4

บทที่ 4


4

 

เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังลั่นห้องนอนกว้างปลุกบารมีให้ตื่นนอนแต่เช้าตรู่อย่างผิดวิสัย ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เนื่องจากเขามีนัดสำคัญ หลังได้รับอีเมลจากพี่ชายเมื่อช่วงดึกของคืนที่ผ่านมา ตอนที่กำลังนั่งทำงานซึ่งหอบกลับมาจากบริษัทอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างคร่ำเคร่ง

พรุ่งนี้มีพิธีเปิดงานแสดงรถยนต์ที่เมืองทอง ฉันส่งชื่อแกเป็นตัวแทนบริษัทไปแล้ว งานจะเริ่มตอนห้าโมงเย็น ไปก่อนเวลาสักนิดก็ดี ไปทำความรู้จักกับพวกผู้บริหารรุ่นใหม่ๆ เอาไว้ จะได้คุ้นเคยกัน ไหนๆ ก็ต้องทำงานอยู่ในแวดวงเดียวกันอยู่แล้ว

เมื่ออ่านข้อความจบ บารมีก็ไม่สามารถโต้แย้งหรือปฏิเสธอะไรได้ นอกจากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกเวลาและสถานที่จัดงานเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่าตัวเองไม่สมควรปฏิเสธงานที่พี่ชายป้อนให้ เนื่องจากบีเอ็นคาร์สออโต้อิมพอร์ตเป็นบริษัทที่ต้องอยู่ในความดูแลของเขาโดยตรง แต่บวรเวทแค่มาช่วยดูแลชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นเขาซึ่งเป็นผู้บริหารตัวจริงจึงได้แต่รับฟังคำสั่งของพี่ชายและปฏิบัติตามเงียบๆ

ร่างสูงในชุดนอนก้าวลงจากเตียงนอนหลังใหญ่ แล้วจัดการเก็บเตียงลวกๆ ด้วยการพับผ้าห่มและจัดหมอนหนุนให้เข้าที่ ก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินกลับออกมาในชุดเดิม เขายังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เนื่องจากยังไม่ถึงเวลานัดหมาย แต่เหตุผลที่ต้องตื่นแต่เช้าเป็นเพราะเขามีงานที่ทำค้างไว้จากเมื่อคืน และต้องจัดการให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะออกไปข้างนอกในช่วงเย็น

บารมีเดินตรงเข้าไปยังส่วนของห้องครัวแล้วทำอาหารมื้อเช้าง่ายๆ มือใหญ่หยิบกระทะขึ้นมาตั้งเตา ใส่น้ำมันมะกอกลงไป รอจนร้อนแล้วจึงตอกไข่ไก่ลงไป วางเคียงด้วยไส้กรอกสองชิ้นในกระทะเดียวกัน ส่วนอีกมือก็หันไปหยิบขนมปังมายัดใส่เครื่องปิ้งสองแผ่น ในขณะที่ยืนรอก็เปิดตู้เย็น หยิบเอาขวดนมจืดขึ้นมาเปิดดื่มอึกๆ ไม่นานมื้อเช้าแสนง่ายก็เสร็จเรียบร้อย

ชายหนุ่มจัดวางทุกอย่างไว้ในจานเดียว ทั้งขนมปังทาเนยถั่ว ไข่ดาว และไส้กรอกซึ่งราดด้วยซอสมะเขือเทศ ก่อนไปนั่งรับประทานเพียงลำพังที่โซฟากลางห้อง หยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวีเลื่อนหาช่องไปเรื่อยเปื่อย และหยุดที่รายการข่าวช่องหนึ่ง ซึ่งกำลังนำเสนอข่าวเกี่ยวกับงานมอเตอร์โชว์ที่เขาจะต้องไปร่วมงานในเย็นวันนี้ และเมื่ออาหารเช้าหมดลง ชายหนุ่มก็นั่งเล่นอยู่อย่างนั้น

บารมีกดปิดทีวี ก่อนหยิบจานและแก้วเดินกลับไปยังห้องครัว จัดการล้างและคว่ำเสร็จสรรพตามวิถีชายโสดที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จากนั้นก็เข้าห้องนอนตามเดิมพร้อมด้วยกาแฟรสเข้มจัดหนึ่งแก้ว เพื่อลงมือทำงานที่ทำค้างไว้จากเมื่อคืน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกิจวัตรประจำวันคร่าวๆ ในช่วงวันหยุดของบารมี ที่จะวนลูปแบบนี้ทุกครั้งที่เขาหมกตัวอยู่ที่ห้อง และไม่มีนัดสังสรรค์ที่ไหน

