5

บทที่ 5


5

 

เสียงก๊อกแก๊กดังแหวกความเงียบสงัดยามที่มนยาก้มลงไขกุญแจรั้วบ้าน พลางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เนื่องจากชุมชนที่เธออยู่เป็นพื้นที่สีแดง เสี่ยงต่อความอันตรายทุกรูปแบบ และถึงแม้รั้วบ้านของเธอจะไม่แข็งแรงพอที่จะกันอะไรได้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นพื้นที่ที่เธอเชื่อว่าจะปลอดภัย

หญิงสาวผลักประตูรั้วแล้วรีบผลุบเข้าไป เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงบิดรถจักรยานยนต์ของบรรดาเด็กแว้นดังกระหึ่มขึ้น มนยาจึงรีบเดินเข้าตัวบ้านอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกคุกคามด้วยวาจาที่พวกเด็กวัยรุ่นในชุมชนมักจะแซวหยาบคายไม่เลือกหน้า

วันนี้มนยาเลิกงานดึกกว่าปกติ เพราะเป็นการทำงานในตำแหน่งเอ็มซีประจำบูทรถยนต์สัญชาติยุโรปแบรนด์ดังเป็นวันสุดท้าย ทางผู้ว่าจ้างจึงนัดพูดคุยเป็นการขอบคุณเธอและเพื่อนๆ ที่ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังทาบทามพวกเธอไว้สำหรับการจัดงานในครั้งต่อไปอีกด้วย ซึ่งหลังจากเสร็จงาน มนยาก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที โดยปฏิเสธการออกไปปาร์ตีรอบดึกกับบรรดาเพื่อนร่วมอาชีพ เพราะห่วงมารดาที่ต้องอยู่ตามลำพัง

แป๊ะ!

มนยากดเปิดสวิตช์ไฟ ก่อนที่แสงขาวนวลจะส่องสว่างไปทั่วทั้งบ้าน เผยให้เห็นข้าวของเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ทั้งขวดเหล้าขาวที่หกเลอะเทอะ แก้วพลาสติกและจานใส่ถั่วลิสง

หญิงสาววางถุงก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะ ก่อนจะลงมือเก็บกวาดบ้านอย่างรวดเร็ว แม้บ้านของเธอจะเก่าคร่ำครึ และอยู่ในชุมชนแออัด แต่มนยาไม่เคยปล่อยให้บ้านสกปรก เพราะหมั่นเก็บกวาดให้สะอาดสะอ้านอยู่เสมอ และเมื่อทำความสะอาดด้านนอกเสร็จแล้ว หญิงสาวก็เข้าห้องครัว กวาดอาหารที่มารดาไม่แม้จะแตะต้องสักนิดลงถังขยะ รวมถึงข้าวสวยที่บูดเต็มหม้อ พอเห็นแบบนั้นก็พานเหนื่อยล้าขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะในขณะที่เธอพยายามดูแลมารดา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ให้ความร่วมมือ ซ้ำยังทำร้ายร่างกายตัวเองด้วยการดื่มสุราทุกวี่วัน

มนยากดปิดไฟภายในห้องครัวแล้วเดินกลับออกมาหยิบผ้าห่มที่พับเก็บไว้ในตู้โชว์หลังเก่าออกมาห่มให้มารดาที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนโซฟาตัวยาวในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เนื้อตัวฉุนจัดเพราะกลิ่นสุราดีกรีแรง ไร้เค้าอดีตคุณนายนักการทูตอย่างสิ้นเชิง

หญิงสาวถอนสายตาจากภาพใบหน้าของมารดา ก่อนเดินไปปิดไฟและขึ้นห้องนอนไป โดยไม่แตะก๋วยเตี๋ยวที่ซื้อมา เพราะจู่ๆ ปากก็ขมปร่า ไม่อยากรับรสสิ่งใดขึ้นมาดื้อๆ

มือบางดันประตูห้องนอนปิดแล้วกดลงกลอนเรียบร้อย กดเปิดไฟแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม หลับตาลง ซึมซับเอาความอบอุ่นและปลอดภัยที่สุดไว้ในอก เพราะนาทีนี้ไม่มีที่ไหนให้ความสุขเธอได้มากไปกว่าห้องนอนเล็กๆ ห้องนี้อีกแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเก่า แต่ก็เป็นสถานที่เดียวที่มนยาได้เป็นตัวของตัวเอง เป็นมนยาคนที่ร้องไห้ได้โดยไม่กลัวว่าใครจะมองว่าอ่อนแอ ยังโหยหาความเข้มแข็ง ความสุข ความอบอุ่น และความปลอดภัยในชีวิต เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังมีความรู้สึกต่อคำติชม การอิจฉา ริษยา ไม่ใช่มนยาที่แสนจะมั่นใจยามอยู่ต่อหน้าผู้คนหลายร้อยคน บางทีเธอก็เหนื่อยกับการที่ต้องทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าใครๆ เหมือนกัน

