7

บทที่ 7


7
“จูบ!”
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์กับแม่เลี้ยงรินรดาอุทานขึ้นมาพร้อมกัน คนเป็นพ่อไม่เพียงแค่อุทาน แต่ลุกพรวดขึ้นยืนจังก้าอีกต่างหาก ดวงตาที่ยังคมกล้าแม้จะล่วงเข้าสู่วัยกลางคนลุกเรืองขึ้นจนคนที่เห็นเสียวสันหลังไปตามๆ กัน ไม่มีเค้าผู้ชายอารมณ์ดีขี้เล่นให้เห็นอีกเลย นี่สินะ ที่ใครๆ บอกว่าอย่าแหย่เสือหลับ เพราะพอเสือตื่น มันน่ากลัวพิลึก
เสือเจ้าถิ่นเยื้องย่างไปหยุดอยู่ตรงหน้าเสือหนุ่มเมืองกรุงก่อนจะถามสั้นๆ “จริงหรือเปล่า”
ศารทูลสบตาผู้สูงวัยกว่าแบบไม่มีหลบ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จริงครับ”
จบประโยคนั้นฝ่ามือของเสือตัวพ่อก็ฟาดลงไปบนหน้าของเสือหนุ่มเมืองกรุงแบบไม่ออมแรง เล่นเอาศารทูลถึงกับหน้าชาดิก แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ถึงขั้นหน้ามืดไปวูบหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อุทธรณ์อะไรสักคำ
คนที่ทนดูไม่ได้กลับกลายเป็นแม่เลี้ยงรินรดากับเกสรีที่ปรี่เข้ามาดึงแขนพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ไว้คนละข้าง
“ใจเย็นๆ ก่อนสิคะเสือ ค่อยพูดค่อยจากันก่อน” แม่เลี้ยงรินรดาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“พ่อขา พ่อ อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ มันเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น” เกสรีเอ่ยกับบิดาเสียงสั่น ไม่เคยเห็นคนเป็นพ่อโกรธขนาดนี้มาก่อน
“จริงอย่างที่ยายเกรซว่าหรือเปล่า”
“ไม่จริงครับ” ศารทูลตอบสั้นๆ แต่น้ำเสียงหนักแน่นเหมือนเคย เริ่มแรกมันอาจจะเกิดขึ้นเพราะอารมณ์โกรธที่ถูกอีกฝ่ายดูหมิ่น แต่หลังจากนั้นคือการกระทำโดยเจตนาทุกอย่าง จะเรียกว่าความเข้าใจผิดได้อย่างไร
ดวงตาของพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์อ่อนลงนิดหนึ่ง เพราะพอใจในคำตอบของอีกฝ่าย อย่างน้อยหมอนี่ก็มีความเป็นลูกผู้ชายพอ มันน้อยยิ่งกว่าน้อยที่คนเราจะเข้าใจผิดแล้วไปจูบคนอื่นเข้า ถ้าไม่นับพวกนักแสดงที่มีเหตุจำเป็นให้ต้องทำแบบนั้นตามบทบาทแล้ว คนทั่วไปจะเอาปากไปประกบกับปากใครมันต้องมีความตั้งใจอยู่บ้าง ส่วนสาเหตุเป็นเพราะอะไรค่อยว่ากันอีกอย่าง ก็ยังดีที่ไอ้หนุ่มนี่ไม่ได้ตอบอะไรชุ่ยๆ ขัดหู
ในขณะที่คนเป็นพ่อนึกชื่นชม คนเป็นลูกสาวกลับอยากจะแล่นไปฉีกเนื้อคู่กรณีให้หนำใจที่ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นบ้างเลย นี่ใจคอจะให้เธอดิ้นรนอยู่คนเดียวหรือไงนะ อีตาบ้า!
“ผมขอโทษครับคุณอา ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ผมก็จูบเกรซจริงๆ”
“นี่! นายหุบปากไปเลยดีกว่า!” เกสรีแหวใส่ เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายยิ่งพูดก็ยิ่งแย่
“เรานั่นแหละเงียบก่อน” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ปรามลูกสาวเสียงดุแบบที่ไม่ค่อยได้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับเธอบ่อยนัก เพราะเกสรีคือสุดสวาทขาดใจของคนทั้งบ้าน
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์นึกถึงเรื่องราวของตนเองและภรรยาเมื่อครั้งหนุ่มสาว ฤทธิ์เดชของเกสรีไม่ต่างจากแม่เลี้ยงรินรดาเมื่อครั้งยังสาวสักเท่าไร ปากร้าย กวนประสาทให้คนโมโหจนขาดสติได้เป็นอย่างดี เขาถึงไม่กล้ากล่าวโทษศารทูลแบบเต็มปากเต็มคำนัก ตอนนี้จึงอยากถามชายหนุ่มคนนี้เพื่อประเมินสถานการณ์และดูนิสัยใจคอว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“พ่อน่ะ!” เกสรีประท้วง หน้าสวยๆ งอง้ำด้วยความขัดใจ
แม่เลี้ยงรินรดาเอื้อมมือไปจับแขนลูกสาวเป็นเชิงปรามให้สงบก่อน เธอเองก็คิดเหมือนกับสามีว่าสถานการณ์นี้คล้ายเรื่องของพวกเธอกับเขา คงต้องมาดูว่าศารทูลจะทำตัวได้ครึ่งของพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ที่เคยปกป้องเธอหรือเปล่า
“อย่าดุเกรซเลยครับคุณอา ผมผิดเอง”
“ไม่ดุได้เหรอ เอาแต่ใจจนเกิดเรื่องแบบนี้น่ะ” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เอ่ยเสียงขรึม
“พ่อคะ เกรซแค่...” เกสรีพยายามแก้ตัว แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกคนเป็นพ่อแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“รู้ไหมว่าถ้าขึ้นศาลน่ะเราก็ผิดเต็มประตู บอกพ่อมาซิเกสรีว่าเหตุมันเกิดขึ้นที่ไหน!”
