6

บทที่ 6


6
ตระการตากับเกสรีหันมาสบตากันแบบงงๆ เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ ศารทูลก็เปลี่ยนท่าทีปุบปับ แต่ก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก เพราะการที่อยู่ๆ เขาก็มาที่นี่แบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้าถือว่าปุบปับยิ่งกว่า และการสบตากันครั้งนี้ก็ทำให้เกสรีเห็นถึงความกังวลที่ปิดไม่มิดของอีกฝ่าย
“เป็นอะไรหรือเปล่าจุ๊บ” เกสรีเปิดฉากถามก่อน เพราะรู้ดีว่าคนเงียบๆ และขี้เกรงใจแบบตระการตาคงไม่กล้าพูดอะไรมาก
ตระการตาได้ยินคำถามของอีกฝ่ายก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะกำลังห่วงบุณฑริก
เธอเองก็สังเกตเห็นเหมือนคนอื่นๆ ว่าสีหราชกับบุณฑริกมีใจให้กัน แต่พันธะที่คนเป็นเจ้านายกึ่งเพื่อนของเธอมีต่อศารทูลก็ยังคาราคาซังอยู่ พอเห็นเขามาที่นี่จึงอดสงสารบุณฑริกไม่ได้ เพราะคิดว่าบางทีเจ้านายของเธออาจจะต้องกลับไปแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ถึงศารทูลจะเป็นคนดี มีน้ำใจต่อเธอและบุณฑริกเสมอ แต่คนดีก็ไม่ใช่คู่แต่งงานที่ดีเสมอไป แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอีกฝ่ายได้อย่างไร
“อย่ากังวลไปเลยนะ พวกเราต้องช่วยพี่ราชกับปิ๊กให้พวกเขาสมหวังได้แน่ๆ” เกสรีเอ่ยเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“เกรซ!” ตระการตาอุทานพลางหันรีหันขวาง กลัวว่าศารทูลจะมาได้ยินเข้า ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าสีหราชกับบุณฑริกมีใจให้กัน แถมยังออกไปคลุกคลีตีโมงด้วยกันที่ไร่อย่างนั้น ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะว่ายังไงบ้าง จึงพยายามปรามคู่สนทนาเพราะรู้ว่าเกสรีใจร้อนนัก “พูดอะไรอย่างนั้น”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ หรือจุ๊บจะปฏิเสธว่าไม่รู้ว่าสองคนนั่นรักกัน คนมีตาปกติคนไหนก็ดูออกทั้งนั้นแหละ”
“มันก็ใช่ แต่ว่าคุณเดียวเขาเป็น...เขาเป็น...” ตระการตาถึงกับพูดต่อไม่ออก เธอก็รู้สึกเหมือนแม่เลี้ยงรินรดาเช่นกัน นั่นคือไม่อยากพูดถึงสถานะระหว่างศารทูลกับบุณฑริก แต่ลงว่าท่านเจ้าสัวส่งศารทูลตามมาอย่างนี้ แสดงว่าไม่คิดจะเปลี่ยนใจเรื่องของทั้งคู่แน่นอน
“เป็นคนที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างคนที่เขารักกัน!” ในขณะที่ตระการตาลังเลพูดไม่ออก แต่เกสรีตัดสินใจแบบไม่ลังเลไปแล้วว่าศารทูลเป็นอะไร
“โธ่...เกรซ อย่าพูดเสียงดังสิ ประเดี๋ยวก็เป็นเรื่องกันพอดี” ตระการตาเอ่ยพลางกระโดดเข้าไปปิดปากคนขี้โมโห เพราะรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายชักจะดังขึ้นทุกที คาดว่าน่าจะเป็นไปตามแรงอารมณ์ที่เริ่มปะทุ
เกสรียอมหุบปากแต่โดยดี เพราะตระการตาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เธอไม่ได้โทษว่าอีกฝ่ายขี้ขลาด เพราะรู้ดีว่าตระการตาเป็นเพียงเด็กที่เจ้าสัวเกรียงไกรอุปการะเลี้ยงดูมาคู่กับบุณฑริกเท่านั้น ไม่ใช่ญาติหรืออะไรจำพวกนั้น เธอจึงมักเกรงใจและกดตัวเองลงเป็นคนรับใช้ของบุณฑริกเสมอ ทั้งๆ ที่บุณฑริกคอยบอกเสมอว่าตระการตาคือเพื่อน ไม่ใช่คนรับใช้อย่างที่อีกฝ่ายชอบคิดแต่อย่างใด ทว่าคนเจียมตัวและขี้เกรงใจแบบตระการตาก็ไม่กล้าตีตนเสมอท่านอยู่ดี จึงไม่แปลกที่เธอจะพลอยเกรงใจศารทูลไปด้วย
สองสาวมัวแต่พูดกัน จึงไม่ทันสังเกตว่าประตูห้องที่ศารทูลผ่านเข้าไปเมื่อครู่เปิดแง้มอยู่นิดๆ และคนที่เพิ่งเข้าห้องไปเมื่อสักครู่ก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
เนื่องจากข้าวของของศารทูลมีไม่มากนัก จึงไม่ต้องเสียเวลาจัดเก็บ กอปรกับอยากออกมาเห็นหน้าเกสรีไวๆ จึงคิดจะรีบออกมา แต่พอเปิดประตูก็ได้ยินบทสนทนาของสองสาวแว่วๆ ทำให้ชะงักอยู่ตรงนั้น และแอบฟังจนได้ยินครบถ้วนทุกกระบวนความ