หญิงสาวยกมือเรียวขึ้นปาดหยดน้ำที่ไหลออกมาทางหางตาเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ตีรวน ก่อนผุดลุกขึ้นนั่งตรงปลายเตียง แล้วควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายที่กำลังสั่นขึ้นมากดดู เห็นเป็นหมายเลขสิบหลักที่ไม่แสดงชื่อจึงลังเลที่จะกดรับ จนสายตัดไปเองถึงสองครั้ง เมื่อมีเสียงโทร. เข้ามาเป็นรอบที่สาม มนยาถึงได้กดรับและกรอกเสียงลงไปอย่างหยั่งเชิง

“สวัสดีค่ะ มนยาพูดค่ะ”

“นอนแล้วเหรอ” เสียงแหลมๆ ไม่คุ้นหูดังกลับมา

มนยาต้องดึงมือถือออกห่าง ขมวดคิ้วอย่างนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “นั่นใครคะ”

“ฉันจิ๊บไง แค่นี้ก็ทำเป็นจำไม่ได้” ปลายสายว่าเสียงสะบัด ติดจะอ้อแอ้เล็กน้อย แบบที่มนยาเดาได้ว่าคงกำลังเมาได้ที่

“มีอะไรหรือเปล่า”

“มีสิ ไม่งั้นจะโทร. หาทำไม”

คนฟังสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามระงับอารมณ์ไม่พอใจเอาไว้เพราะปลายสายพูดจามะนาวไม่มีน้ำเสียเหลือเกิน

“แล้วตกลงว่ามีอะไร”

“ศุกร์นี้เธอว่างมะ ไปรับงานที่พัทยาแทนฉันหน่อยสิ พอดีฉันติดอีกงานน่ะ”

“งานอะไร” มนยาซักถามเพื่อความมั่นใจ เพราะในแวดวงพริตตีไม่ได้มีแค่งานเอ็มซีหรือถ่ายแบบเท่านั้น เธออยากได้เงินก็จริง แต่ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย

“งานเอ็นเบาน่ะ นั่งคุยเป็นเพื่อนแขกกับชงเหล้านิดๆ หน่อยๆ พอดีเพื่อนฉันติดต่อมา ฉันเลยเผลอรับปากมันไป แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ารับอีกงานไว้ เลยต้องหาคนไปแทน ทำไม่นานหรอก แค่สามสี่ชั่วโมง ค่าจ้างฉันก็ให้เธอหมดเลย ไม่หักค่านายหน้าสักบาท”

มนยาเงียบอย่างครุ่นคิด หลังฟังรายละเอียดงานคร่าวๆ จากเพื่อนร่วมอาชีพ เธอไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง เนื่องจากไม่มีรถยนต์ส่วนตัวเช่นเพื่อนคนอื่นๆ

“ก็น่าสนใจดีนะ แต่ฉันไม่ค่อยสะดวกน่ะสิ”

“เรื่องการเดินทางใช่ไหม ไม่ต้องห่วงนะ เขามีรถรับส่ง” ปลายสายเอ่ยเสียงแจ้วๆ นำเสนอเต็มที่ “ถ้าเธอรับงานนี้ก็แค่บอกให้เขาไปรับตามจุดใหญ่ๆ พวกหน้าห้างสรรพสินค้าอะไรแบบนี้”

“ได้เหรอ”

“ได้ซี ว่าแต่...ตกลงเธอจะรับงานนี้ไหม เพราะถ้าไม่รับ ฉันจะได้ไปหาคนอื่น เดี๋ยวพอถึงเวลางานขึ้นมาแล้วขาดคนจะวุ่นเอา”

“ศุกร์นี้ใช่ไหม”

“อือ” ปลายสายรับคำเสียงห้วน

“ฉันรับเอง ไม่ต้องไปหาคนอื่นหรอก เดี๋ยวยังไงรบกวนเธอส่งรายละเอียดงานให้ฉันด้วยละกัน” มนยาเอ่ยขึ้นอย่างตัดสินใจ

“ได้ เดี๋ยวฉันส่งให้ทางไลน์นะ แค่นี้แหละ”

“อือ” มนยารับคำ ปลายสายจึงรีบกดวางอย่างรวดเร็ว และทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดกับความคิดมากมายที่ไหลวนอยู่ในหัวของมนยา