ที่พักของบารมีเป็นห้องชุดขนาดกว้างขวาง ขนาดหนึ่งห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องรับแขก ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นเกรย์ทันสมัย เน้นสีเทา สีขาว และสีดำเป็นส่วนใหญ่ ทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเป็นแบบเรียบง่าย ตั้งอยู่บนตึกสูงย่านเศรษฐกิจ ไม่ห่างไกลจากสถานที่ทำงานอย่างบริษัทเมธตระกูลทวีกรุ๊ปมากนัก แต่ไกลจากบ้านซึ่งอยู่ค่อนไปทางชานเมืองสักหน่อย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ได้กลับบ้านบ่อยๆ

บารมีนั่งลงบนเก้าอี้ไม้กึ่งโซฟาหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่างแบบกระจกบานใสแจ๋ว มองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครได้ถนัดตา เอื้อมมือไปคลิกเมาส์เบาๆ โปรแกรมที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก็เด้งขึ้นมาเต็มหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพา เป็นภาพร่างโครงสร้างร้านกาแฟขนาดสองชั้นสไตล์ลอฟต์ ดีไซน์เก๋ไก๋ ซึ่งบารมีมีหน้าที่คำนวณความสมดุลของโครงสร้างภายในให้ออกมาสมบูรณ์ เพื่อที่จะได้ส่งต่อให้ไซต์เอ็นจิเนียร์รับช่วงต่อไปเป็นลำดับสุดท้าย

ชายหนุ่มกวาดตามองภาพร่างของงานคร่าวๆ เพื่อเป็นการทบทวน ก่อนจะลงมือทำงานต่ออย่างรอบคอบ เพราะอยากให้งานออกมาดีที่สุด ท่ามกลางห้องที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงคลิกเมาส์สลับกับเสียงนาฬิกาดังติ๊กๆ และเมื่อเข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านไปร่วมสามชั่วโมง ร่างสูงที่นั่งหลังตรงมานานก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในที่สุด พร้อมกับเสียงผ่อนลมหายใจที่ดังขึ้นอย่างผ่อนคลาย ตามด้วยเสียงข้อความจากโปรแกรมแชตที่ดังขึ้นดั่งนกรู้

บารมีขยับตัว ก่อนเอื้อมมือไปขยับเมาส์เพื่อเปิดดูข้อความที่ส่งมาจากรุ่นน้องคนสนิทคนเดิม

 

ระพีคนหล่อ : พี่แบงค์ๆๆๆๆๆ

B_Baramee : มึงนี่ทักมาได้ตรงจังหวะตลอดเลยนะรพี อย่างกับมีสัมผัสพิเศษ

ระพีคนหล่อ : ผมรู้เวลาหรอกน่า

B_Baramee : ช่างแสนรู้

ระพีคนหล่อ : แสนรู้เหมือนแมวน่ารักๆ ใช่ไหมล่า

B_Baramee : หมาเหอะ

 

บารมีพิมพ์ตอบไป ขณะที่ฝ่ายนั้นพิมพ์เลขห้ายาวตอบกลับมา แบบที่เขาจินตนาการถึงเสียงหัวเราะของมันได้

 

ระพีคนหล่อ : แล้วนี่งานเสร็จแล้วหรือพี่

B_Baramee : เออสิ กูไม่ดองเก่งแบบมึง

ระพีคนหล่อ : แหม แซะเก่ง

 

บารมีกระตุกยิ้มยามอ่านข้อความค่อนขอดจากรุ่นน้อง

 

B_Baramee : แล้วทักมามีอะไร

ระพีคนหล่อ : ว่าจะชวนพี่ไปหาอะไรกิน แต่ได้ยินว่าพี่ทำงานเสร็จแล้วก็ไม่อยากกินอะไรแล้ว

B_Baramee : เออ ทำงานมึงไป อีกอย่างวันนี้กูก็ไม่ว่างด้วย

ระพีคนหล่อ : จะไปคั่วสาวที่ไหนอีกอ้ะพี่

B_Baramee : เสือก

 

บารมีพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนเสียงเตือนจากอีกหนึ่งช่องแชตจะดังขึ้นมา เป็นทอฝันแฟนสาวของบวรเวทส่งสติกเกอร์น่ารักมาให้ เขาจึงพิมพ์ข้อความกวนๆ ถามกลับไป

 

B_Baramee : ว่าไงเตี้ย!