ดวงตาของเสือหนุ่มจากเมืองกรุงขรึมลงผิดจากปกติที่ฉายแววขี้เล่นแพรวพราวอยู่เป็นนิตย์ ไม่คิดว่าบุณฑริกกับสีหราชจะมีใจให้กัน เพราะจะว่าไปแล้ว ระยะเวลาที่ทั้งคู่พบกันก็ไม่นานเท่าไรนัก พอคิดมาถึงตรงนี้ก็สะดุดกึก หันสายตามองไปยังคนตัวเล็กที่ยืนข้างๆ ตระการตาโดยไม่รู้ตัว บางครั้ง เวลาก็ไม่สามารถนำมาใช้ตัดสินเรื่องของหัวใจได้ ไม่อย่างนั้นคนที่เคยขำเวลาใครพูดเรื่องเนื้อคู่หรือว่าพรหมลิขิตแบบเขา จะคิดถึงแต่คำคำนั้นทุกครั้งที่เจอเกสรีได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดห่วงบุณฑริกไม่ได้ แถมเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมเกสรีถึงทำท่าเหมือนไม่ชอบขี้หน้าตัวเองเท่าไร
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก คิดว่าคืนนี้คงมีโอกาสคุยกับบุณฑริก จะได้สอบถามอะไรๆ ให้ชัดเจน ถ้าเธอรักใคร่กับหมอนั่นจริง และฝ่ายชายก็ไม่ใช่คนเลวจนเกินไป เขาก็พร้อมจะสนับสนุนและช่วยพูดกับผู้ใหญ่ให้อีกแรง เพราะที่จริงก็หวังให้บุณฑริกได้แต่งงานกับคนที่เธอรักอยู่แล้ว
พอตัดสินใจได้อย่างนั้นก็แสร้งทำเป็นเปิดประตูเสียงดัง เพื่อให้สองสาวรู้ว่าตัวเองกำลังจะออกไป ตีหน้าซื่อทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องที่พวกเธอพูดคุยกัน
“อะ...เอ่อ...เป็นยังไงบ้างคะคุณเดียว พออยู่ได้หรือเปล่า” ตระการตาสอบถามตะกุกตะกัก สีหน้าประดักประเดิดตามประสาคนโกหกไม่เก่ง แอบมองศารทูลแบบกล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับเกสรีหรือเปล่า
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ห้องแต่งไว้สวยกว่ารีสอร์ตบางแห่งซะอีก” ศารทูลตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำท่าเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเท่าไรนัก ก่อนจะหันไปพยายามผูกมิตรกับเจ้าของบ้าน ที่ดูเหมือนว่าจะมาเป็นเจ้าของหัวใจเขาแบบไม่รู้ตัว “บ้านคุณสวยน่าอยู่มากครับ”
“ขอบคุณที่ชม” เกสรีตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดูไม่เป็นมิตรเหมือนเก่า เล่นเอาคนพยายามหน้าจ๋อย
ตระการตาเห็นศารทูลทำเหมือนไม่มีอะไร ก็โล่งใจว่าชายหนุ่มคงไม่ได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับเกสรี อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีเรื่องอะไร
แต่ตอนนั้นเธอไม่เคยคิดเลยว่าความโล่งใจจะหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายลมพัดผ่าน เพราะเกสรีไม่ก่อเรื่องให้ศารทูลระแคะระคายก็จริง แต่สิงห์หนุ่มแห่งไร่ภูพญาไม่ได้ทำอย่างนั้นด้วย แถมสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปยังไม่ใช่แค่ทำให้ศารทูลระแคะระคายเท่านั้น แต่เปิดเผยเรื่องราวของเขากับบุณฑริกแบบชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋ ชนิดที่ไม่เหลืออะไรให้เคลือบแคลงอีกเลย
บรรยากาศที่โต๊ะอาหารค่ำที่บ้านพัฒนามนตรีวันนี้ดูจะมีความเครียดซ่อนอยู่เสียยิ่งกว่ามื้อกลางวันเสียอีก สมาชิกครอบครัวรวมถึงแขกอย่างตระการตาและศารทูลต่างเหลียวหน้าแลหลังและมองตากันไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ สาเหตุก็เพราะจนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววของสีหราชกับบุณฑริกว่าจะกลับมารับประทานอาหารร่วมกันอย่างทุกวัน
“เดี๋ยวรินลองโทร. หาลูกอีกสักรอบดีกว่าค่ะ” แม่เลี้ยงรินรดาเอ่ยขึ้นมา มองหน้าสามีด้วยความกังวล
“ก็ดีเหมือนกันจ้ะ คนอื่นๆ คงหิวกันแล้ว นี่มันก็เลยเวลานานแล้วด้วย” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เอ่ยพลางพยักหน้าให้ภรรยาเป็นเชิงเห็นด้วย