เธอทำงานเหมือนคนร้อนเงิน เพราะมีเป้าหมายใหญ่นั่นคือการย้ายออกไปจากที่นี่ มนยาต้องการสังคมที่ปลอดภัย อยากมีบ้านที่ให้ความอบอุ่นและนอนหลับได้โดยไม่ต้องคอยหวาดระแวง อยากพามารดาออกไปจากแหล่งเสื่อมโทรม เพราะเชื่อว่าท่านจะหายจากอาการต่างๆ ที่เป็นอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แถมเธอยังต้องผ่อนค่าบ้านที่ติดจำนองไว้อีก ไหนจะค่าใช้จ่ายต่างๆ นานา มนยาจึงต้องทำงานอย่างหนักและไม่ปฏิเสธงานที่เหลือบ่ากว่าแรง

มือบางวางโทรศัพท์ลง หลังอัปรูปถ่ายของตัวเองที่กำลังยืนฉีกยิ้มสวยให้กล้อง ขณะทำหน้าที่เอ็มซีประจำโชว์รูมรถหรูในวันสุดท้ายของงานจัดแสดงรถยนต์ เพื่อเป็นการโพรโมตตัวเอง จากนั้นจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ ตามด้วยการลงเครื่องประทินผิวมากมายทั้งบนใบหน้าและผิวกาย แล้วจึงเข้านอนตอนที่เสียงไก่ของคนข้างบ้านโก่งคอขันรับวันใหม่พอดี

 

“เย้ๆ วันศุกร์หรรษาแล้วว้อย” เสียงโห่ร้องยินดีดังลั่นแผนกออกแบบโครงสร้างของบริษัทเมธตระกูลทวีกรุ๊ป ยามที่เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสิบหกนาฬิกาตรงเป๊ะ ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานและเป็นเวลาที่บรรดาขี้เมาจะได้ออกไปสังสรรค์ให้เต็มที่เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์

“วันนี้วันศุกร์แห่งชาติ ไปไหนกันดี” เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างถามความคิดเห็น ท่ามกลางเสียงเก็บของดังก๊อกแก๊กจากด้านหลังของแต่ละพาร์ทิชัน

“ไปซุ้มยาดองดีไหม เปรี้ยวปาก อยากแดกม้ากระทืบโรงว่ะ” รพีคนเดิมเสนอ แต่บรรดาเพื่อนๆ กลับโห่ร้องอย่างไม่เห็นด้วย เจ้าตัวจึงยื่นหน้าข้ามคอกมาเอ่ยถามหัวหน้าแผนกที่กำลังกดปิดคอมพิวเตอร์และเก็บข้าวบนโต๊ะ ซ้ำยังจัดวางเป็นระเบียบอย่างผิดวิสัย

“ว่าไงพี่แบงค์ เราจะไปก๊งเหล้ากันที่ไหนดีพี่”

“เรื่องของมึงสิ มาถามอะไรกู”

“อ้าว แล้วเราไม่ไปด้วยกันเหรอพี่” รพีทำหน้างง เมื่อถูกรุ่นพี่ย้อนถาม

“ไม่อ้ะ กูมีนัด”

“อะไรว้า ทำไมพักนี้มีนัดบ่อยจังล่ะครับ”

“เรื่องของกู”

“พี่แบงค์ติดสาวแน่ๆ เลย” คนปากมอมพูดเสียงดัง จงใจจะโพนทะนาให้ใครต่อใครได้รู้ เมื่อจู่ๆ หัวโจกแห่งวงเหล้าอย่างบารมีกลับปลีกตัวออกจากวงสังคมขี้เมา

คนเป็นรุ่นพี่ต้องรีบอธิบาย “กูต้องไปทำธุระแทนเฮีย ไม่ได้ติดสาว”

“ให้จริงเถอะ วันนั้นผมยังแอบเห็นรูปผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้บนหน้าจอมือถือพี่อยู่เลย”

“อะไรนะ!” บารมีร้องแล้วหันขวับไปมองหน้าคนพูดทันที “นี่มึงแอบเล่นมือถือกูเหรอ”

“เปล่า ผมแค่เห็นเฉยๆ ก็พี่เล่นตั้งเป็นรูปพักหน้าจอขนาดนั้น ใครๆ ก็ต้องเห็นน่ะสิ ไม่เชื่อถามไอ้เต้ก็ได้ ไอ้เต้ก็เห็น” รพีเอ่ยพลางบุ้ยปากไปทางชานนท์ที่นั่งติดกับคนเป็นรุ่นพี่