ฝัน_ทอฝัน : โอ๊ย ลำไยพี่แบงค์จังเลยค่ะเรียกเตี้ยๆ อยู่นั่น

B_Baramee : ฮ่าๆๆ ว่าไงครับคนสวย

ฝัน_ทอฝัน : ไม่ต้องมาแกล้งชมเลย

B_Baramee : เอ้า เรียกเตี้ยก็ไม่ได้ เรียกคนสวยก็ไม่ได้อีก

 

เขารัวนิ้วพิมพ์ตอบกลับไป ก่อนทอฝันจะส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนแลบลิ้นปลิ้นตากลับมาให้

 

B_Baramee : ตกลงมีอะไร

ฝัน_ทอฝัน : พี่บอสบอกให้ส่งงานให้พี่แบงค์ดูค่ะ

B_Baramee : หืม งานอะไร

ฝัน_ทอฝัน : ก็งานถ่ายแบบโฆษณาไงคะ พี่บอสบอกให้ฝันส่งให้พี่แบงค์ แป๊บนะคะ

 

หญิงสาวบอกแล้วก็เงียบหายไปชั่วครู่ ก่อนเสียงติ๊งจะดังเตือนรัวๆ สามสี่ครั้งติดกัน แสดงถึงข้อความที่ถูกส่งเข้ามาถี่ๆ เป็นภาพของมนยาในอิริยาบถต่างๆ ถ่ายคู่กับรถซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดที่บริษัทของเขาเพิ่งนำเข้ามาเป็นที่แรก

บารมีคลิกเมาส์ขยายรูปนั้นให้เต็มหน้าจอ เพื่อที่จะมองอีกฝ่ายให้เต็มตา จึงได้เห็นใบหน้าสะสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีสดจากช่างแต่งหน้าฝีมือดี ปลายจมูกโด่งเชิดรั้นรับกับริมฝีปากบาง และดวงตากลมโตที่มองสบกล้องด้วยแววมั่นอกมั่นใจสื่ออารมณ์ได้ตรงตามคอนเซปต์โฉบเฉี่ยว เข้ากับชุดสีดำที่หญิงสาวสวมใส่ซึ่งตัดกับสีขาวมุกของรถยนต์ให้ความรู้สึกเซ็กซี่และดูน่าค้นหาไปพร้อมๆ กัน นั่นดึงดูดให้ปลายนิ้วของบารมีกดเซฟรูปพวกนั้นอย่างไม่ลังเล พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากอย่างพึงพอใจยามเห็นไฟล์เอกสารจากกล่องข้อความของบวรเวทที่ถูกส่งตามเข้ามา

ประวัติมนยา

 

“เสร็จกันหรือยังจ๊ะเด็กๆ งานจะเริ่มแล้วจ้า”

เสียงแหลมๆ ของสาวประเภทสองหน้าตาสะสวยในชุดเดรสสั้นลายดอกไม้สีหวานดังโหวกเหวกลั่นห้องแต่งตัว เร่งบรรดาหญิงสาวในชุดเสื้อผ้าประจำแบรนด์รถยนต์ต่างๆ ที่กำลังนั่งบรรจงแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้า เพราะพิธีเปิดงานจัดแสดงรถยนต์ครั้งใหญ่ประจำปีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

“เอ้า สาวๆ คนไหนที่ต้องยืนร่วมพิธีก็เร่งๆ หน่อยจ้ะ รีบทยอยออกไปเลย อย่าให้เจ๊มีน้ำโหนะ”

สาวประเภทสองคนเดิมขู่ ก่อนที่บรรดาสาวๆ ซึ่งรับหน้าที่เข้าร่วมพิธีเปิดจะทยอยเดินออกไปทีละคนสองคนจนครบ แต่เจ้าของมอเดลลิงก็ยังไม่หยุดเร่ง