เกสรีเม้มปากแน่น เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่บิดาจะเรียกเธอด้วยชื่อจริง นั่นแสดงให้เห็นว่าอารมณ์เสียอย่างถึงที่สุดแล้ว
“เหตุมันเกิดที่กระท่อมที่ตอนนี้เป็นที่พักของคุณศารทูลเขาใช่ไหม เราเป็นคนแล่นลงไปหาเขาที่นั่นเอง ไม่ใช่ว่าเขามาบังคับปลุกปล้ำเราอยู่บนบ้านนี่ มันถึงได้ฟังไม่ขึ้น ถ้าคนอื่นเขารู้ เขาก็ต้องตั้งคำถามแบบที่พ่อถามเราอยู่นี่เป็นอย่างแรกเหมือนกันรู้ไหม”
ใบหน้าของแม่เลี้ยงรินรดาเผือดซีดลงอย่างเห็นได้ชัด คนเป็นแม่มองลูกสาวด้วยความสงสาร สถานการณ์ของเธอกับเกสรีนับว่าต่างกันตรงนี้ ตอนนั้นพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์บังคับฉุดตัวเธอมาจนผู้ใหญ่มาพบเข้า แต่คราวนี้เกสรีเป็นคนไปหาศารทูลที่กระท่อมด้วยตัวเอง สำหรับคนมีอคติก็อาจคิดว่าลูกสาวเธอเป็นฝ่ายให้ท่าผู้ชายเองเสียด้วยซ้ำ
สีหน้าของเกสรีเองก็ไม่ได้ดีกว่าคนเป็นแม่นัก เพราะเมื่อตั้งสติและคิดตามคำพูดของบิดาถึงได้เข้าใจว่าทำไมท่านถึงโมโหมาก และต่อให้เธอจะแก้ตัวอย่างไรมันก็ฟังไม่ขึ้นจริงๆ เธอไปหาผู้ชายยามวิกาลถึงที่พักของเขาเอง
“ยังไงเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของผมครับ ถึงเกรซจะไปที่นั่น แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนั้นก็คงไม่เกิดเรื่อง ผมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเอง” ศารทูลเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าเผือดซีดของเกสรี
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เพ่งพิศชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง ครั้งนั้นเขาออกหน้าปกป้องภรรยาทุกอย่างเพราะรักเธอสุดหัวใจ แล้วเหตุผลของชายหนุ่มคนนี้ล่ะคืออะไร
“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเองครับ จะไม่ให้ใครมาว่าให้เกรซเสียหายได้เลย ทุกอย่างแล้วแต่คุณอาจะเห็นสมควร”
“คุณจะมารับผิดชอบยายเกรซได้ยังไง ในเมื่อพวกเราต่างก็รู้ๆ กันว่าคุณยังมีพันธะกับหนูปิ๊กอยู่”
“เรื่องระหว่างผมกับปิ๊ก ผู้ใหญ่เพียงแต่เกริ่นๆ กันไว้ก่อน อีกอย่าง ผมไม่เคยล่วงเกินอะไรปิ๊กอย่างที่ทำกับเกรซ ถ้าต้องเลือก ผมคิดว่าผมควรรับผิดชอบเกรซมากกว่า”
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์มองชายหนุ่มรุ่นลูกนิ่งๆ เหมือนจะมองให้ทะลุไปถึงความคิดของอีกฝ่าย
ศารทูลเองก็ประสานสายตากับอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย พยายามแสดงความจริงใจอย่างถึงที่สุด
“ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณสีหราชพายายปิ๊กหายไป ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าปิ๊กเสียหายแล้วเลยหาทางชิ่ง เรื่องของเกรซ ผมคงต้องขอความกรุณาจากคุณอาทั้งสอง จะให้ผมจัดการอย่างไรก็ได้ ผมพร้อมจะพาผู้ใหญ่มาเจรจาทันที
แต่เรื่องของปิ๊ก ผมก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน ยังไงก็ต้องพูดจากับลูกชายคุณอาให้รู้เรื่อง ผมกับยายปิ๊กเราโตมาด้วยกัน เขาไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ ของผมเลย” ศารทูลแสดงจุดยืนของตัวเองอย่างเปิดเผย
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความนิยมมากขึ้น ถึงฝ่ายนั้นจะมีท่าทีอ่อนน้อมเข้าหาในเรื่องของเกสรี แต่ก็ไม่ยอมอ่อนในเรื่องของบุณฑริก เขานับถือคนที่รักพวกพ้อง อย่างน้อยศารทูลก็ไม่ได้เห็นแต่เรื่องของตัวเอง กล้าตำหนิเรื่องของสีหราชอย่างตรงไปตรงมา
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกสรีกับศารทูลไปรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนไหน แต่ที่แน่ๆ ต้องรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แน่นอน ตอนนี้คงต้องแก้ปัญหากันไปทีละเปลาะ ก่อนอื่นต้องจัดการให้ชายหนุ่มคนนี้ปล่อยมือจากบุณฑริกให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก่อน
“แน่ใจหรือว่าคุณกล้ารับผิดชอบทุกอย่าง” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ถามย้ำอีกครั้ง
“แน่ใจครับ คุณอาอยากให้ผมจัดการยังไงก็ว่ามาได้เลย จะให้ผมโทร. ตามป๊ากับหม่าม้าให้มาที่นี่เลยไหมครับ”
“ไม่ต้องจัดการอะไรทั้งนั้นแหละ หนูบอกแล้วไงคะว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พ่อไปคุยกับอีตานี่ทำไมก็ไม่รู้ นายก็เหมือนกัน จะตามป๊าหม่าม้านายมาทำไมยะ จะบ้าเหรอ!” เกสรีทะลุกลางปล้องขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเรื่องที่บิดากับศารทูลพูดชักจะไปกันใหญ่ ไม่มีใครฟังที่เธอบอกบ้างเลย ก่อนจะผลุนผลันวิ่งหนีกลับเข้าห้องไป
“เกรซ!” แม่เลี้ยงรินรดาอุทานก่อนจะวิ่งตามลูกสาวไปอีกคน
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์มองตามลูกสาวกับภรรยาแล้วได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ ทำไมเขาจะไม่รู้นิสัยลูก ไอ้ที่จะไปให้ท่าใครน่ะไม่มีซะหรอก ก็คงจะไปหาเรื่องศารทูลเพราะหมั่นไส้แทนพี่ชายนั่นละ แต่ที่ต้องพูดอย่างนั้นเพราะอยากให้รู้จักคิดว่าความวู่วามมันมีแต่ทำให้เกิดผลเสีย โดยเฉพาะเมื่อเป็นฝ่ายหญิง
การกระทำของเกสรีนั้น หากไปเจอผู้ชายมักง่ายไร้ความรับผิดชอบแล้วละก็ คงจะเรียกร้องอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ความเห็นใจ ก็นับว่าโชคยังดีที่ศารทูลไม่ได้เป็นแบบนั้น คนเป็นพ่อคิดพลางหันกลับไปมองคู่กรณีของลูกสาวอีกครั้ง