บารมีหันไปมองรุ่นน้องอีกคนเพื่อขอคำตอบ แต่อีกฝ่ายกลับผุดลุกขึ้นยืน

“ผมกลับละครับ เมียโทร. ตาม”

“อ้าว มึงไม่คิดจะช่วยยืนยันให้กูหน่อยเหรอ”

“กูไม่ชอบโกหก เพราะมึงพยายามจะเข้ารหัสมือถือพี่แบงค์จริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นเฉยๆ”

“อ้าว” เพื่อนร่วมงานคนอื่นอุทานขึ้นพร้อมกัน ขณะที่คนทำรีบปั้นสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเมื่อถูกจับได้ ก่อนรีบอ้างเหตุผลเสียงรัว

“โธ่พี่ ผมแค่จะเข้าไปดูว่าพี่เล่นเกมถึงเลเวลไหนแล้วเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเลยนะพี่นะ”

“เหรอ” บารมีแค่นเสียงรับรู้ ก่อนจะยกมะเหงกเขกลงบนศีรษะของรุ่นน้องไปหนึ่งที แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงร้องโอดโอยเกินจริงเสียดังลั่นไปทั่วทั้งแผนก

“ผมเจ็บนะพี่ เจ็บจะตายอยู่แล้ว โอ๊ย”

“เจ็บงั้นหรือไอ้สำออย” บารมีถาม ก่อนคนเจ็บจะพยักหน้า เขาจึงหันไปเอ่ยเรียกรุ่นน้องอีกคน “ไอ้ศรามึงมาช่วยดูมันหน่อยสิ เผื่อมันจะหายเจ็บ”

“หายแล้ว”

บารมีพูดยังไม่ทันขาดคำดี คนขี้สำออยก็หายเจ็บทันที ก่อนจะเดินนั่งคอตกในคอกของตัวเอง แบบที่ศราไม่ต้องเสียแรงลุกขึ้นเดินมาดูสักนิดเดียว ทำเอาบารมีและเพื่อนร่วมงานคนอื่นหลุดหัวเราะกับความท่ามากของรพี

บารมีเก็บโต๊ะทำงานจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงขอตัวเดินออกมาก่อนเพื่อพยายามรักษาเวลา เนื่องจากเย็นนี้เขาต้องไปร่วมงานปาร์ตีที่พัทยากับบรรดาผู้บริหารและทายาทผู้บริหารในกลุ่มธุรกิจนำเข้ารถยนต์ในเครือเดียวกันตามคำสั่งของพี่ชาย ที่พักหลังมานี้มักจะให้เขาออกงานสังคมแทน เพราะอยากให้เขาได้ทำความรู้จักกับผู้บริหารคนอื่นเอาไว้บ้าง เพื่อวันที่บารมีต้องลงมาทำงานนี้เต็มตัวจะได้ไม่ต้องปรับตัวกับการเข้าสังคมมาก

 

บารมีแวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดมิเนียม ก่อนจะขับรถมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี โดยเลือกใช้รถยนต์สปอร์ตคันงาม เพื่อป้องกันการถูกตำหนิจากพี่ชาย หากเขาเลือกใช้พาหนะไม่สมฐานะเจ้าของธุรกิจนำเข้ารถยนต์ เขาใช้เวลาขับรถถึงจุดหมายร่วมชั่วโมงกว่า การจราจรติดขัดบ้างเนื่องจากเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ แต่ว่าที่ผู้บริหารหนุ่มก็มาถึงทันเวลานัดหมายพอดี

งานปาร์ตีที่บารมีได้รับเชิญจัดขึ้นที่ห้องอาหารหรูของโรงแรมติดชายทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานมากมาย ส่วนใหญ่เป็นบรรดาผู้บริหารในแวดวงธุรกิจนำเข้ารถยนต์ที่บารมีพอจะรู้จักอยู่บ้าง เขาจึงเอ่ยทักทายคนนู้นคนนี้ไปบ้างพอเป็นพิธี แล้วจึงหยิบแก้วเครื่องดื่มจากพนักงานเสิร์ฟสาวสวยไปนั่งดื่มบนเก้าอี้ว่าง ก่อนเสียงร้องทักทายจะดังขึ้น

“อ้าว คุณแบงค์ มาเหมือนกันหรือครับ”

บารมีหันไปมองพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ทักทาย เมื่อจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนนักธุรกิจของบวรเวท

“ครับ พอดีพี่บอสไม่ว่าง เลยให้ผมมาแทน ถ้าคุณโจไม่รังเกียจ นั่งด้วยกันก็ได้ครับ” บารมีเชื้อเชิญอย่างหาพรรคพวก เพราะไม่คุ้นชินกับงานเลี้ยงสังสรรค์แบบนี้เอาเสียเลย ซึ่งคนได้รับเชิญก็รีบนั่งลงทันที พร้อมๆ กับที่พนักงานเสิร์ฟสาวเดินเข้ามารับออร์เดอร์ บารมีจึงสั่งเบียร์เพิ่มไปอีกหนึ่งแก้ว ก่อนจะชวนคู่สนทนาคุย

“คุณโจมางานเลี้ยงแบบนี้บ่อยไหมครับ”

“ไม่บ่อยหรอกครับ อีกอย่างก็ไม่ค่อยมีใครจัดงานแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนัดนั่งพูดนั่งคุยกันเสียมากกว่า แต่นี่เห็นว่าผู้จัดเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งเรียนจบมาจากอเมริกา อยากจะรู้จักคนในแวดวงเดียวกันก็เลยจัดงานนี้ขึ้น เอาจริงๆ ผมก็เพิ่งเคยมางานแบบนี้ครั้งแรก”

“เหมือนกันเลยครับ” บารมีบอกยิ้มๆ

ผู้ร่วมวงสนทนาหันไปกวักมือเรียกเพื่อนนักธุรกิจอีกกลุ่มที่กำลังเดินเข้ามา

“คงจะไม่รังเกียจนะครับ ถ้าผมจะชวนเพื่อนมานั่งด้วย”

“ยินดีครับ ตามสบายเลย นั่งคุยกันหลายๆ คน สนุกดี” บารมีบอก

โจเอ่ยแนะนำบารมีให้เพื่อนผู้บริหารที่มาใหม่ได้รู้จักในฐานะน้องชายของบวรเวท ว่าที่ผู้บริหารของบีเอ็นคาร์สออโต้อิมพอร์ตและเป็นทายาทของตระกูลโชติสถาพัฒน์ ทำเอาใครต่อใครร้องอ๋อ ประหนึ่งรู้จักนามสกุลเขาเป็นอย่างดี

วงสนทนาของบารมีขยายใหญ่ขึ้น เมื่อมีสมาชิกเข้ามาร่วมพูดคุยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนที่ไม่มีเก้าอี้ก็หันไปลากเก้าอี้จากโต๊ะอื่นมานั่ง แล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เคล้าเสียงหัวเราะดังลั่น เมื่อต่างคนต่างก็สรรหาเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องขบขันมาเล่าสู่กันฟัง บารมีทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี นานๆ ครั้งถึงจะมีเรื่องมาเล่ากับเขาบ้าง

และในขณะที่วงสนทนาดำเนินไปอย่างครื้นเครงอยู่นั้น จู่ๆ ชายหนุ่มร่างสูงที่มีรอยสักเต็มแขนกับผมสีเทาอ่อนตามสมัยนิยมก็ก้าวออกมายืนกลางงานพร้อมกับไมโครโฟนในมือ ก่อนจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ ดึงความสนใจจากผู้ร่วมงานให้หันไปมองคนพูดเป็นตาเดียว

 

อีกฟากหนึ่งของงาน ภายในห้องพักอีกห้องของโรงแรมหรูซึ่งถูกจำลองเป็นห้องแต่งตัว บรรดาหญิงสาวมากมายในชุดเสื้อผ้าหลากหลายแบบกำลังบรรจงแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้ากันอย่างขะมักเขม้น ผิดกับร่างบางในชุดเดรสสั้นแบบสายเดี่ยวลายดอกไม้สีแดงสดตัดกับผิวพรรณขาวผ่องที่นั่งนิ่งเหมือนถูกสาป ยามหันไปเห็นเพื่อนสาวร่วมมอเดลลิงเดียวกันในชุดเดรสสั้นสุดวาบหวิว โชว์เนินอกอวบอัดอย่างสังหรณ์ใจ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเพื่อนสาวคนนี้รับแต่งาน ‘ซัม’ เป็นส่วนใหญ่ และการที่มนยาได้มาพบอีกฝ่ายที่งานนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก

“ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่นะสมาย” คนที่ยื่นหน้าเข้าไปเกือบชิดกระจกเพื่อบรรจงปัดมาสคาราเอ่ยขึ้นลอยๆ เรียกให้มนยาหันไปมองสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกบานใหญ่

“ฉันออกจะแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นเธอที่นี่ ร้อนเงินเหรอถึงได้รับงานแบบนี้”

“จิ๊บบอกฉันว่าเป็นงานดริงก์”

“งั้นนังจิ๊บมันก็คงหลอกเธอแล้วละ งานเอ็นเบาอะไรจะค่าตัวสูงขนาดนี้” อีกฝ่ายบอกอย่างไม่ใส่ใจ