แม่เลี้ยงรินรดาเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ไกลนักขึ้นมาต่อสาย โดยมีสายตาของคนอื่นๆ มองตามอย่างลุ้นๆ สีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของเธอบวกกับไม่มีการสนทนาใดๆ ทำให้พอจะเดาได้ว่าไม่สามารถติดต่อสีหราชได้ เธอเดินถือโทรศัพท์มานั่งที่โต๊ะอาหารแบบที่ไม่ค่อยได้ทำ เพราะเป็นกฎของที่นี่ที่ห้ามเล่นโทรศัพท์ระหว่างรับประทานอาหาร ทว่านี่เป็นสถานการณ์ไม่ปกติ จนไม่มีใครคิดจะทักเรื่องนี้แต่อย่างใด
“เดี๋ยวลองโทร. เข้าเบอร์หนูปิ๊กดูบ้างดีกว่า คิดว่าน่าจะอยู่ด้วยกันนั่นแหละ” แม่เลี้ยงรินรดาเปรยขึ้นมาเป็นเชิงหารือทุกคน และเริ่มกดหมายเลขของบุณฑริก แต่ผลก็ไม่ต่างจากการโทร. หาของสีหราช เธอส่ายหน้าให้ทุกคนรู้ว่าไม่สามารถติดต่อได้ ทำเอาทุกคนได้แต่ถอนหายใจกันโดยถ้วนทั่ว
“เอ...ปกติราชไม่เคยเหลวไหลอย่างนี้เลยนะ ถ้าจะกลับช้าก็ต้องโทร. มาบอกก่อนทุกที” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์บ่นพึมพำเบาๆ
คำพูดประโยคนั้นทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวลอบสบตากันก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ การมีศารทูลโผล่มาแจมจะถือเป็นสถานการณ์ปกติได้อย่างไรกัน
“เอาละ มันเลยเวลามาเยอะแล้ว ถ้ายังไงพวกเราก็กินกันก่อนก็แล้วกัน ปู่ต้องกินยาหลังอาหารด้วย รออีกคงไม่ไหว เชิญครับคุณศารทูล” ตอนท้ายพ่อเลี้ยงหันไปชักชวนศารทูลเพราะถือว่าเป็นแขกเพียงคนเดียว ส่วนตระการตากับบุณฑริกนั้นอยู่มานานพอสมควรจนมองว่าทั้งสองสาวเป็นสมาชิกในครอบครัวไปแล้วด้วยซ้ำ
ความกังวลทำให้ไม่มีใครอยากอาหาร แต่ก็จำใจต้องกินเป็นเพื่อนพ่อเลี้ยงสิงห์ผู้เป็นปู่ซึ่งสูงวัยมากแล้ว รวมถึงเกรงใจแขกแบบศารทูลที่ต้องมาแขวนท้องรอ
แต่ความจริงแล้วแขกแบบศารทูลเองก็กินอะไรแทบไม่ลงเหมือนกัน เพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดรอบๆ ตัว ยิ่งเริ่มค่ำลงเท่าไร ทุกคนก็ยิ่งเครียดมากขึ้นตามลำดับ
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วทุกคนก็มาปักหลักรอสีหราชกับบุณฑริกอยู่ที่ห้องนั่งเล่น จนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบสองทุ่มก็ยังไม่เห็นวี่แววของสองหนุ่มสาว
“จุ๊บโทร. หาคุณปิ๊กไม่ติดเลยค่ะ” ตระการตาเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักหลังจากทดลองโทรศัพท์หาบุณฑริกหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถติดต่อฝ่ายนั้นได้
“เบอร์ราชก็เหมือนกัน” แม่เลี้ยงรินรดาเอ่ยพร้อมทั้งส่ายหน้าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
แม้ทั้งคู่จะพูดอย่างนั้น แต่ศารทูลก็ยังไม่วายลองหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาต่อสายหาบุณฑริกบ้าง ซึ่งผลก็เป็นอย่างเดียวกับที่ตระการตาบอก นั่นคือไม่สามารถติดต่อได้ คล้ายๆ เจ้าตัวปิดโทรศัพท์ เพลย์บอยหนุ่มจากเมืองกรุงกัดฟันกรอดเมื่อคิดว่าบางทีอาจไม่ใช่บุณฑริกที่เป็นคนปิดโทรศัพท์ แม้ฝ่ายนั้นจะซุกซนและเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนเหลวไหลไม่คิดถึงใจคนอื่น
ชายหนุ่มบดกรามแน่นเมื่อนึกถึงคนที่หายไปพร้อมกับบุณฑริก ไอ้หมอนั่นต่างหากที่น่าสงสัย ยิ่งได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นรู้สึกอย่างไรกับบุณฑริก เขาก็ยิ่งมั่นใจ
“ผมจะไปตามหายายปิ๊ก” ศารทูลโพล่งออกมาพร้อมกับลุกพรวดขึ้น ร้อนใจจนนั่งไม่ติด
“จุ๊บไปด้วยนะคะคุณเดียว” ตระการตาลุกตามไปด้วย
“อย่าเลย พี่จะขี่มอเตอร์ไซค์ไป มันคล่องกว่า จุ๊บรอฟังข่าวอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน เผื่อปิ๊กกลับมาจะได้ไม่สวนทางกัน” ศารทูลห้ามปรามเอาไว้
“แต่ว่า...จุ๊บห่วงคุณปิ๊ก”
