สนทนากันอยู่จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ตาม จึงรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากไม่มีผิด ที่สำคัญก็คือตามปกติแล้วเขามีแต่ดูแลให้น้องๆ สุขกายสบายใจ ไม่เคยคิดอยากให้ลำบากใจสักนิด แต่ตอนนี้ที่ร้อนใจจนต้องใช้ทางลัด ก็เพราะห่วงบุณฑริกมากนั่นเอง ความสัมพันธ์ล้ำลึกที่มีต่อกันโดยปราศจากการป้องกันในค่ำคืนนั้นทำให้เขากังวลถึงผลพวงที่อาจจะตามมา จึงไม่อาจทอดเวลาให้นานไปกว่านี้ได้
เกสรีฟังน้ำเสียงอึกอักไม่ฉะฉาน ซึ่งผิดวิสัยของคนเป็นพี่ก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น แต่พอทบทวนอะไรขึ้นมาได้ก็ถึงบางอ้อ ใบหน้าของสาวใสไร้ประสบการณ์ร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกได้ว่าคืนนั้นสีหราชพาบุณฑริกหายไปทั้งคืน อดคิดซุกซนตามประสาว่าทั้งคู่คงมีอะไรเกินเลยกันไปแล้วกระมัง ไม่อย่างนั้นพี่ชายเธอคงไม่ร้อนใจจนถึงขั้นมาขอความช่วยเหลือจากเธอแบบนี้
ยิ่งคิดว่าบุณฑริกเป็นภรรยาตามพฤตินัยของสีหราชแล้วก็ถือว่าเป็นพี่สะใภ้ของเธออย่างเต็มตัวก็ยิ่งนิ่งดูดายไม่ได้ งานนี้เอาไงเอากัน!
“พี่ราชไม่ต้องกังวลนะคะ เกรซจะช่วยอย่างเต็มที่เลยค่ะ จะเตะนายศารทูลนั่นให้กระเด็นออกจากชีวิตของพี่ราชกับปิ๊กให้ได้เลยค่ะ” สายเลือดแห่งความรักพวกพ้องของสิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาเดือดพล่านอีกครั้งอย่างฮึกเหิม ลืมคิดไปว่าการเตะศารทูลออกจากชีวิตของสีหราชกับบุณฑริกนั้น อาจจะทำให้ฝ่ายนั้นหลุดเข้ามาในวงโคจรของเธอแทน
“ขอบใจมากเกรซ ขอบใจจริงๆ” สีหราชเอ่ยขอบคุณน้องสาวด้วยความซาบซึ้งใจ
“อย่าขอบใจเปล่าๆ นะคะ ขอค่าจ้างด้วย” คนขี้งกประจำบ้านรีบทวง
“ไหนว่าเต็มใจช่วยไง” คนเป็นพี่ท้วงขำๆ คุยกันอย่างผ่อนคลายมากขึ้น เพราะรู้ว่าถ้าพูดเรื่องเงินขึ้นมาเมื่อไรแสดงว่าเกสรีกำลังอารมณ์ดี “แล้วจะเอาเท่าไร”
“ช่วยให้ได้เมียเป็นตัวเป็นตนทั้งที ขอสักห้าล้านได้หรือเปล่า” คนงกลองหยั่งเชิง
“ทำไมจะไม่ได้”
“อุ๊ย! ป๋าจริง ตั้งแต่จะมีเมียนี่ป๋ามาก งั้นตกลงตามนี้ บอกมาเลยว่าเกรซต้องทำอะไรบ้าง” เกสรีถามเสียงใส การได้ช่วยพี่ชาย แถมยังได้เงินเป็นของแถม ทำให้เธอคิดว่าสามารถทนเหม็นขี้หน้าศารทูลได้อย่างสบายๆ
“ก่อนอื่นเกรซต้องโทร. ไปหยั่งเชิงหมอนั่นก่อน ถามไปว่าเขาจะมารับผิดชอบเกรซได้ไงถ้ายังมีพันธะกับปิ๊กอยู่”
“ก็ได้ค่ะ”
“สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทางบ้านปิ๊กอยากให้เขาแต่งงานกับไอ้เดียวก็เพราะเป็นห่วงเรื่องไม่มีคนช่วยบริหารงานต่อ เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้พี่ว่าเราต้องร่วมมือกันจัดการ” สีหราชหารือต่อ
“ยังไงคะ”
“ยังไงแต่งงานกันแล้วพี่ก็ต้องให้ปิ๊กไปอยู่ที่ไร่ด้วย ส่วนเรื่องกิจการของครอบครัวปิ๊กก็คงต้องอาศัยไอ้เดียวกับเกรซแล้วละ ไอ้เคนคงจะยังไม่ถอนตัวจากวงการง่ายๆ หรอก” สีหราชบอกแผนการที่วางไว้สำหรับอนาคตให้คนเป็นน้องรู้
คราวนี้เกสรีถึงกับหน้าเหย เอ่ยกับพี่ชายเสียงอ่อย “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเกรซไม่อยากช่วยนะคะพี่ราช แต่เกรซก็พอๆ กับปิ๊กนั่นแหละ คือไม่รู้เรื่องงานพวกนี้เลย พี่ราชลืมไปหรือเปล่าคะว่าเกรซจบพละมา”
“พี่ไม่ลืมหรอก แต่จะให้ไอ้เดียวมันเป็นพี่เลี้ยงให้เกรซเอง ถ้ามันอยากแต่งงานกับเรามันต้องยอมสอน ก็เหมือนที่ปิ๊กไม่เคยทำงานไร่ แต่ต้องไปอยู่กับพี่นั่นแหละ เกรซก็ต้องบอกไอ้เดียวให้มันเข้าใจตามนี้ ให้ผู้ใหญ่เขาเห็นว่าพวกเราร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือกันและกัน เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด ไม่อย่างนั้นพ่อแม่ปิ๊กคงตัดกังวลไม่ได้แน่” สีหราชเอ่ยอย่างคนที่คิดทุกอย่างมาแล้วอย่างรอบคอบ
เกสรีทำหน้ายู่ บุณฑริกจะไปอยู่ไร่กับสีหราชมันก็ถูกอยู่หรอก เพราะทั้งคู่จะต้องแต่งงานกันจริงๆ แต่เธอต้องติดแหง็กอยู่กับศารทูลนี่สิที่เป็นปัญหา สีหราชพูดราวกับว่าเธอต้องแต่งงานกับอีตานั่นจริงๆ อย่างนั้นละ แต่เธอก็ไม่อยากโต้แย้งอะไร เพราะทราบดีเช่นกันว่านี่เป็นเรื่องที่ครอบครัวบุณฑริกเป็นห่วงที่สุด อีกอย่างเธอก็เชื่อว่าสีหราชต้องไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว
“ก็ได้ๆ เกรซจะคุยกับนายนั่นให้เอง แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าจะให้อ้างชื่อแค่ถึงตอนที่พี่ราชกับปิ๊กแต่งงานกันเท่านั้นนะ”
“โอเค ขอบใจมากจ้ะ” สีหราชขอบคุณตัวช่วยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ก็ไม่วายทิ้งท้าย “เร็วหน่อยนะเกรซ พี่จะรอฟังข่าวดีนะจ๊ะ พี่เชื่อมือเกรซจ้ะ”
“รู้แล้วน่า โอนตังค์ค่าจ้างให้ก่อนครึ่งหนึ่ง” คนขี้งกรีบทวงทันที
“ก็ได้ ยายงก” สีหราชค่อนขอดคนที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความงกที่สุดในครอบครัวด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ แต่ก็ไม่คิดจะเกี่ยงงอน เสียเงินย่อมดีกว่าเสียเมียอย่างแน่นอน!