มนยานั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ เมื่อรู้ตัวว่าถูกเพื่อนร่วมงานอย่างจิ๊บหลอกเข้าให้แล้ว แบบที่เธอไม่ทราบเหตุผลสักนิดเดียวว่าทำไมจิ๊บถึงทำกับเธอแบบนี้

“งานมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่า คิดเสียว่าทำสนุกๆ อย่าทำหน้าซีดเหมือนคนป่วยแบบนั้นสิ” อีกฝ่ายว่าเสียงสะบัดพลางโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

มนยาไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย เพราะเธอไม่คุ้นชินกับการรับงานแบบนี้จนมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างเพื่อน เธอไม่เคยรับงาน ‘ซัม’ ไม่เคยแม้แต่จะคิด แม้ว่าสายตาของคนนอกอาจจะมองว่าบรรดาพริตตีส่วนใหญ่ที่ชอบแต่งตัววับแวมโชว์เนื้อตัวเป็นคนง่ายและรับงานทำนองนั้นเหมือนกันหมดก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่มนยา!

หญิงสาวนั่งนิ่งพลางหันมองซ้ายขวาเพื่อหาทางหนีทีไล่ เธอจะต้องหาทางหลบหลีกไปจากที่นี่ให้ได้ และดูเหมือนว่าคนที่นั่งถัดไปจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยขึ้นราวกับว่าสิ่งที่มนยาคิดเป็นเรื่องไร้สาระ

“อย่าทำลุกลี้ลุกลนไปหน่อยเลย ทำๆ ไปเถอะ ถือว่าหาประสบการณ์”

“แต่ต้องไม่ใช่ประสบการณ์แบบนี้” มนยาแค่นเสียงตอบกลับอย่างไม่เห็นด้วยที่สุด

“เธอจะบอกว่าถูกนังจิ๊บหลอกมาจริงๆ น่ะเหรอ แค่เห็นยอดเงินค่าจ้างก็น่าจะเอะใจบ้างแล้วหรือเปล่า อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องไปหน่อยเลย”

“ค่าจ้างอะไร จิ๊บโอนมาให้ฉันแค่ห้าพันบาท”

“ตายจริง” อีกฝ่ายจีบปากจีบคออุทาน ซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าเสแสร้ง “ถ้างั้นนังจิ๊บมันก็คงหลอกเธอจริงๆ แล้วละ เพราะค่าตัวสำหรับงานคืนนี้คือหมื่นห้า นังจิ๊บนี่ก็ร้ายใช่เล่นนะ หักค่าหัวคิวตั้งเป็นหมื่น แถมยังไม่ต้องเหนื่อยอีก”

มนยาเม้มปากแน่น หลังรู้ความจริงจากปากเพื่อนร่วมอาชีพ ได้แต่ครางในอกอย่างคาดไม่ถึงว่าคนที่เธอคิดว่าปรารถนาดีจะหลอกเธอได้ลงคอ

เธอจะทำอย่างไรดี!

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้คิดหาทางออก เสียงห้วนห้าวของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นดับฝันเธอเสียก่อน

“สาวๆ ชุดแดงลุกขึ้นได้แล้วครับ แขกวีไอพีรอแล้ว”

มนยาใจเต้นระส่ำอย่างกังวล เมื่อถูกไล่ต้อนให้เดินตามบรรดาหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดเดรสสั้นสีแดงต่างรูปแบบกัน มีทั้งสายเดี่ยว เกาะอก ทั้งแบบสั้นและแบบยาว เพื่อไปยังห้องอาหารซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงและต้อนรับบรรดาแขกวีไอพีในค่ำคืนนี้ และในนาทีสุดท้ายที่เธอกำลังจะถูกดันตัวเข้าไปภายในห้องรับรองที่มีเสียงเพลงอึกทึกดังลอดมา มนยาก็ตัดสินใจเบี่ยงตัวออก แต่กลับถูกขวางด้วยท่อนแขนสีคล้ำของชายร่างสูงใหญ่ซึ่งเป็นผู้คุม

เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายทันทีด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เต็มใจ แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่เห็นใจเธอ ซ้ำยังออกแรงดันเธอให้เดินตามคนอื่นๆ เข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ท่ามกลางหัวใจที่สั่นระรัวเพราะความหวาดกลัวของตัวเอง ได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบิดาช่วยเธอออกไปจากที่นี่ ‘พ่อมัตถ์ขา ช่วยสมายด้วย’

“เดินเร็วๆ สิน้อง อย่าชักช้า”

มนยาไม่ได้ตอบโต้ เธอทำหน้ายุ่งพลางสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของมือใหญ่ ก่อนเดินไปยืนเรียงแถวหน้ากระดานรวมกับเพื่อนๆ อย่างไม่เต็มใจนัก พลางคิดหาทางหนีให้วุ่นวายไปหมด อย่างไรเสียวันนี้เธอก็ต้องหนีไปให้ได้!