“พี่รู้ พี่ก็เหมือนกัน แต่จุ๊บรออยู่นี่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปเอากุญแจรถก่อนนะ ไปละ” ศารทูลเอ่ยแล้วก็ไม่อยู่รออะไรอีก ออกจากเรือนใหญ่แล้วก็วานให้คนงานแถวนั้นพาไปส่งที่กระท่อมท้ายไร่ที่ตัวเองขอพักร่วมกับบุณฑริกและตระการตาทันที เพราะตอนขามาเขาขับรถจี๊ปคันเล็กๆ ที่ตระการตาบอกว่าสีหราชกำชับให้ใช้เดินทางมาบ้านใหญ่ในเวลาเย็น แต่กลัวว่าถ้าขับกลับไปเองแล้วตระการตาจะกลับลำบาก จึงคิดว่าไหว้วานให้คนงานไปส่งน่าจะสะดวกกว่า
คนอื่นๆ มองตามศารทูลไปด้วยความรู้สึกต่างๆ กัน รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ห้ามปรามไม่ให้เขาออกไปตามหาบุณฑริกได้ เพราะถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็เป็นคู่หมายของบุณฑริก ในเมื่อเธอหายไปกับผู้ชายอื่นจนค่ำมืดแบบนี้ เขาจะร้อนใจกว่าใครก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่มีใครรู้ว่าที่ศารทูลร้อนใจก็เป็นเพราะรักบุณฑริกไม่ต่างจากน้องสาว และทนไม่ได้หากจะเห็นเธอถูกผู้ชายคนอื่นเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ เขารู้ดีว่าการกระทำของสีหราชในครั้งนี้คือต้องการตบหน้าเขาชัดๆ คล้ายต้องการรวบหัวรวบหางบุณฑริกให้ดิ้นไม่หลุด เขาเองก็ลูกผู้ชายคนหนึ่งย่อมเข้าใจจิตใจผู้ชายด้วยกันดี และถึงแม้จะรู้ว่าทั้งคู่รักกัน แต่พอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนที่รักไม่ต่างจากน้องและเห็นอยู่ตำตา ก็ไม่อาจทำใจวางเฉยได้จริงๆ
ขณะเดียวกันนั้น คนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ก็กำลังถกกันว่าควรอนุญาตให้นฤเคนทร์พาตระการตาออกไปตามหาบุณฑริกกับสีหราชอีกทางดีหรือเปล่า โดยที่ไม่มีใครสังเกตเลยว่าไข่แดงของไร่ภูพญาอย่างเกสรีนั้นแอบดอดตามหลังศารทูลไปตั้งแต่เมื่อไร
ศารทูลชะงักมือที่กำลังหยิบหมวกกันน็อกเมื่อได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้ากระท่อม ไม่แน่ใจว่าตระการตาตามมาขอไปด้วยอีกหรือเปล่า เพราะรายนั้นก็ห่วงบุณฑริกไม่แพ้กัน ก็เลยเดินออกไปดูให้แน่ใจ แต่ปรากฏว่าคนที่กำลังจอดรถจักรยานยนต์อยู่นั่นกลับเป็นเกสรี แถมยังมาคนเดียวอีกด้วย ศารทูลกวาดตามองรอบๆ เผื่อว่าตัวเองจะเข้าใจผิดไป แต่ก็พบว่าเธอมาเพียงคนเดียวจริงๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเปิดฉากพูดก่อน
“นี่คุณจะไปตามพี่ราชกับปิ๊กจริงๆ เหรอ”
“แล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสมควรทำหรอกเหรอ” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ
“นี่ฉันถามจริงๆ เถอะ คุณไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่าทำไมคู่นั้นถึงพากันหายไปอย่างนี้”
“ผมรู้แค่ว่าที่พี่ชายคุณทำอยู่น่ะมันไม่ถูก”
“พวกเขารักกัน พี่ชายฉันกับปิ๊กรักกันได้ยินหรือเปล่า”
“ถึงอย่างนั้นพี่ชายคุณก็ไม่มีสิทธิ์พายายปิ๊กหายไปแบบนี้”
“แล้วใครมีสิทธิ์ คุณงั้นเหรอ ฉันคิดว่าคนที่ไม่ควรมีสิทธิ์ก็คือคุณนั่นแหละ ทำไมไม่ปล่อยให้ปิ๊กเขาได้ไปอยู่กับคนดีๆ ที่รักเขาล่ะ ในเมื่อคุณเองก็ไม่ได้รักเขาซะหน่อย”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้รักยายปิ๊ก” เสียงของศารทูลอ่อนลงนิดหน่อยเพราะคิดไปว่าบางทีเกสรีอาจจะพอเห็นบางอย่างจากแววตาเขาขึ้นมาก็ได้ เลยพยายามสื่อความรู้สึกผ่านไปทางแววตามากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ศารทูลทำตาเชื่อม แม่สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญากลับถลึงตาใส่เขาจนแทบถลน แถมยังแค่นเสียงลอดไรฟัน “จำไม่ได้เหรอว่าฉันพบคุณครั้งแรกที่ไหน”
ศารทูลพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วจำได้ไหมว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่!”