“ผมยังยืนยันนะครับว่าผมพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง” ศารทูลย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันมามองตน
“ทำไมถึงอยากรับผิดชอบยายเกรซนักล่ะ”
“ตอนที่คุณอาคิดจะแต่งงานกับคุณอาผู้หญิง รู้สึกยังไงบ้างครับ” ศารทูลอ้อมแอ้มถาม
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ถึงกับเลิกคิ้วเมื่อถูกย้อนอย่างนั้น มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์มากขึ้น
“ผมทราบครับว่าทุกคนอาจจะมองว่ามันเร็วไป แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกับเกรซ ผมก็รู้แต่ว่าเขาไม่เหมือนกับผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยพบมา ทั้งๆ ที่เขาตั้งป้อมรังเกียจผมตั้งแต่แรก แต่ผมกลับอยากพบเขาอีกสักครั้งมาตลอด ผมรู้แต่ว่าผมไม่สามารถปล่อยคนที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นไปได้ บางที อีกทั้งชีวิตผมอาจจะไม่เจอคนที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นอีกเลยก็ได้”
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์สูดลมหายใจลึก เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต ไม่อย่างนั้นคู่อริที่ตั้งป้อมเกลียดหน้ากันแต่แรกอย่างเขากับแม่เลี้ยงรินรดาจะลงเอยกันได้อย่างไร ถ้าพูดเรื่องความเร็ว สีหราชลูกชายคนโตของเขาที่ตกหลุมรักบุณฑริกจนหัวปักหัวปำนั่นอีกละ สองคนนั้นเพิ่งพบกันเมื่อไม่นานมานี้เอง นฤเคนทร์กับตระการตาก็ไม่มีใครรู้ว่าเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ละคู่ล้วนแต่ถูกชักนำให้มาพบกันด้วยสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิต บางทีศารทูลกับเกสรีก็อาจจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
“เอาละๆ อาว่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย พวกคนหนุ่มนี่ก็ใจร้อนกันเหลือเกิน คุณอย่าไปเอาอย่างเจ้าสองแสบของอาเลย แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว อีกอย่าง ตอนนี้ยายเกรซก็ไม่พร้อมจะคุยเรื่องนี้หรอก ไม่เห็นเหรอ วิ่งหนีไปแล้ว เรามาจัดการเรื่องตาราชกับหนูปิ๊กให้เรียบร้อยกันก่อนดีกว่า”
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะถึงอย่างไรก็ต้องสอบถามความเห็นของเกสรีก่อน อีกอย่างเทียบกับเรื่องที่สีหราชพาบุณฑริกหายไปจนตอนนี้ก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนคืนแล้ว และนฤเคนทร์ที่ฉกตัวตระการตาไปกรุงเทพฯ แบบหน้าตาเฉยอีก ก็นับว่าความผิดของศารทูลดูเล็กน้อยกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า ทั้งหมดต้องยกให้เป็นความผิดของไอ้เจ้าลูกชายตัวแสบทั้งสองคนของเขานั่นละที่พาลูกสาวชาวบ้านเขาหนีไป พอเกิดเรื่องกับคนของตัวเองก็ด่าอีกฝ่ายไม่ถนัดปากนัก เพราะเหมือนจะเข้าตัวไปซะทุกอย่าง
สีหน้าของศารทูลไม่สู้ดีนัก เขารู้ว่าโอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ตอนนี้เขามีแค่เรื่องที่ตัวเองล่วงเกินเกสรีเท่านั้นเป็นเครื่องต่อรอง หวังอย่างยิ่งว่าพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์กับแม่เลี้ยงรินรดาจะหัวโบราณมากๆ จนไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องพวกนี้ เพราะดูเหมือนผู้เสียหายอย่างเกสรีจะไม่แคร์สักนิด
คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนอย่างพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เหมือนจะอ่านสีหน้าของหนุ่มรุ่นลูกออกจนหมด ตอนนั้นเขาก็เป็นแบบนี้ ยอมคุกเข่าขอเพียงแค่พวกผู้ใหญ่ยอมให้เขาแต่งงานกับแม่เลี้ยงรินรดา ในขณะที่ผู้เสียหายอย่างแม่เลี้ยงรินรดาเสียอีกที่ลังเล ไม่ผิดกับเกสรีในตอนนี้เช่นกัน น้ำเสียงจึงอ่อนลงเพราะอดเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้ ลูกผู้ชายถ้าไม่มีใจให้มากๆ จะอยากเสนอตัวรับผิดชอบทั้งที่ยังไม่ได้ล่วงเกินจนเสียหายถึงที่สุดได้อย่างไรกัน
“เอาละ อาว่าคุณไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน จัดการเรื่องราชกับหนูปิ๊กเรียบร้อยแล้วค่อยมาว่ากันอีกที”
ใบหน้าของศารทูลแช่มชื่นขึ้น เพราะยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว และก็ถูกของพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ ตอนนี้เรื่องที่ต้องจัดการเป็นลำดับแรกก็คือเรื่องของบุณฑริกกับสีหราชนั่นเอง อย่างไรเขาก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของคนที่รักดุจน้องสาวเอาไว้ก่อน จะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบเธอแน่นอน
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ามีข่าวอะไร ช่วยให้คนไปบอกผมด้วยนะครับ ดึกแค่ไหนก็ไม่เป็นไร”
“อืม” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์รับคำสั้นๆ แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าสีหราชไม่มีทางพาบุณฑริกกลับมาก่อนเช้าเป็นแน่ ลูกชายเขาคงจะทำทุกวิธีให้ศารทูลแน่ใจว่าบุณฑริกเป็นของตัวเองแล้วจริงๆ มากกว่า เขาคิดว่ารู้จักนิสัยลูกชายตัวเองดี
“วิชัย” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เรียกหาคนสนิทที่เลี่ยงออกไปอย่างรู้มารยาทหลังจากรายงานเรื่องของเกสรีกับศารทูลเรียบร้อยแล้ว และเห็นว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวจึงไม่คิดจะอยู่ฟัง ได้แต่รออยู่ใกล้ๆ เผื่อว่าผู้เป็นนายจะเรียกหา
“ครับนาย”
“ไปส่งคุณศารทูลกลับไปที่กระท่อม”