ยายงกของสีหราชย่นจมูกอยู่อีกฝั่งเมื่อวางสายโทรศัพท์ที่คุยกับพี่ชายลงเรียบร้อยแล้ว เธอมองเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อคิดว่าต้องโทร. ไปหาใคร ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งต่อว่าศารทูลไปแท้ๆ ว่าห้ามโทร. หาเธออีก ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายโทร. ไปหาเขาเสียเอง แต่พอนึกถึงความสุขของพี่ชายและว่าที่พี่สะใภ้ บวกกับยอดเงินในบัญชีที่จะเพิ่มขึ้นก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาศารทูลในที่สุด
“เกรซ”
ชื่อตัวเองที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทำให้เกสรีถึงกับดึงโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อเอามามองว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า เพราะเสียงรอสายยังดังไม่กี่ครั้ง ฝ่ายนั้นก็รับสายแล้วอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
“เกรซ ได้ยินผมไหม นั่นคุณหรือเปล่า” ศารทูลละล่ำละลักถามด้วยความร้อนใจ แทบไม่อยากเชื่อสายตาตอนที่เห็นชื่อเธอปรากฏบนหน้าจอตอนมีสายเรียกเข้า พออีกฝ่ายยังเงียบอยู่ก็เกรงว่าเธอคงไม่ได้เจตนาโทร. หา แต่เกิดจากความผิดพลาดบางประการ น้ำเสียงของเสือหนุ่มจึงค่อนข้างร้อนรนระคนตื่นเต้น
“อือ ได้ยิน” เกสรีตอบสั้นๆ
ศารทูลถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายโทร. หาตนจริงๆ รีบถามต่ออย่างกระตือรือร้น “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ที่พูดๆ มาน่ะจริงหรือเปล่า”
“หือ? คุณหมายถึง” ศารทูลถามกลับแบบงงๆ เพราะเกสรีไม่มีการเกริ่นอะไรทั้งนั้น
“ก็ที่บอกว่าอยากรับผิดชอบฉันไง” เกสรีเอ่ยพร้อมทั้งทำเสียงจึ๊กจั๊กเหมือนขัดใจ
“จริงสิ ถ้าไม่จริงจะคอยตามตื๊อคุณอย่างนี้ได้ยังไง” ศารทูลรีบตอบทันทีที่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
‘รู้เหมือนกันเหรอยะว่าตัวเองคอยตามตื๊อคนอื่นน่ะ!’ นางสิงห์สาวแอบค่อนขอดอีกฝ่ายอยู่ในใจ แต่เพื่อแผนการที่วางไว้จึงไม่อาจต่อว่าอีกฝ่ายได้อย่างที่คิด
“แล้วคุณจะรับผิดชอบฉันยังไงถ้ายังจะไปหมั้นกับปิ๊กน่ะ จะให้ฉันไปเป็นเมียน้อยปิ๊กเหรอ” คนไม่มีจริตหญิงนึกอะไรออกก็พูดโพล่งออกไปตามนั้น
“เฮ้ย! คุณจะบ้าเหรอ เมียนงเมียน้อยอะไรกันเล่า ผมยังไม่มีเมียหลวงเลยด้วยซ้ำ อย่าข้ามขั้นตอนสิ”
“ก็นั่นแหละ ถ้าอยากมารับผิดชอบฉันก็ต้องเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อน”
“ได้ ที่จริงผมกับปิ๊กก็คุยกันเรื่องนี้แล้ว กำลังหาทางคุยกับผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน” ศารทูลอธิบายเสียงอ่อน อยากให้เธอรู้ถึงความตั้งใจจริงของตนเอง
“เหรอๆ แล้วปิ๊กเขาว่ายังไงบ้าง ตกลงเขาจะไม่หมั้นกับคุณแล้วใช่ไหม แล้วเขาหายโกรธพี่ราชหรือยัง” เกสรีถามรัวเป็นชุด
ศารทูลกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนกับว่าเกสรีอยากรู้เรื่องของบุณฑริกซะยิ่งกว่าเรื่องที่ว่าเขาจะรับผิดชอบเธอหรือเปล่าเสียอีก ดวงตาของเสือหนุ่มหรี่ลงด้วยความระมัดระวังที่มากขึ้น และเริ่มทบทวนว่าอะไรที่ทำให้เกสรีเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ ถึงขนาดเป็นฝ่ายโทร. กลับมาหาเขา ทั้งๆ ที่เพิ่งห้ามไม่ให้เขาโทร. ไปหา
ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนขี้เล่นไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ที่จริงตั้งแต่เรียนจบ ศารทูลก็ออกมาช่วยบิดาบริหารงานของครอบครัวนานแล้ว เรียกว่ามีประสบการณ์ชีวิตมากพอสมควร ต่างกับเกสรีที่นับว่าประสบการณ์ชีวิตยังอ่อนอยู่ เสือหนุ่มจึงเริ่มจับสังเกตท่าทีของแม่สิงห์สาวได้อย่างไม่ยากนัก
“ผมกับปิ๊กเคลียร์กันแล้วละ” ศารทูลเลือกตอบกลางๆ ไม่บอกสิ่งที่คิดว่าเกสรีอยากรู้ที่สุดก็คือบุณฑริกหายโกรธสีหราชแล้วหรือยัง พอได้ยินเสียงจุปากด้วยความขัดใจของอีกฝ่ายผ่านมาตามสายก็ได้แต่โคลงศีรษะเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ระคนขบขัน
คิดจะมาล้วงความลับจากเขาอย่างนั้นเหรอ อย่าฝันไปเลยคนสวย เพราะเขาต่างหากที่จะล้วงเธอ!