คราวนี้เสือเมืองกรุงไม่กล้าพยักหน้า ได้แต่ทำหน้าเจื่อน เพราะยังไม่ลืมเลือนเรื่องวันนั้นเหมือนกัน เขากำลังอุ่นเครื่องอยู่กับลอร่าก่อนที่เกสรีจะเข้ามาขัดจังหวะ และเลยเถิดจนเกิดการวิวาทกันขึ้น
“ถ้าคุณรักปิ๊กจริงๆ ก็คงไม่ออกไปมั่วซั่วอย่างนั้นทั้งๆ ที่กำลังจะหมั้นกันหรอก จริงไหม”
เสือหนุ่มยังเถียงไม่ออกเพราะจำนนต่อหลักฐาน แต่ก็ไม่อยากให้เธอมองเขาเลวร้ายถึงขนาดนั้น
โธ่...นั่นมันวิถีคนโสดไง เขามันโสดสนิท ไม่มีพันธะทางใจกับใครทั้งนั้น จะให้เก็บเนื้อเก็บตัวรักษาพรหมจรรย์ไว้ทำไมกันเล่า ก็ถ้าเขารักใคร่บุณฑริกและกำลังจะหมั้นกันแบบปกติ ก็คงไม่ออกไปติ๊ดชึ่งกับใครหรอก ถ้าไม่เชื่อก็อยากจะชวนเธอมาหมั้นกับเขาแทนบุณฑริกดูเหมือนกัน
“เรื่องระหว่างผมกับยายปิ๊กมันซับซ้อนกว่าที่คุณคิด” ศารทูลพยายามจะหาช่องทางอธิบาย
“ฉันไม่รู้หรอกว่ามันซับซ้อนแบบไหน แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือที่คุณกำลังทำอยู่น่ะเขาเรียกว่าหมาหวงก้าง ถ้าไม่รู้จักจริงใจกับผู้หญิงคนไหนก็ปล่อยเขาไปอยู่กับคนที่รักเขาจริงๆ สิ”
“มันจะมากไปแล้วนะเกรซ นี่คุณถึงขั้นเอาผมไปเปรียบเทียบกับหมูกับหมาเลยเรอะ!” ศารทูลขึ้นเสียงด้วยความหัวเสียเมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดช่องให้อธิบายสักนิด เอาแต่จะเข้าข้างพี่ชายโดยไม่ฟังอะไรเลย
“หมาหวงก้างล้วนๆ เหอะ ไม่มีหมูเจือปน” นักเลงโตประจำไร่ภูพญาเอ่ยพลางยักคิ้วให้อย่างไม่กลัวเกรง
ความที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของพ่อแม่ แถมยังเป็นน้องนุชสุดท้องของพี่ๆ กอปรกับทะนงในฝีไม้ลายมือของตัวเองพอควร ทำให้เกสรีไม่คิดกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ยิ่งไม่คิดว่าภายในอาณาจักรของตัวเองอย่างนี้จะมีใครหน้าไหนกล้าทำอะไรเธอ
สิงห์สาวที่กำลังลอยหน้าลอยตาอยู่ไม่ทันตั้งตัวเมื่อถูกกระตุกแขนจนเซเข้าไปปะทะร่างสูงใหญ่ของคนที่เคยมองว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำอางเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อมาตลอด กำลังจะอ้าปากต่อว่าว่าอีกฝ่ายเล่นทีเผลอ แต่คำพูดใดๆ ก็ไม่สามารถผ่านออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มได้แม้แต่คำเดียว
ศารทูลประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มของคนฤทธิ์มากที่ชอบพ่นแต่คำพูดบาดใจอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ปลายลิ้นเปี่ยมล้นประสบการณ์สอดเข้าไปลิ้มชิมความหอมหวานภายในโพรงปากนุ่มอย่างร้อนแรง กะจะให้ร้อนพอๆ กับอารมณ์ของคนตัวเล็กเลยทีเดียว
เกมนี้เป็นเกมที่ศารทูลช่ำชอง แต่เป็นประสบการณ์ใหม่ถอดด้ามของสิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาอย่างแท้จริง
ความตกใจทำให้คนที่เคยเก่งกล้าตกตะลึงจนลืมสติ ศิลปะการต่อสู้ที่เคยร่ำเรียนมาก็ถูกหลงลืมไปชั่วคราว ในสมองมีคำว่า ‘จูบ’ ดังก้องซ้ำไปซ้ำมา มึนงงไปหมด ยิ่งเขาสอดปลายลิ้นเข้ามาในปาก หัวใจก็กระตุกรุนแรงราวกับมันจะทะลุออกมานอกอก เนื้อตัวร้อนวูบวาบราวกับคนจับไข้
ช่วงเวลาแห่งความตกใจและหลงลืมสติของเธอกลับเป็นนาทีทองของเสือหนุ่ม ศารทูลบดเคล้าริมฝีปากลงกับกลีบปากนุ่มนิ่มของคนตัวเล็กอย่างแนบแน่นกว่าเดิม ปลายลิ้นสอดลึกควานไซ้ราวกับว่าโพรงปากนุ่มหอมของเธอคือโอเอซิสกลางทะเลทราย ดูดดื่มลึกซึ้งราวกับจะสูบความหวานออกมาทุกหยาดหยด
เกสรีรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม เธอผู้ซึ่งไม่เคยเป็นลมมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ว่าจะออกไปทำงานในไร่ หรือฝึกซ้อมกีฬาชนิดต่างๆ สมัยเรียน เหนื่อยหนักจนเหงื่อโซมกายก็ไม่เคยมีอาการคล้ายจะเป็นลมเลยสักครั้งเดียว แต่ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เธอรู้สึกเหมือนอากาศถูกสูบออกไปจากปอดจนหมด แขนขาก็อ่อนเปลี้ยคล้ายๆ กับโดนไฟชอร์ต จำเป็นต้องยึดไหล่กว้างของโจรปล้นจูบไว้เพื่อพยุงร่างอย่างไม่มีทางเลือก
ขณะที่ศารทูลกำลังดื่มด่ำกับความหวานละมุนที่ได้เชยชิม และเกสรีก็กำลังจะหน้ามืดหมดสติเพราะตื่นเต้นเกินไป ก็มีเสียงอุทานของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา ฉุดดึงสองหนุ่มสาวออกจากมนตร์จุมพิตที่กำลังดำเนินอยู่อย่างปัจจุบันทันด่วน
“คะ...คะ...คุณหนูเกรซ!”