“ครับผม”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” ศารทูลเอ่ยขอตัวบ้าง แอบตวัดสายตามองไปยังทิศทางที่เกสรีวิ่งหนีหายไปก่อนหน้านี้คล้ายว่าแสนอาลัยอาวรณ์
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์มองอาการของเสือหนุ่มรุ่นลูกแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เพราะคิดว่าอาการหนักไม่ใช่น้อยเช่นกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจอมแสบของเขาจะเสน่ห์แรงขนาดทำให้ไอ้หนุ่มหน้าไหนมีอาการแบบนี้ได้ จึงเอ่ยปากไล่อีกครั้งด้วยความอ่อนใจ “ไปเถอะ”
เมื่อเจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่ทางอ้อมอีกครั้ง ศารทูลก็จำใจกลับไปพักผ่อนอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ถึงกระนั้นก็ข่มตาหลับไม่ลงเพราะห่วงกังวลหลายเรื่อง อยากให้เช้าเร็วๆ เพราะนอกจากเป็นห่วงบุณฑริกแล้ว ยังอยากรู้ด้วยว่าถ้าพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์คุยเรื่องนี้อีกรอบ แล้วเกสรีจะยอมเปลี่ยนใจให้เขารับผิดชอบเธอหรือเปล่า
แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้บ้านพัฒนามนตรีจะโดนราหูเคลื่อนมาทับ เพราะมีเรื่องให้ร้อนใจไม่ได้หยุดหย่อน เพราะวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏว่าเกสรีไม่อยู่รอให้ใครถามไถ่อะไรอีก ไข่แดงของบ้านพัฒนามนตรีเก็บข้าวของแอบหนีไปตั้งหลักที่บ้านคุณตาคุณยายที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตามที่นอนวางแผนมาแล้วทั้งคืน เนื่องจากกลัวว่าศารทูลจะหน้ามืดพาป๊ากับหม่าม้าของเขามาเจรจากับบิดามารดาของเธอจริงๆ จึงคิดหนีไปตั้งหลักก่อน กว่าทุกคนจะรู้ว่าจอมแสบหนีไปแล้วก็ตอนที่ไปตามมารับประทานอาหารเช้านั่นเอง
แม่เลี้ยงรินรดาโทร. หาลูกสาวด้วยความร้อนใจ แต่พอเกสรีบอกจุดหมายปลายทางให้ทราบก็ค่อยเบาใจลงบ้าง
“ทำไมถึงทำอย่างนี้นะเกรซ มีอะไรทำไมไม่อยู่คุยกันก่อน” คนเป็นแม่ดุเอาบ้าง
“จะอยู่ได้ยังไงล่ะคะ เผื่ออีตาบ้านั่นพาป๊า หม่าม้าของเขามาจริงๆ หนูไม่แย่เหรอ แถมพ่อก็ไม่ยอมฟังหนูอีก ดุเอาๆ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราก็ต้องอยู่คุยกันสิลูกว่าจะเอายังไง”
“หนูไม่เอายังไงทั้งนั้นแหละค่ะ ถ้าจะให้ดี แม่ไล่อีตานั่นกลับบ้านเขาไปเลยดีกว่า ตั้งแต่มานี่ก็พาเรื่องซวยมาให้คนอื่นตลอดเลย”
“โทษเขาคนเดียวได้เหรอฮึ แม่เคยสอนให้เราเป็นคนแบบนี้เหรอเกรซ” คนเป็นแม่ถามเสียงเรียบ
เกสรีทำหน้ามุ่ยอยู่ปลายสาย ไอ้ที่ไม่กล้าอาละวาดหนักๆ ให้สมใจก็เพราะรู้ว่าตัวเองมีส่วนผิดอยู่ไม่น้อยนี่ละ แต่คนเอาแต่ใจมาตลอดก็ไม่อยากจำนนง่ายๆ “ไม่รู้ละ ถ้าพ่อบังคับให้หนูอะไรๆ กับนายนั่นละก็ หนูจะขอให้คุณตาคุณยายช่วย”
“แล้วเราอะไรๆ กับเขาจริงหรือเปล่าล่ะ” คนเป็นแม่ถามเสียงขุ่น เพราะถึงอย่างไรตนเองก็เป็นฝ่ายหญิง เรื่องแบบนี้หากใครรู้เข้ามันมีแต่ผลเสียจริงๆ
“ก็แค่...แค่จูบกันทีเดียวเอง” เกสรีบ่นอุบอิบไม่เต็มเสียง พูดคำว่าจูบปั๊บ ร่างกายก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทันทีเพราะยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
“แค่ทีเดียวก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เราจะมาวิ่งหนีไปดื้อๆ แบบนี้ไม่ได้” คนเป็นแม่เอ็ดเอาอีก
“ไม่รู้ละ หนูขอเวลาตั้งหลักก่อน แค่นี้ก่อนนะคะแม่ เดี๋ยวถึงบ้านคุณตาคุณยายแล้วหนูจะโทร. หาอีกที” เกสรีรีบวางสายเมื่อรู้สึกว่าถูกมารดาไล่ต้อน ตอนนี้เธอต้องวางแผนเอาตัวรอดใหม่ก่อน
“เกรซ! เดี๋ยวสิเกรซ เกรซ!” แม่เลี้ยงรินรดาพยายามเรียกเอาไว้ แต่คนเป็นลูกก็ชิงวางสายไปเสียแล้ว ก็เลยได้แต่มองโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด สรุปว่าลูกทั้งสามคนของเธอหนีออกจากบ้านไปหมดแล้ว!
อีกด้านหนึ่ง ไข่แดงของบ้านพัฒนามนตรีก็กำลังยกมือขึ้นทึ้งผมด้วยความกลัดกลุ้ม เธอแค่คิดจะช่วยพี่ชายแท้ๆ แต่ทำไมเรื่องถึงวุ่นวายจนกลายเป็นวัวพันหลักแบบนี้ไปได้
“อีตาเดียวดาย ถ้านายไม่หยุดบ้า ฉันเอานายตายแน่!” เกสรีเข่นเขี้ยวอยู่คนเดียวเมื่อนึกถึงต้นเหตุแห่งความซวยของตัวเอง
“เกรซว่าไงบ้างครับคุณอา ตกลงเขาไปไหนเหรอครับ” ศารทูลถามด้วยความร้อนใจ เขามาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วย จึงรู้พร้อมกับคนอื่นว่าเกสรีไม่อยู่ที่บ้านแล้ว พอเห็นแม่เลี้ยงรินรดาโทร. หา จึงคอยเงี่ยหูฟังว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทก็ตาม
“เปิดแน่บไปบ้านคุณตาคุณยายแล้วน่ะสิคะ” แม่เลี้ยงรินรดาตอบอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจเช่นกัน แต่พอรู้ว่าจุดหมายของลูกสาวคือที่ไหนก็โล่งใจได้นิดหน่อย
ส่วนศารทูลสีหน้าไม่ดีนัก เพราะคิดไม่ถึงว่าคู่กรณีของตนจะใช้วิธีหนีเอาดื้อๆ แบบนี้ ใจอยากจะแล่นตามไปกรุงเทพฯ อีกคน เขารู้ดีว่าคุณตาคุณยายของเกสรีเป็นใคร เพราะตอนที่คิดจะซื้อไร่ภูพญาก็สืบความเป็นมาของครอบครัวพัฒนามนตรีมาบ้างแล้ว จึงทราบว่าแม่เลี้ยงรินรดาคือลูกสาวเพียงคนเดียวของวรุตและรัญญา เจ้าของทัศนัยวัฒน์กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ก็ติดปัญหาเรื่องของบุณฑริกกับสีหราช ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวไปได้อย่างที่ใจคิด เพราะต้องการทราบให้แน่นอนเช่นกันว่าคนทางนี้จะจัดการเรื่องของสองคนนั้นอย่างไร ส่วนตัวเขานั้นไม่มีปัญหา อย่างไรก็ต้องยัดเยียดตัวเองไปรับผิดชอบเกสรีให้จงได้!