หญิงสาวหลบตาบรรดาแขกผู้ชายหลายสิบคนที่จ้องมองมาอย่างสำรวจ บ้างก็ยิ้มย่องอย่างชอบใจ นั่นยิ่งทำให้มนยารู้สึกอดสูใจเข้าไปอีก ไม่คิดว่าตัวเองต้องมายืนอวดโฉมต่อหน้าคนแปลกหน้าที่มองพวกเธอราวกับสินค้าอย่างหนึ่ง

ในขณะที่มนยายืนกระสับกระส่ายอยู่นั้นเอง พลันเธอก็เห็นเสี้ยวหน้าคมของคนร่างสูงซึ่งหันไปคุยกับผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นั่นทำให้มนยาแทบหยุดหายใจ

บารมีมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!

หญิงสาวหลับตาลง ไม่ใช่แค่โชคไม่เข้าข้างเธอ แต่กลับดลบันดาลให้เธอได้เจอเขาอีก แล้วเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน

“เอาละครับทุกคน นี่เป็นของขวัญพิเศษที่ผมจะมอบให้ เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุกคนมาในงานวันนี้ ขอเชิญทุกคนสนุกสนานกับเนื้อตัวหวานๆ ของบรรดาสาวๆ ได้เลยครับ” ผู้ชายร่างสูงที่สักเต็มแขนเอ่ยพลางผายมือมายังมนยาและเพื่อนราวกับนำเสนอสินค้าอย่างภูมิใจ

บรรดาแขกเหรื่อแบ่งออกเป็นสองฝ่าย พวกหนึ่งส่งเสียงร้องยินดี อีกพวกนั่งนิ่งอย่างอึ้งไป และบารมีเป็นพวกหลัง เขานิ่งอึ้งอย่างตกใจและแทบช็อกเมื่อหันไปสบเข้าแววตาอ่อนหวานแสนคุ้นเคย

มนยามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!

“ผมคงต้องหาทางกลับก่อนละคุณแบงค์ ชักจะไม่โอเคแล้ว” โจที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าตกใจ เพราะไม่นึกว่าปาร์ตีจะออกมาในรูปแบบนี้

“ผมเองก็เหมือนกัน แต่คุณโจกลับก่อนได้เลยครับ” บารมีบอกพลางมองตรงไปยังร่างบางที่ยืนอวดผิวขาวผ่อง ซึ่งเปรียบเสมือนห่วงผูกคอที่เขาต้องพาเธอกลับไปด้วย

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ครับ” บารมีพยักหน้าให้หนุ่มรุ่นพี่และเพื่อนที่อาศัยช่วงชุลมุนที่บรรดาสาวๆ เดินตรงเข้ามาหาแขกหลบออกไป เขายังคงนั่งนิ่ง ตาคมกร้าวมองจ้องไปที่มนยา ก่อนหญิงสาวจะตัดสินใจเดินเข้ามาหาเขาในที่สุด

บารมีดึงข้อมือเล็กในจังหวะที่หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ แล้วกระตุกเบาๆ ให้มนยาทรุดนั่งลงข้างๆ ซึ่งหญิงสาวก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี

การเจอบารมีที่นี่อาจทำให้เธอถูกเขามองว่าไร้ศักดิ์ศรี ไร้ค่า แต่อย่างน้อยๆ มนยาก็มั่นใจว่าบารมีคงไม่ทำอะไรเกินเลยกับเธอ เพราะไม่มีเหตุผลที่เขาจะลดตัวลงมาสนิทสนมกับเธออีก

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เขากระซิบถามชิดใบหูขาวผ่อง ขณะที่ท่อนแขนใหญ่รวบเอวบางเข้าแนบชิดจนมนยารับรู้ถึงกระไอร้อนผ่าวและกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ โชยออกมาจากร่างสูงใหญ่

“ดิฉันก็มาทำงานน่ะสิคะ”

“คิดดีแล้วหรือก่อนจะตอบ” บารมีย้อนถามเสียงเรียบ อารมณ์เริ่มกรุ่น นั่นทำให้มนยานั่งนิ่ง

“คุณบอกว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงิน แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้หรือว่านี่งานอะไร”