ศารทูลถอนจุมพิตออกแล้วตวัดร่างเกสรีไปไว้ด้านหลังตนเองทันที สบตากับเจ้าของเสียงเมื่อสักครู่ด้วยดวงตาวาวโรจน์ สัญชาตญาณเพศผู้ที่มักหวงคู่แผ่ออกมาอย่างรุนแรง ปกติแล้วเขาไม่ค่อยแคร์ที่ใครจะเห็นเวลาตัวเองแสดงอารมณ์พิศวาสกับคู่ควงนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าจูบกับลอร่าในคลับวันนั้น เหตุการณ์แบบที่เกสรีเห็นไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ซึ่งก็อาจจะเหมือนหนุ่มสาวรักสนุกอีกหลายๆ คน
แต่ตอนนี้กลับไม่อยากให้ใครเห็นเหตุการณ์ระหว่างตัวเองกับเกสรี เนื้อตัวของเธอที่อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขาเมื่อสักครู่ทำให้แน่ใจว่าเธอกำลังถูกปลุกเร้ามากพอสมควร และเขาไม่ต้องการให้ใครเห็นเกสรีที่กำลังตกอยู่ในห้วงพิศวาส ยอมรับว่าหวงจนสุดหัวใจ
วิชัยซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานสบตาวาวโรจน์ของชายหนุ่มที่มาเป็นแขกของไร่ด้วยดวงตาเย็นเยียบแบบไม่คิดกลัวเกรง รู้สึกเหมือนถูกหนุ่มเมืองกรุงหยามศักดิ์ศรีคนทั้งไร่
ก่อนหน้านี้เขาได้รับการไหว้วานจากศารทูลให้ขับรถมาส่งที่กระท่อมริมธาร ได้ยินว่าจะมาเอารถจักรยานยนต์ที่จอดไว้ที่นี่ออกไปตามหาบุณฑริก พอเขาส่งอีกฝ่ายเสร็จแล้วก็ขับรถกลับไป แต่ยังกลับไปไม่ถึงบ้านพักของตัวเองก็เหลือบไปเห็นว่ากระเป๋าสตางค์ของศารทูลหล่นอยู่ที่เบาะที่นั่งข้างคนขับ คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะใส่ไว้ที่กระเป๋าหลังของกางเกงที่สวม ทำให้เลื่อนหล่นลงมา จึงวนรถกลับเพื่อนำมาคืนให้ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเห็นชายหนุ่มผู้นี้ยืนกอดจูบอยู่กับคุณหนูเกรซของพวกเขาเสียได้
เกสรีกะพริบตาปริบๆ หลังจากผ่านไปสักครู่ก็ตั้งสติได้บ้าง ยิ่งได้ยินเสียงคุ้นๆ หู ก็ยิ่งรู้สึกตัวชัดเจนขึ้น กวาดตามองรอบๆ แบบงงๆ แผ่นหลังกว้างของคนตัวโตที่บดบังอยู่ทำให้มองได้ไม่รอบ จึงเอียงหน้าไปหาเสียงที่ได้ยินแว่วๆ เมื่อครู่ แต่พอเห็นวิชัยยืนจังก้าอยู่ สติก็กลับมาแบบเต็มร้อยทันที อุทานเรียกอีกฝ่ายเสียงหลง
“อาวิชัย!”
“คุณหนูเกรซ นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” วิชัยถามแบบไม่อ้อมค้อม อยากรู้ให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งสองคนยินยอมพร้อมใจกัน หรือว่าฝ่ายชายข่มเหงรังแกเกสรี
“เอ่อ...คือ...เรื่องนี้เกรซอธิบายได้นะคะ” เกสรีเอ่ยตะกุกตะกัก ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายก้าวก่ายแต่อย่างใด
วิชัยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับบิดาของเธอมาโดยตลอด ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากสมาชิกในครอบครัวของเธอทุกคน บิดามารดามักจะสอนให้พวกเธอทั้งสามพี่น้องเคารพวิชัยเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“ครับ ผมก็คิดว่าคุณหนูควรอธิบายเรื่องนี้กับคุณพ่อ”
“เอ่อ...เกรซว่า...” เกสรีกำลังหาวิธีหว่านล้อมให้อีกฝ่ายเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ยังเรียบเรียงคำพูดดีๆ ไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
“ผมเชื่อว่านายเสือไม่มีทางปล่อยให้ใครมาหยามเกียรติของคุณหนูแน่นอน” วิชัยเอ่ยเสียงเหี้ยม มองหนุ่มเมืองกรุงด้วยแววตาเย็นเยียบ
ศารทูลยังนิ่งไม่ไหวติง ดูท่าทางแล้วไม่เกรงกลัวน้ำเสียงและแววตาข่มขู่ของอีกฝ่ายเลยสักนิด ในขณะที่เกสรีถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
โธ่! จะยืนเก๊กอยู่ทำไมล่ะตาเบื๊อกเอ๊ย! รีบหาทางช่วยกันแก้ตัวเข้าสิ!
เกสรีแอบคร่ำครวญอยู่ในใจเมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งไม่ไหวติงของอีกฝ่าย แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าอีตานี่สักเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่อยากจะให้เขาเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เสียหน่อย ลองเธอพูดคำเดียวว่าเขาเป็นฝ่ายลวนลามโดยที่เธอไม่เต็มใจ รับรองได้ว่าศารทูลต้องกลายเป็นผีเฝ้าไร่อย่างแน่นอน
“คือ...มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะค่ะ” เกสรีอ้อมแอ้มแก้ตัว
“คุณเงียบเถอะ” ศารทูลเอ่ยขึ้นมาเป็นประโยคแรก
“นายนั่นแหละเงียบไปเลย!” เกสรีแหวพร้อมกับถลึงตาใส่ อยากจะเอาเรื่องเขาอยู่เหมือนกันที่มาปล้นจูบแรกของเธอไปดื้อๆ เพียงแต่ยังไม่กล้าแสดงอะไรออกไปต่อหน้าวิชัย เพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะบานปลาย
ฉันกำลังช่วยชีวิตนายอยู่นะยะ รีบสำนึกบุญคุณซะสิ! แม่สิงห์สาวเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ
“ผมว่าเงียบทั้งสองคนนั่นแหละครับ เอาไว้ไปพูดกันต่อหน้านายเสือทีเดียวเลยดีกว่า” วิชัยทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“ได้ครับ” ศารทูลรับคำสั้นๆ ในขณะที่เกสรีอุทานเสียงหลง
“ไม่เอานะ!”