“ผมยังยืนยันคำเดิมนะครับว่าพร้อมจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองทุกอย่าง” ศารทูลย้ำอีกครั้งราวกับกลัวว่าคนอื่นๆ จะลืม
“ขอบใจคุณมาก แต่ยังไงก็คงต้องรอถามเจ้าตัวเขาก่อน” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ตอบเรียบๆ คนอย่างเขาความสุขของลูกสำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหน ต่อให้มีข่าวลือระหว่างศารทูลกับเกสรีแพร่ออกไป แต่ถ้าคำตอบของเกสรีคือไม่ เขาก็ไม่คิดจะฝืนใจลูกสาวแต่อย่างใด
คำตอบของเสือเจ้าถิ่นยิ่งทำให้เสือหนุ่มจากเมืองกรุงกระวนกระวายหนักกว่าเก่า เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เกสรีไม่ได้ต้องการความรับผิดชอบจากเขาเลยสักนิด ถ้าพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์กับแม่เลี้ยงรินรดายึดเอาความคิดของเกสรีเป็นหลักแล้ว เขายังจะมีความหวังอะไรอีก ยิ่งคิดหน้าหล่อๆ ก็ยิ่งสลด
สองสามีภรรยาแอบมองชายหนุ่มคู่กรณีของลูกสาวแล้วหันมาสบตากัน ต่างก็คิดคล้ายๆ กันว่าศารทูลน่าจะรู้สึกอะไรกับเกสรีมากพอสมควร มากขนาดไม่สามารถเก็บอาการได้มิด ธรรมชาติของคนเป็นพ่อเป็นแม่ทำให้รู้สึกเอ็นดูคนที่รู้สึกดีกับลูกของตัวเองเป็นธรรมดา จึงโกรธศารทูลไม่ลง ยิ่งอีกฝ่ายยืนยันอยากรับผิดชอบก็ยิ่งชวนให้ใจอ่อน
ขณะที่ทั้งหมดกำลังอยู่ในภวังค์ของตนเอง และคิดไม่ตกว่าจะจัดการเรื่องศารทูลกับเกสรีอย่างไรดี คนที่เริ่มก่อปัญหาเป็นรายแรกทำให้ปัญหาอื่นๆ ตามมาจนอีนุงตุงนังไปหมดอย่างสีหราชก็จูงมือบุณฑริกเข้าบ้านมา
บุณฑริกเดินก้มหน้าก้มตาตามการจับจูงของสีหราชแบบไม่กล้าสบตากับใครแม้แต่คนเดียว จึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าแต่ละคนในที่นี้มีสีหน้าเคร่งเครียดเพียงใด
ต่างจากสีหราชที่สบตากับทุกคนอย่างหนักแน่นมั่นคง มือแข็งแรงกุมมือเล็กไว้ กระชับเหมือนจะประกาศความเป็นเจ้าของให้ทุกคนได้รู้ โดยเฉพาะคนที่เป็นคู่หมายของบุณฑริกอย่างศารทูล ดวงตาของชายหนุ่มสองคนสบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
แต่ก่อนที่ใครจะเอ่ยปากซักถามอะไรใคร พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ก็เดินตรงไปหาลูกชายและฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของสีหราชแบบไม่ออมแรง ทำเอาแม่เลี้ยงรินรดาและบุณฑริกอุทานลั่นกันทั้งคู่ด้วยความตระหนก
“เสือ!”
“คุณอา!”
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ไม่หันไปมองภรรยาสักแวบ รู้ดีว่าเธอคงทั้งตกใจและเสียใจที่เขาลงโทษลูกชายแบบนี้ แต่หัวอกคนเป็นพ่ออย่างเขาก็กำลังจะระเบิดเสียให้ได้ การกระทำของสีหราชในครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเหลือเกิน เขาเค้นเสียงถามแทบไม่พ้นลำคอ “แกทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหมสีหราช”
“ผมรู้ทุกอย่างครับ” สีหราชตอบบิดาเรียบๆ ไม่นึกโกรธที่บิดาลงโทษตนเองเช่นนี้
คำตอบแบบนั้นทำให้พ่อเลี้ยงฟาดฝ่ามือลงไปอีกครั้ง พร้อมทั้งตวาดเสียงดัง “แล้วแกรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
คำถามของบิดาทำให้สีหราชขมวดคิ้วมุ่น เพราะคิดว่าน่าจะมีอะไรนอกเหนือจากการที่ตนเองพาบุณฑริกหายไปตั้งแต่เมื่อวาน เขารู้ดีว่าทั้งพ่อและแม่รวมถึงปู่น่าจะดูออกว่าเขาคิดอย่างไรกับบุณฑริก จริงอยู่ที่ท่านอาจไม่พอใจในการกระทำของเขา แต่เขาก็ดูออกว่าแทบจะทุกคนในบ้านถือหางตนเองอยู่พอสมควร ไม่อย่างนั้นมีหรือที่จะหาทางให้บุณฑริกอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก อารมณ์โกรธเกรี้ยวเกินพิกัดนั่นน่าจะมาจากสาเหตุอื่นอีก
“ผมรับผิดชอบการกระทำของผมเสมอครับพ่อ” สีหราชเอ่ยเสียงหนัก
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์หลับตาพร้อมทั้งถอนหายใจยาวเหยียด รู้ตัวว่าตนเองเอาอารมณ์ผิดหวังและขุ่นเคืองมาลงกับลูกมากเกินไป เสียงที่เอ่ยตอบบุตรชายจึงอ่อนลงบ้าง “รู้ไหมว่าตั้งแต่แกก่อเรื่องมานี่ พ่อฟังคำนี้มากี่ครั้งแล้ว”
“พ่อหมายความว่ายังไงครับ” สีหราชถามด้วยความงุนงง
“ยายเกรซ” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เอ่ยพร้อมทั้งถอนหายใจยืดยาว
ชื่อของน้องสาวอันเป็นสุดสวาทขาดใจของคนทั้งบ้านทำให้สีหราชกวาดสายตามองหาเกสรีทันที แต่กลับไม่ปรากฏว่าเธออยู่ที่นี่แต่อย่างใด นฤเคนทร์ก็พลอยหายไปด้วย
ลางสังหรณ์แปลกๆ เกิดขึ้นทันทีที่มองสบกับแววตากระวนกระวายของศารทูลเมื่อฝ่ายนั้นได้ยินชื่อของเกสรี จึงได้แต่ถามบิดาด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้สั่น “เกิดอะไรขึ้นกับน้องครับพ่อ”
“มีคนเห็นยายเกรซกับคุณศารทูลที่กระท่อมเมื่อคืนนี้” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์สูดลมหายใจลึกเพื่อพยายามระงับอารมณ์เมื่อนึกถึงตอนแรกที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว ก่อนจะเอ่ยต่อไปเมื่อพอจะควบคุมความรู้สึกได้บ้าง “เขาบอกว่าสองคนนั่นจูบกัน”
ได้ยินแค่นั้นสีหราชก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ก้าวพรวดๆ ไปหาคู่กรณีของเกสรีแล้วประเคนกำปั้นลงไปบนใบหน้าของฝ่ายนั้นสุดแรงท่ามกลางเสียงกรีดร้องของทั้งแม่เลี้ยงรินรดาและบุณฑริก
“แกทำอะไรยายเกรซ ไอ้เลว!” สีหราชกระชากคอเสื้อหนุ่มเมืองกรุงขึ้นมาพร้อมทั้งตะคอกถาม
“แกถามคำถามนี้กับตัวเองหรือเปล่าตอนพายายปิ๊กหายไปทั้งคืน ไอ้ชั่ว!” ศารทูลเองก็ไม่ลดราวาศอกแต่อย่างใด มือทั้งสองก็กระชับคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้เช่นกัน
“ไม่ต้องมาเสือก!”