“ตกลงเคลียร์กันว่ายังไงล่ะ จะเลิกหมั้นกันไหม มาพูดจาเป็นปริศนาอยู่ได้” คนที่ไม่ค่อยมีชั้นเชิง แถมยังโดนตามใจมาตลอดโพล่งถามแบบตรงๆ อีกตามเคย น้ำเสียงก็เริ่มจะหงุดหงิด เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายโยกโย้
“งั้นตอบผมมาก่อนสิว่าตกลงอยากให้ผมรับผิดชอบหรือเปล่า” ศารทูลเริ่มต่อรองบ้าง ท่าทีร้อนใจของอีกฝ่ายทำให้เริ่มดึงเกมให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการบ้าง
“จะรับผิดชอบก็ได้ แต่คุณต้องสัญญามาก่อนว่าจะเคลียร์เรื่องปิ๊กให้เรียบร้อยก่อน ฉันไม่ยอมกินน้ำใต้ศอกใครเด็ดขาด” บทละครที่เคยเห็นนางอิจฉาเล่นตอนบีบบังคับให้พระเอกไปหย่ากับนางเอกที่เป็นเมียหลวงถูกหยิบมาใช้ เพราะคิดว่าสถานการณ์คล้ายๆ กันอยู่ เธอไปเป็นผู้จัดการให้นฤเคนทร์อยู่พักใหญ่ เห็นการแสดงพวกนี้ผ่านตาอยู่บ่อยๆ
ศารทูลแอบกลั้นหัวเราะ เพราะรู้สึกว่าคำพูดเมื่อกี้มันดูไม่เข้ากับเกสรีเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่านางสิงห์ของเขาไปจำมาจากไหน แต่ก็ยอมเออออห่อหมกตามไปก่อน เขาเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน และก็ไม่น่าจะใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากไอ้พี่ชายตัวแสบของเธอ ซึ่งเป็นคู่กรณีของบุณฑริกนั่นเอง
“โอเค ผมไม่หมั้นกับปิ๊กแน่นอน มีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจอีกไหม บอกมาให้หมดเลยดีกว่า” ศารทูลเสนออย่างใจป้ำ
“ก็แบบว่าคุณก็รู้เรื่องพี่ราชกับปิ๊กใช่ไหมล่ะ” เกสรีอ้อมแอ้มถาม
“รู้แล้วยังไง”
“รู้แล้วก็ต้องช่วยกันไง”
“ช่วยแบบไหน”
“ก็แบบว่าถ้าพี่ราชกับปิ๊กเขาได้ลงเอยกัน แล้วคุณกับฉันก็ เอ่อ...ก็...”
“เราก็ลงเอยกันด้วย” ศารทูลพูดต่อให้เสียเอง
ใบหน้าของเกสรีร้อนผ่าว แม้จะคิดว่านี่เป็นแผนก็ตาม แต่ก็อดเขินไม่ได้อยู่ดี คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งต้องเป็นฝ่ายมาพูดจาหว่านล้อมให้ผู้ชายมาหมั้นด้วย “เออ นั่นแหละ ทีนี้มันก็เท่ากับว่าเป็นคนกันเองทั้งหมดใช่ไหม เป็นครอบครัวเดียวกันอะไรแบบนั้นน่ะ”
คำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ทำให้คนฟังอดยิ้มไม่ได้ หัวใจอบอุ่นขึ้นมาจนบอกไม่ถูก เขาเป็นลูกคนเดียว บุณฑริกก็เช่นกัน เวลาที่เห็นพี่น้องพัฒนามนตรีแสดงความรักความห่วงใยต่อกันจึงอดอิจฉาไม่ได้ พอคิดว่าตัวเองจะได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้จึงยินดีอย่างที่สุด เสียงที่ใช้เจรจากับเกสรีจึงยิ่งนุ่มนวล “ใช่ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
น้ำเสียงนุ่มละมุนแบบนั้นทำให้หัวใจของเกสรีถึงกับเต้นผิดจังหวะ แทบจะจินตนาการได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งขัดเขิน น้ำเสียงจึงหงุงหงิง ไม่แข็งกร้าวเอาเรื่องเขาแบบทุกที
“พี่ราชก็คงจะให้ปิ๊กไปอยู่ที่ไร่ด้วย ส่วนงานทางนี้ฉันก็จะมาช่วยทำเอง คุณคิดว่าไง มีอะไรขัดข้องหรือเปล่า”
ศารทูลอมยิ้มอยู่ปลายสาย เข้าใจจุดประสงค์ทั้งหมดของจอมแสบแล้ว แผนนี้สีหราชคงคำนวณมาแล้วอย่างดี แม้จะหมั่นไส้คนเจ้าแผนการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหมอนั่นรอบคอบ คิดทุกอย่างเผื่อทุกคนแล้ว