“ส่วนที่เหลือก็ไปยืนประจำบูทกันได้แล้วจ้า อย่าให้ลูกค้ามาฉีกอกเจ๊ได้”

“ค่าเจ๊”

เสียงใสๆ ดังก้องรับคำพร้อมกับสาวๆ รีบลุกขึ้นเดินออกไปยืนประจำบูทต่างๆ รวมทั้งมนยาที่รีบกวาดเครื่องสำอางของตัวเองลงกระเป๋าถือใบใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนหน้ากระจกเพื่อเช็กความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมอีกครั้ง

“จะไปแล้วหรือสมาย”

“อือ ใกล้เวลาแล้วน่ะ” หญิงสาวหันไปตอบ ยามเพื่อนร่วมงานที่ยังคงนั่งแต่งหน้าอยู่เอ่ยถาม

“รอก่อนซี เดี๋ยวเดินไปพร้อมกัน”

“หือ?” มนยาเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายเอ่ยรั้งให้เธออยู่เป็นเพื่อน ทั้งที่บูทจัดแสดงรถยนต์ของเธอกับอีกฝ่ายอยู่กันคนละฟาก

“แต่ว่า...”

“เนี่ยๆ กำลังจะเสร็จแล้ว รอแป๊บเดียวเอง” บอกเสียงเหวี่ยง ก่อนหยิบมาสคาราขึ้นมาบรรจงปัดขนตางอนเช้งเป็นรอบที่สิบ

มนยาแอบกลอกตาอย่างไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้ แต่แล้วเสียงสวรรค์ก็มาโปรด เมื่อแก้วเกล้าเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา

“สมาย”

“สวัสดีค่ะเจ๊เกล้า” หญิงสาวหันไปยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะ ไม่ไปทำงานหรือไง เดี๋ยวลูกค้าก็ว่าเอาได้หรอก”

“จิ๊บให้สมายรอค่ะเจ๊ จิ๊บใกล้เสร็จแล้ว” คนที่นั่งอยู่หน้ากระจก และยังไม่มีทีท่าว่าจะพอใจกับใบหน้าของตัวเองบอก

แก้วเกล้าหันขวับไปมองตาขวาง “มาให้ยืนรออะไรกันยะ บูทเธอกับบูทสมายนี่อยู่กันคนละฟากเลยนะ ยังไงก็ต้องเดินแยกกันอยู่ดี มาให้ยืนรอเสียเวลาอยู่ทำไม ไปๆ สมาย ไปทำงานได้แล้ว” แก้วเกล้าเอ่ยไล่พลางดันหลังมนยาให้เดินออกไป สร้างความไม่พอใจให้แก่จิ๊บที่นั่งทำหน้าบูดบึ้งพร้อมกับบ่นอุบ

“อะไรกันเจ๊ จิ๊บให้รอแป๊บเดียว”

“โอ๊ย แป๊บเดียวอะไร ข้าวของเธอยังไม่เก็บเลย แล้วหน้านั่นน่ะก็หยุดแต่งได้แล้ว หนาไม่รู้จะหนายังไงแล้ว เดี๋ยวก็ถูกลูกค้าคอมเพลนกันพอดี”

แก้วเกล้าโวยวาย ทำเอาคนถูกต่อว่าหน้าหงิกงอ แต่แก้วเกล้าไม่สนใจ หันไปขยิบตาไล่มนยาที่ยังคงละล้าละลังอีกรอบ หญิงสาวจึงรีบขอตัวเดินออกมา แล้วตรงไปยังบูทจัดแสดงรถยนต์สัญชาติยุโรปที่ตัวเองทำหน้าที่เอ็มซีร่วมกับเพื่อนคนอื่นอย่างรวดเร็ว

 

งานจัดแสดงรถยนต์ประจำปีนี้ มอเดลลิงของแก้วเกล้าถูกหลายโชว์รูมว่าจ้างให้จัดสรรนางแบบและพริตตีให้ แก้วเกล้าจึงเป็นหัวเรือใหญ่ในการรับงาน แทนที่สาวๆ จะรับงานเองเหมือนเช่นทุกปี และถึงแม้ว่าจะต้องใช้บรรดาสาวๆ หลายสิบคนเพราะมีผู้ว่าจ้างหลายราย แต่แก้วเกล้าก็ยังต้องคัดตัวเด็กในสังกัด เพื่อรักษามาตรฐานของมอเดลลิง และจะได้จัดสรรหญิงสาวให้มีคุณสมบัติตรงตามคอนเซปต์ของแต่ละโชว์รูม ซึ่งจะมีรายละเอียดยิบย่อยแตกต่างกันไป เช่น ใบหน้าสวยหวาน โฉบเฉี่ยว หรือเซ็กซี่