“ผมว่าคุณสองคนขึ้นรถเถอะครับ ผมจะพาไปส่งที่บ้านใหญ่” วิชัยเอ่ยพร้อมกับจ้องสองหนุ่มสาวเขม็ง
ศารทูลก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันเดิมที่มาส่งเขาเมื่อสักครู่ด้วยกิริยาสงบนิ่งจนวิชัยแอบพอใจอยู่นิดๆ ที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ลนลาน หรือแสดงท่าทางขลาดกลัวจนเสียกิริยา ไม่ได้หยิบโหย่งสำอางแบบชาวกรุงอย่างที่นึกปรามาสอยู่ในใจ
“อาวิชัยคะ เกรซว่า...” เกสรีพยายามยื้อความหวังสุดท้ายที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์
“ขึ้นรถเถอะครับคุณหนู ไปหาพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงกันดีกว่า ท่านจะแก้ปัญหาให้คุณหนูได้ทุกเรื่อง เชื่อผมเถอะครับ”
สายตาบังคับของผู้ใหญ่ที่เคารพรักทำให้สิงห์สาวก้าวขึ้นไปนั่งทางตอนหลังของรถด้วยความจำยอม รู้ดีว่าการไปพบบิดามารดาครั้งนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างที่วิชัยพูดสักนิด แต่เป็นการสร้างปัญหาชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ให้เธอต่างหาก
คนเลือดร้อนต้องมานั่งเสียใจซ้ำซากกับการควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ของตัวเอง เธอไม่น่าไปด่าว่าอีตานั่นเป็นหมาเลย ไม่อย่างนั้นเขาอาจไม่โกรธถึงขนาดมาปล้ำจูบเธอก็ได้ แล้วเรื่องก็คงไม่เลยเถิดจนถึงขนาดนี้ นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า เล่นกับหมา หมาเลียปาก
พอนึกถึงวิธีการเลียปากของอีกฝ่าย หัวใจสิงห์สาวก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ ไม่แน่ใจว่าตลอดชีวิตที่เหลือจะสามารถลืมเหตุการณ์ครั้งนี้ได้หรือไม่
อะไรๆ ที่เป็นครั้งแรก คนเราก็มักจะจดจำได้ดีเป็นพิเศษอยู่แล้ว ก็แล้วทำไมเธอจะต้องเสียจูบแรกที่แสนพิเศษให้อีตาบ้านี่ด้วยเล่า! แฟนรึก็ไม่ใช่! ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ก็เลยได้แต่นั่งฮึดฮัดฟึดฟัดไปตลอดทาง
ศารทูลซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับแอบชำเลืองมองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เบาะหลังหลายต่อหลายครั้ง กิริยาคล้ายๆ กับโกรธปนเขินอายแบบเด็กๆ ของคนตัวเล็ก ทำให้ริมฝีปากหยักสวยของเสือเมืองกรุงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแทบจะตลอดเวลา
พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์หันไปสบตากับภรรยาเมื่อเห็นวิชัยเดินนำศารทูลกับเกสรีเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่พวกเขายังนั่งอยู่ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน เพราะกำลังตระหนกต่อเหตุการณ์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ก่อนหน้านี้
นฤเคนทร์ที่รับอาสาพาตระการตาออกไปตามหาบุณฑริก เพราะเห็นว่าเธอเป็นห่วงเพื่อนมากจนไม่สามารถทนรออยู่ที่บ้านได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมายังไง อยู่ๆ ลูกชายคนรองของพวกเขาก็โทร. มาบอกว่ามีงานด่วน ต้องกลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ นั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาแปลกใจนัก เพราะบางครั้งงานของนฤเคนทร์ก็มีเร่งด่วนอยู่บ้าง แต่ที่ทำให้ตกใจจนพูดอะไรกันไม่ออกอยู่นี่ ก็เพราะลูกชายบอกว่าจะพาตระการตาไปด้วย และจะให้เธอทำงานใช้หนี้ด้วยการเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เขานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พูดจบก็รีบวางสาย ไม่บอกรายละเอียดที่มากกว่านั้น
สองสามีภรรยาจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยว่าเด็กสาวเรียบร้อยน่ารักอย่างตระการตา มาเป็นหนี้ลูกชายจอมเจ้าชู้ของพวกเขาตั้งแต่เมื่อไร แถมพอโทร. กลับไป ฝ่ายนั้นกลับปิดเครื่องเหมือนต้องการตัดขาดการติดต่อ มาตำราเดียวกับสีหราชผู้เป็นพี่ชายไม่มีผิด ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
ตอนนี้เรียกได้ว่าลูกชายของบ้านพัฒนามนตรีทั้งสองคนลักพาตัวผู้หญิงไปทั้งคู่!