“คงไม่ได้ ยายปิ๊กน่ะว่าที่คู่หมั้นฉันโว้ย!” ศารทูลเข่นเขี้ยวตอบ แม้จะไม่ได้คิดอะไรกับบุณฑริกเกินกว่าความเป็นน้อง แต่ก็รู้ดีโดยสัญชาตญาณว่าการบอกแบบนี้จะทำให้ฝ่ายนั้นคลั่งจนหาความสุขไม่ได้ ตอบแทนกำปั้นที่หมอนั่นใส่มาแบบไม่มียั้ง ซึ่งก็ได้ผลตามที่ต้องการ เพราะมันทำให้สีหราชถึงกับคลั่งไปจริงๆ
“แต่เขาเป็นเมียฉัน แกได้ยินไหมว่าปิ๊กเป็นของฉัน! อย่าสะเออะมาอ้างสิทธิ์อีก แล้วไสหัวไปจากที่นี่ก่อนที่ฉันจะฆ่าแก!” สิงห์หนุ่มคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว เขย่าคอเสื้อจนอีกฝ่ายหัวสั่นหัวคลอนแล้วผลักจนเซถลาไปกองอยู่ที่พื้น อารมณ์โมโหจนหน้ามืดทำให้ลืมตัวว่าวาจานั้นพาดพิงให้บุณฑริกเสียหายเพียงใด และเวลานี้หญิงสาวมีสีหน้าแบบไหน
แม่เลี้ยงรินรดาและบุณฑริกตกใจจนแทบสิ้นสติกับการปะทะกันของทั้งคู่ โดยเฉพาะบุณฑริกที่นอกจากจะตกใจแล้วยังอับอายต่อเรื่องที่สีหราชโพล่งออกมาเมื่อสักครู่อีกด้วย การที่เขาพาเธอหายไปทั้งคืนทุกคนก็คงคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่แล้ว ควรหรือที่เขาจะเอ่ยมันออกมาโดยไม่นึกถึงความรู้สึกของเธอสักนิด ยิ่งศารทูลถูกทำร้ายโดยไม่มีใครคิดห้ามปรามก็ยิ่งเสียใจ ดังนั้นในจังหวะที่ศารทูลถูกเหวี่ยงลงไปกองที่พื้น หญิงสาวจึงถลาเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงปนกับรู้สึกผิด
“พี่เดียว! เป็นยังไงบ้างคะ” น้ำเสียงห่วงใยนั้นยิ่งเท่ากับจุดไฟพิโรธให้สิงห์หนุ่มเข้าไปอีก
“ถอยออกมาเดี๋ยวนี้นะปิ๊ก!” สีหราชตวาดลั่น ถลันเข้าไปจะคว้าตัวเธอให้แยกออกจากศารทูล แต่กลับถูกมือเล็กของเธอปัดมือทิ้งอย่างไม่ไยดี
“คุณนั่นแหละที่ถอยออกไป” บุณฑริกเอ่ยเสียงเรียบ มองเขาด้วยแววตาผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“นี่คุณเข้าข้างมันเหรอ!” สีหราชตวาดลั่นเมื่อพบกับอาการแข็งขืนของคนรัก
“ฉันไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น แต่ทนไม่ได้ที่คุณทำตัวป่าเถื่อน ที่เรื่องทุกอย่า’มันยุ่งแบบนี้เริ่มต้นที่ฉันทั้งนั้น ถ้าจะเอาเรื่องก็ควรโทษฉัน ไม่ใช่พี่เดียว”
“อย่ามาออกรับแทนผู้ชายคนอื่น! อย่าเด็ดขาดบุณฑริก!” สีหราชตวาดพร้อมทั้งจ้องเธอเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
คนถูกจ้องไม่สนใจเขา แต่กลับหันไปประคองศารทูลให้ลุกขึ้น พร้อมทั้งตั้งคำถามเสียงอ่อน “มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่เดียว”
ศารทูลสบตาคนที่เปรียบเหมือนน้องสาวครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังสมาชิกของครอบครัวพัฒนามนตรีทุกคน ยกเว้นก็แต่สีหราชที่ยืนตีหน้ายักษ์อยู่ แล้วก็เลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่ยืนเกาะแขนเขาอยู่ก่อนจะตอบคำถามอย่างหนักแน่น “ตามที่พ่อเลี้ยงพูดเมื่อสักครู่นั่นแหละ คุณเกรซอยู่กับพี่เมื่อคืน”
บุณฑริกกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้จะทราบเรื่องจากพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์บ้างแล้ว แต่การที่ศารทูลสารภาพเองกับปากก็ยิ่งรู้สึกหนักอก หันไปมองสีหราชก็เห็นว่าดวงตาของฝ่ายนั้นยังลุกเป็นไฟอยู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เธองุนงงเสียจนหลุดปากถาม “มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่เดียว”
“พี่จะไม่พูดอะไรให้คุณเกรซเสียหายเด็ดขาด บอกได้แต่ว่าพี่พร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
คำตอบกำกวมของเขาทำให้สมาชิกครอบครัวพัฒนามนตรีแต่ละคนจินตนาการไปไกลจนหนักใจอีกรอบ แม้จะโกรธกรุ่น แต่ก็มีความพอใจแฝงอยู่ที่ศารทูลยืนยันมั่นคงและไม่หนีหน้าไปไหน ถึงแม้เกสรีจะยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
“แล้วพี่เดียวจะทำยังไงคะ” บุณฑริกถามกับศารทูลอีกครั้ง
“พี่จะให้ป๊ากับหม่าม้ามาคุยกับพวกคุณอาให้เรียบร้อย ที่ยังอยู่นี่พี่รอปิ๊กนั่นแหละ อยากดูให้เห็นกับตาก่อนว่าปิ๊กปลอดภัยดีไหม” ศารทูลบอกสิ่งที่ตนเองเจรจาในเบื้องต้นกับทุกคนที่นี่ไว้แล้ว
“ปิ๊กปลอดภัยดีค่ะ งั้นเดี๋ยวเรากลับกรุงเทพฯ พร้อมกันเลยก็ได้ ปิ๊กจะอธิบายให้ทุกๆ คนฟังเองค่ะว่าทุกเรื่องเป็นความผิดของปิ๊กเอง” บุณฑริกเอ่ยกับศารทูลอย่างหนักแน่น แต่อีกคนที่ได้ยินถึงกับคำรามก้อง
“ว่าไงนะ! คุณจะไปไหนฮึบุณฑริก!”