มนยาได้รับหน้าที่ยืนบูทประจำรถยนต์สัญชาติยุโรปที่เน้นรูปทรงโดดเด่นอย่างไม่ผิดโผ การแต่งตัวของหญิงสาวจึงเซ็กซี่และแสนจะมั่นใจในชุดเดรสสั้นแบบสายเดี่ยวสีน้ำเงิน ตัดกับผิวขาวผ่อง ทำให้ดูโดดเด่นยามยืนเคียงข้างรถยนต์คันหรูสีเหลืองมัสตาร์ดคันงาม

“สวัสดีค่ะท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้บูทของเราขอนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีสไตล์แสนโฉบเฉี่ยว มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเร็วและความหรูหรา ด้วยราคาที่สามารถจับต้องได้”

มนยาเอ่ยนำเสนออย่างฉะฉาน ขณะยืนเคียงกับบรรดาพริตตีร่วมค่ายอีกสามคนในชุดฟอร์มแบบเดียวกัน โดยผลัดกันเอ่ยนำเสนอข้อมูลในส่วนที่รับผิดชอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ท่ามกลางผู้เข้าร่วมงานที่ทยอยเดินเข้ามาเยี่ยมชมบูทอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็เดินเข้ามาชมแบบใกล้ๆ อย่างสนอกสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าผู้ชายท่าทางภูมิฐาน ที่มักจะจบเคสด้วยการขอคุยกับเซลส์เพื่อทำสัญญา บ้างก็เดินเข้ามาเต๊าะสาวพริตตี เอ่ยแซวเอ่ยหยอกพอหอมปากหอมคอ บ้างก็เดินเข้ามาขอถ่ายรูป วนเวียนกันไปแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งมนยาและเพื่อนมีหน้าที่ฉีกยิ้มรับทุกๆ สถานการณ์ ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือปวดขาเพราะต้องทนยืนนานๆ ก็ตาม

“ไปเถอะสมาย ตาเราไปนั่งพักบ้างแล้ว” เพื่อนร่วมงานซึ่งทำหน้าที่ยืนคู่กับมนยาหันมาเอ่ยชวน ทันทีที่สองสาวซึ่งไปพักก่อนหน้าเดินออกมาผลัดเปลี่ยน

“ปวดขาจะแย่” อีกฝ่ายบ่นอุบ

มนยาเพียงยิ้มรับบางๆ ก่อนจะปลีกตัวออกมาเพื่อจะไปนั่งพักบนเก้าอี้ซึ่งพนักงานของโชว์รูมจัดเตรียมไว้ให้ที่บริเวณด้านหลังบูท พลันสายตาเจ้ากรรมของมนยาที่มองไปรอบๆ อย่างสำรวจก็สบเข้ากับดวงตาคมของร่างสูงในชุดสูทที่กำลังยืนคุยกับชายอีกคนซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นเจ้าของโชว์รูมแห่งนี้เข้าอย่างบังเอิญ หญิงสาวรีบหลุบตาหลบแล้วรีบเดินให้เร็วขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ละสายตาไปจากร่างอ้อนแอ้นของเธอเลย

“คุณแบงค์จะลองนั่งดูไหมครับ เดี๋ยวผมให้เด็กมาช่วยแนะนำให้ฟัง”

“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ” บารมีปฏิเสธอย่างเกรงใจ

“เกรงใจอะไรครับ คนกันเอง เดี๋ยวสักวันคุณแบงค์ก็ต้องก้าวมานั่งเก้าอี้บริหารแทนคุณบอส เราก็ต้องติดต่องานกันอยู่แล้ว เดี๋ยวยังไงผมเรียกน้องๆ ให้นะครับ” อีกฝ่ายเสนอพลางหันไปมองกลุ่มคนที่มายืนรออย่างลุกลน

บารมีเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปาก “เดี๋ยวผมเดินดูเองดีกว่าครับ ถ้ามีข้อสงสัยอะไร เดี๋ยวผมถามพนักงานได้ เชิญคุณธรทำงานต่อเถอะครับ”

“ถ้างั้นเชิญคุณแบงค์ตามสบายนะครับ ผมขอตัวสักครู่” เจ้าของโชว์รูมรถหรูสัญชาติอิตาลีเอ่ย ก่อนจะขอตัวเดินไปหากลุ่มนักธุรกิจที่มายืนรออยู่อีกฟาก

บารมีพยักหน้ารับน้อยๆ แล้วเบนสายตาไปยังจุดที่คนร่างบางนั่งพักอยู่ ก่อนก้าวตรงเข้าไปหา แล้วชะงักเท้ายืนรออยู่ชั่วครู่ จนพริตตีสาวอีกคนที่นั่งข้างมนยาลุกเดินออกไป เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว

“เจอกันอีกแล้วนะ” บารมีเอ่ยทักทายด้วยคำพูดที่บ่งบอกถึงความกลมกิ๊กของโลก

มนยาหายใจสะดุด รู้สึกตกใจกับการปรากฏตัวของคนตรงหน้า

“มะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามตะกุกตะกัก เพราะไม่ได้เตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับเขามาก่อน

“ผมอยากคุยด้วย เสร็จงานแล้วไปกินข้าวด้วยกันหน่อยได้ไหม เลิกงานกี่โมง” บารมีถามแบบไม่อ้อมค้อมเลยสักนิดเดียว ทำเอาดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ พอมนยาไม่ตอบ ชายหนุ่มก็พลิกนาฬิกาสปอร์ตตรงข้อมือขึ้นดูแล้วถามซ้ำ

“ตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว จะเลิกงานกี่โมง”

“ขอโทษเถอะค่ะ วันนี้ดิฉันรับงานนี้แล้ว คงไปไหนกับคุณไม่ได้อีก” มนยาปฏิเสธเสียงเรียบ พยายามกลั้นความรู้สึกประหม่าไว้สุดฤทธิ์

“เขาให้คุณชั่วโมงละเท่าไหร่ เลิกงานก่อนสักสองชั่วโมงสิ เดี๋ยวผมจ่ายให้ เพิ่มให้อีกสองเท่าเลยก็ได้” บารมีพูดออกไปแล้วถึงได้รู้ตัวว่าพลาด ยามที่ใบหน้าสะสวยเงยขึ้นมองเขา นัยน์ตาวาววับอย่างกรุ่นโกรธ และถ้าเขาตาไม่ฝาด เขาเห็นแววตัดพ้อเจือความเสียใจอยู่ในนั้น

“คือ...”

“หน้าดิฉันบ่งบอกว่าหิวเงินมากขนาดนั้นเลยหรือคะ ถึงได้ยื่นข้อเสนอให้มากมายขนาดนี้”

“คือผม...”

“ถึงแม้ว่าอาชีพที่ดิฉันทำอาจจะดูง่ายในสายตาคุณ คุณถึงได้ใช้เงินมาฟาดกันแบบนี้ แต่ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ได้รับงานแบบนั้น ถ้าอยากหาเพื่อนคุยที่ใช้เงินซื้อได้ กรุณาไปหาที่อื่น” มนยาพูดเสียงเข้ม ก่อนจะลุกขึ้นอย่างกรุ่นโกรธ

บารมีต้องเอ่ยรั้งไว้ “เดี๋ยว ฟังก่อนซี ผมแค่อยากคุยกับคุณ”

หญิงสาวเบือนหน้าไปมองเขา ก่อนจะถูกขัดด้วยพนักงานสาวของทางโชว์รูมที่เดินลิ่วเข้ามาหา

“เอ่อ...ขอโทษนะคะ มีอะไรกันหรือเปล่าคะ”

บารมีผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ก่อนปรับสีหน้าและท่าทางให้เป็นปกติ

“พอดีผมสนใจรถรุ่นนั้นน่ะครับ เลยจะมารบกวนให้น้องเขาพาไปดูหน่อย” บารมีโกหกคำโต

มนยาที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังเขาปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