สีหราชดูแลงานในไร่พร้อมกับบุณฑริก ส่วนกิจการของครอบครัวเขาและบุณฑริกก็มอบให้เป็นหน้าที่ของเขากับเกสรี ไม่มีทางที่ใครจะคิดว่าครอบครัวพัฒนามนตรีจะมาแทรกแซง เพราะพื้นฐานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวแม่เลี้ยงรินรดาใหญ่กว่าของครอบครัวเขาและบุณฑริกหลายเท่า ทุกสิ่งที่หมอนั่นทำคงเพราะรู้ดีว่านี่คือเรื่องที่บิดาของบุณฑริก รวมถึงตัวเธอเองเป็นห่วงที่สุด
“ผมจะขัดข้องได้ไง ดีใจน่ะสิไม่ว่า” ศารทูลเอ่ยอย่างอ่อนโยน เขาก็เหมือนกับสีหราชนั่นละ อยากให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักใคร่มาอยู่ใกล้ๆ ต่อให้รู้ว่าเธอช่วยงานได้ไม่มากก็ตาม เพราะสิ่งที่ต้องการจากพวกเธอที่สุดก็เพียงแค่การได้อยู่ชิดใกล้กันเท่านั้นก็พอ
“ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน” เกสรีเอ่ยอย่างขึงขัง ตั้งใจจะลดความกังวลของทุกคนให้ได้มากที่สุด “งั้นก็ตามนี้เนอะ ขอบคุณคุณมากๆ เลย ก็คงแค่นี้มั้ง” เอ่ยด้วยความพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใจอะไรง่ายๆ
ศารทูลหัวเราะแผ่วๆ เมื่อเห็นว่านางสิงห์ทำท่าจะวางสายเมื่อคิดว่าได้ทุกอย่างตามต้องการแล้ว “ผมว่าเรื่องนี้มันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะ คุยกันแบบนี้คงไม่เข้าทีสักเท่าไร ถ้ายังไงพรุ่งนี้มาเจอกันดีกว่าไหม”
เกสรีนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะไม่มีความคิดที่จะไปเจออีกฝ่ายมาก่อน แต่ก็ค่อนข้างเห็นด้วยที่ว่ามันมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่าง และที่สำคัญก็คือ ตอนนี้ศารทูลถือไพ่เหนือกว่า ไม่ควรทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองใจ จึงรับปากแบบไม่เต็มใจนัก “อืม ก็ได้ จะให้ไปเจอที่ไหนล่ะ”
“ร้าน...ดีไหม” ศารทูลเสนอร้านกาแฟชื่อดังที่เป็นที่รู้จักกันดี
“ก็ได้ กี่โมงล่ะ”
“สิบโมงก็แล้วกัน”
“ได้” เกสรีรับคำสั้นๆ
ศารทูลโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ ไหนใครว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ช่างพูดไง แต่ดูนางสิงห์ของเขาสิ เรียกได้ว่าถามคำตอบคำก็คงได้กระมัง
“โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
“อือ แค่นี้นะ” เกสรีพูดจบก็วางสายแบบไม่ลังเล
ศารทูลลดโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ลงช้าๆ เมื่อได้ยินสัญญาณว่าอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว เสือหนุ่มมองโทรศัพท์ในมือเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่า เมื่อสักครู่นี้เกสรีเป็นฝ่ายโทร. มาหาเขาก่อน ถึงจะไม่ใช่ด้วยความคิดถึงเหมือนเวลาที่เขาโทร. ไปหาเธอก็ตามที เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาจูบอย่างแสนชื่นใจ แต่เมื่อคิดถึงบทสนทนาของตัวเองกับแม่สิงห์สาวขึ้นมา ดวงตาที่เคยแพรวพราวตามประสาคนขี้เล่นก็เปลี่ยนเป็นแวววับอย่างเจ้าเล่ห์
หึ! พี่น้องพัฒนามนตรีคิดว่าตัวเองรู้จักวางแผนเป็นแค่ฝ่ายเดียวหรือไงนะ เดี๋ยวจะสอนให้รู้ว่าคนเมืองกรุงก็มีแผนของตัวเองเหมือนกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น