“ฉันจะกลับกรุงเทพฯ กับพี่เดียวค่ะ”
“ใครอนุญาต! คุณไม่มีสิทธิ์ไปไหนกับผู้ชายอื่นอีกแล้ว มานี่!” สิงห์หนุ่มถลันเข้ามาจะคว้า แต่หญิงสาวก็เบี่ยงกายหลบพร้อมทั้งจ้องเขาเขม็ง
“ฉันต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ฉันก่อขึ้นค่ะ ฉันทนไม่ได้ที่พี่เดียวเขาต้องมารับเคราะห์อย่างนี้” หญิงสาวพยายามอธิบาย
“คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ลืมแล้วหรือว่าเมื่อคืนผมบอกว่ายังไง” สีหราชถามเสียงขุ่น
“มันเป็นคนละส่วนกันค่ะ”
“คิดใหม่ซะ! คุณเป็นของผมทั้งหมด จะแบ่งส่วนไหนให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น!” สีหราชเอ่ยเสียงดุ ทั้งโกรธเคือง ทั้งหวงแหน เขาไม่ต้องการจะแบ่งเธอให้ใครทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ชายคนนี้! นอกจากความไม่ชอบขี้หน้าเพราะเรื่องของบุณฑริกเป็นทุนเดิม ตอนนี้ยังเพิ่มเติมเรื่องของเกสรีเข้าไปอีก
“คุณก็ควรคิดใหม่เช่นกันค่ะ อย่าเอาแต่อารมณ์ และอย่าเอาความผิดทั้งหมดโยนให้พี่เดียว คุณควรจะรู้ดีกว่าใครว่าสาเหตุของเรื่องนี้คืออะไร และใครคือคนผิดที่แท้จริง อย่าเอาความโกรธมาบังหน้าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง ฉันกล้าที่จะยอมรับผิด คุณล่ะคะกล้าหรือยัง”
น้ำเสียงหวานใสเรียบเย็นแต่ความหมายแสบร้อนจนสิงห์หนุ่มบดกรามแน่น เพราะเมื่อใคร่ครวญตามที่เธอพูดแล้วมันเป็นจริงตามนั้นทุกอย่าง สาเหตุของเรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการที่เขาพาตัวบุณฑริกไปจากไร่ตั้งแต่เมื่อวาน หากเขา
ไม่ทำอย่างนั้น คนที่อยู่กับศารทูลเมื่อคืนย่อมไม่ใช่เกสรี แต่เขาจะทนได้หรือที่จะให้เป็นเช่นนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็คงเลือกที่จะทำแบบเดิมอยู่ดี
“แล้วนี่ยายเกรซไปไหนครับ” สีหราชหันไปถามมารดาบ้าง
แม่เลี้ยงรินรดาถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบคำถามของบุตรชาย “พอคุณศารทูลบอกว่าจะพาผู้ใหญ่มาเจรจาก็เก็บเสื้อผ้าหนีไปบ้านคุณยายแล้วละ”
“แล้วยายจุ๊บล่ะคะ ยายจุ๊บไม่ได้อยู่ที่กระท่อมด้วยเหรอคะถึงได้เกิดเรื่องอย่างนี้ได้” บุณฑริกสอบถามขึ้นมาบ้างเพราะคิดว่าตระการตาน่าจะอยู่ที่กระท่อมด้วย ศารทูลกับเกสรีไม่น่าจะอยู่ด้วยกันตามลำพัง
คราวนี้บรรดาผู้ใหญ่ถอนใจกันอีกเฮือกเมื่อนึกถึงคนที่บุณฑริกถามถึง นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ครอบครัวพัฒนามนตรีอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อเกิดเรื่องกับลูกสาวคนเล็ก เพราะคนของตัวเองก็ใช่ว่าจะดี แต่ละคนฉกตัวลูกสาวชาวบ้านไปทั้งคู่
เมื่อไม่มีใครให้คำตอบ บุณฑริกก็เหลียวหน้าแลหลังเป็นการใหญ่ เพราะมัวแต่ตกใจต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าทำให้เธอลืมสังเกตไปเลยว่าตระการตาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพิ่งมารู้สึกเอาตอนนี้เอง จึงเอ่ยปากถามอีกครั้ง “นี่ยายจุ๊บไปอยู่ซะที่ไหนล่ะคะ”
ศารทูลถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะทราบเรื่องของตระการตาจากแม่เลี้ยงรินรดามาบ้างเหมือนกัน เขาแสนจะอัศจรรย์ใจกับพฤติกรรมของพี่น้องตระกูลนี้ที่ไม่แสดงอาการกระโตกกระตากอะไรออกมาก่อนหน้านี้เลย แต่อยู่ๆ ก็ฉกตัวคนที่เหมือนน้องสาวของเขาทั้งบุณฑริกและตระการตาไปแบบหน้าตาเฉย แถมน้องนุชสุดท้องคู่กรณีของเขาก็ใช่ย่อย เจ้าหล่อนดูจะเข้าข้างพี่ชายสุดฤทธิ์ กวนประสาทเขาเสียจนเรื่องมันเลยเถิดอย่างที่เห็น
พลันดวงตาของเพลย์บอยหนุ่มจากเมืองกรุงก็ไหววูบเมื่อนึกถึงการปะทะที่แสนวาบหวามของเขาและเกสรี แต่ก็พยายามดึงสมาธิกลับมาที่เหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ก่อน จึงเป็นคนตอบคำถามของบุณฑริกเอง
“ยายจุ๊บบอกว่าจะไปตามหาปิ๊กกับคุณนฤเคนทร์ แล้วไปยังไงมายังไงก็ไม่รู้ดันไปติดหนี้คุณนฤเคนทร์เขา ทางนั้นก็เลยพาตัวกลับกรุงเทพฯ ไปด้วย เห็นว่าจะให้ทำงานใช้หนี้น่ะ”
“หา! ยายจุ๊บน่ะเหรอเป็นหนี้คุณนฤเคนทร์ แถมตอนนี้ก็กลับไปกรุงเทพฯ แล้วด้วย” บุณฑริกอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อืม...พี่โทร. ถามแล้วยายจุ๊บก็ยอมรับตามนั้น ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ฮึปิ๊ก พวกเราไปก่อหนี้ก่อสินอะไรกันไว้ ชักจะเหลวไหลกันใหญ่แล้วนะ” ศารทูลเอ็ดเอาบ้าง เพราะคาดว่าบุณฑริกน่าจะเป็นหัวโจก เพราะคนอย่างตระการตาน่ะหรือจะไปเป็นหนี้ใครได้
คนโดนดุทำหน้าเหยทั้งๆ ที่ยังงุนงงอยู่ไม่น้อย จึงแก้ตัวแบบอ่อยๆ เพราะรู้สึกเช่นกันว่าคราวนี้เรื่องมันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่จริงๆ มันจะเกี่ยวกับที่ตระการตามีท่าทางไม่ดีนักหลังจากไปเจรจากับอีตาดารานั่นหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ปิ๊กก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ยายจุ๊บไม่เคยเล่าให้ฟังเลย เดี๋ยวเรารีบตามยายจุ๊บไปกรุงเทพฯ กันดีกว่าค่ะ ปิ๊กก็ร้อนใจจะแย่แล้ว”
ท่าทีที่บุณฑริกและศารทูลปรึกษาหารือกันเหมือนมีแค่สองคนในโลกทำให้สีหราชกัดฟันกรอด เข่นเขี้ยวใส่คนที่ทำท่าจะผละไปแบบไม่สนใจอะไรอีก ถามเสียงขุ่น “จะไปไหนไม่ทราบ!”