“อ๋อ งั้นเดี๋ยวแพนพาไปดูก็ได้ค่ะ แพนเป็นเซลส์ค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยอาสา ก่อนที่พนักงานชายอีกคนจะรีบเดินเข้ามาหาและกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างอยู่ชั่วครู่ เซลสาวจึงหันมายิ้มแหยๆ ให้บารมี

“เอ่อ...คงจะไม่ได้แล้วละค่ะ งั้นเดี๋ยวแพนรบกวนคุณสมายพาลูกค้าไปดูรถหน่อยนะคะ แพนขออนุญาตไปรับลูกค้าทางด้านนู้นก่อน” เซลส์สาวบอกอย่างเกรงใจ เพราะงานดูแลลูกค้าไม่ใช่งานของเอ็มซีโดยตรง แต่อย่างน้อยมนยาก็พอรู้ข้อมูลอยู่บ้าง คงจะพอช่วยเหลือได้ “แพนรบกวนหน่อยนะคะคุณสมาย”

“เอ่อ...ค่ะ” มนยารับคำอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ได้แต่ยืนมองเซลส์สาวเดินลิ่วๆ จากไปตาปรอย

คนร่างสูงยิ้มอย่างคนที่มีโชคเข้าข้าง “งั้นรบกวนหน่อยนะครับ”

หญิงสาวช้อนสายตาขุ่นขวางขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินนำออกไปยังรถหรูที่ลานจัดแสดง โดยมีบารมีเดินตามไปติดๆ ใกล้ชิดขนาดได้กลิ่นกายหอมละมุนโชยมาเตะจมูก เป็นกลิ่นนุ่มและหอมหวานอย่างกับกลิ่นขนม

“คุณสนใจยี่ห้อไหนคะ”

“คันนั้น” บารมีชี้มั่วๆ ไปยังรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ ซึ่งปราศจากบรรดาลูกค้าจอแจ

มนยาหันขวับไปมองเขา “ขอโทษนะคะ ดิฉันรู้แค่ข้อมูลของคันนั้น” หญิงสาวบอกพร้อมกับชี้มือไปยังรถสปอร์ตคันหรูที่มีบรรดาพริตตีสาวยืนประกบอยู่

“แค่พาไปดูเฉยๆ ก็ได้นี่ เพราะถ้าผมเดินไปเปิดประตูรถคนเดียว อาจจะถูกมองว่าเป็นขโมยก็ได้”

“ถ้างั้นก็เชิญค่ะ” มนยาบอกเสียงเรียบ แล้วเดินนำไปยังรถยนต์คันหรูอีกคัน เปิดประตูรถให้บารมีได้สำรวจ แล้วถอยออกไปยืนอยู่ห่างๆ

“คันนี้ราคาเท่าไหร่”

“ไม่รู้ค่ะ ดิฉันไม่ใช่เซลส์” คนร่างบางปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

บารมียักไหล่ด้วยท่าทีไม่สนใจเช่นเดียวกัน “งั้นหรือ แล้ว...ตกลงว่าวันนี้คุณเลิกงานกี่โมง”

“จะเลิกงานเร็วหรือช้า ดิฉันก็ไม่ไปกับคุณค่ะ”

“ถ้าเชิญไปดีๆ ไม่ไป งั้นต้องลักพาตัวไหม” บารมีแซว เมื่อหญิงสาวขมวดคิ้วยุ่งตอบกลับมา เขาก็หลุดหัวเราะเบาๆ

“ผมล้อเล่น” เขายิ้มบางๆ พลางกวาดตามองไปทั่วใบหน้าสะสวย และหยุดจ้องที่พวงแก้มสีแดงระเรื่อ

“คุณ...มีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ”

บารมีละสายตาจากการออกแบบคอนโทรลรถดีไซน์โฉบเฉี่ยวตรงหน้า หันไปมองหน้าคนถาม

“เคลียร์กันตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ติดค้างกันอีก”

“เคลียร์หรือ”

“ค่ะ”

“งั้นแปลว่าคุณยอมรับแล้วใช่ไหม ว่าคืนนั้นเราอยู่ด้วยกัน” ชายหนุ่มถามและจับจ้องหญิงสาวอย่างจับสังเกต เลยทันได้เห็นแวววิบไหวในดวงตากลมโตซึ่งเต็มไปอารมณ์หลายหลาก ราวกับเจ้าตัวกำลังคิดวุ่นวาย

“คุณมีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่าค่ะ”

“ผมอยากคุยเรื่องคืนนั้น” บารมีเกริ่นเข้าเรื่องเสียงเรียบ แต่ภายในใจกลับไม่ได้ราบเรียบตาม เพราะกำลังลุ้นให้การเจรจาครั้งนี้ผ่านไปอย่างง่ายดาย

“คุณมั่นใจได้เลยค่ะ เพราะดิฉันจะไม่ทำอะไรให้เป็นการเสียชื่อเสียงคุณแน่นอน”

“ผมไม่ได้กลัวเสียชื่อเสียงสักหน่อย” บารมีปฏิเสธยิ้มๆ อย่างนึกขัน เพราะตัวเขาเองไม่ได้มีชื่อเสียงให้เสียหายตรงไหน ก็แค่วิศวกรธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“แล้วคุณต้องการอะไรล่ะคะ”

“ต้องการคุณ” เขาตอบเสียงเรียบ แต่ตรงประเด็นที่สุด เพราะหลังจากคืนนั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่ากลิ่นตัวหอมๆ ของหญิงสาวติดอยู่ที่ปลายจมูกตลอดเวลา ยิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนอื่นไกล เขาก็ยิ่งยินดี

“ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ได้ขาย”

“ก็ไม่ได้จะซื้อ แค่อยากให้คุณรับผิดชอบ เพราะผมเป็นของคุณแล้ว” เขาตอบยียวน ขณะที่คู่สนทนาหน้าซีดเผือด

“ดิฉันไม่รู้ว่าอะไรทำให้คุณฝังใจกับเรื่องคืนนั้นนัก แต่ดิฉันขอละค่ะ ลืมมันไปเถอะ ลืมทุกอย่าง ลืมดิฉันด้วย”

“ง่ายดี” บารมีแค่นเสียงอย่างกรุ่นโกรธที่มนยาพูดจาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่เขาเป็นคนได้ครอบครองพรหมจรรย์ของเธอ คืนนั้นเขาเมาและมึนก็จริง แต่เขาดันเป็นคนเมาที่จำเรื่องราวทุกอย่างได้ และจำได้ดีว่าความสัมพันธ์ในค่ำคืนนั้นดีมากแค่ไหน

“ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิงประเภทนั้น เลยออกจะตกใจนิดหน่อยที่คุณพูดง่ายๆ เหมือนเรื่องคืนนั้น เราแค่สนุกกันเฉยๆ”

“มันก็ดีกว่าการที่ดิฉันไปร่ำร้องให้คุณรับผิดชอบไม่ใช่หรือคะ” มนยาถาม ว่าจะไม่รื้อฟื้นแล้วเชียว แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ

“ก็คงดีมั้ง ผมคงบ้าเองที่ดันจำคุณได้” เขาบอก ก่อนก้าวลงไปยืน ปิดประตูรถ แล้วหันมาเผชิญหน้ากับมนยา

“ถ้าคุณอยากให้ผมลืมนัก หากครั้งหน้าเราบังเอิญเจอกันอีก ผมจะมองคุณเป็นแค่อากาศธาตุนะ รู้ว่ามี แต่มองไม่เห็น”

มนยากลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น เพราะคำพูดของเขากระทบความรู้สึกในใจ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างตัดสินใจดีแล้ว เธอไม่คู่ควรกับการที่เขาต้องมาวอแวด้วยหรอก

“ค่ะ แบบนั้นก็ดี”

“ถ้าดีจริง...” บารมีลากเสียง ก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างหยอกล้อ “ก็อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ดูไม่ใช่คนง่ายๆ เลย”

“คุณ...”

“ผมกลับละ กลับบ้านดีๆ นะ” เขาบอก ก่อนจะเดินผ่านมนยาไปก็กระซิบบอกด้วยประโยคสุดท้ายที่ทำเอาหญิงสาวถึงกับใจเต้นระรัว

“คุณไม่ใช่คนง่าย แต่แค่เป็นคนดูง่าย อย่าพูดจาไม่ตรงกับใจบ่อยนัก เพราะถ้าผมมองคุณเป็นอากาศธาตุขึ้นมาจริงๆ จะมาร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่ได้นะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น