“อ้าว! นี่คุณศารทูลไม่ได้ออกไปตามหาหนูปิ๊กหรอกเหรอ” แม้จะมีเรื่องสงสัยหลายอย่าง แต่พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ก็เลือกที่จะถามเรื่องนี้ก่อน เพื่อที่จะนำไปสู่เรื่องของนฤเคนทร์กับตระการตาที่อีกฝ่ายคงยังไม่ทราบ
“ก็ตั้งใจจะไปอยู่ครับ แต่พอดีว่ามันเกิดเหตุขัดข้องขึ้นนิดหน่อย” ศารทูลตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“อืม ดีแล้ว อาว่าตอนนี้ใครก็อย่าออกไปตามหาใครอีกเลยนะ อยู่รอพวกนั้นด้วยกันนี่แหละ บอกตรงๆ ว่าอาไม่อยากให้ใครออกไปจากบ้านอีกแล้ว เพราะไปแล้วก็หายต๋อมกันไปจนหมด”
“หมายความว่ายังไงครับ” ศารทูลถามแบบงงๆ ก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ “แล้วนี่ยายจุ๊บไปไหนซะล่ะครับ”
สองสามีภรรยาสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์จะรับหน้าที่เป็นคนอธิบายเรื่องราวต่างๆ
“ก็หนูจุ๊บเขาเป็นห่วงหนูปิ๊ก ก็เลยจะขอยืมรถที่ไร่ออกไปตามหาหนูปิ๊ก อาก็ห้ามไว้เพราะเห็นว่าหนูจุ๊บขับรถไม่แข็ง แล้วก็ไม่ชินเส้นทางด้วย”
“แล้วยังไงครับ อย่าบอกนะครับว่ายายจุ๊บแอบขโมยรถออกไปเอง” ศารทูลสันนิษฐานพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น กลัวว่าอยู่กับบุณฑริกมากไปแล้วตระการตาจะซึมซับความแผลงของเพื่อนรักไปด้วย
พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตระการตาไม่ได้เป็นขโมย แต่ถูกขโมยตัวไปต่างหากล่ะ!
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พอดีว่าเคนเขาเห็นหนูจุ๊บเป็นห่วงเพื่อนมาก กังวลจนนั่งไม่ติด ก็เลยอาสาขับรถไปให้” แม่เลี้ยงรินรดาอธิบายเพิ่มเติม
“อ๋อ อย่างนี้เอง” ศารทูลอุทานด้วยความโล่งอก
“แต่ว่า”
“แต่อะไรเหรอครับ” คนที่เพิ่งโล่งอกไปเมื่อกี้เริ่มคิ้วขมวดอีกครั้ง
“แต่ว่าไม่รู้ไปยังไงมายังไง อยู่ๆ เคนก็โทร. มาบอกพวกอาว่ามีงานด่วนที่กรุงเทพฯ ต้องรีบกลับไป แล้วก็จะพาหนูจุ๊บไปด้วย เพราะว่าหนูจุ๊บเป็นหนี้เขาอยู่ ต้องใช้หนี้ด้วยการไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เคนเขาน่ะค่ะ” แม่เลี้ยงรินรดาพูดจบก็ถอนหายใจอีกรอบ กลุ้มจนไม่รู้จะกลุ้มอย่างไรต่อพฤติกรรมของลูกชายทั้งสองคน
“เป็นหนี้? ยายจุ๊บน่ะเหรอครับเป็นหนี้ลูกชายคุณอา” ศารทูลถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ นั่นมันไม่ใช่นิสัยของตระการตาสักนิดที่จะไปกู้หนี้ยืมสินใคร “เขาเป็นหนี้อะไรกันครับ คุณอาพอจะรู้ไหม”
สองสามีภรรยาส่ายหน้าพร้อมกัน เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาแปลกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน นฤเคนทร์กลับมาบ้านได้หลายวันแล้ว แต่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้เรื่องหนี้สินระหว่างเขากับตระการตาสักคำ อยู่ๆ วันนี้ก็พาตัวไปใช้หนี้หน้าตาเฉย อย่าว่าแต่ศารทูลเลยที่งง พวกเขาที่เป็นพ่อแม่แท้ๆ ก็งงไม่แพ้กัน
“พวกอาก็โทร. กลับไป อยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราว แต่ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้อีกคู่หนึ่งเหมือนกัน ถึงได้บอกว่าไม่อยากให้ใครไปตามหาใครอีกแล้วไง กลัวจะเงียบหายไปอีก” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนจะหันไปหาลูกสาวที่นั่งสงบเสงี่ยมอย่างผิดวิสัยข้างคนเป็นแม่ “เกรซล่ะลูก รู้บ้างไหมว่าหนูจุ๊บกับพี่เคนเขาเป็นหนี้อะไรกัน”
เกสรียังไม่ทันได้ตอบ แม่เลี้ยงรินรดาก็ถามอีกคำถามขึ้นก่อน “ว่าแต่เราไปไหนมา ถึงได้มาพร้อมกับคุณศารทูลกับอาวิชัยเขาได้ แม่นึกว่าเราอยู่ในห้องเสียอีก”
“คือว่า...คือว่า...” เกสรีคนกล้าประจำไร่กลายเป็นคนติดอ่างไปเสียแล้ว
“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับนาย” วิชัยที่นั่งเงียบมานานทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“มีอะไรเหรอชัย” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ถามคนสนิท
“ไหนๆ วันนี้มันก็มีแต่เรื่องให้นายปวดหัวแล้ว ก็ปวดมันอีกสักรอบก็แล้วกันนะครับ จะได้จบๆ ไป ไม่ต้องไปปวดวันอื่นอีก”
“อะไรของแกอีกล่ะเนี่ย” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เพลียใจอย่างหนัก
ลูกน้องคนสนิทกลืนน้ำลายอึกใหญ่ นึกสงสารคนเป็นนายอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ เพราะคุณหนูของตนเป็นฝ่ายเสียหาย จึงตัดสินใจโพล่งออกมาแบบไม่อ้อมค้อม
“คือว่าเมื่อกี้ผมเห็นคุณคนนี้กับคุณหนูเกรซจูบกัน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น