เสียงดุๆ นั่นทำให้บุณฑริกถึงกับชะงัก หันไปสบตาคนที่ตีหน้ายักษ์แวบหนึ่ง ความร้อนใจทำให้เธอแทบจะลืมลาเจ้าของบ้านไปเลย ก่อนจะเบนสายตาไปยังบรรดาผู้ใหญ่ในที่นั้นพร้อมทั้งสืบเท้าเข้าไปหา
“คุณปู่ อาเสือ อาริน ปิ๊กคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ ปิ๊กห่วงยายจุ๊บ ทำไมเขาไม่เคยบอกปิ๊กเลยว่าไปเป็นหนี้ลูกชายคุณอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร คุณอาพอจะทราบเรื่องบ้างไหมคะ”
“พวกอาก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าสองคนนั้นรู้จักกันมาก่อนที่จะมาเจอกันที่นี่” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เอ่ยด้วยท่าทางหนักอก แต่ก็พอจะเดาได้ว่าหนี้สินระหว่างนฤเคนทร์กับตระการตาคงไม่ใช่หนี้แบบธรรมดา ไม่อย่างนั้นลูกชายเขาคงไม่ฉกตัวหญิงสาวคนนั้นไปแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น
ใบหน้าของบุณฑริกยิ่งเหยเกกว่าเดิมเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าก็เพราะแผนการของเธอตั้งแต่แรกนั่นเองที่ทำให้คู่นั้นได้รู้จักกัน แต่ตอนนี้เธอยังนึกไม่ออกเลยว่าเพื่อนไปติดหนี้อะไรอีกฝ่ายจึงยิ่งร้อนใจอย่างหนัก หญิงสาวคลานเข่าเข้าไปหาพ่อเลี้ยงสิงห์ก่อนเป็นอันดับแรกเพื่ออำลา
“ปิ๊กคงต้องกลับบ้านก่อนนะคะ ขอบพระคุณคุณปู่มากค่ะที่เมตตาปิ๊กกับยายจุ๊บตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ แล้วก็กราบขอโทษที่ปิ๊กมาสร้างความวุ่นวายให้ทุกคนเดือดร้อน ปิ๊กเสียใจค่ะ” หญิงสาวกราบลงที่ตักของพ่อเลี้ยงสิงห์ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ลูบศีรษะด้วยความปรานี เพราะรู้ดีว่าเธอคนนี้จะจากไปไม่นาน อย่างไรเสียหลานชายเขาก็ต้องไปรับตัวกลับมาจนได้
“ไปดีมาดีนะลูก รีบกลับมาหาปู่นะ”
น้ำเสียงปรานีนั้นทำให้หญิงสาวยิ่งน้ำตาคลอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์และภรรยาด้วยแววตาสำนึกผิด เพราะกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของเกสรีกับศารทูล “หนูขอโทษจริงๆ ค่ะคุณอา หนูเสียใจที่เรื่องเป็นแบบนี้”
“มันไม่ใช่ความผิดของหนูเลย พวกเราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เอ่ยพร้อมทั้งลูบศีรษะของลูกสะใภ้เบาๆ สิ่งที่สีหราชโพล่งออกมาเมื่อสักครู่ทำให้เขามั่นใจว่าบุณฑริกคือลูกสะใภ้ ไม่อย่างนั้นลูกชายเขาหรือจะยอมเรียกผู้หญิงคนไหนว่า ‘เมีย’
“แม่จะลงไปกรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุดนะจ๊ะ หนูปิ๊กไม่ต้องห่วง ส่วนเรื่องตาราชแม่จะจัดการให้ แม่ผิดเองที่อบรมลูกไม่ดี อย่าโกรธพี่เขาเลยนะลูก เขากำลังหึงก็เลยลืมระวังคำพูด เดี๋ยวแม่จะเตือนเขาเอง” แม่เลี้ยงรินรดาปลอบใจลูกสะใภ้เบาๆ
ศารทูลมองบุณฑริกที่เข้าไปล่ำลาผู้ใหญ่พร้อมทั้งกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ครู่ใหญ่จนแน่ใจว่าคุยธุระกันเสร็จแล้ว ก็ตัดสินใจเดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ บุณฑริกพร้อมทั้งเอ่ยกับบรรดาผู้ใหญ่อีกครั้ง
“ผมขอกลับกรุงเทพฯ ก่อนนะครับ คงต้องไปจัดการเรื่องของปิ๊กกับจุ๊บให้เรียบร้อยก่อน แล้วผมจะรีบพาผู้ใหญ่มาจัดการเรื่องของผมกับเกรซให้เรียบร้อยทันที หวังว่าทุกท่านคงไม่คิดว่าผมหาทางเลี่ยงหรือหลบหนีหรอกนะครับ”
ผู้ใหญ่ฝ่ายเกสรีพากันถอนหายใจไปตามๆ กัน ต่างก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะหลบลี้หนีหน้า เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเป็นต้นมาเขาเผชิญหน้ากับทุกคนอย่างอาจหาญ แม้จะเจอกับพายุอารมณ์ของคนที่หวงลูกสาวแบบพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ก็ตาม แต่ลูกสาวของพวกเขานี่สิที่ชิงหนีไปก่อน จึงได้แต่พยักหน้าให้แบบไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น
เมื่อเห็นอย่างนั้นศารทูลกับเกสรีก็หันมาสบตาและพยักหน้าให้กันบ้าง ตอนนี้ทั้งเขาและเธอคงต้องกลับไปตั้งหลักเพื่ออธิบายกับครอบครัวก่อนว่าทำไมตระการตาถึงไม่ได้กลับไปพร้อมกัน แถมศารทูลที่มาตามว่าที่คู่หมั้น ทำไมถึงจับพลัดจับผลูไปมีอะไรๆ กับลูกสาวคนเล็กของบ้านพัฒนามนตรี
ส่วนว่าที่คู่หมั้นเขาอย่างบุณฑริกเองก็ถูกทายาทคนโตของบ้านนี้ประกาศสิทธิ์ปาวๆ ว่าเป็นเจ้าของเธอ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความหนักอก เพราะทุกอย่างมันชุลมุนชุลเกไปหมด!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น