“รู้ค่ะ” มนยารับคำ แต่นั่นยิ่งทำให้บารมีไม่ชอบใจ

“ทั้งที่รู้ก็ยังจะเลือกทำงั้นเหรอ คุณนอนกับผู้ชายแปลกหน้าได้หรือไง”

มนยานั่งนิ่งตัวแข็งทื่อยามที่บารมีพูดจากระทบจิตใจ แต่ให้เขาเข้าใจแบบนั้นก็ดีแล้ว

“ค่ะ ฉันเป็นแบบนั้นแหละ”

“อย่าทำเป็นผู้หญิงกร้านโลก ทั้งที่แค่ผมกอดคุณก็ตัวสั่นไปหน่อยเลย” บารมีแค่นเสียงว่าอย่างรู้ทัน เขาไม่รู้ว่าทำไมมนยาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่มั่นใจว่าไม่ใช่ความยินยอมพร้อมใจของหญิงสาวแน่นอน เพราะสายตาของเธอบอกเขาแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมหญิงสาวต้องทำเหมือนว่าเต็มใจมาที่นี่ด้วย

“แต่ถ้าคุณพูดแบบนั้นก็ได้นะ คืนนี้เราจะได้ไปต่อด้วยกัน”

“ไปไหนคะ” หญิงสาวหันไปมองหน้าเขาอย่างตื่นตระหนก

“ก็ไปทำอะไรๆ อย่างที่ควรจะทำไง คุณบอกเองไม่ใช่หรือว่านอนกับคนแปลกหน้าได้ และผมก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคุณ”

“หยุดพูดนะคะ” มนยาปรามเสียงสั่น ก่อนจะสะบัดหน้าหนี ซึ่งกิริยานั้นทำให้ผู้จัดงานที่เดินผ่านมาพอดีแวะเข้ามาสอบถาม

“เป็นไงบ้างครับคุณแบงค์ ถูกใจไหม”

บารมีมองคนในอ้อมแขนเล็กน้อย “ก็ดีครับ สวยดี” เขาตอบพอเป็นพิธี เพราะไม่ชอบงานทำนองนี้นัก

“ดีใจที่คุณชอบ เต็มที่ได้เลยนะครับ ผมมีห้องพักสแตนด์บายรอ” ผู้จัดงานเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ภูมิใจนำเสนอเต็มที่

“แต่ถ้าคุณแบงค์อยากเปลี่ยนคนใหม่ ผมเปลี่ยนคนให้ได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบคนนี้”

บารมีบอกแล้วก้มลงจูบลาดไหล่เปล่าเปลือยของมนยาอย่างยืนยัน ทำเอาคนถูกกระทำนั่งตัวแข็ง แต่คนมองกลับหัวเราะเสียงแผ่ว ก่อนจะขอตัวเดินออกไป

ชายหนุ่มรอจนอีกฝ่ายเดินลับตาจึงผุดลุกขึ้น แล้วคว้าข้อมือเล็กดึงให้เธอเดินตามออกมาจากห้องจัดเลี้ยงที่กำลังจะกลายเป็นแหล่งมั่วสุม เมื่อแขกเหรื่อหลายคนเริ่มจับคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับบรรดาสาวๆ ที่ทำอาชีพเสริมอย่างไม่อายสายตาใคร มนยาก้มหน้างุดเดินตามไปยังลานจอดรถโดยไม่อิดออด

บารมีกดเปิดประตูรถหรูด้วยรีโมตคอนโทรล ก่อนดันคนตัวเล็กให้เข้าไปนั่งภายในห้องโดยสาร หันไปหยิบเสื้อแจ็กเกตหนังที่แขวนอยู่ด้านหลังมายื่นให้ แล้วบอกเสียงห้วนแกมสั่ง

“สวมไว้ซะ”

“ขอบคุณค่ะ” มนยาพึมพำ รับเสื้อตัวใหญ่มาสวมแล้วรูดซิปปิดจนถึงคอ ซ่อนเนื้อตัวขาวผ่องจากตาคมของบารมี ที่แม้เขาจะไม่ได้มองเธอแบบจาบจ้วง ละลาบละล้วง แต่แค่เขามองเฉยๆ เธอก็สั่นไปทั้งตัวแล้ว

คนร่างสูงกวาดตามองร่างบางอย่างสำรวจ ก่อนปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับและเคลื่อนรถออกจากสถานที่จัดงานอย่างใจเย็น โดยไม่ถามไถ่อะไรสักคำ เพราะเขามีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าในการขับรถเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งนั่นน่าจะมากพอสำหรับการซักถามถึงที่มาที่ไปของมนยา ว่าทำไมหญิงสาวจึงมาอยู่ในงานแบบนี้ได้ และเขาต้องได้คำตอบที่ดีพอ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น